ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Cocoa Cup รักถ้วยนี้เป็นของเธอ

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 : เริ่มงานวันแรก

    • อัปเดตล่าสุด 21 มิ.ย. 57


                    หลังจากที่ฉันกรอกใบสมัคร เซ็นสัญญากับเจ้าของร้าน Story’s Tale แล้ว เจ้าของร้านได้ให้คำแนะนำอธิบายเกี่ยวกับการทำงานเบื้องต้นภายในร้าน แถมมอบชุดประจำร้านมาหนึ่งชุด

                    ฉันกล่าวลาเจ้าของร้าน ก่อนจะออกจากร้าน และเดินไปถึงสุดทางของที่จอดรถ เพื่อขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นเจ็ด พอถึงชั้นเจ็ด ฉันเดินไปยังสุดทางเดิน แล้วไขประตูเข้าห้องทันที

                    ภายในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ มีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นโซนทำครัว ห้องนอน ห้องอาบน้ำ โต๊ะกินข้าว ทีวี รวมถึงของสารพัดอย่างที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ทั้งสองห้องในห้องเดียว โดยมีประตูไม้เป็นกึ่งกลาง ราวกับมีกระจกมาคั่นกลางไว้ ภายนอกมีวิวทิวทัศน์ให้ชมสุดลูกหูลูกตา สำหรับห้องนี้จะให้สิทธิ์เฉพาะวีไอพี เป็นห้องที่ได้รับการดีไซน์จากรีซอร์ทส่วนตัวของเจ้าของคอนโดฯ แห่งนี้ ส่วนห้องอื่นๆ จะมีแค่อย่างละหนึ่งเท่านั้น

                    ฉันล็อคห้อง ไม่รอช้ารีบแกะซองชุดประจำร้าน พบว่าเป็นเสื้อโปโลสีดำ กับกางเกงสแล็คสีดำเข้ารูป และเข็มกลัดทรงกลมสีดำสกรีนตัวอักษร S.T. (ชื่อย่อของร้าน Story’s Tale) ฉันแปลกใจเล็กน้อย เพราะเห็นมีแต่สีดำทั้งนั้น แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เอาชุดไปซักและตากผึ่งลมที่ริมระเบียงอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน

                    ท้องของฉันร้องเรียกโหยหาอาหารเต็มที่ จนฉันต้องหยิบอาหารแช่แข็งให้ตู้เย็นมาอุ่น ดูจากสภาพตัวเองแล้ว ขืนทำอาหารเอง มีหวังได้หิวตายก่อนจะทำเสร็จแน่ๆ

                    ระหว่างที่รอ ฉันหยิบรีโมตมาเปิดทีวี ดูเอ็มวีเพลงสบายอารมณ์บนโซฟา แค่คิดว่าจะต้องเริ่มทำงานเป็นจริงเป็นจังในวันพรุ่งนี้ก็เหนื่อยใจแล้ว

                    ติ๊ง!

                    เสียงสวรรค์ช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันเปิดฝาไมโครเวฟ หยิบจานสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าสีขาวนวลมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะลงมือจัดการกินอย่างรวดเร็วจนหมดภายในไม่กี่นาทีด้วยความหิว

                    พออิ่มได้ที่ ฉันเริ่มจัดการธุระส่วนตัว อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จสรรพ แล้วล้มตัวนอนบนเตียงหนานุ่ม พยายามไม่คิดถึงเรื่องอนาคตอันเลวร้าย

                    หวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีนะ...

     

                    “...โค่”

                    “...”

                    “โคโค่!

                    ! ฉันสะดุ้งจากภวังค์แห่งความว่างเปล่าด้วยเสียงเรียกของไข่ดาวนี่ฉันมาอยู่ที่คณะตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย!?

