ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Unknown Species .Code : A1

    ลำดับตอนที่ #1 : Escaped from ruins (หนีจากซากเมือง)

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 53


                ผมไม่นึกว่าโลกจะรอดมาจนถึงปี 2024 เลย ถึงกระนั้นก็ตาม คนทั้งโลกกำลังขวัญเสียจากเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ผมยังจำได้ว่ามนุษย์กี่ล้านคนต้องตายจากไป ผมก็คือหนึ่งในนั้น ผมหมายถึงผมตายไปแล้วโดยสิ้นเชิง ผมเคยตั้งคำถามว่าสิ่งใดที่ทำให้ผมยังคงมีชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ และแล้วไม่นานผมได้คำตอบ ซึ่งผมไม่เคยลืมมันเลย คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณต้องใช้ชีวิตอยู่ซึ่งในความจริงแล้วคุณควรจะตายไปแล้วเมื่อประมาณสิบปีก่อน

                ปี 2014 วันจันทร์ที่สิบเจ็ดเดือนมิถุนายน สองวันหลังจากวันเกิดของผม หลังจากการออกไปข้างนอกเพื่อดื่มกับเพื่อนๆ ห้าคน ผมกลับมาอยู่ที่ห้องเช่าเล็กๆ ราคาไม่กี่สิบเหรียญ ที่คุณหาได้ไม่ยากในรัฐของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนที่สี่สิบสาม รัฐเทกซัส ผมจำได้ว่าวันนั้นผมกำลังนั่งมึนงงอยู่ที่โซฟา ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนมีไฟร้อนฉ่ากำลังเผาสมองของผมให้เป็นจุล ความจริงแล้วผมก็แค่ปวดหัวมากเท่านั้น ไม่กี่นาทีต่อมา เสียงผู้คนในเมืองกรีดร้องกันราวกับว่าพวกเขากำลังเห็นนรกแตก ...ซึ่งความจริงมันควรจะเป็นแบบนั้นถ้าให้ผมจำกัดความ

                ผมได้ยินเสียงไซเรนดังระงมผนวกกับเสียงกรีดร้องของชาวเมืองที่กำลังแตกตื่น ผมยืนอยู่บนระเบียงของห้องเช่าที่เป็นสนิม ซึ่งมันอาจจะพังเพราะแรงจากการวิ่งกรูของชาวเมือง เสียงตะโกนให้ชาวเมืองสงบจากชายคนหนึ่งดังขึ้น แต่ว่ามันเหมือนกับเขากำลังทำเรื่องที่ดูน่าขัน และไร้สาระในขณะนั้น ผมยังคงสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น สายตากวาดมองไปรอบๆ เพื่อจะค้นหาต้นตอ ผมรู้แล้วว่าผมควรจะวิ่งหนีตามสัญชาตญาณ แต่ทำไมผมต้องวิ่งล่ะในเมื่อผมยังหาเจ้าสิ่งนั้นไม่เจอ ผมเหลือบไปเห็นหญิงสาววัยกลางคนที่อาศัยอยู่ข้างห้องของผม ท่าทางของหล่อนก็ไม่ต่างจากผม เพียงแต่เธอดูตื่นตระหนกกว่า แต่เมื่อลองสังเกตดีๆ แล้วผมพบว่าหล่อนกำลังพูดอะไรหรืออาจเป็นการท่องอะไรบางอย่าง จากสีผิว และรูปร่างหน้าตาของเธอ ผมเดาว่าหล่อนคือคนอินเดียหรือชาวตะวันออกกลาง

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ผมถาม “ทำไม...”

    “นายไม่ควรถามว่าเกิดอะไรขึ้น นายควรจะถามว่าทำไมนายไม่รีบทำอะไรสักอย่าง” สำเนียงแปลกๆของหล่อนทำให้ผมรู้สึกอึดอัด แต่ผมก็สามารถตีความหมายของเธอได้

    “ผมควรทำอะไรเหรอ”

