ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Unknown Species .Code : A1

    ลำดับตอนที่ #2 : Knew the truth (ทราบความจริง)

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 53


                เอลิช่าพาผมเข้ามายังกองบัญชาการ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างในนั้นมันช่างหรูหราเกินกว่าจะเป็นที่ที่ทหารอยู่เลยด้วยซ้ำ กรอบรูปน่าขนลุกมากมายติดอยู่ที่ผนังที่ติดด้วยวอลเปเปอร์ลายยุโรปสีครีม ใกล้ๆกรอบรูปเหล่านั้นมีหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบจอโปร่งใส ซึ่งดูๆ ไปแล้วมันขัดกับบรรยากาศที่แสนคลาสสิก ของกองบัญชาการ ผมมองเงยมองโคมไฟที่ทำเป็นรูปนางฟ้าตัวน้อยกำลังถือโคมไฟไว้แน่น อย่างไรก็ตามโคมไฟเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นสักเท่าไรเลย

    “นายชื่ออะไรเหรอ” เอลิช่าถามชื่อผมหลังจากเราเดินเข้ามาในโถงยาวหลายนาทีแล้ว

    “เอ่อ... เจมส์ อาร์เทอร์” ผมตอบหล่อนด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง

    “นายยังไม่เลิกคิดว่าจะถูกฉันฆ่าหรือไง” เหมือนเอลิช่าอ่านความคิดผมออก ผมพยักหน้า และก้มมองกับพื้นผมรู้ว่าคำตอบของเธอคืออะไร

    “ให้ตายสิ! นายนี่มันโง่ธรรมชาติจริงๆ” ถึงมันจะเป็นคำสบถแต่ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นคำสีสวยงามที่สุด ผมเงยหน้าพยายามทำหน้าปกติ แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

    “ความจริงแล้วฉันรู้ชื่อของนายแล้วก่อนฉันพบนาย” เธอเอ่ยด้วยเสียงที่เย็นชาอีกครั้ง “ฉันแค่ต้องการแน่ใจว่านายไม่ใช่ เจมส์ อาร์เทอร์ตัวปลอม”

    “ถ้าผมไม่ใช่ล่ะ...”

    “สิ่งที่นายคิดไว้เมื่อครู่ก็จะเป็นจริง” หล่อนควรจะแสดงหนังเขย่าขวัญในตำนาน ผมเชื่อว่าหล่อนต้องได้รางวัลมากมายจากภาพยนตร์เหล่านั้นแน่ๆ อาจเป็นเพราะผมสีแดงฉานของหล่อนที่ยืดตรงสวย ที่ทำให้ผมผวามากขึ้นก็ได้

    เธอพาผมมาหยุดหน้าลิฟต์ที่มีตราสัญลักษณ์ที่น่าขนลุกที่ติดไว้หน้ากองบัญชาการติดอยู่ด้วย

    “ห้องท่านนายพล โฮเซ่น เจ. ทาวเวิร์ด” เอลิช่าเอ่ยชื่อใครบางคนขึ้นมา ซึ่งนั่นอาจเป็นรหัสบางอย่างที่ใช้เปิดลิฟต์ มันเป็นลิฟต์ที่เหมือนทำไว้เพื่อขนส่งเทพเจ้าลงมายังโลกมนุษย์ ผมแทบจะถอดรองเท้าที่เปื้อนโคลนจากการเดินทางเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เพราะว่าความหรูหราของมัน ลิฟต์ปิดลงอย่างช้าๆ ผมไม่รู้สึกว่าลิฟต์ขยับเลย ราวกับว่ามันยังคงหยุดอยู่ที่เดิม ผมกวาดสายตามองหาปุ่มกดไปยังชั้นต่างๆ เผื่อว่าผมอาจต้องกดมัน