                    “เป็นอะไรมากหรือเปล่า เห็นนั่งเหม่ออยู่ตั้งนาน ฉันนึกว่าแกกำลังเล่นเป็นซอมบี้ซะอีก”

                    “สงสัยนอนดึกไปหน่อย” ฉันสะบัดหัวแรงๆ ขับไล่ความง่วง ย้อนความได้ว่าเมื่อคืนฉันตื่นเต้นจนตาค้างนอนไม่หลับ กระทั่งแสงแดดส่องบนใบหน้า ถึงได้รู้ว่าเช้าแล้ว ฉันจึงตัดสินใจมานอนอีกทีที่มหาวิทยาลัยนี่แหละ และที่ฉันเหม่ออาจจะเป็นผลข้างเคียงตกค้างอยู่ก็ได้ ดีที่เรียนเสร็จถึงแค่ตอนเที่ยงและไม่มีวิชาอื่นต่อจากนี้ ถ้ามีอีกฉันคงเรียนไม่รู้เรื่องแหงๆ

                    “ไปล้างหน้าหน่อยเถอะ เดี๋ยวเผลอหลับระหว่างงาน โดนดุไม่รู้ด้วยนะเออ” ไข่ดาวทำเสียงขู่น่ากลัว

                    “แล้วใครกันล่ะ ที่ทำให้ฉันเครียดจนนอนไม่หลับเนี่ย” ฉันส่งสายตา(กึ่ง)อาฆาตให้ไข่ดาวตัวต้นเหตุ

                    “เถอะน่า เดี๋ยววันนี้ฉันไปให้กำลังใจในร้านแล้วกัน J

                    “แล้วว่านอยู่ไหนเหรอ?”

                    “ป่านนี้อยู่ห้องสมุดแล้วมั้ง ช่างเถอะ... เราไปกันแค่นี้แหละ” ไข่ดาวยักไหล่ เหมือนเป็นเรื่องปกติในทุกๆ วัน

     

                    เมื่อเราสองคนเดินทางมาถึงลานประหาร หรือจะเรียกให้ถูกคือ ร้าน Story’s Tale แต่ความรู้สึกของฉันในตอนนี้คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าจะมีเพชฌฆาตยืนรอต้อนรับฉันอยู่ข้างหน้าอีกด้วย

                    “ร้านยังไม่เปิด เหลืออีกสิบห้านาที” เพชฌฆาตมองฉันด้วยหางตา พลางมองนาฬิกาข้อมือ

            “ค่ะ”

                    “แล้วชุดล่ะ ทำไมไม่ใส่มาให้เรียบร้อย”

                    “สักครู่นะคะ” ฉันเปิดกระเป๋าสะพาย ควานหาเสื้อผ้าที่ได้รับมาจากเมื่อวาน แต่ทำไมถึงไม่มีล่ะ ไม่ตลกเลยนะ หรือว่า...

                    “เธอลืมเอามางั้นสิ” เขามองตาขวางใส่เหมือนรู้ว่าฉันกำลังประสบปัญหานี้พอดี

                    ฉันพยักหน้าโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่อยากมีปัญหาภายหลัง

                    “ฉันให้เธอไปเปลี่ยนชุดแล้วรีบกลับมาที่หน้าร้านภายในห้านาที” เขาดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง “จับเวลานับจากนี้”

                    ได้ยินดังนั้น ฉันรีบวิ่งแจ้นไปเปลี่ยนชุดตามคำสั่งทันที หัวใจเต้นระรัวด้วยความตึงเครียดในทุกวินาทีที่เดินผ่าน ลุ้นระทึกยิ่งกว่าภาพยนตร์เอาชีวิตรอดซะอีก พอฉันแต่งตัวเปลี่ยนชุดเสร็จ ก็รีบออกจากห้อง(โดยไม่ลืมหยิบเข็มกลัดมาด้วย) แล้วกลับมายังหน้าร้านอีกครั้ง โชคดีจังที่ร้านอยู่ใกล้คอนโดฯ ไม่อย่างนั้นฉันต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้แน่ๆ

                    เดี๋ยวนะ... ตะกี้ฉันทิ้งไข่ดาวไว้กับเขาคนนั้นไว้เพียงลำพังเหรอเนี่ยบ้าจริง! ในฐานะเพื่อนถือเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดเลยนะ! หวังว่าไข่ดาวคงจะเข้าใจกับสิ่งที่ฉันทำลงไปด้วยนะ

                    “ช้ากว่าที่กำหนดไว้ แย่... แย่มาก” ยังไม่ทันได้เริ่มงานก็โดนว่าซะแล้ว

                    “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยววันอื่นๆ ก็ดีขึ้นเอง” ไข่ดาวเข้ามากระซิบข้างหูฉัน ดีจังที่ไข่ดาวไม่ได้คิดอะไรมาก

                    “เข้าร้านไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย” ฉันเดินเข้าร้านแต่โดยดี ได้ยินเสียงเบาๆ ว่าให้ไข่ดาวรอจนกว่าร้านจะเปิด

