-
เราเข้ามาอ่านเรื่องนี้ด้วยความบังเอิญสุดจะบังเอิญเลยค่ะ อ่านเมื่อตอนที่ลงถึง 17 ตอนแล้ว (อ่านเมื่อราวกลางเดือน มิ.ย.) และยังไม่จบ คุณคนเขียนติดภารกิจซะก่อน เราก็อ่านแล้วค้างพอดี 555555555 แต่ก็ดีใจนะคะที่คุณคนเขียนกลับมาแล้ว จะเป็นกำลังใจให้ระหว่างรอจนถึงตอนที่ 40 เลยค่ะ ^_^
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เราชอบมากเลยค่ะ แอบตามเพจคุณคนเขียนด้วย ชบภาพที่ถ่ายมาก และธีมของเรื่องนี้ซึ่งคือการเล่าถึงสถานที่ต่าง ๆ บนเกาะรัตนโกสินทร์ ก็เป็นธีมที่เราชอบมากเลยค่ะ และคิดว่าเป็นธีมที่น่าจะทำให้คนอ่านอินกับเรื่องได้ง่าย เพราะเป็นสถานที่จริง และผู้เขียนก็เคยไปยังที่นั่นด้วยอารมณ์ของการไปท่องเที่ยว ฉะนั้นการบรรยายน่าจะสามารถบรรยายในมุมมองของการท่องเที่ยวได้ สร้างบรรยากาศแปลกใหม่พอสมควรเมื่อเทียบกับนิยายหลาย ๆ เรื่องที่ใช้สถานที่เป็นฉากเฉย ๆ บ้าง เป็นแกนของเรื่องบ้าง หรืออื่น ๆ ซึ่งจุดนี้ล่ะค่ะจุดสำคัญเลยที่เราอ่านต่อไปเรื่อย ๆ /////////// เนื้อหาก็น่าติดตาม มีหนักสลับเบา แถมรู้สึกสนุกเหมือนคอยตั้งคำถามในใจอยู่ตลอดว่า "ต่อไปจะได้ไปเที่ยวไหนอีกนะ" อยู่เรื่อยเลยค่ะ
เอาล่ะ อวยเกริ่นแล้ว อย่าให้เราเกริ่นยาวไปกว่านี้เลยค่ะ เดี๋ยวจะไกล ขอเข้าเรื่องดีกว่า
ต่อไปนี้คือคอมเม้นท์จากความเห็นส่วนตัวของเราล้วน ๆ ไม่อิงอะไรหรืออิงใครทั้งนั้น ไม่รู้จะเป็นประโยชน์มั้ยนะคะ ฮาาาาา จะพยายามเลี่ยงการสปอยล์ค่ะ
จากการที่เราไปตามอ่านเพิ่มเติมในแฟนเพจของคุณคนเขียน ทราบมาว่าชอบท่องเที่ยวเก็บภาพเล่าประสบการณ์ ซึ่งนั่นเองคงทำให้ได้ธีมของเรื่องที่เขียนออกมาแบบนี้แน่ ๆ จุดเด่นของเรื่องนี้เราว่าคือสถานที่ค่ะ เพราะคนเขียนเป็นสายท่องเที่ยวเก็บภาพเก็บข้อมูลอยู่แล้ว ทำให้การบรรยายถึงสถานที่เต็มไปด้วยความมีมิติ ภาพชัดเจน ข้อมูลชัดเจน อารมณ์ของการไปในที่นั้น ๆ ชัดเจน และยังทำให้ฉากในเรื่องไม่ได้เป็นเพียง "ฉาก" แต่กลับมีความสำคัญขึ้นมา จนถึงขั้นอาจทำให้คนอ่านมีความรู้สึกว่า "ต่อไปจะพาไปเที่ยวไหนอีกบ้าง" "ต่อไปจะเล่าถึงสถานที่ไหนอีกบ้าง" กลายเป็นสีสันอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้อยากอ่านต่อ ประกอบกับการเล่าเรื่องที่สละสลวย เห็นภาพ ยิ่งทำให้มีความรู้สึกร่วมกับเรื่องได้มากยิ่งขึ้น ส่วนที่เป็นสาระความรู้คนเขียนก็เล่าได้ไม่สะดุดเลยค่ะ ตรงนี้เราชอบมาก เพราะหลายคนเล่าส่วนสาระแล้วมันมักเหมือนบรรยายวิชาการเกินไป