คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รุ่งอรุณ
เสียงไก่ขันกระชั้นรับกันเป็นช่วงๆ ดังมาจากทางด้านหน้าบ้างด้านหลังบ้างของห้องแถว เป็นบทเพลงเบิกอรุณที่คุ้นหู มันเป็นไก่ที่ชาวตลาดห้องแถวย่านนี้เลี้ยงอย่างปล่อยปละละเลยไม่ต้องมีเล้า แต่มันก็ไม่เคยออกไปหากินไกลตาเจ้าของ จะออกคุ้ยเขี่ยหาอาหารของมันไปเรื่อยไปจนแดดลำสุดท้ายหมดไปจากชายฟ้า มันก็จะกลับมาเกาะคอนไม้ไผ่ลำเขื่องที่เจ้าของพาดไว้ให้มันนิ่งอยู่อย่างนั้นตลอดคืนเหมือนถูกล่ามไว้จนรุ่งสาง มันก็จะขยับตัวแล้วโก่งคอขันรับกันเสียงเสนาะใสอยู่สักครู่ ก็จะโผลงจากคอนแล้วออกคุ้ยเขี่ยหากิน....เป็นอย่างนี้มาทุกวัน
ก๋งพลิกตัวอยู่ในความมืด ร่างที่ค่อนข้างสูงและออกท้วมตามประสาคนสูงอายุมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้เกิดเสียงขึ้นในความเงียบสงัดยามใกล้รุ่ง ฉันลืมตาตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของผืนเสื่อเพราะแรงพลิกตัวของก๋ง ก๋งพลิกตัวแล้วนอนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ขยับตัวอีกครั้งหนึ่งแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งนิ่งอยู่เหมือนกับจะรอให้สายตาชินกับความมืดสลัว
ก๋งตื่นออกจากมุ้งก่อนฉันทุกเช้า ประมาณตีห้าหรือตีห้าเศษๆ ทุกวันไม่ว่าฤดูกาลใด ก๋งไม่เคยผิดเวลากับตัวเอง ก๋งเคยบอกกับฉันว่าคนแก่นอนน้อย แต่เด็กต้องนอนให้พอ และกินให้อิ่ม จะได้โตเร็วๆ เพื่อเป็นแรงช่วยทำมาหากิน
"หยกเพิ่งอายุ 12-13 ยังเด็ก..." ก๋งพูดครั้งหนึ่ง เมื่อฉันทำท่าจะลุกตามก๋งตามใกล้อรุณ "นอนต่อไปเถอะ ฟ้าสว่างแล้วค่อยตื่น..."
ฉันค่อยๆ หลุบเปลือกตาลงปิดสนิทและทำนอนนิ่งเมื่อก๋งเบือนหน้ามาทางฉัน แล้วรวบผ้าห่มของฉันที่หลุดจากตัวขึ้นมาคลี่ออกแล้วคลุมลงบนร่างของฉันให้อีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงหน้าอกจนตลอดปลายเท้าอย่างแผ่วเบาเกรงว่าฉันจะตื่น ก๋งบอกว่าอากาศตอนใกล้รุ่งมักจะเย็นจัดเพราะน้ำค้างลงหนาถ้าไม่ห่มผ้าไว้แล้วจะเป็นหวัดได้ ทุกครั้งที่ฉันนอนดิ้นจนผ้าห่มหลุดจากตัวก๋งจะหยิบขึ้นมาคลุมให้ใหม่ ฉันก็เออออไปอย่างนั้นเอง แต่แทบทุกครั้งพอก๋งเลิกชายมุ้งมุดออกไปแล้วฉันเป็นต้องตลบผ้าห่มออกจากร่าง ... ฉันชอบความเยือกเย็นของอรุณ มันให้ความรู้สึกสดชื่นในวันใหม่แก่ฉันมากกว่าจะให้ความเหน็บหนาว เว้นแต่เมื่อถึงฤดูหนาวเท่านั้นที่ฉันจะคว้าผ้าห่มมาห่มเองโดยไม่ต้องรอให้ก๋งสั่งหรือคอยห่มให้