                    ภายในร้านทั้งเก้าอี้และโต๊ะต่างจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ แสดงว่าเขาจัดร้านเสร็จก่อนที่ฉันจะมาถึงที่นี่น่ะสิ งั้นคราวหน้ามาถึงก่อนร้านเปิดสักสามสิบนาทีดีกว่า เผื่อลืมชุดจะได้ไม่ต้องวิ่งไปมาจนเหนื่อยหอบแหกเหมือนวันนี้

                    ขณะที่ฉันกำลังเตรียมการอยู่ที่เคาน์เตอร์ ฉันเหลือบเห็นซองจดหมายสีขาวเขียนไว้ว่า เหตุด่วน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉันไม่ลังเลหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน เนื้อหามีใจความว่า

     

    ถึง เทล ลูกรัก

                    จากนี้พ่อขอตัวไปฮันนี่มูนกับแม่สองต่อสองในต่างแดน ถ้าเป็นไปได้จะเที่ยวรอบโลกยาวเลย กว่าจะกลับมาคงนานพอสมควร อยากได้ของที่ระลึกเป็นของฝากสักชิ้นหรือเปล่า? อยู่คนเดียวลูกคงเหงาแย่เลย จากนี้ไปดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ขยันทำมาหากิน เพลงเปิดให้ลูกค้าฟังบ้างก็ได้แต่ให้เหมาะกับสถานการณ์ และที่สำคัญ... ฝากดูแลร้านด้วยนะ J

    ป.ล. ถ้าคิดจะไล่แม่หนูโคโค่แล้วล่ะก็... ไม่มีทางเด็ดขาด!! เพราะสิทธิ์ทุกอย่างเป็นของพ่อเพียงฝ่ายเดียว 

    ด้วยรักและห่วงใย

                                                                                                                                                                    จากคุณพ่อผู้แสนดี

     

                    ไม่ทันได้คืนให้เจ้าของ จดหมายสีขาวได้ถูกหยิบจากมือของฉันต่อหน้าต่อตาไปเสียแล้ว ฉันปล่อยให้เขาอ่านไปสักพัก ทันใดนั้นเองเขาก็เกิดอาการหงุดหงิดอย่างชัดเจน จากจดหมายได้กลายเป็นเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ ด้วยน้ำมือของเขา ฉันกลืนน้ำลายไว้อาลัยให้ตัวเอง สายตาดุร้ายและร้ายกาจพลันมาสบตากับฉันพอดิบพอดี

                    “เจ้าพ่อบ้า ไหนบอกว่าความใฝ่ฝันสูงสุดคือบาริสต้าไง นี่ปล่อยให้ลูกมาเฝ้าร้านแทนซะดื้อๆ แล้วยังมีหน้ามาถือสิทธิ์ทุกอย่างอีก โธ่เว้ย!!” แค่เสียงเล็ดลอดผ่านตามไรฟันบนใบหน้าโหดๆ ฉันก็สยดสยองมากเกินพอแล้ว ตามด้วยเสียงตะคอกระบายอารมณ์ ทำเอาฉันสะดุ้งจนตัวเกร็ง

                    เขาเดินมายังเคาน์เตอร์เหมือนราชสีห์เดินย่องคล้ายจ้องตะครุบเหยื่อ ทุกย่างก้าวของเขาดังกึกก้อง เหมือนเสียงสะท้อนกลับไปกลับมาวนเวียนอยู่ภายในหู และแล้วเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมขย้ำฉันให้แหลกละเอียดเหมือนกับเศษกระดาษก่อนหน้านี้

                    ลาก่อนโคโค่... ลาก่อนทุกคน... ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ฉันมีชีวิตมาถึงตรงนี้ได้... ความทรงจำที่ผ่านมา... ฉันจะไม่มีวันลืมเลย...

                    “หึ” เขาแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย

                    “?

                    ตึง!