แต่ของเรื่องนี้กำลังดี ไม่ดูยัดเยียดเลยค่ะ ดูเป็นการถามกันจริง ๆ ระหว่างตัวละคร ทั้งคนอ่านก็ได้ความรู้ด้วย ที่ไม่น่าเบื่อคงเพราะระหว่างเล่าสาระก็มีแทรกความคิดเห็นตัวละคร แทรกพฤติกรรม เช่น การไปยืนหลบร้อน (ซึ่งในสถานที่จริงก็หลบร้อนได้จริง ๆ และเราเองก็มักเคยไปยืนหลบร้อนตรงนั้นเหมือนกัน ที่วัดพระแก้ว 55555555) ให้เรื่องยังดูมีคนจริง ๆ อยู่ในนั้น อ่านแล้วเหมือนไปอยู่ในสถานที่จริง
นอกจากการเล่าถึงสถานที่แล้ว คนเขียนยังมีความสามารถการเล่าเรื่องให้หนักแน่นในบริบทนั้น ๆ ด้วยค่ะ สำนวนเล่าดี คำเรียบง่าย แต่เลือกสรรมาดี (โดยเฉพาะฉากผีสำแดงเดชเล่าได้ดีมากจนรู้สึกกลัวและตกใจจริง ๆ) นานๆที่มีวิเศษณ์ขยายวิเศษณ์บ้าง แต่ก็ไม่ซับซ้อนเกินไป บรรยากาศในเรื่องชัดเจน เพราะเสียงเพลงบ้าง การหวนรำลึกถึงความหลัง (บทบรรยายความหลัง) บ้าง แต่อยากให้ยกระดับการอธิบายเรื่องของอดีต (เรื่องของกรองกาญจน์) ขึ้นมาอีกระดับในช่วงต้น ๆ เรื่องจะดีมากเลยค่ะ เพราะตอนที่อ่านค่อนข้างจมมา เบามากจนไม่รู้สึกสลักสำคัญ โดยเฉพาะในตอนที่ 1
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการบรรยาย เรามีจุดที่อยากเสริมนิดนึงค่ะ ดังนี้
1) บางจังหวะดูตั้งใจที่จะบรรยายสถานที่มากเกินไป (เข้าใจว่าเคยไปเห็นที่จริง แล้วอยากเล่า) ทำให้เหมือนดูล้นไปนิดค่ะ อยากให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เล่ามาทีละหน่อยก็ได้ ไม่เป็นไร คนอ่านยังอ่านต่อไปเรื่อย ๆ อยู่นะคะ
2) มีคำซ้ำในย่อหน้าเดียวกันอยู่หลายที่ การบรรยายซ้ำที่ทำให้ประโยคดูยาวไปก็เช่นกัน ลองอ่านทวนอีกรอบน่าจะแก้ไขได้ค่ะ
3) บางช่วงที่ต้องการนำเสนอการโต้ตอบไว จะตัดการบรรยายออกไปบ้างก็ได้ จะทำให้เรื่องไวขึ้น เพราะหากแทรกตลอด ในบางจังหวะก็รู้สึกว่าเรื่องยานเกินจำเป็นไปหน่อยค่ะ ทั้งที่ภาพพฤติกรรมบางอย่างคนอ่านสามารถนึกภาพได้ เพราะพอจะรู้นิสัยจากในบรรทัดก่อน ๆ หน้ามาบ้างแล้ว
4) ในช่วงต้นเรื่อง (ราว 2 ตอนแรก) ตัดฉากบ่อยไปจนแต่ละฉากสั้นเกิน ทำให้เกิดความรู้สึก "ยังไม่ทันจะรู้เรื่องอะไรเลย ไปซะแล้ว" และยิ่งคนที่ไม่เคยอ่านงานของคนเขียนมาก่อนอาจจะไม่ชิบกับสำนวนและวิธีเขียน ยิ่งส่งผลให้การตัดฉากนั้นทำให้สมองคนอ่านตามไม่ทันว่าตกลงใครเป็นใคร ยิ่งช่วงเปิดเรื่องด้วย ในบางจังหวะยิ่งต้อง "ใช้ความพยายามในการจำ" แทนที่จะ "ค่อย ๆ จำกันไปตามธรรมชาติ" ซึ่งดูฝืนน้อยกว่า