ก๋งมุดออกจากมุ้งไปแล้วโดยไม่ลืมที่จะเหน็บชายประตูมุ้งไว้ใต้ริมเสื่อ
ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่ออยู่เพียงลำพังในมุ้ง มองฝ้าเพดานมุ้งขึ้นไป ห้องแถวที่เราอยู่เป็นห้องเดียวแคบๆ พื้นเป็นไม้กระดาน และเป็นห้องแถวชั้นเดียวไม่มีเพดาน ที่หลังคาเป็นสังกะสีมีช่องสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยาวประมาณหนึ่งศอกเจาะไว้รับแสงสว่างในเวลากลางวันโดยมีแผ่นกระจกหนาๆ วางปิดไว้ข้างบนกันฝน รอบ ๆขอบกระจกใช้ชันยาไว้แน่นหนากันหลุดและกันน้ำฝนไหลซึมเข้ามาในห้องด้วย ในคืนที่จันทร์โอดโฉม แสงนวลของมันจะส่องเข้ามาแทนแสงแดด ก่อนหลับฉันชอบมองจ้องไปที่สีฟ้าของมัน...แต่ในยามใกล้รุ่งอย่างนี้ฉันเห็นมันเป็นกรอบสีเทาจางๆ อยู่ในความมืดสลัวเมื่อมองผ่านเพดานมุ้งออกไปแต่อีกไม่นานนักสีเทาจางๆ นี้จะแปรเป็นสีขาวสว่างเรืองเต็มกรอบกระจกพร้อมๆ กับแสงตะวันที่ค่อยๆ จัดจ้านขึ้นจนลบความมือมนในห้องแถวให้หมดไป
ทุกเช้าที่ฉันลืมตาตื่นฉันชอบมองเพ่งไปที่ช่องกระจกนี้ ฉันรักสีเทาอ่อนๆ นั้นมาก เพราะมันให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนแก่ฉันเหมือนกับสายตาของก๋งที่ทอดมองมายังฉันด้วยแววปราณี แต่ในคืนที่ฝนตกและฟ้าคะนอง ฉันจะไม่ยอมมองไปที่ช่องกระจกนั้นเลย
ฉันเกลียดชังความรุนแรงเกรี้ยดกราด ไม่ว่ามันจะมาจากธรรมชาติหรือคน
เมื่อนอนอยู่คนเดียวในความมืดสลัว ฉันรู้สึกถึงความหว้าเหว่เดียวดายมือที่ทอดออกไปพบแต่ความว่างเปล่าเพราะว่าก๋งลุกไปแล้วเมื่อครู่นี้เอง ฉันรู้สึกเหมือนสิ่งหนึ่งขาดหายไป ตั้งแต่ฉันจำความได้คนที่นอนอยู่ข้างฉันทุกคืนคือก๋งกลางดึกบางคืนฉันเคยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ฉันอบอุ่นใจเมื่อได้ยินเสียงหายใจลึกและยาวของก๋ง บางครั้งมีเสียงกรนสอดออกมาด้วย ฉันนอนฟังอยู่ได้นานๆ อย่างเป็นสุขไม่รู้สึกว่ารำคาญเลย เสียงกรนของก๋งบอกให้ฉันรู้ว่าก๋งกำลังหลับสนิท....ฉันดีใจที่ก๋งหลับได้สนิทเพราะก๋งเหน็ดเหนื่อยกับการงานมาตลอดวันนอกจากจะรักและคุ้นเคยกับเสียงกรนของก๋งแล้ว ฉันยังรักกลิ่นน้ำมันจางๆ ที่อวลออกมาจากผิวกายของก๋งด้วย มันหอมเหมือนกลิ่นของโคลนที่ถูกแดดเผา
ทุกเช้ามืดหลังจากก๋งลุกออกจากมุ้งไปแล้วฉันจะนอนคิดคำนึงอยู่เงียบๆ แต่บางทีก็หลับไปอีกครั้งหนึ่ง