    ติ๊ง! เสียงจากลิฟต์ดังแสดงว่าตอนนี้ถึงที่หมายของเราแล้ว ผมรู้สึกสงสัยกับลิฟต์ตัวนี้ บางทีมันอาจขับเคลื่อนโดยวิญญาณก็ได้  น่าแปลกใจที่ผมกับเอลิช่าเดินก้าวออกมาจากลิฟต์โดยไม่รู้ตัว ผมไม่ทันสังเกตพื้นของห้องที่เรายืนอยู่ มันวาววับดังพระราชวังแวซายล์ เสียงเราทั้งคู่ลงเท้าดังก้องไปทั่วห้อง หากว่าผมไม่เคยไปราชวังแวซายล์มาเมื่อหล่ายปีก่อน ผมคงเชื่อว่ามันตั้งอยู่ในรัฐเทกซัสไปแล้ว พระเจ้าช่วย! มันช่างสวยงามอย่างไร้ที่ติ สิ่งที่แปลกคือเสาทรงโรมันที่อาจทำมาจากงาช้างสักร้อยตัวตั้งเรียงอยู่ ซึ่งผมไม่เห็นเสาแบบนี้ในสถานที่จริง และทางเดินที่อาจประดับด้วยพลอยหรือเพชรจำนวนล้านๆเม็ด ทำให้ผมรู้สึกประหม่าในทุกๆ ก้าวของผม เอลิช่าหยุดอยู่ตรงกลางพื้นหินอ่อนที่ถูกทำให้เป็นรูปร่างสัญลักษณ์หน้าศูนย์บัญชาการ

    “ท่านคะ” เอลิช่าเอ่ย “ดิฉันพบผู้รอดชีวิตจากซาน แอนโตนิโอ เป็นผู้ชายค่ะ”

    “เลิกเรียกผมว่า ท่าน สักทีเถอะ เอลิช่า มันฟังดูเหมือนผมเป็นดาราในหนังสือการ์ตูนอย่างไรก็ไม่รู้” ผมใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกวาดหาเจ้าของเสียง สิ่งแรกที่ผมมองคือ บัลลังก์ที่ตั้งสง่าไว้ ผมแน่ใจว่ามันต้องถูกสร้างมาจากทองอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามผมไม่พบเจ้าของเสียงนั่น ทันใดนั้นผมก็พบเขายืนอยู่ตรงหลังเสาโรมันต้นหนึ่ง เขาอาจชื่อ โฮเซ่น ที่เอลิช่าพูดถึง แต่ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาทำให้แทบไม่เชื่อว่าเขาเป็นนายพล เขาดูเหมือนเด็กอายุประมาณสิบห้าหรือสิบหก ในชุดทักซิโดในงานพรอม

    “สวัสดี ...ผู้รอดชีวิต”เสียงน่าขนลุกจากหมอนั่นทำให้ผมแทบหยุดหายใจ หมอนั่นเดินมาทางผมด้วยท่าทางแปลกๆ สายตาของเขาไม่มั่นคง เหมือนว่าเขากำลังระแวงอะไรบางอย่าง ผมพยายามข่มใจเชื่อว่า เขาจะไม่ฆ่าผม

    “คุณทำได้ดีเอลิช่า” หมอนั่นหันไปมองเอลิช่าแว่บหนึ่งก่อนจะทำสายตาแบบเก่าอีกครั้ง ผมเพิ่งสังเกตว่าหมอนี่มีดวงตาสีดำน่าขนลุก ซึ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่กับผมดำเป็นเงา สะท้อนสีทองของบัลลังก์ข้างหลังเขา เขาดูน่าเกรงขามขึ้นมาในทันที

    “ทำได้ดีเหรอ” ผมกังขา

    “ผมคาดไว้ไม่มีผิด มันมีโอกาสประมาณสามเปอร์เซ็นต์ ที่จะพบคนรอดชีวิตจากเมืองนั้น” หมอนั่นเริ่มพูดอะไรแปลกๆ ด้วยน้ำเสียงใหญ่ทุ้มแบบผู้ใหญ่ ปัญหาคือเขาอาจเป็นโรคอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาตัวเล็ก เตี้ย และมีท่าทางแปลกๆ อย่างนั้น

    “มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น?! ผมนึกได้ว่าผมลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อเช้าไปแล้ว แต่ต้องขอบคุณหมอนั่นที่เตือนสติให้ผมต้องถาม

    “มันเป็นเพียงแค่ การกำจัดเชื้อ” เขาพูดเบาๆ “นายติดเชื้อ”

    “ติดเชื้อเหรอ” ผมเริ่มกังวลกับสิ่งที่เขาพูด “ไม่เอาน่า ...ถ้าพูดถึงเรื่องเชื้อโรคที่สหรัฐจะผ่านคนในเมืองแล้วให้แพร่กระจายล่ะก็ ...ฉันยืนยัน ฉันไม่ใช่หนึ่งในนั้น”

    “นายรู้ด้วยเหรอว่า...” เอลิช่าแปลกใจ

    “ผมลืมบอกคุณไปว่าผมเคยทำงานให้สถาบันวิจัยที่ เอ็มไอที” ผมไม่มั่นใจว่าการโชว์ความเจ๋งของตัวเองเมื่อวันวานจะทำให้หล่อนฆ่าผมหรือเปล่า