    “หนี!” หล่อนตะโกน

    “หนี” ผมเริ่มสงสัย “น...หนีอะไร...” ไม่ทันที่ผมจะทราบคำตอบจากหล่อน ผมก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงแสบหูที่ดังผ่านหัวผมไป เสียงนั่นแทบทำให้สมองผมแทบแทรกตัวผ่านหูของผมออกมากระจายต่อหน้าต่อตาผม ต้นตอของเสียงมันอาจอยู่สูงจากผมไปประมาณไม่กี่สิบฟุต มันเร็วมากจนผมมองไม่เห็นว่าแท้จริงมันคืออะไร ทันใดนั้น เร็วเท่าความคิดแสงสีขาวสว่างจ้า ผมหันหน้าหนีแสงนั่น มันมาจากทางด้านที่ชาวเมืองวิ่งหนีออกมา ความสว่างขนาดนั้นทำให้อาการปวดหัวของผมรุนแรงมากขึ้น ผมกรีดร้องออกมาเหมือนกับสัตว์ที่กำลังถูกชำแหละทั้งเป็น แต่สิ่งที่ผมได้ยินชัดเจนคือสิ่งที่หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น

    “พวกเจ้าขัดประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้!” เธอกรีดร้องออกมาก่อนที่ร่างเธอจะค่อยๆ สลายไปในแสงสีขาวสว่างจ้านั่น ผมมองเธอหายไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งอีกไม่นานผมก็คงจะลงเอยแบบเดียวกับเธอ...

    ผมจำไมได้ว่าแสงนั่นหายไปเมื่อไร แต่ร่างกายของผมยังคงอยู่เหมือนเดิม เว้นแต่ว่าสมองของผมกำลังจะระเบิด มันเหมือนกับว่าชายร่างยักษ์สักสิบคนกำลังเหยียบศีรษะของผมไว้ด้วยรองเท้ากีฬาอย่างดี ผมทำได้แค่กุมศีรษะ และตะเกียกตะกายไปยังเตียงของผมเพื่อจะนอนพัก แต่ว่าทุกอย่างรอบตัวของผมเริ่มมืดลง ผมสลบไปกับพื้นก่อนที่ผมจะถึงเตียง ผมจำไม่ได้ว่าผมสลบไปนานเท่าไร นาฬิกาตายโดยสิ้นเชิง ผมพยายามใช้มือขวาดันพื้นเพื่อพยุงตัวของผมขึ้น ใช้เวลาไม่นานผมก็สามารถยืนได้ ผมเริ่มก้าวเท้าอย่างช้าๆ พยายามไปที่ระเบียง ผมแค่สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น... ใช่แล้วนี่มันนรกชัดๆ! คำพูดขึ้นผุดขึ้นในหัวของผม คงไม่มีคำใดดีไปกว่าคำนี้ ตึกที่เคยเรียงรายเหมือนกับมีเทวดาจับมันตั้งวางไว้ บัดนี้มันหายไปแล้ว มีเพียงซากที่คุณอาจเดาไม่ถูกว่ามันเคยมีตึกระฟ้าจำนวนมากพอๆกับนิวยอร์คตั้งอยู่ตรงนั้น ข่าวดีคือ อพาร์ตเมนต์โสโครกหลังนี้ยังคงตั้งอยู่ดี ...ผมเดาว่าเจ้าแสงทำลายล้างนั่นคงไม่อยากสัมผัสกับรอยคราบที่ติดแน่นอยู่กับอพาร์ตเมนต์นี้ คราบเหล่านั้นคล้ายกับว่ามีคนทำเค้กก่อนใหญ่ตกใส่อพาร์ตเมนต์เมื่อพันปีที่แล้ว  และพวกเขาลืมทำความสะอาด

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือแค่เดินกลับเข้าไปในห้อง และเก็บของที่สำคัญ ใส่กระเป๋าเป้ราคาสิบห้าเหรียญ ผมแค่ต้องออกเดินทางไปไหนสักที่ ที่มันดูเป็นเมืองสำหรับมนุษย์มากกว่านี้ ผมไม่สนใจว่าอะไรเกิดขึ้น ผมอาจขวางโลกเกินไป แต่ทำไมผมต้องหาคำตอบ ตอนนี้ผมมีชีวิตรอด

    ผมกำลังเดินอยู่บนทางที่ครั้งหนึ่งมันคือถนนเวสต์ ทราวิส ผมพยายามข่มสายตาให้มองแต่ทางที่ผมเดิน แต่เศษซากของเมืองที่กระจายมาอยู่บนถนนทำให้ผม อดไม่ได้ที่จะสะอื้นออกมา มันเกิดอะไรขึ้น? มันเร็วเกินไป อะไรที่ทำให้ตึกระฟ้าเหล่านั้นหายไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมง มันคือรถแทรกเตอร์ของเทพเจ้างั้นหรือ ผมเดินมากว่าครึ่งไมล์แล้ว ซากฝันร้ายยังไม่หายไป ผมกำลังหวังว่าผมต้องเจอสถานที่ที่ผมอาจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมกำลังหวังว่าอย่างน้อยสักสิบจากร้อยคนที่วิ่งแตกตื่นออกจากเมืองยังรอดชีวิตจากแสงทำลายล้างนั่น และยอมรับผมเข้าร่วมเดินทาง

