ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Unknown Species .Code : A1

    ลำดับตอนที่ #4 : I joined 'MASH' (ผมเข้าร่วมกับ 'แมซ')

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 53


    ผมยังรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของตนเองระหว่างพูดคุยกับ เปเรส เขาเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับ เอ วัน ว่าแท้จริงแล้ว พวกเรา คือโครงการหนึ่งของรัฐบาล พวกเขาต้องการสร้างทหารที่แข็งแกร่ง ทรงพลัง และมากไปกว่านั้นคือ ไม่มีวันตาย พวกเขาพยายามค้นหามนุษย์ที่แข็งแกร่ง เพื่อมาเป็นอาสาสมัครในการทดลอง (แต่เชื่อเถอะว่ารัฐบาลคงไม่บอกผู้คนเหล่านั้นไปตรงๆ แน่) พวกเขาทำสำเร็จ เขาได้สร้างกลุ่มมนุษย์ที่ทรงพลัง ความสามารถเหนือมนุษย์ หมายถึงมากเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะทำได้ ปัญหาคือมนุษย์เหล่านั้นยังคงมีความคิด ยิ่งพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นพวกเขาก็ยิ่งอยากเป็นใหญ่ มันคือความผิดพลาดของรัฐบาลครั้งใหญ่ มนุษย์กลายพันธุ์เหล่านั้นพยายามตั้งตนเป็นใหญ่ ไม่เชื่อฟังคำสั่งอีกต่อไป

    เกินการควบคุมใดๆ รัฐบาลใช้มาตราการขั้นเด็ดขาด ...กำจัดทิ้งทั้งหมด แต่มันไม่ใช่แค่การใช้ปืนยิงมนุษย์กลายพันธุ์ทีละคน พวกเขาส่งมนุษย์พวกนั้นไปยังหมู่เกาะ ออสโตรนีเชีย ผ่านทางตู้คอนเทนเนอร์ขนาดมหึมา ...แต่อะไรที่ควบคุมพวกเขาได้หละ เปเรสบอกว่า มีมนุษย์กลายพันธุ์คนหนึ่ง หล่อนชื่อ เทรช่า ซึ่งมีพลังดูดกลืนความสามารถของ เอ วัน คนอื่นๆ ด้วยการสัมผัส อย่างไรก็ตามเขาบอกผมว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะสัมผัสเอ วัน จำนวนกว่าสามร้อยคน รัฐบาลจึงใช้ โคลอี้ สาวน้อยที่สามารถกระจายพลังอำนาจของ เอ วัน เพื่อกระจายพลังของเทรช่า ครั้งหนึ่งโคลอี้เคยกระจายอำนาจการรักษา เพื่อช่วยเหลือเอ วัน ที่บาดเจ็บ

    เอ วัน ทั้งหมดถูกดูดพลังชั่วคราว และถูกทำให้หลับ ในการตื่นครั้งต่อมา พวกเขาพบว่าตัวเองอยู่บนเกาะร้าง ไร้ซึ่งมนุษย์ อาหาร และถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เวลาต่อมาพวกเขาเริ่มต่อสู้กันเอง แบ่งเป็นฝ่าย บางฝ่ายเลือกที่จะอยู่อย่างสงบ (พวกเขาคือกลุ่มของ เปเรส) บางฝ่ายพยายามต่อสู้ ดิ้นรนเพื่อออกจากสถานที่แห่งนั้น เปเรสเป็นกลุ่มแรกที่ออกมาจากที่แห่งนั้นได้ ด้วยการช่วยเหลือของ ออสติน เขาสามารถสร้างรูหนอนอวกาศ เพื่อดูดพวกเขาข้ามมายังสหรัฐ ด้วยเวลาไม่ถึงวินาที น่าเสียดาย ออสติน ข้ามมาไม่ได้

    สิ่งสำคัญทั้งหมดของเปเรสก็คือ การตามหาตัวออสติน

    หลายปีต่อมาเขาตั้งศูนย์บัญชาการนี้ขึ้นมา และให้ชื่อมันว่า แมซ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นชื่อโครงการของรัฐบาล เปเรสพยายามกลับไปยังเกาะนั่นหลายรอบ แต่ก็ไม่เจอผู้ใดหรือแม้แต่ร่องรอยการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเลย

    “บางทีเขาอาจจะออกจากเกาะได้แล้วก็ได้นะครับ” ผมแสดงความคิดเห็น “แบบว่า บางทีเขาก็อาจกำลังตามหาพวกคุณอยู่”