    หล่อนหรี่ตา “แต่ท่าน ...เอ่อ ...คุณโฮเซ่น ก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นเลยนะ”

    “คุณทำอย่างกับมันเป็นเรื่องลับสุดยอดอย่างนั้นแหละ” ผมแย้ง

    “ใช่” โฮเซ่นแทรกขึ้น “มันคือเรื่องที่รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้ชาว ซาน แอนโตนีโอ รู้ไม่ได้”

    “ผ...ผมไม่เข้าใจ” ถึงอย่างนั้นก็ตามผมเริ่มเดาถูกว่าเกิดอะไรขึ้น

    “มีใครบางคนบอกความลับของรัฐบาลในเมืองนั้น”

    “ผมแน่ใจว่ามันไม่ใช่ผม”

    “แต่ว่าพวกเขาไม่คิดเช่นนั้น” โฮเซ่นเอ่ย “พวกเขาไม่อยากเสี่ยงที่จะเก็บนายไว้”

    “เอาล่ะ” เอลิช่าแทรกขึ้น “ที่ฉันพานายมาที่นี่เพื่อต้องการให้นายรู้บางอย่างที่นายควรรู้” หล่อนทำสีหน้าจริงจังอีกครั้ง

    “มันคืออะไรกัน” ผมถาม

    “คุณ โฮเซ่นจะอธิบาย” หล่อนมองหน้าหน้าโฮเซ่นด้วยสีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อย

    “ไม่ต้องห่วง เอลิช่า” เขาสัญญา และหันมาทางผม ผมรู้สึกรำคาญกับสายตาแปลกๆ ของเขา แต่มันทำให้ผมอยากหัวเราะออกมาบางครั้ง มันคล้ายกับลูกลิงอุรังอุตังหลงแม่ตัวเอง ผมเบือนหน้าหนีเพื่อที่จะกลั้นหัวเราะ และยิ้มออกมาอย่างทรมาน

    “ความจริงแล้วผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ...นายควรจะตายไปจากการกำจัดเชื้อเมื่อเช้า แต่ว่าเราก็พบว่ายังมีผู้รอดชีวิตซึ่งที่ผมคำนวณไว้มันควรจะเป็นยี่สิบห้าคน แต่เราเจอคุณคนเดียว บางทีพวกที่เหลืออาจถูกซากเมืองทับอยู่” ผมไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร มันฟังดูเหมือนผมเป็นพวกสัตว์ทดลอง หรือเอเลี่ยนหรือกลุ่มคนที่ถูกทดลอง... ถูกทดลองเหรอ? พระเจ้าช่วย! ผมพยายามกลั่นคำถามต่อไปขณะที่เขากำลังเดินไปรอบๆ ตัวผมอย่างน่ารำคาญ

    “ผมถูกทดลองเหร

    “นั่นผมรับประกันไม่ได้” เขาตอบ “ฉันกำลังพูดถึง ...บางทีคุณอาจจะเป็นแบบพวกเรา”

    “แบบพวกคุณเหรอ” ผมพยายามตีความ ผมจำได้ว่าผมไม่เคยเป็นทหารมาก่อน และแน่นอนผมเช็คเรียบร้อยแล้ว ผมไม่มีเชื้อราชวงศ์แน่นอน

    “พวกเราคือ เอ วัน” โฮเซ่นพูด เป็นครั้งแรกที่เขาจ้องมองผมโดยที่ตาคู่นั้นไม่ได้กลอกไปมาให้ดูน่ารำคาญ แต่อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกไม่อยากเป็นแบบพวกเขาเท่าไร นั่นเพราะ... ผมมีอารมณ์ขันเกินกว่าจะทำท่าทางขนลุกแบบพวกเขา หากผมเดาคำว่า การเป็น เอ วัน อะไรนั่นถูก แต่เพื่อความมันใจผมต้องถามว่ามันคืออะไร

    “เอ วัน? มันคือคำย่อใช่มั้ย” ผมพยายามพูดให้ดูฉลาดแต่ก็ได้แค่นั้น

    “ง่ายๆ...” โฮเซ่นพยายามจะพูดบางอย่างออกมา ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกอย่างรู้อยากเห็นจนระบมว่ามันคืออะไร แต่แล้วเอลิช่าก็ขัดขึ้น

    “เราต้องรีบพาเขาไปศูนย์ที่เวสต์ เวอร์จิเนียนะคะ”