แต่เช้านี้ฉันนอนไม่หลับอีกเพราะตาสว่างเสียแล้ว คงเป็นเพราะเมื่อคืนฉันนอนเร็วกว่าปกตินั่นเอง
ในความมืดสลัวฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของก๋งเดินไปทางหลังห้อง แม้ก๋งจะระมัดระวังเพียงไรฉันก็ยังได้ยินเสียง เพราะก๋งลากเท้านิด ๆ แบบผู้สูงอายุแทบทุกคน เสียงกลอนประตูถูกถอดดังเบาๆ ฉันรู้...ก๋งออกไปหลังบ้านเพื่อล้างหน้าและบ้วนปาก วัยหกสิบเศษเฉียดเจ็ดสิบของก๋งแก่เกินกว่าจะต้องแปรงฟันแล้ว ซ้ำยังกินหมากตลอดวัน สักครู่ก๋งก็ปิดประตูหลังบ้านแล้วเดินกลับเข้ามาในห้อง นั่งลงที่มุมห้องด้านหนึ่งซึ่งไม่ห่างจากมุ้งนัก เสียงเลื่อนตะเกียงลาดดังครืด อีกครู่ต่อมาไฟจากไม้ขีดก็สว่างวาบขึ้น
ฉันเปลี่ยนท่าจากนอนหงายมองช่องกระจกบนหลังคาสังกะสีเป็นนอนคว่ำเอาคางเกยหมอนมองออกไปยังมุมห้องที่ก๋งนั่งอยู่...ทุกเช้ามืดก๋งจะนั่งอยู่ตรงนั้น จุดตะเกียงลานน้ำมันก๊าดอันเก่าคร่ำแต่ยังใช้การได้ดีทั้งๆ ที่มันมีอายุมากกว่าฉัน ก๋งจะพิถีพิถันปรับเปลวตะเกียงอยู่จนได้ที่ หากมีควันลอยออกมาจากเปลวไฟก๋งจะไขไส้ตะเกียงที่ทำด้วยผ้าแผ่นหนาขึ้นมา แล้วใช้ตะไกรอันจิ๋วที่เสียบอยู่ในเซี่ยนหมากค่อยๆ ขริบแต่งที่ปลายไส้นั้นแล้วไขลงให้ได้ที่ตามเดิม เท่านั้นเองควันที่มีเมื่อตะกี้ก็จะหายไปเหมือนปลิดทิ้ง
ปรับเปลวไฟได้ที่แล้วก๋งจะหยิบขาตั้งเหล็กครอบลงบนกระเปาะที่ใส่น้ำมันอยู่ส่วนบนของตัวตะเกียงลาน แล้วเอากาน้ำในย่อมๆ ตั้งลงไปบนขาตั้งระหว่างที่รอให้น้ำที่ต้มเดือด ก๋งจะไม่อยู่ว่างๆ หยิบป้านน้ำชาใบเล็กที่จะใช้ชงดื่มเฉพาะตอนเช้าและตอนกลางคืนเท่านั้นออกมาล้าง ป้านใบนี้ก๋งรักมากเป็นของแท้มาจากเมืองจีน รูปทรงป้อมๆ ขนาดผลมังคุดขนาดกลางๆ เนื้อดินละเอียดยิบสีแดงคล้ำเหมือนน้ำหมาก พวยและหูจับเรียวเล็กน่าเอ็นดูมากกว่าน่าใช้สอย ก๋งจะค่อยๆ เทกากชาที่เหลือค้างจากเมื่อคืนลงกระโถนบ้วนน้ำหมากที่อยู่ใกล้ๆ ตัวแล้วเอาน้ำสะอาดที่ตักใส่ขันมาล้าง 2-3 ครั้ง จนสะอาด จากนั้นจึงล้างถ้วยชาที่ทำด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว แต่บัดนี้มันเก่าจนแตกลายงาเป็นสีเหลืองหม่นๆ แล้ว ถ้วยชาใบนี้เป็นใบเล็กๆ ขนาดถ้วยตะไลมีอยู่สามใบวางอยู่ในจานรองเคียงกับป้านน้ำชา ขั้นสุดท้ายก๋งจะล้างจานรองแล้วเอาถ้วยชาทั้งสามใบคว่ำลงในจานให้ขอบถ้วยเกยกับขอบจานเพื่อจะได้แห้งง่ายขึ้น เสร็จเรียนร้อยแล้วก๋งจะเอื้อมมือไปหยิบขวดใส่ใบชามาเปิดจุกออกแล้วเทใบชาใส่ฝ่ามือพอที่จะใช้ชงในคราวหนึ่งๆ แล้วหยิบใส่ป้าน ปิดจุกขวดใบชาแล้วเลื่อนเข้าเก็บที่มุมห้องตามเดิม...ก๋งเป็นระเบียบกับทุกสิ่งทุกเรื่อง
