คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : พบผู้จัดการ
“โคโค่จ๋า~”
“หืม? มีอะไรเหรอ” ฉันเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนที่ฉันกำลังอ่านอยู่ขึ้นมามอง ‘ไข่ดาว’ เพื่อนของฉันที่กำลังทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง แต่รอยยิ้มแบบนี้ฉันรู้สึกเหมือนจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
“มาทำงานพาร์ทไทม์เป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“หา?” ฉันถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าลางสังหรณ์ของฉันจะแม่นขนาดนี้
“ฉันอยากทำนี่นา” คิดจะทำก็ทำเลยเนี่ยนะ จะดีเหรอ
“ว่านจะมาทำงานด้วยกันหรือเปล่า” ฉันมองหน้าว่านตามคำพูดของไข่ดาว
“รู้อยู่ว่าฉันทำงานประจำเป็นบรรณารักษ์ที่ห้องสมุด ตั้งแต่เลิกเรียนยันสองทุ่มทุกวัน ขนาดพักเที่ยงฉันยังต้องมาทำงานอีก” สายตาของว่านไม่ละจากหนังสือ พลางขยับเชิงแว่นให้กระชับ เพราะว่านเป็นคนที่มีสมาธิสูงมากถึงมากที่สุด ดังนั้นถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือเรื่องด่วนฉุกเฉิน ให้ตายก็ไม่มีวันละสายตาจากหนังสือเด็ดขาด “เพราะฉะนั้น ‘เลิก’ หวังซะเถอะ”
“ใจร้ายที่สุดเลย” ไข่ดาวมองหน้าฉันพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ว่าน “โคโค่เห็นแล้วสินะว่าตอนนี้มีแต่เธอคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถมาทำงานพาร์ทไทม์เป็นเพื่อนฉันได้”
“ฉันขอถามอะไรหน่อยสิดาว” ดาวเป็นชื่อย่อที่เจ้าตัวบอกให้เรียกด้วยชื่อนี้ เพราะเธอบอกเองว่าเวลามีคนเรียกว่า ‘ไข่ดาว’ ทีไร หมดความมั่นใจทุกที ถึงความจริงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม เลยขอให้พวกเราเรียกเธอว่า ‘ดาว’ อย่างที่เห็น
“ว่ามาโคโค่”
“งานพาร์ทไทม์ที่ว่า คืองานอะไรเหรอ?”
“งานบริการน่ะ” ไข่ดาวส่ายนิ้วชี้ไปมาดักไว้ก่อนที่ฉันจะได้อ้าปากพูด “แต่ไม่ใช่งานอย่างว่าหรอกนะ แค่เป็นพนักงานในร้าน Story’s Tale เท่านั้นเอง”
“ร้านนี้มีดียังไง และทำไมไม่ทำคนเดียว ถึงต้องชวนพวกเรามาทำด้วย” ว่านถามแทนฉัน
“ร้านนี้ให้เงินเดือนสูงมากๆ ถ้าเก็บเงินดีๆ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สามารถประทังชีวิตได้ถึง 2 เดือนเชียวนะ ไม่แปลกเลยที่มีคนไปสมัครกันเยอะแยะ แต่ได้ยินมาเหมือนกันว่าไม่เคยมีใครทำงานได้จนครบหนึ่งเดือนเลยสักคน แต่ไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าลูกชายเจ้าของร้านอีกแล้ว เพราะเขาหน้าตาหล่อมากกก... ถ้าฉันได้ทำงานที่นั่น ฉันคงมีความสุขทุกวันแน่ๆ เลย” ไข่ดาวสาธยายไม่หยุดโดยไม่รู้สึกเหนื่อย แถมทำลากเสียงยาวเมื่อเอ่ยถึงเจ้าของร้าน “อย่างน้อยขอมีเพื่อนร่วมงานด้วย เพื่อความสบายใจน่ะ”
“แล้วร้าน Story’s Tale เป็นร้านอะไรเหรอ?” ฉันถือวิสาสะถามไข่ดาวที่กำลังเคลิบเคลิ้มในห้วงจินตนาการของเธอ
“นี่แกไม่รู้จริงๆ เหรอยัยโคโค่” ไข่ดาวถึงกับหลุดจากห้วงจินตนาการแล้วทำตาโตเท่าไข่ห่านใส่ฉันเพราะความตกใจ ถึงจะไม่พูดออกมา แต่ก็รู้ว่าสื่อถึงอะไร อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นสิ รู้สึกแย่นะ
ไข่ดาวถอนหายใจ “ร้าน Story’s Tale น่ะ เป็นร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ทุกคนที่เคยแวะร้านนี้ต่างติดใจกันทั้งนั้นแหละ และสิ่งที่ฉันอิจฉาที่สุด... คือร้านมันอยู่ใกล้คอนโดฯ ของแกแท้ๆ แต่แกกลับไม่รู้ว่ามันคือร้านอะไร ให้ทายนะ แกยังไม่รู้จักชื่อร้านเลยด้วยซ้ำใช่มั้ย?”