    พระเจ้าต้องกลั่นแกล้งผมแน่ มันเป็นเวลากกว่าสามชั่วโมงแล้วที่ผมเดินอยู่บนซากสีเทาอย่างโดดเดี่ยว บางทีผมควรจะเดินกลับไป แต่ผมจะไปทางไหนล่ะ ผมต้องสร้างป้ายบอกทางขึ้นมาใหม่ด้วยปากกาสีต่างๆ ไหม แต่แล้วคำขอของผมก็เป็นผล ถ้าผมไม่หูฝาด ผมกำลังได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมันคงอยู่ห่างไปจากผม ไม่กี่ร้อยหลา ผมหยุด และเริ่มมองหาเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น

    มันเป็นเฮลิคอปเตอร์สีดำสนิท กับตราสัญลักษณ์ของกองทัพสหรัฐ ผมไม่แน่ใจว่าทางการทหารแล้วมันถูกเรียกว่าอะไร มันกำลังบินอย่างช้าๆ มาทางผม

    “เฮ้!” ผมตะโกน

    “ฉันอยู่ตรงนี้” ผมใช้เสียงทั้งหมดที่ผมจะสามารถกลั่นออกมาจากหลอดเสียงได้ ผมไม่สนใจว่าพวกนั้นจะฆ่าผมหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมต้องการเพียงแค่เพื่อนร่วมทาง...

                เฮลิคอปเตอร์เริ่มบินต่ำลง และตรงมาที่ผม มันลดความเร็วเหมือนกับกำลังจะลงจอด แต่ว่าผมก็ต้องผวาเมื่อลำกล้องปืนกลสีเงินโลหะปรากฏขึ้น มันสะท้อนกับแสงแดดดูแสบตา มันทำให้ผมนึกถึงแสงทำลายล้างนั่น ไม่ทันที่ผมจะคิดหรือพูดอะไร กระสุนนับร้อยจากปืนกลของเฮลิคอปเตอร์ที่ควรจะเป็นความหวังสุดท้ายของผม สาดมายังผม

    วิ่ง! ผมกำลังสั่งร่างกาย แต่ขาของผมอ่อนล้าเกินไป จากการเดินมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง กระสุนเหล่านั้นกำลังจะฆ่าผม ในเวลาไม่ถึงวินาที สิ่งที่ผมทำได้คือหลับตา และรอให้กระสุนทะลวงร่างกายผมจนกว่าผมจะสิ้นลม

    ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงกระสุนทั้งหมดกระทบกับโลหะขนาดใหญ่ ราวกับว่าฝนโลหะห่าใหญ่กำลังตกลงบนหลังคารถของผม  ไม่นานเสียงเหล่านั้นหายไปกลายเป็นเสียงของกระสุนร่วงกรูลงสู่พื้นดินผมค่อยๆ ลืมตา เพื่อดูว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ที่สำคัญผมรอดมาได้อีกครั้ง สิ่งที่ผมเห็นคือโล่กำบังโลหะสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ มันลอยอยู่กลางอากาศเหมือนมีใครเอาเอ็นนับร้อยมัดมันเอาไว้ ผมพยายามมองดูว่ามีอะไรยึดมันไว้หรือเปล่า แต่ก็ไม่เจอ

    “นายเข้ามาทำอะไรใน โอลมอส!” เสียงนั่นดังมาจากด้านหลังของผม ผมมั่นใจว่ามันเป็นเสียงจากหญิงสาว แต่น้ำเสียงของหล่อนฟังดูไม่เป็นมิตร

    “ผ...ผมแค่เดินผ่านมา” ผมละล่ำละลัก ยังรู้สึกผวาจากเหตุการณ์เมื่อครู่

    “แค่ผ่านมาอย่างงั้นเหรอ” หล่อนตวาด “นี่นายโง่หรือเธอไม่รู้จริงเนี่ย” ผมพยายามอดกลั้นกับคำพูดเสียดสีของหล่อน ผมหันหน้าไปมองหล่อนเพื่อจะจำหน้าไว้ เผื่อคราวหน้ามีโอกาสเอาคืน พระเจ้าช่วย! ผมคิด หล่อนช่างสวยงามจนแทบทำให้ผมตกหลุมรักหากว่าเธอไม่ได้สบถมากขนาดนั้น หล่อนสวมชุดทหารยศสูงแบบอเมริกัน หล่อนดูเหมือนนายพลหรืออะไรเทือกนั้น แต่ว่าหล่อนดูสง่างามมากในชุดนั้น