จนกระทั่งน้ำเดือดไอน้ำสีขาวพลุ่งออกมาเป็นสายอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก๋งจึงยกลงแล้วรินน้ำร้อนใส่ลงในป้าน
ตลอดเวลาดวงหน้าของก๋งสงบราบเรียบเหมือนผิวน้ำในบึงที่ไม่มีลมรบกวน
ก๋งจะตั้งกาน้ำร้อนไว้บนตะเกียงตามเดิม แต่หรี่เปลวไฟให้อ่อนลงพอคะเนว่าชาที่ชงไว้ออกสีและรสได้ที่แล้วก๋งจะหงายถ้วยน้ำชาทั้งสามใบขึ้นแล้วรินน้ำชาลงในใบแรกค่อนถ้วย ยกขึ้นแกว่ง 2-3 รอบ แล้วเทน้ำชาลงในใบที่สอง ทำอย่างเดิมอีก จนครบสามใบจึงเทน้ำชาที่ล้างถ้วยนั้นลงในกระโถนจากนั้นก็รินน้ำชาในบ้านลงปริ่มถ้วยทั้งสามใบ ยกขึ้นจิบอย่างช้าๆ....จนหมดทั้งสามถ้วย แล้วก็รินเติมอีก
ก๋งให้ฉันดื่มน้ำชาเหมือนกันแต่ให้ดื่มอย่างอ่อนๆ ก๋งบอกว่าเด็กส่วนมากธาตุยังอ่อน ถ้าดื่มน้ำชาแก่ๆ จะทำให้ท้องผูกได้ และจะนอนไม่หลับถ้าดื่มในยามค่ำคืน
ฉันนอนเอาคางเกยหมอนดูก๋งอยู่ในมุ้งอย่างเพลิดเพลิน นานๆ ครั้งก๋งจะเหลียวมองมาทางมุ้งหนหนึ่ง ฉันนิ่งเงียบอยู่ ก๋งคงคิดว่าฉันยังหลับก๋งมองไม่เห็นฉันแต่ฉันกลับเป็นฝ่ายเห็นก๋งได้อย่างชัดเจน เพราะแสงสว่างจากตะเกียงลานข้างๆ ก๋งนั่นเอง
จิบน้ำชาไปอีกสักพักแล้วก๋งจึงเอื้อมมือไปหยิบตะไกรในเชี่ยนหมาก ก็อันที่ใช้ปรับไส้ตะเกียงเมื่อกี้นี้แหละ เอานิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้รูดเช็ดตะไกรจนสะอาด แล้วขยับให้คล่องมือจึงยกขึ้นขริบหนวดโดยไม่ต้องส่องกระจกเงา...หนวดของก๋งเป็นสีขาวปรกอยู่เหนือริมฝีปากที่บางเม้ม ปลายหนวดทั้งสองข้างยาวเลยลงมาที่มุมปาก แต่ดูไม่รกรุงรัง เพราะก๋งเล็มแต่งทุกเช้า เครายาวของก๋งเป็นสีขาวแต่ไม่ต้องเล็มแต่งทุกวัน เพียงแต่เอามือลูบๆ ให้เข้ารูปเท่านั้นก็พอ นานๆ ครั้งจึงจะเห็นก๋งขริบปลายเคราให้ได้ระเบียบ ก๋งเคยเล้ให้ฟังว่า เมื่อตอนฉันยังเด็กๆ ฉันชอบดึงเคราของก๋งเล่นเมื่อก๋งอุ้ม และบางคืนฉันหลับไปทั้งๆ ที่มือน้อยๆ ยังกำเคราของก๋งแน่น
ฉันนอนอยู่ในมุ้งมองดูก๋งแต่งหนวดแต่งเคราอย่างเพลิดเพลินพลางทอดความคิดออกไปไกล....หนวดเคราของก๋งแลดูไม่น่าเกลียดน่าชังเหมือนกับของบรรดาตัวงิ้วที่ฉันเคยเห็นมา เพราะหนวดของพวกตัวงิ้วนั้นส่วนมากเป็นสีดำกับสีแดงและหยาบกระด้าง ส่วนของก๋งเป็นสีขาวเหลือบเงินเส้นละเอียดทำให้ดวงหน้าของก๋งที่อิ่มเต็มอยู่แล้วเอิบปลั่งและมีสง่ายิ่งขึ้น
