คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : The Kalisto (คาลิสโต)
ผมตัดสินใจเดินทางด้วยการวิ่ง โดยแบกเอลิช่าไว้ข้างหลังของผมเอง ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึง คาเมรอน ที่นี่เป็นเมืองเล็กอยู่ติดกับชายฝั่งทะเล จากทุกมุมของเมือง จะสามารถมองเห็นอ่าวเม็กซิโก เวลาตอนนี้ประมาณ แปดนาฬิกา ยี่สิบห้านาที เราอยู่กันที่ถนนบรูซซาร์ด บีช ผมวางเอลิช่าลง หล่อนกล่าวขอบคุณก่อนจะวิ่งไปสูดอากาศตรงมุมถนนที่เรามาถึงเมื่อครู่
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ผมถาม
“พระเจ้าช่วย! ที่นี่สวยจังเลย นายว่ามั้ย” เอลิช่าหันมาพูดกับผม โดยปราศจากคำตอบที่ผมต้องการทราบ เอลิช่าพาผมเดินไปที่ชายทะเล ระหว่างทางเธอเล่าให้ผมฟังว่า ตอนเด็กๆ หล่อนมาที่นี่บ่อยมาก พ่อและแม่ของหล่อนมีบ้านพักหลังเล็กๆอยู่บริเวณนี้ เราเดินมาได้ประมาณสองร้อยเมตร จากถนน บรูซซาร์ด ผมก็พบว่ามีบ้านหลังเล็กๆที่ทำจากไม้ ซึ่งถูกทาด้วยสีเขียว อยู่หลังกลุ่มต้นสนทะเล มันเป็นบ้านขนาด สี่ถึงห้าคนสามารถพักได้
“นี่บ้านเธอเหรอ” ผมเอ่ยถามพลางมองอย่างสงสัย คุณณอาจไม่เชื่อสายตาแน่ว่าบ้านหลังนี้ยังมีสภาพใหม่ เหมือนมีคนมาทำความสะอาดมันทุกสัปดาห์
“ใช่” เอลิช่าตอบ พลางเหม่อลอย “ฉัน พ่อ แม่ และ... ออสติน ช่วยกันสร้างขึ้นมา พ่อเก่งงานช่างมาก มันก็เลยออกมาสวยงามแบบนี้ไงหละ”
“มันดู ...สะอาด อย่างน่าเหลือเชื่อเลยนะ”
“ต้องขอบคุณ นี่” เอลิช่าหันมายิ้มพลางชี้ไปที่ศีรษะของหล่อน ผมพอจะเดาออกว่า เอลิช่าใช้พลังจิตของหล่อนดูแลรักษาที่นี่อย่างดี ...แต่หล่อนบอกเองนี่นาว่า พลังจิตของหล่อนยังไม่แข็งแรงขนาดนี้ มันอะไรกันแน่
“พลังของเธอก็เจ๋งไม่เบานี่นา” ผมหยุดเดินและกล่าวชมเชย ตอนนี้เรามาถึงประตูทางเข้าบ้านแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะถูกล็อคมาหลายปีแล้ว
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” เอลิช่าหรี่ตาพยายามเพ่งจิตไปที่แม่กุญแจ “ฉันแค่ สร้างสนามพลังป้องกันสิ่งต่างๆ ...ที่อาจทำลายบ้านหลังนี้ไว้เท่านั้น” สิ้นเสียงของหล่อน แม่กุญแจก็ถูกปลดล็อคดัง เคร้ง ประตูไม้ของบ้านเปิดออกอย่างอัตโนมัติ
“ชอบมันมั้ย” เอลิช่าถามผม
“แน่นอน ...พระเจ้าช่วย! ที่นี่มันวิเศษมาก” ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในบ้าน ผมรู้สึกถึงความอบอุ่น พลังงานบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ภายในบ้าน มีโซฟา และเฟอร์นิเจอร์ทั่วๆไป เหมือนกับบ้านหลังอื่นๆ กรอบรูปถูกติดไว้กับผนังของบ้าน บ้างก็ถูกวางไว้ในตู้ ผมเหลือบไปเห็น ทีวีจอแบน กับเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นปี 2000 ถูกตั้งไว้ใกล้ๆกัน ที่นี่เก่ามากแล้ว