    “เดี๋ยวสิ!” ผมไม่ปล่อยให้มันค้างคาใจแน่ๆ

    “เอาเป็นว่าระหว่างทาง นายจะรู้ทั้งหมด” เอลิช่าบอก

    ผมคงต้องไปกับเธอเพราะว่าผมรู้สึกรำคาญกับเจ้าอัจฉริยะสติแตกโฮเซ่นนี่ บางทีหล่อนอาจจะมีวิธีอธิบายที่ฉลาดกว่าหมอนี่ก็ได้ ผมหมายถึง ผมสามารถตีความได้ง่ายกว่าสิ่งที่โฮเซ่นพูด หมอนั่นทำให้ผมรู้สึกโง่มาก ทั้งๆที่ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์...

                เราอยู่บนเฮลิคอปเตอร์คันเดียวกับที่จะฆ่าผมเมื่อเช้านี้หลายชั่วโมงแล้ว ผมยังรู้สึกผวาอยู่ในทุกๆวินาทีที่ผมอยู่บนเจ้านี่  ผมแอบเหลือบไปเห็นปืนกลนั่น หากมันพูดได้มันคงจะมองผมอย่างไม่เป็นมิตรนัก หรือบางทีมันอาจจะพูดว่า เมื่อเช้าแกแค่โชคดีเท่านั้นแหละ อย่างไรก็ตามผมภาวนาให้ถึงศูนย์บัญชาการที่เวสต์ เวอร์จิเนียเร็วๆเท่านั้นเอง ผมเพิ่งจำได้ว่า เอลิช่า ต้องเล่าเรื่องที่โฮเซ่นกำลังจะบอกผมเมื่อตอนเราอยู่ที่เทกซัส ตอนนี้ผมสังเกตเห็นพื้นโลกข้างล่างนั่น โชคดีที่เมืองทั้งหมดไม่ได้ถูกแสงนั่นทำลายเหมือนกับซาน แอนโตนีโอ

    “เราอยู่เหนือ มลรัฐฟลอริดาแล้ว” เอลิช่าบอกผม

    “ฟลอริดาเหรอ” ผมโพล่ง “นั่นมันไม่ใช่ทางไป เอ่อ... เวสต์ เวอร์จิเนียนะ” หล่อนกำลังทำให้ผมสับสน เนื่องจากรัฐฟลอริดา อยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐ ซึ่งเป็นไปไมได้ที่มันจะเป็นทางผ่านไปสู่รัฐ เวสต์ เวอร์จิเนีย ซึ่งถ้ามันเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็กำลังคิดจะอ้อมประเทศด้วยระยะทางกว่าห้าร้อยเก้าสิบไมล์เลยทีเดียว

    “นั่นแหละทางไปเวสต์ เวอร์จิเนีย” นักบินคนหนึ่งหันมาบอกผม เขาอาจเป็นคนเมื่อเช้าที่พยายามคิดจะฆ่าผมก็ได้

    “ผมคิดว่าเราต้องผ่านเอ่อ ...หลุยส์เซียนา มิสซิสซิปปี เข้าสู่เทนเนสซี และผ่านเคนทักกี...”

    “เป็นวิธีที่โง่เง่าสำหรับการบินในระยะทางกว่าพันไมล์” นักบินคนเดิมขัดผม แต่สิ่งที่เขาพูดทำให้ผมสับสนเข้าไปใหญ่ เขาอาจไม่ได้เรียนภูมิศาสตร์ของสหรัฐ อเมริกาแน่ๆ มันเป็นระยะทางกว่าสองพันไมล์หากบินจากซาน แอนโตนีโอ อ้อมมายังฟลอริดา และไปยังเวสต์ เวอร์จิเนีย แต่อะไรก็ตาม...

    “ผมคิดว่านักบินเรียนภูมิศาสตร์ซะอีก” ผมหันไปกระซิบกับเอลิช่า “นี่หมอนั่นล้อเล่นหรือเปล่าที่บินมาที่นี่...” ผมเริ่มสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของเอลิช่า มันจะเป็นการดีกว่าถ้าผมเงียบ

    “เขาลืมบอกนายไปว่า เรากำลังหนีวิถีดาวเทียมของรัฐบาล” หล่อนเอ่ย “นายคงไม่อยากถูกสอยร่วงกลางอากาศ สูงจากพื้นโลกประมาณ ห้าร้อยฟุตหรอกนะ” ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไม

    “แล้วเรื่องที่โฮเซ่น จะบอกผมหละ” ผมถามหล่อน

    “เขากำลังจะบอกนายว่า นายคือพวกติดเชื้อ” หล่อนบอก “นายคงจะเข้าใจนะ”

    ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เพียงแค่คำว่า พวกติดเชื้อ ไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น ในสถาบันวิจัยที่ผมทำเมื่อหลายปีก่อน ผมเจอคำนี้เป็นล้านรอบ และผมไม่อยากจะมานั่งทำรายการ และหาคำตอบตามหลักวิทยาศาสตร์ตอนนี้แน่

    “ผมไม่เข้าใจ”

    “ระเบิดแสงเมื่อเช้านี้ติดหัวรบที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค” หล่อนอธิบาย “มันทำลายทุกอย่างแม้แต่เหล็กกล้า ...ซึ่งนายอาจจะมีอะไรในร่างกายที่ต่อต้านมัน และแสงนั่นเปลี่ยนลักษณะโครงสร้างทางพันธุกรรมของนายโดยสิ้นเชิง ...นายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ...เหมือนกับเรา” น่าแปลกใจที่ผมรู้สึกสบายใจ นั่นอาจเพราะคำว่า มนุษย์กลายพันธุ์ มีคำว่า มนุษย์ อยู่ด้วย ...ซึ่งแน่นอน ผมยังเป็น ...มนุษย์ แต่ว่าผมก็ยังรู้สึกเศร้า เพราะในทางกฏหมายแล้ว ผมเป็นคนตายไปแล้ว ผมนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์ มีอพาร์ตเมนต์ของผมเพียงตึกเดียวที่ไม่ถูกทำลาย

    “แล้วทำไมอพาร์ตเมนต์ที่ผมอยู่ถึงไม่ถูกทำลายล่ะ” ผมเอ่ยถามหล่อน

    “รัฐบาลเป็นคนจัดการกับอพาร์ตเมนต์ของนาย ...มันเป็นที่ส่งสัญญาณจุดชนวนระเบิดแสงนั่น”

    ผมโล่งใจที่มันไม่ใช่เพราะรอยโสโครกที่เกาะอยู่รอบๆอพาร์ตเมนต์ ที่ทำให้อพาร์ตเมนต์ไม่ถูกทำลาย และผมก็รู้สึกโชคดีที่อยู่ที่อพาร์ตเมนต์นั้นด้วย ผมลองจินตนาการเล่นๆว่าตัวผมกำลังยืนอยู่บนชั้นห้าของอพาร์ตเมนต์โสโครกที่อื่นในซาน แอนโตนีโอ หลังจากนั้นแสงทำลายล้างสว่างจ้าขึ้น ไม่กี่วินาทีต่อมา ผมกับพบว่าตัวเองกำลังตกลงมาสู่พื้นดิน ด้วยความเร็ว เอ่อ... ห้าสิบเมตรต่อวินาที ถึงอย่างนั้นก็เถอะผมก็อยากรู้จนระบมว่าอะไรที่ทำให้ผมไม่ตาย

    “คุณเรียกพวกคุณ ...เอ่อ พวกเรา ว่า เอ วัน เหรอ” ผมถาม

    “มันเป็นชื่อ ที่รัฐบาลตั้งให้ ย่อมาจาก ออสโตรนีเชียน เดอะ เฟิร์ส (ชาวออสโตรนีเชีย รุ่นแรก)ถึงเราจะไม่ค่อยชอบกับชื่อนี้ก็ตาม แต่คุณโอเซ่นบอกว่ามันเป็นชื่อที่งดงาม”

    ถ้าผมจำไม่ผิด แอสโตรนีเชีย คือชื่อหมู่เกาะทางมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งผมคิดไม่ออกเลยว่ามันเกี่ยวอะไรกับมนุษย์กลายพันธุ์ และผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นชื่อที่สวยงามสักเท่าไร ความจริงแล้วผมไม่อยากเป็นชาวแอสโตรเนียสักเท่าไรหรอก ผมได้ยินมาว่ามันเป็นเกาะที่ห่างไกลจากผู้คนมาก ไม่มีบาร์ ไม่มีทีวี ไม่มีคอนเสิร์ต และที่แย่ไปกว่านั้น ไม่มีทวิงค์กี้ วาฟเฟิลสอดไส้คาราเมล เคลือบด้วยครีม พระเจ้า! ผมจินตนาการไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าผมขาดมัน