เรื่องหนวดนี้ก๋งเคยบอกกับฉันว่า คนจีนถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งคล้ายกับถือเป็นเคล็ด ผู้ที่จะไว้หนวดได้ควรมีอายุมากพอสมควรแล้ว ถ้าเป็นโสดต้องมีอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วควรจะรอให้มีลูกคนแรกเสียก่อนจึงค่อยไว้ ในกรณีหลังนี้ไม่ต้องรอให้อายุถึง 40 ปี เพราะธรรมเนียมจีนถือว่าผู้ชายที่แต่งงานมีลูกมีเต้าแล้วเป็นผู้ใหญ่โดยฐานะทางสังคมและครอบครัว...เชื่อกันว่าคนโสดหากไว้หนวดแต่หนุ่มแล้วจะขัดลาภอับโชค
ฉันเองก็เคยคิดว่าถ้ามีอายุมากๆ แล้ว ฉันจะไว้หนวดและเลี้ยงเคราเหมือนกัน แต่มันจะสวยสง่าเหมือนของก๋งหรือไม่ฉันก็คาดล่วงหน้าไม่ถูก
ช่องกระจกสีเทาจางๆ บนหลังคาสังกะสีเปลี่ยนเป็นสีทองระเรื่อเรืองตามความกล้าของแสงตะวันแล้ว
ฉันลุกขึ้นแล้วมุดออกจากมุ้ง ขณะนั้นก๋งนั่งจิบน้ำชาพลางเจียนหมาก
"ตื่นแล้วหรือ หยก" ก๋งหันมามองเมื่อได้ยินเสียงฉันตื่นออกมาสู่ความสว่างของห้อง
ฉันตอบรับด้วยเสียงเบาๆ อย่างเคยชิน เพราะก๋งจะถามด้วยประโยคนี้ทุกเช้าเมื่อเห็นฉันออกจากมุ้ง
ยืนสะบัดเนื้อสะบัดตัวอยู่ข้างมุ้ง 2-3 ที เพื่อขับไล่ความเมื่อยขบแล้วฉันเดินไปปลดสายมุ้งที่คล้องอยู่กับหัวตะปูที่ฝาห้องจนครบทั้งสี่สาย แล้วพับมุ้งพับผ้าห่มทั้งผืนของก๋งและของฉันวางซ้อนไว้บนหมอน ยกทั้งหมดไปรวมเก็บไว้ที่หิ้งไม้ข้างฝาห้อง แล้วจึงกลับมาม้วนเสื่อนำไปตั้งพิงไว้ที่มุมห้องอีกด้านหนึ่ง เป็นกิจวัตรของฉันทุกเช้าหลังตื่นนอน
ฉันเก็บเครื่องนอนอย่างเรียบร้อยทุกครั้ง เพราะก๋งพร่ำสอนฉันว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณค่าต่อชีวิตของเรา...หมอนเป็นที่รองหัวซึ่งเป็นของสูงสุดในร่างกาย เสื่อเป็นเครื่องรองให้เราพ้นจากความสกปรกของธุลีดิน ผ้าห่มให้ความอบอุ่น และมุ้งกันให้เราพ้นจากการรบกวนของสัตว์ประเภทเลื้อยคลานและแมลง
ความเป็นระเบียบ ความสะอาด และความสุจริต เป็นสิ่งที่ก๋งเข้มงวดมากทั้งกับตัวฉันและตัวก๋งเอง
"คนที่ไม่เป็นระเบียบชีวิตจะยุ่งเหยิง คนที่ไม่รักความสะอาดจะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้ และคนที่ไม่รักความสุจริตชีวิตจะมีมลทิน" ก๋งอธิบายให้ฉันฟัง
อีกประโยคหนึ่งที่ก๋งพูดอยู่เสมอคือ "ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลวเราเลือกทำเลือกเว้นได้...."