                    “เอาใบปลิวพวกนี้ไปแจกให้หมด ไม่หมดห้ามเข้าร้าน” ฉันมองใบปลิวกองโตบนเคาน์เตอร์ เยอะขนาดนี้วันเดียวไม่มีทางหมดหรอก แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง แล้วเดินไปหน้าร้านเพื่อแจกใบปลิวพวกนี้ให้เสร็จๆไป ฝากไข่ดาวคนละครึ่งกอง แล้วให้ไข่ดาวแอบเอาไปเผาสักที่ที่ไม่มีใครเห็นดีกว่า

                    “ถ้าคิดโกง จะให้เยอะกว่านี้อีก” สันหลังฉันเย็นวาบ อุตส่าห์คิดแผนการซะดิบดี นี่อ่านใจฉันได้หรือยังไงกัน? น่ากลัวเกินไปแล้ว นี่มันปิศาจชัดๆ!!

                   

                    “เชิญแวะชิมก่อนได้นะคะ ตอนนี้ทางร้านมีสินค้าตัวใหม่มาจำหน่าย ช็อกโกแลตมูสฟองดู ในราคาย่อมเยาค่ะ!” ฉันอ่านโฆษณาจากข้อความในใบปลิวก่อนหน้านี้ จึงสามารถโฆษณาในแบบที่ฉันจะทำได้ พลางยื่นใบปลิวให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปมาทีละแผ่น หากมาเป็นคู่ก็หยิบสองแผ่น ถ้ามาเป็นกลุ่มอาจจะหยิบติดมือไปเยอะหน่อย แต่ก็ดี... จะได้รีบกลับเข้าร้าน ข้างนอกร้อนจะแย่อยู่แล้ว ชุดดำไม่พอ แสงแดดยังเต็มใจแสดงความเร่าร้อนอีก ถ้าเกิดฉันเป็นมะเร็งผิวหนังล่ะก็... เป็นความผิดของนายคนเดียว ฉันจะฟ้องร้องเรียกค่ารักษา ค่าบำรุงผิว ค่าทำขวัญ ในข้อหาใช้แรงงานเกินจำเป็นกับฉันคนนี้ไง!

                    “ว้าว! เด็กใหม่เหรอเนี่ย? ดีจังเลย~ นึกว่าร้านนี้จะไม่มีผู้หญิงซะแล้ว”

                    ใครน่ะ? หน้าไม่คุ้นเอาเสียเลย แต่เสื้อดูคุ้นๆ แฮะ

            ชายคนนี้ตัวค่อนข้างสูง แต่เตี้ยกว่าเทลนิดหน่อย ดูจากหน้าแล้ว คิดว่าอายุคงพอๆกับเรา โดยรวมถือว่าใช้ได้ ทรงผมตั้งเข้ากับรูปหน้าพอดี ทำให้หน้าตาดูมีเสน่ห์ ท่าทางคงใช้เจลเยอะพอสมควร แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักนิด

                    “โทษทีที่ไม่ทันแนะนำตัว เราชื่อ แคดดี้ แต่เรียกว่า แคด จะดีกว่าเนอะ” แคดส่งยิ้มให้ฉันอย่างเป็นกันเอง “เราทำงานที่นี่เหมือนกับเธอ จะว่ายังไงดีล่ะ ตอนแรกแค่มาทำงานใช้หนี้เฉยๆ แต่พอทำไปทำมาดันติดใจเลยอาสาเป็นพนักงานประจำอย่างที่เห็น”

                    “แล้วทำไมเมื่อวานถึงไม่เจอเลยล่ะ”

                    “พอดีเมื่อวานติดธุระนิดหน่อย เลยไม่ได้มาช่วยเทลทำงาน ท่าทางมันคงจะยุ่งเหยิงน่าดู นั่นไง! พูดไม่ทันขาดคำ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ สู้ๆ” ก่อนแคดเข้าร้าน เขาหยิบใบปลิวไปหนึ่งกำมือ ช่วยลดปริมาณงานได้เยอะ ที่เหลือแค่รีบๆ แจกให้หมด จะได้เข้าร้านตากแอร์เย็นๆ ให้ฉ่ำใจไปเลย

     

                    ในที่สุดก็แจกใบปลิวจนหมดกอง วินาทีที่ลมเย็นสัมผัสบนใบหน้า ฉันรู้สึกถึงความเย็นสดชื่นเหมือนได้อยู่ในโอเอซิสท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุ แต่แล้วความสุขพลันอันตรธานหายไป เมื่อเทลเรียกให้ฉันมาที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง

                    “มีอะไร”

                    “ไปซื้อของตามที่จดไว้ รีบซื้อแล้วรีบกลับมา ให้เวลาครึ่งชั่วโมง” เทลยื่นใบรายการของที่ต้องซื้อพร้อมกับบัตรเครดิตสีบลอนซ์เงิน ยังไม่ทันได้ตากแอร์ก็ต้องออกไปข้างนอกอีกแล้ว ใจคอจะไม่ให้ฉันเข้าร้านเลยหรือไงกัน!?