หรือหากไม่อยากแก้เรื่องตัดฉาก จะใช้วิธีสลับเอาเรื่องส่วนเดียวกันมาเล่ารวดเดียวให้ช่วงนั้นยาวขึ้นก็ได้ค่ะ (อันนี้เสนอเฉย ๆ นะคะ) แล้วค่อยสลับไปอีกฉาก ลองลำดับใหม่ดี ๆ อาจจะดีขึ้นก็ได้ค่ะ อนึ่ง หลังจากที่ผู้อ่านคุ้นชินกับเรื่องราวและจดจำตัวละครได้แล้ว หลังจากนั้นจะตัดฉากตามความเคยชินอย่างไรก็ไม่น่าเป็นปัญหา หรืออีกทางที่เสนอคือเขียนแต่ละท่อนให้ยาวขึ้นอีกหน่อย
ตัวละครสำหรับเรา มีความมีมิติสูงนะคะ การพัฒนาของตัวละครลงตัวมากกับจังหวะการดำเนินเรื่อง มีการแสดงออกที่เป็นธรรมชาติ ไม่ดูเป็น "มนุษย์ตามมาตรฐาน" มีดีมีร้าย มีวิถีการคิดชัดเจน ใจดีมีขอบเขต มีแซวเล่น มีหวาดกลัว มีแปลกประหลาด ทุกอย่างทำให้ตัวละครดูมีมิติขึ้นมา พอ ๆ กับฉากในเรื่องซึ่งส่วนมากคนเขียนเคยไปที่นั่นมาจริง ๆ เรื่องนี้จึงดู "จริง" และเป็นธรรมชาติ กลมกลืน และไม่ดูปั้นแต่ง
ส่วนความสัมพันธ์ของขวัญข้าวและตัวละครที่เคยเกี่ยวพันกับเธอทั้งหมด ล้วนเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป แม้จะเคยเชื่อมโยงกันมาก่อน ทว่าก็มีช่วงที่ขาดจากกันไป จึงต้องมาเริ่มใหม่เกือบหมด กระนั้นก็ยังดำเนินเรื่องได้ดี ไม่ดูเร่งรีบ การพัฒนาความสัมพันธ์ดูเป็นธรรมชาติ พร้อมกับเรื่องที่ดำเนินไปเพื่อคลี่คลายปมต่าง ๆ ได้เหมาะเจาะลงตัวมากเลยค่ะ
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับจังหวะการเปิดตัวตัวละครในบางจุด เรามีข้อคิดเห็นว่า การเปิดตัวตัวละครในเรื่องช่วงต้นดูปุบปับไปหน่อยนะคะ ปกติเวลาคนอ่านอ่านไปเรื่อย ๆ มักจะมีความคิดพื้นฐานคือ "เขาจะเล่าอะไรเกี่ยวกับ *ตัวละครเดิม (ที่พูดถึงไปก่อนนี้)* อีกบ้างนะ" ทีนี้ในตอนที่ 3 ที่จู่ ๆ กล่าวถึงภูวริศขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีใครนึกถึง ไม่มีใครกล่าวถึง เลยพางงขึ้นมา ตอนที่อ่านเรื่องของภูก็มีความรู้สึกว่า เขาเป็นใคร เป็นอดีตของสิบหรือเปล่านะ เดาไปเรื่อย ๆ แบบที่เกี่ยวข้องกับพี่สิบซึ่งเคยกล่าวถึงไปก่อนหน้า และผลท้ายก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับใครเลยซะงั้น 5555555555 จนมาพบในตอนหลังจากนั้นว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าของข้าว (ตัวละครใหม่) ซึ่งกว่าจะถึงตรงนี้ก็ช้าไปและไกลพอสมควร ข้ามตอนกันเลยทีเดียว ส่วนตัวจึงอยากเสนอแนะว่าน่าจะมีการพาดพิงถึงสักหน่อย ลอย ๆ ก็ยังดี อย่างน้อยให้คนคิดไว้ก่อนว่าเขาต้องมีความเกี่ยวข้องกับข้าวแน่นอน