    “ฉันไม่รู้” ผมเอ่ย

    “ให้ตายสิ!” เธอสบถเป็นครั้งที่สอง “ที่นี่เป็นเขตลาดตระเวนของกองทหาร ยู เอส เอส ที ...พวกเขาจะกำจัดทุกอย่างที่ล่วงล้ำเข้ามา” ผมมักจะรู้สึกขยาดจนระบม และหมั่นไส้กับชื่อที่ผมไม่มีทางเข้าใจของกองกำลังทหารโง่ๆ นั่น พวกนั้นเกือบจะฆ่าผมด้วยปืนกล แต่แว่บหนึ่งผมกลับนึกได้ว่าข้างหลังผมมีโล่โลหะอันเดิมกำลังลอยคว้างกลางอากาศ และเสียงเฮลิคอปเตอร์สังหารนั่นก็หายไปตั้งแต่ตอนไหนแล้วก็ไม่รู้

    “โล่นั่น...” ผมพยายามตั้งคำถาม

    “นายต้องมากับฉัน” หล่อนตัดบทผมอย่างเห็นได้ชัด “ฉันอยากรู้เกี่ยวกับนาย”

    “เดี๋ยวสิ!” ผมค้านเสียงแข็ง “คุณยังไม่ได้ตอบผมเลยว่า...” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคโล่โลหะที่บังผมจากกระสุนร่วงลงมาปักแน่นกับพื้นดินที่ค่อนข้างชื้น ราวกับว่ามีใครตัดเชือกที่เมื่อครู่ตรึงมันให้แขวนกลางอากาศไว้

    “โล่นั่นของใคร” เธอต่อประโยคของผม แต่นั่นมันเป็นการหลีกเลี่ยงคำถามของผมอย่างน่าเกลียด

    “ไม่!” ผมแย้ง “ผมอยากรู้ว่าเมื่อครู่โล่นั่นลอยได้อย่างไร”

    “นายจะได้รู้หลังจากในไปที่ศูนย์บัญชาการกับฉัน”

                ในความรู้สึกแรกของผมคือ หล่อนต้องเอาผมไปฆ่าเพราะผมดันไปรู้ความจริงบางอย่างเข้า หรือบางทีหากคิดในแง่บวก หล่อนอาจแค่จับผมไปฝึกเป็นทหารไว้ใช้งาน ซึ่งนั่นมันคงจะดีกว่าอย่างแรก หล่อนพาผมเดินไปขึ้นรถ เอสยูวี ที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้ารถคันนี้มันจอดอยู่ตรงนั้น ผมไม่ละสายตาไปจากโล่โลหะอันนั้น แม้ในขณะที่ผมขึ้นรถไปแล้ว

    “ออกรถได้” หล่อนสั่งคนขับรถที่อาจนั่งคอยอยู่นานแล้วก็ได้ “ไปยังศูนย์บัญชาการ” ไม่มีคำตอบใดแม้แต่คำว่า ครับ จากหมอนั่นเลย รถค่อยๆ ออกตัวอย่างช้าเนื่องจากสภาพดินบริเวณนั้นค่อนข้างชื้น ผมพบว่าหล่อนขยับตัวมานั่งข้างๆ ผม

    “เกิดอะไรขึ้น” ผมถามหล่อน “ผมหมายถึงที่เมืองน่ะ แสงสีขาวมันคืออะไร”

    มันเวลาสักพักก่อนหล่อนจะหันมาตอบผมด้วยสายตาเยือกเย็น

    “ฉันบอกว่า...” หล่อนพูด พลางจับข้อมือผม “นายจะได้รู้เมื่อถึงศูนย์บัญชาการของฉัน” ผมยอมรับว่าสายตาเยือกเย็นของหล่อนทำให้ผมใจเสีย ซึ่งผมค่อนข้างแน่ใจว่าหล่อนจะตอบผมทันทีที่ไปถึง และฆ่าผมทิ้งซะ หล่อนปล่อยข้อมือผมลง ผมรู้สึกได้เลยว่ามือของเธอนุ่มเกินกว่าจะใช้มันฆ่าผมได้