ฉันได้แต่พยักหน้ายอมรับความจริง
ไข่ดาวกุมขมับ “ตายๆๆ ขนาดว่านยังรู้จักร้านนี้เลยนะ ทำไมแกถึงไม่รู้จักล่ะเนี่ย”
“ฉันเคยแวะร้านนี้ที่ไหนกันเล่า ปกติพี่คมมารับฉันทุกวัน ไม่มีการแวะระหว่างทาง ถึงอีกทีก็อยู่ที่คอนโดฯ เรียบร้อยแล้ว” พี่คมที่ฉันเอ่ยถึง คือพี่ชายแท้ๆ เพียงคนเดียวในครอบครัวของฉัน สาเหตุที่ฉันกับพี่คมอาศัยอยู่ในคอนโดฯ ไม่ใช่ว่าอยากอยู่ก็อยู่หรอกนะ แต่เป็นเพราะเมื่อสมัยตอนที่ฉันยังจำความไม่ได้ เกิดอัคคีภัยลุกลามใหญ่โตจนทำลายทรัพย์สมบัติทุกอย่างในบ้าน และได้พรากชีวิตพ่อแม่ของฉันไปด้วย... โชคดีในความโชคร้ายที่พินัยกรรมยังคงมีสภาพดีอยู่ ทำให้ฉันกับพี่คมได้รับมรดกจากพ่อแม่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากที่ญาติรู้ข่าวแล้ว ก็มารับฉันกับพี่คมมาอุปการะทันที หลายปีต่อมา พี่คมกับฉันขอแยกตัวไปอาศัยอยู่ในคอนโดฯ เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปเรียนและทำงาน โดยสัญญาว่าจะหาเงินมาให้ทุกเดือน เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ชุบเลี้ยงพวกเราตั้งแต่เล็กจนโต
เมื่อก่อนฉันก็เคยถามว่าพ่อแม่อยู่ที่ไหน ทำไมไม่เคยมาแวะเยี่ยมเยียนกันสักครั้ง แต่ญาติก็ให้คำตอบว่าพ่อแม่ไปทำงานที่ต่างประเทศ แถมงานยุ่งจนไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่ก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียดื้อๆ
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ฉันรับรู้มาจากพี่คมอีกที ซึ่งครั้งแรกที่ฉันได้รับรู้... กว่าจะทำใจได้ ก็ใช้เวลาไปตั้งหลายเดือน จนกระทั่งฉันเริ่มทำใจและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในที่สุด ฉันจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติจนถึงทุกวันนี้
“แล้ววันหยุดแกไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือยังไงกัน ไม่กี่วันก่อนยังไปเที่ยวกับพวกฉันได้เลย”
“พี่คมหวงฉันยิ่งกว่าอะไรดี ถ้าไม่ใช่เพราะพวกแกชวนฉันนะ ต่อให้ฉันชักแม่น้ำทั้งโลก ก็ไม่มีทางได้ไปเที่ยวข้างนอกหรอก” แค่ฉันจะออกมาซื้อของในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ติดคอนโดฯ พี่คมยังอุตส่าห์ลงทุนไปซื้อด้วยตัวเองเลย คิดดูสิ
“งั้นวันนี้ไปแวะร้าน Story’s Tale ก่อนก็ได้นะ”
“เอ่อ...”
จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฉันหยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ จึงรู้ว่าพี่คมเป็นคนโทรมา
“ฮัลโหลค่ะ”
(โคโค่ วันนี้อยู่คนเดียวได้หรือเปล่า)
“ทำไมเหรอคะพี่คม”
(วันนี้พี่ต้องอยู่ทำโปรเจคใหญ่ที่บริษัท อาจจะต้องอยู่ดึกถึงเช้า)
“อ๋อ ได้อยู่แล้วค่ะ”
(ถ้าอย่างนั้นกินข้าวที่เก็บไว้ในตู้เย็นด้วย อย่าลืมกวาดห้องถูพื้นให้สะอาด ซักผ้าซักถุงเท้าให้เรียบร้อย จัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง แล้วก็...)
“ปิดประตูล็อคกลอนให้ดี หากมีคนไม่รู้จักมาอ้างถึงพี่ ให้ถามว่ารหัสอะไร ถ้ารหัสไม่ถูกต้อง รีบแจ้งรปภ.ทันที หนูพูดถูกมั้ยคะพี่คม” ตั้งแต่ที่ฉันย้ายมาอยู่คอนโดฯ พี่คมก็กำชับฉันแบบนี้ทุกวัน จนฉันท่องได้หมดทุกคำเลยล่ะ ความจริงแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดให้อยู่แล้ว แต่พี่คมบอกว่าเกิดเป็นผู้หญิงต้องเป็นแม่ศรีเรือนที่ดี ซึ่งควรจะทำเป็นทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพราะปัจจุบันคนประเภทนี้หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ถือซะว่าเพิ่มระดับคุณค่าตัวเองไปด้วย... พี่คมพูดไว้อย่างนั้นจริงๆ นะ
(จ้าน้องสาวสุดที่รักของพี่ เดี๋ยวกลับมาจะซื้อเค้กช็อกโกแลตร้านประจำมาฝาก อ๊ะ! พี่ต้องไปประชุมแล้ว แค่นี้ก่อนนะ)
หลังจากที่ฉันคุยเสร็จเรียบร้อย ไข่ดาวเข้ามากุมมือฉันทันที พร้อมกับทำตาเป็นประกาย ทำท่าเหมือนจับใจความได้อยู่แล้ว นี่แอบฟังฉันคุยโทรศัพท์รึไงนะ
“สรุปวันนี้ไปได้สินะ”
“อืม”
“เย้! ในที่สุดก็ชวนได้แล้ว” ไข่ดาวทำท่าชูกำปั้นขึ้นฟ้า บางทีทำตัวโอเวอร์ไปหน่อย แต่นั่นแหละนิสัยของไข่ดาวล่ะ “ว่านจะไปด้วยกันมั้ย?”