    เปเรสทำสีหน้าเป็นกังวล เขาส่ายหัว “ถ้าเขากำลังตามหาผม และเข้าร่วมกับผมมันคงเยี่ยมไปเลยหละ” เขาก้มหน้าลง “ผมได้ยินข่าวว่า ออสตินเข้าร่วมกับกลุ่ม คาลิสโต ซึ่งมันเป็นเรื่องร้ายแรงทีเดียวที่ ออสตินเข้าร่วมกับพวกนั้น ...พวกนั้นจ้องจะทำลายรัฐบาล”

    “แต่นั่นมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมแทรก

    “ไม่” เขาแย้ง สายตาอันเปี่ยมไปด้วยขุมพลังของเขาทำให้ผมเชื่อเขาอย่างน่าแปลกใจ “คาลิสโต จะทำลาย เอ วัน ทุกคนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ...พวกนั้นจะใช้ ออสติน ทำลายพวกเรา”

    “ออสติน คงไม่ทำหรอก” ผมแย้ง “เขาเคยช่วยคุณไว้ เขาคงไม่คิดร้ายกับคุณแน่” ผมพยายามทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ชั่วขณะหนึ่งผมสังเกตเห็นเสื้อผ้าของเขาเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีดำ

    “เสื้อผ้าคุณ...”

    “มันจะเปลี่ยนสีตามอารมณ์ของผมหนะ” เขาเอ่ย “ช่างมันเถอะ”

    “ออสติน ทรงพลังมาก แต่เขามักถูกครอบงำจิตใจได้ง่าย ...มันเป็นจุดอ่อนของเขา”

    ผมเริ่มสงสัยว่าทำไมเขาถึงเป็นกังวลมากขนาดนั้น ผมหันไปมองเอลิช่าที่นั่งอยู่อยู่ห่างๆกับเอ็ดวิน พวกเขาดูกระปรี้กระเปร่ามาก ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้รางวัลบ้านพร้อมรถสปอร์ตอย่างนั้นแหละ ทำไมกัน

    “คุณจะเข้าร่วมกับเรามั้ย” เปเรสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง เสื้อผ้าของเขาตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวตามเดิม คำพูดของเขาทำให้ผมรู้ หนักอึ้ง แต่ก็รู้สึกเป็นเกียรติในขณะเดียวกัน ผมใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่มั่นใจ

    “ความจริงแล้ว ผมก็ไม่มีที่ไปแล้วหละครับ” ผมพูดอย่างประหม่า “ผมเข้าร่วมกับคุณอยู่แล้ว ...แต่ปัญหาคือ ผมต่อสู้ไม่เป็น”

    “โอ้ ไม่มีใครต่อสู้เป็นหรอก” เอลิช่าแทรกขึ้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอมาตั้งแต่เมื่อไร

    “พวกเราใช้ พลังพิเศษเป็นกันต่างหาก” เอ็ดวินพูดก่อนจะขยิบตาให้ผม หมอนั่นดูเท่ห์มาก ผมเดาไม่ออกเลยว่าหมอนี่ จะเป็นคนขี้เล่น

    “งั้น ...ผมเข้าร่วมด้วย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นั่นอาจเป็นเพราะกำลังใจหรือแรงกระตุ้นจาก เอลิช่าที่อยู่กับผมมาหนึ่งวันเต็ม ความไว้วางใจของเอ็ดวิน และความอบอุ่นจาก นักปราชญ์ เปเรส

    “ลงทะเบียน เอ วัน ...เลขที่ เอ หนึ่ง แปด เจ็ด สี่ บี” เปเรสเอ่ยขึ้น มันคือการเข้ารหัสอะไรสักอย่าง หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าของเขาปรากฏหน้าผมขึ้นมา แสดงข้อมูลทางกายภาพของผม ที่สำคัญตรงมุมขวาบนของจอ แสดงวิดีโอของผมที่กล้องจับไว้ มันเป็นตอนที่ผมวิ่งหลบกระสุนเมื่อครู่

    “เอาหละ ...คุณได้เข้าร่วมกับ แมซ อย่างเป็นทางการแล้ว หนุ่มลมกรด” เปเรสพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ทำให้ผมอบอุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมได้ชื่อใหม่จากเขาที่ดีกว่า อาร์เทอร์ ที่ถูกสะกดผิดโดยสำนักงานทะเบียน อย่างไม่น่าให้อภัย อย่างไรก็ตามอย่างน้อยผมก็ไม่ตายเปล่า ถ้าคุณเข้าใจว่าผมหมายความว่าอะไรอะนะ