    “ตกลง” ผมพยายามไม่ทำสีหน้าหวาดหวั่นหรือวิตกกังวล

    “คุณจะเอาผมไปฆ่าใช่ไหม ...ผมไม่สนหรอกนะ แต่คุณต้องบอกความจริงกับผมตกลงมั้ย” พระเจ้าช่วย! ผมพูดออกไปได้อย่างไร นั่นคงทำให้หล่อนอยากจะฉีกผมเป็นชิ้นๆ แน่ๆ

    “เรามาเล่นเกมกันมั้ย” เธอทำเสียงเย็นชาอีกแล้ว “เกมนี้ชื่อว่า ความเงียบ กติกาง่ายๆ คือ ผู้เล่นทุกคนต้องเงียบ” ผมว่ามันคือมุกตลกของหล่อนแต่ว่าผมไม่ตลกด้วยเลย ผมเริ่มสงสัยว่ากองทัพมีวิชา สบถศาสตร์ อำมหิตศาสตร์ หรืออะไรเทือกนี้สอนหรือไง ถ้ามีละก็หล่อนต้องได้ เอ บวก ทุกวิชาแน่ๆ ตอนนี้ผมคงต้องเล่นเกมของหล่อนอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไร

                เรานั่งรถมาราวชั่วโมงเศษ ผ่านสถานที่ต่างๆ ที่ยังไม่กลายเป็นซากเหมือน ซาน แอนโตนิโอ ถึงมันจะทำให้ผมรู้สึกดีใจบ้าง แต่ว่าผมก็รู้สึกถึงความเงียบงันของเมือง ผู้คนหายไปไหนกันหมด? หรือว่ามันเป็นวันโลกาวินาศ ผมสังเกตเห็นต้นไม้ที่เปลี่ยนสีกลายเป็นสีเทาหรือฟ้าอ่อนตลอดทาง มีเพียงต้นไม้ใหญ่ๆ เท่านั้นที่ยังคงสภาพเดิม ผมพยายามไม่มองหน้าหญิงสาวคนนั้นโดยตรง แต่ผมก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อของหล่อนที่หน้าอกด้านซ้าย เอลิช่า แมค อลิสโต นั่นเป็นชื่อที่ช่างอึดอัดในการออกเสียงนัก

    “เอลิช่า แมค...” ผมพยายามสะกดชื่อหล่อน

    “จำไม่ได้เหรอ ...เราเล่นเกมกันอยู่” ผมรู้สึกรำคาญกับท่าทางเอาจริงเอาจังมากเกินไปของหล่อน จนผมอยากจะตะโกนออกมาเพื่อปลดปล่อยความอึดอัด

    ไม่นานรถของเราก็มาถึงศูนย์บัญชาการ ซึ่งถ้าผมไม่รู้จากปากของเอลิช่า ก่อนหน้านี้ผมก็คงคิดว่ามันคือราชวังของฝรั่งเศสกลางยุคเรเนซองค์แน่ๆ มันรูปร่างคล้ายปราสาทที่มีหลังคานูนสูงแหลมสีเงินประกายวาววับ ตัวตึกทาด้วยสีดำซึ่งตัดกันได้ดีกับหน้าตาทรงยุโรปสีแดง ผมเพิ่งสังเกตว่าตึกตรงกลางที่ตั้งเด่นที่สุดมีตราสัญลักษณ์บางอย่างเหมือนกับดาบโค้งสองเล่มไขว้กันในวงกลมสีแดงฉานดูน่าขนลุก ติดอยู่กับกระจกบานใหญ่ด้านหน้า ชั่วครู่นั้นผมเริ่มมั่นใจขึ้นอีกนิดว่า หล่อนต้องเอาผมไปฆ่าแน่ ผมหันไปมองหน้าหล่อนอย่างใจเสีย และแล้วผมก็ต้องผวาเมื่อรถเอสยูวีที่ผมนั่งมาจอดลง นั่นหมายความว่าเวลาของชีวิตของผมเหลือเพียงไม่กี่ก้าวจากรถไปถึงหน้าประตูทางเข้าสีขาวนั่น

    “เอาล่ะ ลงจากรถได้แล้ว” เอลิช่าหันมาบอกผม แต่มันก็ทำให้ผมแปลกใจเพราะน้ำเสียงของเธอกลับทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเดินออกจากรถไปกับหล่อน ผมเหลียวหลังมามองที่รถเอสยูวี ผู้ชายที่ขับรถยังคงนั่งอยู่ในรถ มองผมอย่างเหมือนกับมีอะไรบางอย่างกับผมในใจ ก่อนที่เขาจะหนีสายตาของผมไปมองเอลิช่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×