“ดีเหมือนกัน ช่วงนี้อยากดื่มกาแฟพอดี แต่คงต้องไปขออนุญาตเจ้าหน้าที่ห้องสมุดก่อน” ว่านปิดหนังสือก่อนจะเก็บให้เรียบร้อย “อุตส่าห์ชวนโคโค่ได้ทั้งที ฉันก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว”
“เยี่ยมเลย งั้นวันนี้ฉันอาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงกาแฟให้เอง” ไข่ดาวชูนิ้วชี้ค้างไว้ “แต่...คนละแก้วนะจ๊ะ”
“โธ่... ฉันนึกว่าจะสั่งแบบบุฟเฟ่ต์ได้ซะอีก” ฉันแอบเสียดายเล็กน้อย
“จะบ้าเหรอ ขืนสั่งไม่ยั้งแบบนั้น พวกเราคงได้ล้างแก้วชดใช้ค่ากาแฟพอดี”
พวกเราสามคนหัวเราะท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา ฉันรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนดีๆ แบบนี้ เพราะช่วงที่ฉันต้องใช้เวลาทำใจนั้น มีแต่ไข่ดาวกับว่านเท่านั้นที่คอยให้กำลังใจอยู่เสมอ คนอื่นอย่างมากก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ส่วนพี่คมก็ให้กำลังใจบ้าง แต่เพราะต้องแบกรับหน้าที่เป็นประธานบริษัทสืบทอดต่อจากพ่ออย่างกะทันหัน ทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาให้กำลังใจเท่าไหร่ อีกอย่างช่วงนั้นบริษัทกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซา จนเกือบจะล้มละลาย พี่คมเลยต้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ดีที่บริษัทมีพนักงานทุกคนที่มีคุณภาพ จึงผ่านพ้นปัญหาเหล่านี้ไปได้ด้วยดี
คิดไปคิดมา รู้สึกเสียดายช่วงเวลาวัยรุ่นแทนพี่คม เพราะช่วงที่รับช่วงต่อเป็นประธานบริษัท ดันตรงกับช่วงเวลาที่พี่คมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยพอดิบพอดี ทำให้เวลาส่วนใหญ่ต้องไปทำงานที่บริษัท แต่อย่างน้อยพี่คมก็มีเพื่อนมากมายและเรียนจนจบปริญญา แถมยังได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งอีกด้วย
พอกลับมาย้อนมองตัวเอง ขณะที่พี่คมมีสังคมกลุ่มใหญ่ๆ ฉันกลับมีเพื่อนไม่กี่คน ไม่ใช่ว่าฉันเป็นพวกเข้าสังคมไม่ได้หรอกนะ แต่ฉันรู้สึกว่ามีเพื่อนน้อยกลับรู้สึกอุ่นใจมากกว่า ฉันเห็นคนประเภทคบกันที่ผลประโยชน์มาเยอะแยะ ฉันมองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว ถึงจะพูดคุยกันตามปกติได้ แต่นั่นก็แค่พูดคุยกันตามมารยาทในสังคม มีแต่ไข่ดาวกับว่านที่คบกับฉันเป็นเพื่อนโดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ
ว่านและไข่ดาวต่างมีเสน่ห์ในฉบับของตัวเอง มีหลายคนที่ให้ความสนใจทั้งคู่มากอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยลักษณะความเป็นตัวเองสูง สูงจนหลายคนเอือมระอาจนเบื่อหน่ายไปเลยก็มี
ว่านออกจะเป็นสาวนิ่งมาดขรึมตามหลักอุดมการณ์เด็กเรียนแท้ๆ โครงหน้ามนเรียวเป็นรูปไข่ใบเล็ก ดวงตาสีนิลกลมโตภายใต้กรอบแว่นสีดำเรียวเฉียบแหลม แต่เพราะนิสัยชอบมัดมวยผม ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับวัยเท่าไหร่ (เจ้าตัวบอกปล่อยผมยาว เดี๋ยวจะร้อน แต่ที่ไม่ตัดเพราะเสียดายผม จึงไว้ทรงนี้แทน) แถมยังเป็นหนอนหนังสือที่เจ้ากี้เจ้าการมากไปหน่อย ส่วนไข่ดาวเองก็หน้าตาสละสลวย รูปหน้ากลมกระจ่างใสคล้ายพระจันทร์คืนวันเพ็ญ ผมดำยาวสลวยดัดเป็นลอนเล็กน้อย ดวงตาฉายแววให้เห็นถึงความสนุกสนานระริกระรี้ พลังงานเหลือล้นตื่นตัวตลอดเวลา แต่เพราะนิสัยชอบไปโน่นมานี่ ไม่อยู่เฉยง่ายๆ อารมณ์แปรปรวนบ่อย (ส่วนใหญ่มักหมดความอดทนไปเสียก่อน) ผิดกับว่านโดยสิ้นเชิง
พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม พออยู่มหาวิทยาลัยดันอยู่ที่เดียวกัน แถมคณะเดียวกันอีก ยังไงก็ไม่แคล้วคลาดจากกันสินะ
อยากจะให้เป็นแบบนี้ตลอดไปจัง...