“เอากาแฟมั้ย” เอลิช่าเสนอ
“ว่าไงนะ ...กาแฟงั้นเหรอ” ผมรู้ประหลาดใจที่บ้านหลังนี้จะมีร้านสตาร์บั๊คส์ด้วย
“เอาน่า เมื่อคืนฉันลืมเลี้ยงกาแฟนาย ฉันดันชิ่งซะก่อน” เอลิช่าหัวเราะ “ชอบแบบไหนหละ”
“น้ำตาลหนึ่ง เข้ม และร้อน” นั่นเป็นกาแฟรสโปรดของผมเลย น้ำตาลหนึ่ง เข้มและร้อน ผมสั่งออกบ่อยตอนอยู่ที่แมนฮัตตัน “อ่า... ฉันหมายถึง อะไรก็ได้หนะ” ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าเอลิช่าจะทำตามผมสั่งได้มั้ย ดังนั้นการบอกว่า อะไรก็ได้ ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ ที่คุณจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต โอ้! ผมไม่ได้พูดนะ
“อย่าทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย” เอลิช่าดุผม “ฉันชงกาแฟเก่งมากนายไม่รู้เหรอ” พระเจ้าช่วย เธออ่านใจผมอีกแล้ว ผมเกลียดเหลือเกินเวลาเธออ่านใจผมหนะ เอลิช่าเดินมาที่ผมและทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตรงหน้าที่ผมยืนอยู่ แต่ผมไม่ทันสังเกตเห็นเครื่องชงกาแฟ น้ำตาล แก้วกาแฟ และช้อนกาแฟ กำลังวุ่นวาย ...อยู่กลางอากาศ นั่นแหละวิธีที่เอลิช่าชงกาแฟให้ผม
“เสร็จแล้ว” เอลิช่าทำหน้าไม่พอใจ ไม่นานแก้วกาแฟก็ลอยมาตรงหน้าผม ผมคว้ามันไว้ได้ กลิ่นกาแฟหอมมาก ผมแอบชมเอลิช่าในใจ ซึ่งผมรู้ว่าเธอต้องรู้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะผมต้อชิมกาแฟถ้วยนี้เสียก่อน
“พระเจ้า” ผมเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นกาแฟที่วิเศษมาก รสชาติกลมกล่อม กลิ่นของกาแฟยังลอยกรุ่นอยู่ในจมูกของผมอยู่เลย ผมรู้สึกผ่อนคลายกับกาแฟของเอลิช่ามากๆ บางทีหล่อนอาจจะเปิดร้านกาแฟร้านเล็กๆ ติดกับสตาร์บั๊ค ผมเชื่อว่าหล่อนต้องทำให้เจ้าของกิจการสตาร์บั๊คร้องไห้แน่นอน
“เอ่อ... ฉันขอถอนคำพูดแล้วกัน” นั่นแหละเป็นสิ่งที่ผมควรทำที่สุด ถอนคำพูด
“เป็นเด็กดีนี่นา” เอลิช่ายิ้มเยาะเย้ย “วันหลังจะชงให้อีก”
เอลิช่าเล่าเรื่องต่างๆเกี่ยวกับครอบครัวหล่อนให้ผมฟัง ผมสังเกตได้ว่าเอลิช่าพยายามไม่เอ่ยชื่อ ออสติน แต่จะใช้คำว่า พี่ชาย แทน ผมได้ทราบว่าพ่อและแม่ของเอลิช่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของประเทศในปีช่วงนั้น แต่ไม่นานพวกเขาก็ต้องถูกพักงานเนื่องจากไม่เห็นด้วยกับโครงการของรัฐบาล ...นั่นไมได้หมายความเพียงว่า พวกเขาถูกพักงาน แต่ครอบครัวของพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายไปด้วย หลังจากนั่งฟังเรื่องราวต่างๆของเอลิช่ามานาน หล่อนก็ชวนผมออกไปข้างนอก เพื่อเดินไปที่ชายหาดที่เธอและครอบครัวมักจะไปนั่งทำกิจกรรมต่างๆด้วยกันในวันหยุด