            เดี๋ยวนะ!? บัตรเครดิตเหรอ? เยี่ยม! ช่วงนี้มีของที่อยากซื้อเยอะแยะอยู่ด้วย ไหนๆ ก็ไม่ใช่เงินตัวเองแล้ว ซื้อนิดซื้อหน่อยคงไม่เสียหายอะไรหรอก

            “ถ้าซื้ออย่างอื่นที่นอกเหนือจากที่จดไว้ จะหักเงินเดือนตามของที่ซื้อเนี่ยแหละ” โธ่ เซ็งชะมัด

                    ฉันยืนอ่านใบรายการอยู่หน้าประตูซึ่งเขียนไว้ว่าให้ซื้อเมล็ดกาแฟหนึ่งถุง นมสด นมข้นจืด และนมข้นหวาน อย่างละหนึ่งชิ้น ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ อีกอย่างห้างสรรพสินค้าก็อยู่ฝั่งตรงข้ามเอง

                    ไข่ดาวชูนิ้วโป้งด้วยสีหน้าระรื่น ใช่สิ อยู่แต่ในร้านได้มองพนักงานมาดนิ่งเป็นชั่วโมงแลกกับกาแฟแก้วเดียว มีความสุขน่าดูสินะ แกไม่รู้หรอกว่าภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมดูสุขุมแบบนี้จะเป็นคนมารยาทแย่ เอาแต่สั่งงานโหดหินน่ะ

                    ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเดินออกจากร้านอีกครั้ง

            แค่นี้โคโค่ทำได้อยู่แล้ว

     

                    ฉันกลับมาจากห้างสรรพสินค้าในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมของที่ต้องซื้อในมือทั้งสองข้าง เป็นเพราะฉันใช้ประสบการณ์จากการเดินเที่ยวในห้าง จึงรู้ว่าของที่ต้องซื้ออยู่ตรงไหนบ้าง ต้องขอบคุณไข่ดาวและว่านจริงๆ ที่ทำให้ฉันมีเวลาเดินเล่นได้อย่างสบายใจ

                    เทลนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ยังคงบดกาแฟต่อไป สงสัยอึ้งจนพูดไม่ออก หึๆ อย่าดูถูกความสามารถของฉันนะ แค่นี้ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ฉันทำได้ด้วยซ้ำไป

                    “เธอ...” ฉันเห็นแคดทำท่าจะเรียกฉัน

                    “เรียกฉันว่าโคโค่ก็ได้”

                    “เดี๋ยวโคโค่ช่วยเสิร์ฟที่โต๊ะริมขวาหน่อยนะ จากนั้นไปเสิร์ฟโต๊ะที่ผู้หญิงเสื้อสีม่วงนั่งอยู่ตรงนั้น เพราะเราต้องไปล้างแก้วก่อน ตอนนี้แก้วเริ่มใกล้จะหมดแล้วด้วย”

                    หลังจากนั้นฉันก็ทำหน้าที่เป็นพนักงาน เสิร์ฟที่ดีจนถึงสองทุ่ม (เวลาร้านปิดทำการ) ส่วนไข่ดาวกลับบ้านตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้ว ดังนั้นในร้านจึงเหลือแค่ฉัน แคดดี้ และเทลเพียงสามคนเท่านั้น

                    “เสร็จซะที” แคดจัดโต๊ะจัดเก้าอี้พลางบิดตัวยืดเส้นยืดสาย แล้วเดินเข้ามาคุยกับฉัน “ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง”

                    “ก็ดีนะ แต่เดินเยอะจนหัวหมุน ลูกค้าบางคนก็สั่งเร็วจนจดไม่ทัน แถมเผลอเสิร์ฟผิดโต๊ะอีก” เป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัยตัวเองจริงๆ ดีที่มีบางช่วงลูกค้าน้อยเลยได้พักนิดหน่อย ไม่สิ ไม่มีเวลาพักเลยมากกว่า เพราะต้องรีบเช็ดทำความสะอาดโต๊ะ เก็บเศษขยะให้ทันเวลา ไม่ให้ลูกค้ารายใหม่ต้องนั่งรอนานเกินไป

                    “แรกๆ ทุกคนก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวนานๆ เข้าเดี๋ยวก็จำได้เอง”

                    “แคดไม่ใส่หมวกบ้างเหรอ เห็นเทลใส่อยู่คนเดียว” จะว่าไปฉันเองก็ไม่ได้ใส่เหมือนกัน ทำไมกันนะ?