พอรู้สึกตัวอีกทีฉันก็มาอยู่หน้าร้านกาแฟ Story’s Tale ซะแล้ว ที่ฉันรู้เพราะเห็นป้ายออกจะโดดเด่น ประกอบกับพื้นหลังสีดำ สามารถดึงดูดสายตาให้มามองตัวอักษรสีเหลืองทองอร่ามได้ง่ายขึ้น
จะว่าไปร้านนี้อยู่ใกล้จนเกินความคาดหมาย มันอยู่ถัดจากทางเข้าที่จอดรถของคอนโดฯ ที่ฉันอาศัยอยู่ไม่กี่เมตรเอง
ก่อนที่พวกเราจะเข้าร้าน มีผู้หญิงออกจากร้านด้วยสีหน้าท่าทางหงุดหงิด จนพวกเราต้องหลีกทางให้เธอ
“บ้าที่สุด!! ฉันจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกเด็ดขาด!!” เธอสบถออกมาเสียงดัง จนพวกเราต้องรีบเข้าร้านทันที ไม่อย่างนั้นอาจโดนลูกหลงระเบิดอารมณ์แน่ๆ
เมื่อเข้าไปข้างใน พลันเกิดเสียงโมบายดังกรุ๊งกริ๊ง โมบายที่ใช้ น่ารักดีนะ ถ้ามีโอกาสจะซื้อให้ได้เลย
“ยินดีต้อนรับครับ”
ฉันหันหน้าไปทางต้นเสียง ซึ่งเจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ชายวัยกลางคนยืนต้อนรับอยู่ที่เคาน์เตอร์ไม้สักชั้นดี รอยยิ้มดูจริงใจสุดๆ ส่วนผู้ชายอีกคนกำลังยุ่งกับการชงกาแฟ ฉะนั้นฉันจึงมองไม่เห็นใบหน้าของเขาเลย
พวกเราเดินเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ริมกระจกใส ก่อนจะฝากให้ไข่ดาวไปสั่งซื้อ
ฉันมองไปรอบๆ ร้านนี้จัดสรรทุกอย่างได้ลงตัว เก้าอี้แต่ละตัวใช้ไม้อัดอย่างดี โต๊ะกระจกที่ตกแต่งด้วยลายดอกไม้ ถึงเคาน์เตอร์จะมีแต่ตู้โชว์สินค้าเบเกอรี่ แต่กลับดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ชั้นวางประดับประดาไปด้วยถ้วยกาแฟสะสม หลากหลายดีไซน์ ดูๆไปก็สวยดีเหมือนกัน
ไข่ดาวเดินกลับมานั่งที่อย่างสบายใจ “นี่ๆ เห็นลูกชายเจ้าของร้านแล้วสินะ บอกแล้วว่าหล่อมากกก”
เก็บอาการหน่อยไข่ดาว ฉันรู้สึกว่าเริ่มจะมีสายตาจับจ้องมาที่พวกเราบ้างแล้ว อีกอย่างฉันไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาเลย
“ยังไม่ได้สั่งเหรอ” ว่านถาม เมื่อเห็นว่าไข่ดาวกลับมามือเปล่า
“เจ้าของร้านบอกว่าคิวเยอะ ต้องรอสักพัก”
“งั้นเหรอ...” ว่านพูดจบก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
ในขณะที่นั่งรอ ฉันเล่นมือถือไปพลางๆ จนกระทั่งชายวัยกลางคนในชุดผ้ากันเปื้อนประจำร้าน Story’s Tale เดินเข้ามาเสิร์ฟ
“โกโก้เย็น ลาเต้ร้อน และเอสเพรสโซร้อนที่สั่งได้แล้วครับ” พวกเราหยิบแก้วจากมือเจ้าของร้านจนได้ครบทุกคน
“มีบัตรสะสมแต้มหรือเปล่าครับ”
“มีค่ะ” ไข่ดาวยื่นบัตรสะสมแต้มให้เจ้าของร้านอย่างรวดเร็ว
ไข่ดาวอวดสรรพคุณของร้านก่อนหน้านี้ว่ามีโปรโมชั่นดีๆ อย่างเช่น บัตรสะสมแต้ม โดยจะสะสมแต้มตามจำนวนแก้วที่ซื้อ หากสะสมครบ 10 ครั้ง ก็จะได้เครื่องดื่มฟรี 1 แก้ว และแถมบัตรสมาชิกอีก ซึ่งสามารถลด 10% ได้ทุกเมนู รวมถึงเบเกอรี่ด้วย
เจ้าของร้านยิ้มจนแก้มปริ เมื่อมีคนมาโฆษณาให้เขาละเอียดยิบแบบนี้
พอคุณเจ้าของร้านคืนบัตรสะสมแต้ม ไข่ดาวก็ถามทันที
“ไม่ทราบว่าร้านนี้ยังรับสมัครพนักงานเพิ่มอยู่หรือเปล่าคะ?”