เมื่อฉันเก็บเครื่องนอนเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไปหลังบ้านเพื่อแปรงฟัน ล้างหน้า น้ำในโอ่งดินเย็นชื่นใจในยามเช้า ล้างหน้าแล้วตาสว่างหายงัวเงียดีนัก ฉันตักน้ำสาดไปที่กระถางต้นไม้ด้วยความเคยชินทั้งๆ ที่มันอิ่มน้ำค้างมาทั้งคืน
กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งหนึ่งก๋งเปิดประตูหน้าห้องแถวไว้แล้ว กำลังยืนคุยอะไรกับเพื่อนบ้านห้องแถวด้วยกัน ก็คงไม่พ้นเรื่องการทำมาหากินหรือเรื่องกับข้าวกับปลามื้อเช้า เพื่อนบ้านบางคนกลับจากตลาดแล้ว....ชาวบ้านห้องแถวอย่างเราต้องไปจ่ายตลาดที่ตลาดกลางทั้งมื้อเช้ามื้อเย็น ที่นั่นเป็นที่รวมของผัก เนื้อ ปลา และเครื่องปรุงอาหารทุกชนิด ผู้คนจากทุกบ้านเรือนจึงมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อจ่ายตลาด
ฉันเองก็ต้องไปจ่ายตลาด
เมื่อก๋งได้ยินเสียงฉันเดินเข้ามาในห้องก็หันหน้ามามอง
"เงินอยู่ในกระป๋อง หยิบไปหรือยัง...." ก๋งถามหลางชี้นิ้วไปที่เซี่ยนหมาก
ฉันพยักหน้า ก้มน้อมลงเปิดกระป๋องเงินแล้วหยิบขึ้นมาพอที่จะซื้อกับข้าวได้มื้อเช้านี้ แล้วเดินมาที่ก๋งถามเบาๆ ว่า
"ซื้ออะไรบ้างก๋ง"
"อะไรก็ได้ที่อยากกิน เอ้อ ดูพลูสดๆ มาให้ด้วยสักสองเรียง"
ถ้าเป็นหน้าแล้งพลูสดหายาก ก๋งจะใช้ใบพลูแห้งที่เรียกกันว่า "พลูนาบ" แทน แต่ก๋งไม่ค่อยชอบ บอกว่ามันเหนียวและรสจืดชืด หมากก็เช่นเดียวกันที่ตลาดบ้านนอกของเราต้องรอเขาส่งมาจากกรุงเทพฯ ถ้าหมากสดขาดตลาดไปก๋งจะฝากซื้อหมากสดมาทีละมากๆ เพราะเก็บไว้กินได้นานไม่เสีย แต่ถ้าลูกไหนผ่าออกมาหน้าไม่สวย เช่น แก่ไปไม่เหมาะที่จะใช้ตำกินสดๆ ก๋งจะฝานบางๆ ตากแดดไว้เป็นหมากแห้งหรือที่เรียกกันว่า "หมากอีแปะ" ใส่กระป๋องเก็บไว้กินยามจำเป็น
หมากเป็นอาหารรองของก๋ง เมื่อดื่มน้ำชาหมากถ้วยในตอนเช้าหลังตื่นนอนแล้ว ก๋งจะเริ่มกินหมากคำแรกของวันทันทีหลังจากเสร็จอาหารเช้าแล้วสักครู่ ก็จะเริ่มคำต่อๆ ไปจนถึงก่อนนอน ก๋งติดหมากเหมือนคนรุ่งใหม่ติดบุหรี่ ขาดไม่ได้
ฉันเดินไปหยิบเงินในกระป๋องเซี่ยนหมากเพิ่มเติมเพื่อซื้อพลูตามที่ก๋งสั่ง แล้วเร่งตัวเองให้กระฉับกระเฉงเพราะสายนักตลาดจะวาย แล้วมันยังพาให้ฉันไปโรงเรียนสายอีกด้วย
"หยก...." เสียงก๋งเรียกก่อนฉันจะพ้นประตูห้องแถวไป ทำให้ฉันชะงัก เมื่อฉันเหลียวมองไปทางก๋งก็พบรอยยิ้มอ่อนโยนบนดวงหน้าเหี่ยวย่นของก๋ง "อยากกินขนมอะไรก็ซื้อเอานะ...."
ฉันพยักหน้าแล้วออกเดิน
ด้วยความที่รักฉัน ก๋งบอกให้ฉันซื้อขนมกินแทบทุกวัน แต่ฉันก็ไม่เคยซื้อกินเลย.....เรายังยากจนอยู่
เย่ จบสักที ตอนหนึ่งพิมพ์เหนื่อยมากเลย เม้นกันเยอะๆนะ
ความคิดเห็น