“ที่นี่มันวิเศษมาก” ผมกล่าวชมเชยกับสถานที่ที่พิเศษของเอลิช่า ผมกล่าวจากใจจริง “เธอโชคดีมากเลย”
“ใช่... ถ้าทุกคนในครอบครัวยังอยู่กับพร้อมหน้า และ...” ผมรู้สึกถึงความกดดันอีกครั้ง มันเป็นพลังจิตของเอลิช่า แน่ๆ ผมสังเกตว่าช่วงนี้หล่อนมักควบคุมพลังได้ไม่ดีเท่าไร อารมณ์แปรปรวนง่าย มันเกิดจากอะไรนะ
“ฉันเสียใจด้วย” ผมดึงหล่อนเข้ามากอด ผมไม่ได้ต้องการจะทำแบบนั้นหรอก ผมหมายถึงฉวยโอกาสหนะ แต่นั่นแหละมันคงทำให้เอลิช่ารู้สึกดี อย่างน้อยผมก็เชื่อเช่นนั้น ในตอนแรกผมรู้สึกชาไปหมดทั้งตัว ผมคิดว่าผมกำลังถูกควบคุมด้วยพลังจิตของเอลิช่า แต่มันไม่ใช่ ...มันคือความรู้สึกของผมเอง ผมแค่รู้สึกถึงความผูกพัน ผมไม่ได้ยินเสียงใดจากเอลิช่าเลย เอลิช่าดึงตัวหล่อนออกจากผม หน้าของหล่อนแดงแต่ผมก็พูดอะไรมากไม่ได้
“ความจริงแล้ว ที่ฉันพานายที่นี่หนะ” เอลิช่าพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอีกครั้ง “ฉันรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของคาลิสโต”
“แล้วเธอก็พูดถูก” สิ้นเสียงแทรก ดวงตาเอลิช่าเบิกกว้าง ส่องประกายสีทอง เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำดูน่ากลัว ผมพยายามนึกถึงชื่อเจ้าของเสียง มันคุ้นมาก และผมก็นึกออก แต่มันสายไปเสียแล้วร่างผมปลิวกระเด็นออกมาจากที่ที่ผมยืนอยู่เมื่อครู่ เอลิช่าผลักผมออกมา และภาพที่ผมเห็นก็คือ ออสติน เขายังอยู่ในชุดผ้าคลุมสีดำประหลาดๆ แว่บหนึ่งเขาหันมายิ้มอย่างชั่วร้ายใส่ผม รอยยิ้มนั่นทำให้หัวใจของผมแทบหยุดเต้น มันทำให้ผมนึกถึงครั้งแรกที่ออสตินทำความรู้จักกับผมอย่างเป็นมิตร (ผมประชดนะ)
“ออสติน ไอ้คนสาระเลว!” เอลิช่ากระแทกเสียง ผมรู้ว่าเรื่องไม่ดีต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ออสตินที่อยู่ตรงนี้ ผมสังเกตเห็นรอยเท้าค่อยปรากฏขึ้นจากทะเล ผมรับรู้สึกการเคลื่อนไหวบางอย่าง ผมใช้มือดันตัวผมลุกยืน เริ่มมองไปรอบๆ ผมหลับตาลงอย่างช้าๆ เพื่อจับการเคลื่อนที่ของอะไรก็ตาม ที่ตอนนี้กำลังคลืบคลานมาหาผมช้าๆ
เหมือนเวลาหยุดลง ที่จริงแล้วผมกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือเสียงหลบการโจมตีบางอย่าง
ปัง!