เป็นตัวละครใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวแน่ ๆ เช่น อาจให้ข้าวนึกถึงเพื่อนเก่า อาจไปเจอของบางอย่าง ได้ยินใครบางคนพูด แล้วก็นึกถึงขึ้นมา แล้วก็ทิ้งปมไว้อย่างนั้น พอตัดขึ้นฉากเปิดตัวภู คนอ่านจะได้สงสัยต่อว่าเขาเป็นใคร เกี่ยวอะไรกับขวัญข้าวนะ ซึ่งดีกว่าการเปิดตัวขึ้นมาเฉย ๆ แล้วคนอ่านก็งงไปในชั่ววูบหนึ่งว่า "คนนี้ใคร" ด้วยข้อมูลที่ blank มาก
เนื้อหาภาพรวม เรื่องนี้มีการวางจังหวะการหยอดปมได้ดีเลยค่ะ ด้วยการเล่าเรื่องมาเรื่อย ๆ สำหรับสนับสนุนการหยอดปม และเมื่อปมถูกนำเสนอต่อสายตาคนอ่าน ก็จะก่อให้เกิดความสงสัย และอยากอ่านต่อไปเรื่อย ๆ และเมื่ออ่านไป ปมหนึ่งถูกคลาย ก็จะมีปมใหม่เข้ามา โดยระหว่างเรื่องจะมีปมยิบย่อยคอยหยอดไว้ไม่ให้เบื่อระหว่างที่ปมใหญ่ยังไม่เฉลย เป็นการจูงใจอย่างดีให้คนอ่านไม่เบื่อการรอคอยเฉลยปมใหญ่ แต่...ก็มีจุดอยากเสริมนิดนึง คือ บางทีทิ้งช่วงกว้างไปหน่อย (ช่วงระหว่างจุดที่หยอดปมย่อย กับจุดที่เฉลยปมย่อยนั้น) จนชวนให้คิดว่า "หรือจะไม่เฉลยซะแล้ว" เพราะระหว่างทิ้งช่วงไป ไม่มีวี่แววว่าจะเฉลยหรือกล่าวถึงอีกเลย เปลี่ยนประเด็นไปเลย วิธีแก้ไขที่เราอยากเสนอคืออาจใช้วิธีสะกิดให้คนอ่านยังรู้สึกว่า "ปมนี้คนเขียนยังไม่ลืมนะ เดี๋ยวจะเฉลยให้" ด้วยการกล่าวถึงบ้างระหว่างทาง
มาจนถึงตรงนี้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพิมพ์อะไรไปมากมาย แต่อยากบอกจริง ๆ ค่ะ ว่าเราชอบเรื่องนี้นะคะ จะแอบอ่านต่อไปและรอวันให้ได้เป็นเล่มนะคะ หากเรากล่าวอะไรผิดพลาดก็ขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ เราไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เราแค่ชอบเรื่องนี้ อะไรที่ดีแล้วก็อยากจะอวยอยากจะชม อะไรที่ยังดีได้อีก เราก็อยากให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ
มีเรื่องสารภาพอีกเรื่องค่ะ ตอนก่อนมาอ่านเรื่องนี้เรามีปัญหานิดหน่อย ค่อนข้างเฟล แต่พอได้อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเรื่องนี้ made my day มาก ๆ ช่วยเราไว้ได้มากเลยค่ะ อาจด้วยความที่พาไปเที่ยวด้วย พาไปรับรู้เรื่องราวด้วย ไปรู้แง่คิดด้วย วันนั้นเรารู้สึกดีใจมากที่ได้อ่านเรื่องนี้ค่ะ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ จากใจ
จะเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
รอเป็นเล่มอยู่นะคะ