“รับอยู่ครับ ตะกี้พนักงานเพิ่งลาออกไปนี่เอง ตอนนี้เลยว่างอย่างที่เห็น” มิน่าล่ะ ผู้หญิงคนตะกี้ถึงได้สบถเสียงดังขนาดนั้น
“งั้นดีเลยค่ะ พอดีว่าเพื่อนหนูอยากทำงานที่นี่น่ะค่ะ”
เดี๋ยวนะ ฉันว่ามันชักจะแปลกๆ แล้วสิ
“คนเดียวเหรอ?” เขามองหน้าฉันเพื่อความมั่นใจ
“ใช่ค่ะ” อ้าว! ฉันยังไม่ทันอธิบายเพิ่มเติมเลยนะ ไข่ดาวแย่งตอบเฉยเลย
“งั้นเดี๋ยวรอจนกว่าร้านจะปิดแล้วกันนะ” จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ฉันเห็นว่าเขากำลังคุยกับพนักงานชายอีกคน ซึ่งชายคนนั้นทำหน้าไม่พอใจ ก่อนจะหันมาส่งสายตาดุๆ มาที่ฉัน...คนเดียวซะด้วย
ฉันหลบสายตาดุๆนั่น มาถามไข่ดาว “บอกเหตุผลมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าทำไมถึงให้ฉันมาทำงานพิเศษคนเดียว ไหนบอกว่าจะชวนฉันมาดื่มกาแฟอย่างเดียว”
“เอาน่า คิดซะว่าฉันกำลังช่วยแกอยู่นะโคโค่” ช่วยยังไงมิทราบ นี่ส่งฉันไปถูกเชือดชัดๆ “เห็นแกบอกว่าอยากจะช่วยงานพี่ชายแก แต่ไม่มีโอกาสซะที ดังนั้นฉันเลยให้แกมาทำงานพิเศษที่นี่ไง”
“แต่ว่า...”
“แกลองคิดดูให้ดี ที่ทำงานพิเศษอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ เงินเดือนก็สูง ไหนจะพนักงานหล่อๆ ประจำร้านอีก โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีบ่อยหรอกนะ”
“อืม...”