    หลายชั่วโมงต่อมา เราเข้าเขตมลรัฐเวสต์ เวอร์จิเนีย แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลง เปลี่ยนเป็นสีส้ม ผมสังเกตเห็นความสดชื่น และความอุดมสมบูรณ์ของชานเมืองของเวสต์ เวอร์จิเนียในตอนเย็น เราอยู่เหนือสันเขา โคล ริเวอร์ ความจริงแล้ว ชานเมืองของเวสต์ เวอร์จิเนียไม่ได้ ต่างอะไรกับตัวเมืองเลยด้วยซ้ำ เพราะรัฐนี้เป็นรัฐเกษตรกรรม จึงไม่ค่อยมีความศิวิไลซ์เหมือนกับ นิวยอร์ค ความจริงแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง

    “เราจะถึง ศูนย์ ริชวูด ในอีกห้านาที” นักบินหันมาบอกกับ เอลิช่า หล่อนดูผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้มาก นั่นอาจเป็นเพราะความสดชื่น ที่ผมก็รู้สึกได้ของ เวสต์ เวอร์จิเนีย

    “เราจะมีที่นอนมั้ย” ผมถาม เนื่องจากรู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางกว่าสามชั่วโมงจากซาน แอนโตนีโอ เพื่อมายืนผวากับกระสุนนับร้อยของเจ้าปืนกลสีเงินน่าเกรงขามนั่น และก็ถูก เอ่อ... ลักพาตัวอย่างไม่เป็นทางการไปยังพระราชวังที่พวกเขาเรียกมันว่า ศูนย์บัญชาการ หลังจากนั้นผมก็ต้องติดแหง็ก บนเฮลิคอปเตอร์ที่จะฆ่าผมเมื่อเช้า เป็นเวลาหลายชั่วโมง

    “นายต้องมีที่นอนแน่” หล่อนตอบ “แต่ฉันไม่แน่ใจว่านายจะถูกจัดอยู่ใน เอ วัน ประเภทไหน” หล่อนพูดบางอย่างที่ทำเหมือนผมเป็น วอลนัท ที่ยังไม่ผ่านการแยกคุณภาพอย่างนั้นแหละ

    “ประเภทงั้นหรือ” ผมฉงน “ประเภทอะไรกัน”

    “เรายังไม่รู้ว่าพวกนายมีความพิเศษประเภทไหน เพราะนายยังไม่เคยแสดงออกมาก่อน” ผมว่า โฮเซ่น ต้องล้างสมองหล่อนในส่วนของการพูดให้คนอื่นตีความได้ไปแล้ว

    “ผมไม่เข้าใจ ..นี่คุณช่วยพูดให้มัน...”

    “นายมีพลังพิเศษ” หล่อนตัดบท “ซึ่งตอนนี้เรายังไม่รู้ ...ทุกคนที่เป็น เอ วัน ล้วนมีพลังพิเศษเป็นของตัวเอง” ผมแทบจะหัวเราะร่าออกมา กับสิ่งที่หล่อนพูด ถึงหล่อนจะทำหน้าจริงจังก็ตาม แต่หลังจากพิจารณาดีๆแล้ว พระเจ้าช่วย มันเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย หล่อนไม่มีแววโกหกแม้แต่นิดเดียว ถึงอย่างนั้นก็เหอะ...

    “ให้ตายสิ นี่เราอยู่ในโลกการ์ตูนของมาร์เวล หรือไงกัน” ถึงผมจะเชื่อที่หล่อนพูดก็ตาม ความจริงแล้วผมถึงขั้นช็อกเลยหล่ะ ผมก็ต้องพูดอะไรสักอย่าง ที่ทำให้ผมดูไม่เหมือน ไอ้งี่เง่า เจมส์ หากนั่นเป็นเรื่องหลอกเด็ก

    “นายจะได้รู้ในไม่ช้า” หล่อนเอ่ย “หวังว่าพลังพิเศษของนายคงเจ๋งกว่าสมองของนายนะ” หากมันเป็นเรื่องจริงผมเดาออกแล้วว่า เอลิช่ามีพลังพิเศษอะไร ...หล่อนมีอำนาจที่สามารถทำให้ผู้ชายอยากชกหน้าสวยๆ ของหล่อนเพราะคำพูดของหล่อน

    ไม่กี่นาทีต่อมาเรามาถึง ที่ริชวูดแล้ว ผมพยายามมองหา ศูนย์บัญชาการซึ่งคาดไว้ว่ามันต้องเหมือนกับของโฮเซ่นหรืออาจสง่างามกว่าเป็นร้อยเท่า ผมมองหาอยู่พักหนึ่งก่อนที่นักบินจะบอกให้ผม และเอลิช่าหาที่เกาะ