    “แล้ว... ผมต้องทำอะไรบ้างครับ” ผมตั้งคำถาม

    “เอ็ดวินจะพาคุณไปที่พักของคุณก่อน” เปเรสตอบ “แล้วคุณจะได้พบว่า แมซ เจ๋งแค่ไหน” สิ้นเสียงของเขา ภาพเสมือนจริงของเขาก็ค่อยๆเลือนหายไป เหลือเพียงแต่บัลลังก์ว่างเปล่า

    เอ็ดวินพาผมมายังห้องขนาดสิบห้าคูณยี่สิบฟุต มันถูกจัดอย่างหรูหรา เครื่องอำนวยความสะดวก เฟอร์นิเจอร์ ถูกจัดเช่นเดียวกับกระท่อมด้านบน เตียงขนาดหกคูณเก้าฟุตดูหรูหรา กับผ้าผู้ที่นอนที่ทำจากผ้าซาตินสีครีม และมีตราสัญลักษณ์ของศูนย์บัญชาการ ซึ่งตอนนี้ผมแน่ใจได้แล้วว่าตราสัญลักษณ์นั่น หมายถึง แมซ ผนังรอบๆ ถูกตกแต่งให้มีลักษณะคล้ายกับบ้านทั่วไป มีรูปของวิวที่สวยงามสบายตาภายในกรอบที่ถูกทำให้เหมือนหน้าต่างของบ้าน น่าแปลกที่ห้องนี้ทำให้ผมารู้สึกเหมือนอยู่พื้นโลก ที่สูงขึ้นไปประมาณห้าพันฟุต

    ผมเดินเข้าไปในห้อง

    ทันใดนั้นผมรู้สึกถึงความสดชื่น กลิ่นดอกไม้เคล้ากับกลิ่นของทุ่งหญ้าในรัฐวิสคอนซิน ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ผมสังเกตเห็นตู้เสื้อผ้าที่อยู่ติดกับเตียงนอนเปิดออกอย่างอัตโนมัติ ข้างในตู้เต็มไปด้วยเสื้อผ้า และเครื่องประดับ

    “พระเจ้าช่วย!”ผมอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ“นี่มันเจ๋งที่สุด!

    “นายมีเวลาสัมผัส ของเจ๋งๆ พวกนี้อีกเยอะ” เอ็ดวินบอกผม “รีบเก็บของแล้วตามฉันมา ...ฉันจะโชว์ให้ดูว่าที่นี่มีอะไรเจ๋งๆ”

    ผมโยนกระเป๋าเป้ของผมที่เพิ่งไปขึ้นไปเอามาจากกระท่อม ลงไปที่เตียง ความจริงแล้วผมอยากจะอาบน้ำมาก ถึงเครื่องปรับอากาศในนี้จะทำให้ผมผ่อนคลายก็เถอะ แต่ผมมีเวลาไม่มากแล้ว ผมเดินตามเอ็ดวินออกจากห้องไป ประตูห้องเป็นระบบ สแกนดีเอ็นเอแบบอัตโนมัติ นั่นหมายถึงคุณไม่จำเป็นต้องกำวลเรื่อง แขกไม่ได้รับเชิญ ที่อาจแอบเข้าห้องของคุณ และขอยืมของใช้คุณไปใช้ ...ตลอดกาล

    เอ็ดวินพาผมมายังห้องโถงเดิม แต่ว่าบรรยากาศของมันให้ความรู้สึกถึงตอนกลางคืน พื้นที่ทำจากงาช้างเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แต่ก็ยังสะท้อนแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์จำนวนมากมายที่อยู่บนเสาทั้งหมด บางทีโถงนี้อาจถูกตั้งโปรแกรมอัตโนมัติในเรื่องของเวลา

    เราเดินมายังท้ายของห้องโถง โดยผ่านมายังข้างหลังบัลลังก์ทั้งหมด เอ็ดวินพาผมมาหยุดบนแผ่นโลหะขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับพื้น มันมีรัศมีประมาณ สิบห้าฟุต รอบๆแผ่นโลหะนั่นมีแสงไฟวิ่งเป็นจังหวะ ทันใดนั้น รอบๆตัวผม และเอ็ดวินถูกล้อมด้วยแสงไฟอ่อนๆ มันกระพริบสักพักก่อนจะหยุด และกลายเป็นหน้าจอโปร่งใส บนหน้าจอปรากฏเป็นภาพโฮโลแกรมคล้ายกับปุ่มกด พร้อมกับข้อความ กรุณาเลือกสถานที่ สีน้ำเงินขนาดใหญ่ ปุ่มกดมากมายอยู่ข้างล่างตัวหนังสือนั่น เอ็ดวินหันมามองผม