            “อ๋อ หมวกมีไว้สำหรับบาริสต้าเท่านั้น กันไว้ไม่ให้ผมร่วงหล่นเข้าไปในถ้วยน่ะ”

                    “แล้วแคดรู้จักกับเทลหรือเปล่า”

                    “รู้จักสิ สนิทกันตั้งแต่สมัยประถมเลยด้วย”

                    “จริงเหรอ นึกว่าเป็นรุ่นพี่ของแคดซะอีก” แคดถึงกับหลุดขำพรืดจนหัวเราะลั่น

                    “ฮะๆๆ มีผู้หญิงบอกว่านายหน้าแก่ด้วยล่ะ” แคดหันหน้าไปหาเทล “ได้ยินหรือเปล่า”

                    “ได้ยิน ไม่ต้องย้ำ”

                    หวังว่าเขาคงไม่คิดมากหรอกนะ อีกอย่างเราแค่พูดคุยกันสองคนเฉยๆ ไม่ได้นินทาซะหน่อย

                    “เป็นแค่เด็กใหม่ อย่าหลงตัวเองให้มากนัก” ฉันหลงตัวเองตรงไหนเนี่ย ฉันก็แค่พูดตามที่เห็นเท่านั้น “แค่วันแรกก็บ่นซะแล้ว แล้ววันอื่นๆ ไม่บ่นมากกว่านี้เหรอ”

                    “ฉันก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ ฉันจะบ่นมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย”

                    “เหอะ เอะอะก็จะบ่นลูกเดียว นี่แหละนะว่าทำไมถึงไม่อยากรับให้เข้ามาทำงานด้วย ถ้าคิดว่างานที่ทำอยู่มันแย่นัก ก็ลาออกตอนนี้ไปเลยสิ” เอะอะก็จะให้ฉันลาออกอย่างเดียว มันจะมากเกินไปแล้วนะ!

                    “ก็ได้ ฉันขอประกาศตรงนี้เลยว่าถ้าภายในหนึ่งสัปดาห์ ฉันจะต้องทำให้นายยอมรับให้ได้” ฉันสูดลมหายใจ “แต่ถ้าทำไม่ได้ ฉันจะลาออกเอง พอใจรึยัง”

                    ทั้งแคดและเทลต่างมองฉันด้วยสายตาเดียวกัน คือความตกใจกับสิ่งที่ฉันพูด ต่างกันตรงที่แคดแสดงสีหน้าชัดเจนกว่าเทล ฉันเองก็ตกใจเหมือนกันที่เผลอพูดแบบนั้น แต่ด้วยโทสะและทิฐิทำให้ฉันไม่อาจกลับไปแก้ไขได้อีก จึงได้แต่ยืนหยัดเผชิญกับปัญหาที่ตามมาในภายหลัง

                    เทลจ้องหน้าฉันสักพัก ก่อนจะคลี่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    “หึ พูดแล้วอย่าคืนคำล่ะ”

    Free Talk
    เราเพิ่งหัดเริ่มแต่งได้ไม่นาน ตอนแรกก็คิดไว้ว่าจะทำเป็นธีมค็อกเทล แต่เนื่องจากเราเคยดื่มแล้ว พบว่ารสชาติไม่ถูกปาก แถมอาจต้องไปสำรวจสถานที่จริง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องหาที่ไหนได้บ้าง ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนธีมมาเป็นร้านกาแฟ เพราะสามารถหาสถานที่จริงได้ง่ายกว่านั่นเอง สุดท้ายนี้หากมีเรื่องอยากคุยหรือสงสัยอะไรก็ตาม เราพร้อมคุยด้วยเสมอ (ไม่กัด) ทุกคอมเม้นต์เราถือว่าเป็นกำลังใจเสมอ ติได้ไม่ว่ากัน จะได้นำจุดที่ควรปรับปรุงไปแก้ไขในอนาคตอีกด้วยนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×