    ผมรู้สึกถึงการลงสู่พื้นดินของเฮลิคอปเตอร์ ต้นหญ้ารอบๆ ลู่ลงกับพื้นเนื่องจากลมจากใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ เสี้ยงอื้ออึงชวนน่ารำคาญของเฮลิคอปเตอร์เริ่มเบาลง ไม่นานเฮลิคอปเตอร์ก็จอดนิ่งอยู่กับที่ ผมไม่ลังเลที่จะกระโดดออกจากเจ้าท่อนเหล็กขนาด ห้าร้อยปอนด์ เพื่อออกมาสูดอากาศที่บริสุทธิ์ยามเย็นของเวสต์ เวอร์จิเนีย

    ทันทีที่ผมก้าวเท้าลงมาผมถึงกับชะงัก ผมเห็นกระท่อมซอมซ่อหลังเท่ากับบ้านหลังเล็กๆ ทั่วไปหลังหนึ่งอยู่ตรงหน้าเฮลิคอปเตอร์ ผนังของมันถูกตีแปะด้วยไม้ที่เก่าผุพัง หลังคาเป็นกระเบื้องเคลือบสีแดงเลือดหมูที่ดูหมองคล้ำ และเต็มไปด้วยคราบสกปรก กระท่อมหลังนี้เป็นกระท่อมชั้นเดียว และดูเหมือนว่ามันไร้ประตูหรืออาจเคยมีแต่ผุพังไปตามอายุของมัน ผมพยายามไม่เชื่อว่านี่คือศูนย์บัญชาการนั่น ผมเริ่มมองไปรอบๆ ร้องขอต่อพระเจ้าว่า  ขอพระราชวังแวซายล์

    “ถึงศูนย์ ริชวูดแล้ว” เอลิช่ากระโดดออกมาจากเฮลิคอปเตอร์ “เดินเข้าไปพักข้างในก่อนสิ” เอลิช่าต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ นั่นมันกระท่อม ซึ่งถ้าคุณเดินไม่ระวังอาจทำให้มันพังครืนลงมาง่ายๆ

    “คุณหมายถึง ...เจ้ากระท่อมหลังนั้นใช่มั้ย” ผมถามหล่อน และภาวนาให้หล่อนว่า ไม่ใช่

    “ใช่ ...เดินเข้าไป และเอาของไปเก็บในล็อคเกอร์ด้านข้างประตู”

    ถึงผมจะยังรู้สึกแปร่งๆ กับคำพูดของเอลิช่าก็ตาม แต่ใครจะไปรู้บางทีในกระท่อมซอมซ่อหลังนั้นอาจหรูหราเกินกว่ารูปลักษณ์ภายนอกก็ได้ ถึงอย่างนั้นก็ตามเถอะ ผมนนึกภาพไม่ออกเลย ผมยืนตัดสินอยู่พักหนึ่ง

    ตอนนี้เอลิช่าเดินเข้าไปในกระท่อมหลังนั้นแล้ว ทันใดนั้นเสียงดังของโลหะขยับดังมาจากเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมันทำให้ผมสะดุ้ง และหันไปมองกับเฮลิคอปเตอร์ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเห็นเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นเริ่มเปลี่ยนรูปแบบของมัน ขนาดของมันลดลง ใบพัดของมันหดเข้าหากัน และหดเก็บลงไปข้างล่างตรงด้านบนของเฮลิคอปเตอร์ ผมเห็นเพียงแค่นั้น มันเร็วมาก และไม่กี่อึดใจ เสียงโลหะดังขึ้นอีกครั้ง เคร้ง! เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นกลายมาเป็นรถแทรกเตอร์คันสีเหลือง มันเป็นรถแทรกเตอร์สำหรับใช้งานในเหมือง