    “นายเคยเทเลพอร์ทไปไหนหรือเปล่า” เขายิ้ม “เดาว่าไม่เคย”

    “ช...ใช่ ...ไม่เคยหรอก” ผมรู้สึกกระอักกระอ่วน แน่นอนเจ้าเครื่องนี้คือเครื่องเทเลพอร์ท มันไม่ใช่แค่แผ่นโลหะ แต่มันจะทำหน้าที่เป็นสนามพลังงาน ที่สะสมพลังงานมหาศาล ...ผมหมายความว่า ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ...ถ้าให้ผมเดานะ เครื่องนี้จะทำหน้าที่กระจายพลังงานทั้งหมดมาในร่างกายของผม และแยกอวัยวะทุกส่วนเป็นโมเลกุลเล็กๆ และผลักโมเลกุลเล็กๆของผมด้วยความเร็วเท่าแสงไปยังสถานที่ที่ผมอยากไป จากนั้นก็ประกอบโมเลกุลของผมให้เข้าที่เดิม ...ที่ผมกลัวที่สุดคือ โมเลกุลของผมอาจหนีไปเที่ยวเล่นที่ใดที่หนึ่งในที่แห่งนี้ และนั่นมันคงไม่สวยงามแน่สำหรับครั้งแรกของการเทเลพอร์ท

    “ผมเกรงว่ามัน... ไม่ใช่ความคิดที่ดีหรอกนะที่คุณจะเทเลพอร์ทหนะ” ผมพยายามปฏิเสธ “ผมว่าเราเดินกันดีกว่านะ”

    “ที่นี่ไม่มีทางเดิน หนุ่มลมกรด” เขาบอกผม “เดาว่าไม่มีทางให้นายวิ่งด้วย”

    ทันทีที่เขาพูดจบ เขากดปุ่มหนึ่ง ข้อความสว่างจ้าขึ้นมาเขียนว่า ลานฝึก ก่อนที่ผมจะรู้สึกเหมือนเลือดของผมกลายเป็นโซดาที่เพิ่งเปิดขวดใหม่ๆ ท้องไส้เหมือนกำลังถูกดึงด้วยหลุมดำขนาดมหึมา ในหูของผมมีแต่เสี้ยงอื้อึง ซึ่งหากผมได้ยินมันติดต่อกันนานๆ มันจะทำให้สมองของผมระเบิด และกระเด็นออกมานอนยิ้มแน่ๆ ทุกอย่างรอบตัวมืดไปหมด มันเร็วมาก...

    ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากความรู้สึกเมื่อครู่หายไป แต่บางอย่างกำลังทำให้ท้องไส้ผมปั่นป่วน ผมกำลังจะอาเจียน แต่แล้วก็รู้ดีขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ...ที่สำคัญโมเลกุลของผมยังคงอยู่ครบถ้วน ซึ่งผมลองสำรวจตัวเองแล้วด้วยการมองมือซ้าย และขวา อย่างน้อยผมก็รู้สึกโล่งใจ

    “ครั้งแรกของนาย เป็นอย่างไรบ้าง” ผมหันไปถามเอ็ดวินดูเป็นปกติมาก ผมเชื่อว่าเขาคุ้นเคยกับการเทเลพอร์ท

    “เหมือนนั่งรถสปอร์ตออกไปเที่ยวอวกาศ” เขาตอบ “แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ...นายมีเรื่องต้องทำ” เอ็ดวินชี้ไปข้างหน้า มันเป็นลานขนาดใหญ่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สีเขียวหลายชนิดต่างๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกสดชื่น สายลมอ่อนๆ หอบหนึ่งกระทบใบหน้าของผม ที่นี่ ...พื้นโลกเหรอ ผมถามกับตัวเอง ผมอยากชื่นชมกับวิศกรหรือใครก็ตามแต่ที่สร้างที่นี่ขึ้นมา มันวิเศษที่สุด! ผมมองไปรอบๆลานนั่น เอ วัน จำนวนนับร้อยคนกำลังทำกิจกรรมต่างๆ ฝึกฝน นั่งคุย ออกกำลังกายหรือแม่กระทั่งประลองฝีมือกัน ทางด้านซ้ายมีสิ่งปลูกสร้างคล้ายกับบ้านทรงยุโรป มีควันลอยออกมาจากปล่องควัน บ้านหลังนั้นอยู่ห่างจากผมไม่ถึงห้าสิบฟุต ตรงประตูบ้านเขียนว่า คุณจะหลงใหลกับจิตอันเงียบสงบ ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยว่าหญิงสาวที่เดินออกจากประตูนั่นมาคือ เอลิช่า เธออาจชอบที่จะอยู่กับการตั้งสมาธิก็ได้ หล่อนเดินตรงมาทางผมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร มันทำให้ผมไม่หลังเลที่จะยิ้มตอบ