ทรายกระจายไปทั่วทิศ มันทำเอาเอลิช่าเสียสมาธิ ออสตินรีบเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเข้าประชิดเอลิช่า ผมถีบเท้าพุ่งตรงไปที่เอลิช่า ดึงตัวเธอออกมาจากการโจมตีของออสตินไว้ได้ทัน เราทั้งคู่ยืนตั้งหลักกันอยู่ตรงเนินทรายอยู่ไม่ห่างจากที่ที่เอลิช่ายืนอยู่เมื่อครู่
ไม่นานข้างๆ ออสติน ร่างของเอ วันทั้งสอง เจ้าของการโจมตีเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้น พวกเขาทั้งคู่หน้าตาเหมือนกันมาก บางทีอาจเป็นคู่แฝดกัน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่ม เขามีผมสีบลอนด์ สวมเสื้อผ้าแบบวัยรุ่นอเมริกันทั่วไป ที่สำคัญในมือของเขาถือนาฬิกาทรายไว้ จากตรงนี้ผมสามารถมองเห็นดวงตาของเขา มันกำลังเปลี่ยนจากสีดำสนิท (เหมือนกับของออสตินเมื่อครั้งที่เขากำลังจะฆ่าผมด้วยหลุมดำ) ไปเป็นสีเทาแกมเขียว ส่วนแฝดอีกคนเป็นผู้หญิงหล่อนมีผมสีดำ ผิวขาวซีด สวมชุดหนังสีดำแนบเนื้อ ดูน่าขนลุก หล่อนจ้องเอลิช่าเหมือนกับเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานาน ผมเกลียดสายตาของหล่อน มันเป็นสีฟ้าแต่มีแววสีเหลือง แดง และส้ม แกมอยู่ด้วย
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง เจมส์” ออสตินกล่าวทักทายผมอย่างเยือกเย็น “ฉันเสียใจเหลือเกินที่แกไม่ได้เข้าไปอยู่ในหลุมดำของฉัน ...แล้วนายก็กำลังทำให้ฉันหัวเสียมากด้วยนายรู้มั้ย”
“นายต้องการอะไร” ผมกระแทกเสียงให้ฟังดูน่าเกรงขามแต่ผมรู้สึกถึงการสั่นไม่เป็นจังหวะของกล้ามเนื้อในลำคอ ผมแค่กำลังกลัว
“นายกอดน้องสาวสุดที่รักของฉันได้ยังไง” ออสตินเบิกตากว้างจ้องไปยังเอลิช่าที่กำลังจ้องเขาด้วยพลังงานอันร้ายกาจเช่นกัน “นายไม่ให้เกียรติน้องสาวฉันเลยนายรู้มั้ย”
“ฉันไม่มีพี่ชายอย่างแก” เอลิช่าตะโกน สิ้นเสียง เอลิช่ายกฝ่ามือปิดหน้าของหล่อน หล่อนกำลังทำอะไรสักอย่าง ทรายบริเวณรอบๆ สั่น และเริ่มเต้นเป็นจังหวะ ชั่วอึดใจ ทรายจำนวนมหาศาลพุ่งทยานขึ้นมาจากพื้น เอลิช่าแผ่มือของหล่อนออก ทรายกองโตรวมกันเป็นก้อนกลมๆ ขนาดใหญ่กลางอากาศ ทรายเหล่านั้นถูกล้อมด้วยพลังงานสีทองจางๆ เอลิช่าหลับตาลง ทันทีที่เธอลืมตา ทรายกองโตนั่นพุ่งอย่างเกรี้ยวกราดไปยังออสติน ทรายหนักหลายพันตันอาจทำให้ออสตินไม่สามารถขยับได้เลยหากเขาถูกมันทับ
ทันทีที่กองทรายถึงตัวออสติน มันก็พุ่งผ่านตัวเขาไป ผมสังเกตเห็นพลังงานสีเขียวหมุนอยู่รอบๆตัวของออสตินและแฝดคู่นั่น มันช่วยให้พวกเขาไม่เป็นอะไร ที่สำคัญมันทำหน้าที่เป็นโล่กำบังให้ออสตินอีกด้วย ไม่นานผมก็รู้ว่าพลังนั่นมาจากเอ วันหนุ่มคนนั้น เขาใช้พลังจากนาฬิกาทราย หลังจากทรายทั้งหมดตกลงสู่พื้น เสียงหัวเราะที่น่าเกลียดก็ดังระงม มันเป็นเสียงหัวเราะของออสติน และแฝดคู่นั้น ถ้าถามผมว่าอะไรที่ผมเกลียดและกลัวที่สุดในวันคริสต์มาส มันก็ต้องเป็นพวกเขาทั้งสามคน