    “เจ๋ง” ผมพูดกับตัว และหันไปสนใจไปที่กระท่อม...ศูนย์บัญชาการหลังนั้น

    ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในนั้น

    พระเจ้าช่วย! ใช่แล้วข้างนอกกับข้างในมันคนละเรื่องกันเลย มันเป็นห้องขนาดย่อม พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โซฟา ทีวี คอมพิวเตอร์ เตาอบ ตู้เย็น ฯลฯ ผมตัดสินใจยัดสิ่งของของผมเข้าไปในล็อคเกอร์ที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะหันกลับมาชมความโอ่อ่าของกระท่อมหลังนี้ ผนังของมันที่มองจากข้างนอกแล้วมันคือไม้ผุพัง แต่ที่จริงแล้วมันคือหินแกรนิตสีดำขลับ มันต้องเป็นการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการลวงตาความสวยงามของศูนย์บัญชาการหลังนี้ อย่างไรก็ตามผมยังไม่รู้สึกถึงการเป็นศูนย์บัญชาการเลยสักนิด อาจเพราะว่ามันดูผ่อนคลายกว่าหรืออาจเพราะว่ามันเป็นกระท่อมหลังเล็กๆ

    “ที่นี่เหรอ ศูนย์บัญชาการ” ผมถาม พลางมองไปรอบๆ ชมความสวยงามกับสิ่งปลูกสร้างหลังนี้ ผมสังเกตเห็นภาพวาดสีน้ำมันมากมาย ติดอยู่รอบๆกำแพง บนเพดานเป็นภาพวาดของตำนานเทพเจ้าราวกับว่ามันเป็นจิตกรรมที่ ลีโอนาโด ดาวินชีวาดไว้ ความจริงแล้วเพดานไม่ได้สูงอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าภาพวาดบนเพดานนั่นให้ความรู้สึกเหมือนเพดานอยู่สูงมากเกินจะเอื้อมถึง

    “ความจริงแล้วที่นี่แค่ห้องรับรองแขกเท่านั้น” นักบินคนนั้นบอกผม เขาถอดเสื้อคลุมกับหมวกนักบินออก ซึ่งผมรู้สึกเห็นด้วยที่เขาทำอย่างนั้น ชุดนั่นไม่ได้น่าใส่เลย อึดอัด เทอะทะ และน่ารำคาญ มันเผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขา ผมแทบไม่เชื่อสายตา นักบินคนนั้นมีดวงตาสีทับทิม ใช่แล้วสีทับทิม หรือมันอาจเป็นทับทิมจริงๆก็ได้ อย่างไรก็ตามผมรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยในกระท่อม เอ่อ...ศูนย์บัญชาการหลังนี้มีหมอนี่ที่มีผมสีโค้กเหมือนกับผม

    “ที่นี่มีแขกมาบ่อยเหรอ”

    “ความจริงแล้วแขกที่เป็นแขกจริงๆ มาไม่ค่อยบ่อยหรอก” เอลิช่าบอกผม “ส่วนมากจะเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ”

    “อย่างเช่นใครเหรอ”

    “ชาวเหมือง” นักบินตอบ “น่าเสียดายที่ชาวเหมืองหลายคนไม่สามารถรอดออกไปได้ พวกเขาชอบขโมยของจากที่นี่ ...เราเลยไม่มีทางเลือก”

    “ฆ่าพวกเขาเหรอ” ผมรู้สึกโมโห

    “พอเถอะ เอ็ดวิน” เอลิชแทรกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หมอนั่นไม่รู้อะไรหรอก” ถึงหล่อนจะพูดอย่างนั้นก็เถอะผมก็รู้สึกโมโหกับสิ่งที่ผมได้ยินจากเอ็ดวิน มันเลือดเย็นเกินไป...

    “เธอควรเรียกฉันว่า ฮอว์ค (เหยี่ยว) ในศูนย์บัญชาการนะ เอลิช่า” เอ็ดวินแย้ง

     เอลิช่ากลอกตาไปมาแสดงถึงความรำคาญ เธอเดินหนีเราไปนั่งบนโซฟาที่วางอีกฝากห้องใกล้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมหันไปมองหน้าเอ็ดวิน ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยพอใจผมนัก

    “นายควรจะค้นหาพลังพิเศษที่แท้จริงให้เร็ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “บางทีมันอาจตลกเหมือนหนังหน้าของนายก็ได้นะ” หากผมไม่รู้สึกเกรงขามกับท่าที และดวงตาคู่นั้นของเขา ผมคงจะกระโดดไปชกหน้าหมอนั่นไปแล้ว เขายิ้มเยาะเย้ยผมก่อนจะนั่งลงบนโซฟาที่เขานั่งเมื่อครู่ และเอนตัวนอนลงไป ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากทำมากกว่าการหาเรื่องเจ้าหนุ่มตาทับทิม ก็คือการนอน ผมล้มตัวนอนบนโซฟาข้างๆเอ็ดวิน และหลับไปในทันที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×