    “เอาหล่ะ ...นายจะได้ฝึกฝนที่นี่” เอลิช่าบอกกับผม “นายควรจะเป็น เอ วัน ที่ใช้พลังไปในทางที่ถูก” หล่อนเริ่มอธิบายกับสิ่งต่างๆที่ผมจะต้องทำ

    หล่อนชี้ที่ใต้ต้นไม้ขนาดขนาดใหญ่ซึ่งยอดของมันสูงจึงถึงเพดานของลานฝึกที่ตกแต่งให้คล้ายกับท้องฟ้าด้วยระบบดิจิตอลกราฟฟิก เพดานนี้อาจสูงจากพื้นประมาณสองร้อยฟุต ใต้ต้นไม้นั่นมี เอ วัน หลายคนนั่งอยู่ บ้างก็นั่งสมาธิ บ้างก็นั่งเฉยๆ ราวกับว่าเป็นรูปปั้นขนาดเท่าคนจริง

    “นั่นเป็นที่แรกที่นายต้องฝึก” หล่อนยิ้มกับผมก่อนจะพูด “นายต้องมีประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์”

    ผมเริ่มชอบที่นี่แล้ว มันเวลากว่าสี่เดือนในการฝึกฝน ด้านประสาทสัมผัส มันยอดเยี่ยมมาก เอ็ดวินเป็นคนสอนผมด้วยตัวของเขาเอง เขามักจะฝึกให้ผมตั้งสมาธิก่อนจะเพ่งจิตไปที่ทุกๆสิ่งที่เคลื่อนไหว ก่อนจะแยกว่าสิ่งไหนคือศัตรู เราเริ่มฝึกกันด้วยการร่อนจานร่อนมาที่ผม และให้ผมหยิบมันด้วยมือเปล่า แรกๆ ผมทำได้ห่วยเลยทีเดียว ใช้เวลาไม่นานผมก็เริ่มมีสมาธิ เอ็ดวินให้ผมลองฝึกกับสิ่งที่ยากขึ้นอีกเช่น การหลบหลีกลูกแอบเปิ้ล การวิ่งหลบหลีกหอกที่ถูกซัดมาที่ผม ซึ่งมันเกือบจะฆ่าผม แต่ในขณะเดียวกันมันเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผมในด้านประสาทสัมผัส เอ็ดวินเปลี่ยนจากของเล่นเด็กๆเป็นสิ่งที่น่าเกรงขามขึ้นมาอีก

    นั่นคือการหลบกระสุนปืน

    เอ็ดวินพยายามทำให้ทุกอย่างปลอดภัยด้วยการใช้ลูกกระสุนยางในช่วงแรกๆ ซึ่งมันเป็นความคิดที่ฉลาดกว่าการใช้ลูกกระสุนจริง ผมจำได้ว่าผมหลบกระสุนไม่ทันประมาณห้าครั้ง ลูกกระสุนยางทำให้ผมเจ็บเหมือนกับถูกปากรวดใส่ ไม่นานเอ็ดวินตัดสินใจใช้กระสุนปืนจริง วินาทีแรกที่ผมรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกตื่นตระหนก ประหม่า และหวาดกลัว จนบางครั้งผมเผลอวิ่งออกมาด้วยความเร็วเหนือเสียง ผมวิ่งชนกับ เอ วัน คนอื่นๆ กระเด็นไปคนละทิศคนละทาง อะดรีนาลีนในร่างกายของผม สั่งให้ผมวิ่งหลบกระสุนทุกเม็ดอย่างไม่พลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมผ่านการฝึกฝนนั้นมา โชคดีที่ผมไม่ได้ลงเอยในโรงพยาบาลหรือโลงศพ