“คิดซะว่ามาหาประสบการณ์สิ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยว่ากันอีกที” ว่านที่นิ่งเงียบมานาน จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา
“เห็นมั้ย ขนาดว่านยังเห็นด้วยกับฉันเลย” ไข่ดาวเขย่ามือว่านเบาๆ เป็นการขอบคุณ “นานๆ จะมีความเห็นตรงกันนะเนี่ย”
“แล้วต่อจากนี้ฉันควรทำยังไงดี” ฉันได้แต่ใช้นิ้วชี้ทั้งคู่จิ้มไปมาเป็นจังหวะขึ้นลง
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอแค่เราเตรียมตัวพร้อมรับมือกับมันก็พอ” ว่านสรุปใจความสั้นๆ แต่ฉันยังไม่พร้อมรับมือเลยนะ
“เดี๋ยวฉันจะเลี้ยงให้อีกแก้วเป็นการไถ่โทษแล้วกันนะ” ไข่ดาวใช้สิทธิแลกโกโก้ฟรีหนึ่งแก้วเพื่อเลี้ยงฉัน “ถ้ามีโอกาสฉันจะแวะมาร้านนี้บ่อยๆ เลย”
หลังจากที่ไข่ดาวจ่ายเงินเรียบร้อย ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือแต่ฉันที่ต้องรอจนกระทั่งลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้าน
“ขอโทษที่ทำให้รอนานนะ” เจ้าของร้านเปลี่ยนป้ายจาก Open เป็น Close ก่อนจะมานั่งเก้าอี้ไม้ตรงข้ามที่ฉันนั่งอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่รีบอยู่แล้ว” ฉันปรับท่านั่งแล้วยืดตัวตรงตามมารยาทคนสมัครงาน
“ไม่ต้องเกร็งหรอกแม่หนู เราคุยกันสบายๆ”
“ค่ะ” ฉันได้แต่ยิ้มอย่างเดียว ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ทำไมถึงอยากมาทำงานที่นี่” เขาตั้งคำถามทำลายความเงียบ และเป็นคำถามสุดคลาสสิกซะด้วย
“มาหาประสบการณ์ค่ะ” ฉันก็ดันตอบเป็นประโยคคลาสสิกอีก
“ชอบดื่มกาแฟหรือเปล่า”
“พอดื่มได้ แต่ชอบโกโก้มากกว่าค่ะ” เจ้าของร้านถึงกับหลุดขำ ก่อนจะถามคำถามต่อมา
“แล้วฉันจะฝากร้านไว้ให้กับเธอได้หรือเปล่า” อะไรนะ!? เรื่องสำคัญแบบนี้จะฝากไว้ให้กับคนที่เพิ่งรู้จักในฐานะคนสมัครงานเนี่ยนะ! ล้อเล่นกันหรือเปล่าเนี่ย!? “ไม่ได้เหรอ...”
สงสัยฉันคงเงียบนานไปหน่อย พอเห็นท่าทีซึมเศร้าของเขาแล้วฉันก็อดสงสารไม่ได้ “ได้ค่ะ”
“จริงนะ” สายตาของเขาช่างคาดคั้นในคำตอบฉันเหลือเกิน
“จะพยายามค่ะ”
เจ้าของร้านลุกขึ้นยืน ก่อนจะลากตัวพนักงานชายที่อยู่ในห้องสต๊าฟมาแนะนำตัว
“นี่ ‘เทล’ ลูกชายเพียงคนเดียวของฉันเอง ชื่อร้านก็เอามาจากชื่อลูกชายคนนี้แหละ”
ฉันเงยขึ้นมามองชายตรงหน้า หล่ออย่างที่ไข่ดาวบอกไว้จริงๆด้วย ตัวสูงตามมาตรฐานนายแบบ ใบหน้าคมคาย นัยน์ตาสีดำเข้ม จมูกคมสันได้รูป ทรงผมที่ปกปิดภายใต้หมวกสีครามหม่นตัดกับลายสกอตสีขาว ซึ่งตอนนี้เขาได้ถอดหมวกนั้นออกแล้ว ทำให้ฉันเห็นผมดำเรียบแปล้ยาวไปถึงต้นคอของเขา แต่ทว่าริมฝีปากกลับดูบึ้งตึง ทำให้ความประทับใจแรกพบไม่ค่อยราบรื่นอย่างที่คิดเท่าไหร่นัก
“มองหน้าทำไม ไม่คิดจะแนะนำตัวเองเลยเหรอ?”
ขนาดตัวเองยังไม่แนะนำก่อนเลยนะ! ฉันพยายามข่มความรู้สึกแย่ๆ ไว้ในใจ ก่อนจะแนะนำตัวให้อีกฝ่ายได้รู้จัก “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ชื่อโคโค่ค่ะ เพิ่งมาทำงานที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
เขายืนกอดอกพิจารณาฉันสักพัก ก่อนจะแนะนำตัว “เทล... ยินดีที่ได้รู้จัก”
อย่างน้อยก็มีมารยาทอยู่ล่ะนะ
“ถ้าคิดว่าไม่ไหว ลาออกตอนนี้ยังทันนะ”
ขอถอนคำพูด...
ความคิดเห็น