    การฝึกต่อมาของผมมันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกเหมือนกับเป็นทหารคนหนึ่ง ผมถูกฝึกในด้านความแข็งแรงของร่างกายโดย เอ วัน ร่างใหญ่ รายกายเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขาชื่อ คามิริโอ เขามีพลังในด้านการเปลี่ยงพลังงานจลน์ให้อยู่ในรูปพลังงานต่างๆได้ ง่ายๆคือ เขาสามารถหยุดทุกการเคลื่อนไหวของทุกสรรพสิ่ง และเปลี่ยนมันให้เป็นพลังงานต่างๆ เช่น พลังงานความร้อน พลังงานไฟฟ้าหรือแม้แต่พลังงานนิวเคลียร์

    คามิริโอ มีนิสัยน่ารักกว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขา เขามีผิวสีน้ำผึ้งแบบชาวละตินอเมริกันทั่วไป เขามักจะชอบเต้นด้วยท่าเต้นจังหวะ แทงโก ในทุกๆครั้งที่ผมออกกำลังกายตรงตามที่เขาต้องการ

    สิ่งสำคัญในการฝึกฝนกับคามิริโอ คือคุณอาจลืมไปเลยว่ามันเป็นการฝึกที่หนักหนาสาหัส เขามักจะหาเรื่องมา เอนเตอร์เทน คุณได้ตลอดเวลา ขอบคุณคามิริโอ ผมรู้สึกถึงความแข็งแรงจากแต่ก่อนผมมักใช้เวลากับการอยู่ในห้องปฏิบัติการนานๆ นั่งอยู่กับสิ่งน่าเบื่อๆ ทุกวัน ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็รักการเป็นนักวิทยาศาสตร์เช่นกัน

    หลายเดือนหลังจากการฝึกฝนทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ ผมจำเป็นต้องเข้าฝึกในด้านอาวุธ ซึ่งนี่เป็นสิ่งทีผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเจ๋งที่สุด เอ็ดวินกับเอลิช่าเข้าร่วมฝึกกับผมด้วย เนื่องจากพวกเขาทั้งคู่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว มันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะคล่องแคล่ว และใช้อาวุธได้เหมือนจับวาง

    ผมเริ่มฝึกไปทีละขั้นตอน เริ่มจากการจับปืน เล็ง การหามุมยิง อ่านทิศทางลม ยิงด้วยมุมต่างๆ การเปลี่ยนกระสุนหรือแม้กระทั่งการแยกชิ้นส่วนปืน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ในเวลาไม่นาน ...ความจริงแล้วผมทำได้เลยหลังจากมองเอลิช่า และเอ็ดวินสาธิตให้ดูเพียงครั้งเดียว

    มันดูเป็นเรื่องง่ายในการจับปืน แต่สำหรับผม มันไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมอาวุธที่สามารถฆ่าใครต่อใครกได้ด้วยมือของผม ตามอง สมองสั่ง นิ้วลั่นไก เอลิช่าพูดอยู่บ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้ผมมีสมาธิ มันไม่ยากหรอกที่คุณจะเพ่งสมาธิไปที่เป้านิ่งที่อยู่ห่างจากคุณออกไปประมาณยี่สิบฟุต บางทีประสาทสัมผัสของผมอาจดีเกินไปหรืออาจเป็นเพราะผมสามารถวิ่งได้เร็วเหนือเสียง ผมเห็นกระสุนที่วิ่งออกจากลำกล้องของปืนอย่างช้าๆ ราวกับว่าผมกำลังดูภาพยนตร์ที่ถูกทำให้ช้าลงกว่าเดิมประมาณสักสิบเท่า มันใช้เวลาประมาณสองถึงสามวินาทีก่อนจะวิ่งไปถึงเป้า

    บราโว! ผมยิงเข้าเป้า มันเหมือนกับว่ากระสุนเคลื่อนตามที่ผมคิด ราวกับว่าผมสั่งให้กระสุนปืนวิ่งได้ตามใจชอบ

    หลังจากการฝึกการใช้ปืนสั้นกว่าสองเดือน เอลิช่า แนะนำให้ผมลองใช้อาวุธชนิดอื่น ทุกๆครั้งที่ผมจับอาวุธผมมักจะรู้สึกมีสมาธิมากขึ้น ผมรู้สึกผิดกับเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้มาก มันแตกต่างโดยสิ้นเชิง บางทีตอนนี้ผมอาจพร้อมแล้วก็ได้ ปัญหาคือ ผมพร้อมในการทำสิ่งใดงั้นหรือ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×