“อย่าคิดว่าเธอใช้พลังจิตได้คนเดียวเอลิช่า” ออสตินเอ่ยเยาะเย้ย “เธอคิดว่าฉันจะมาต่อสู้กับเธอโดยไม่มีแผนการณ์ล่วงหน้าหรอ”
“นายมันสกปรกตลอดอยู่แล้วออสติน” เอลิช่าทำสีหน้าเหมือนกับหล่อนรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น
“ขอแนะนำพวกแกให้รู้จักกับ ฝาแฝดโอลาฟ” ออสตินผายมือออกไปยังฝาแฝด เขาดูภาคภูมิใจมากกับแฝดรัสเซียงี่เง่าคู่นี้ “หนุ่มน้อยคนนี้ คือ มิคาอีล ส่วนหล่อนก็คือ มารีอา ...ช่างเป็นพี่น้องที่สมบูรณ์แบบดีจริงๆ”
“พี่น้องงั้นเหรอ” เอลิช่าหัวเราะด้วยน้ำเสียงขมขื่น “คำนั้นหนะ ...นายไปรู้จักมันตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“โดยสัญชาตญาณของฉันไงหละ” เขาก้าวมาหาเราทั้งคู่อย่างช้าๆ “สักวันเธอจะเข้าใจ เอลิช่า ...เธอมันก็ไม่ต่างจากฉันมากนักหรอก”
“ฉันต่าง ...นายมันฆาตรกร” เอลิช่ามองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น “นายฆ่าพ่อและแม่ของเรา” คำพูดของเอลิช่าทำเอาออสตินหยุดเดิน เขาหันมามองเอลิช่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“พระเจ้าช่วย ...เจ้าหนุ่มนั่นหนะ” เอลิช่าต่อประโยค หล่อนหันไปสนใจมิคาอีล “อ่านจิตใจคนได้มั้ย ...ถ้าได้ละก็ เขาก็คงเป็นอีกคนที่กำลังรู้ว่านายกำลังรู้สึกอย่างไร ออสติน”
“หึ! บางทีเธอก็ไม่ได้รู้ไปทุกเรื่องหรอก เอลิช่า” ออสตินพยายามข่มอารมณ์ของเขาเอง
“นายอยากฆ่าฉันมากเลยสิตอนนี้หนะ” น้ำเสียงของหล่อนทำให้ผมรู้สึกได้ว่าหล่อนกำลังยั่วโมโหออสติน แต่เพื่ออะไรกัน “นายกำลังรู้สึกโมโห ที่ฉันกำลังอ่านใจของนายอยู่ ...บอกฉันสิว่าฉันพูดผิด ออสติน”
“เงียบปากซะ! ...มิคาอีลจัดการหล่อนซะ” ออสตินเก็บอารมณ์ของเขาไม่อยู่ เขาระเบิดมันออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว ผมรู้สึกถึงความรุนแรงของน้ำเสียงนั่น มันสามารถทำให้กระดูกผมแตกละเอียดได้เลย
หลังรับคำสั่ง เหมือนกับว่าเขารอมันมานานแล้ว มิคาอีลยิ้มอย่างเต็มใจ เขามองมาที่เราทั้งคู่เหมือนกับเขาเป็นราชสีห์ที่กำลังมีเหยื่อรายใหม่ให้สนุกด้วย เราทั้งคู่มองหน้ากัน ต่างก็รู้ว่า มิคาอีลไม่ใช่ธรรมดา เอลิช่าพยักหน้าเหมือนเป็นการเตรียมความพร้อม
หมอนี่อ่านจิตใจคนไม่ได้ เราโชคดี ...ฉันจะหาจุดอ่อนของหมอนี่เอง
เสียงเอลิช่าก้องในหัวของผม หล่อนพยายามสื่อสารผ่านโทรจิต ซึ่งนั่นอาจเป็นเรื่องดี ผมหยิบปืนสั้นออกจากปลอก ปลดล็อค และสำรวจกระสุนในแมกาซีน มันมีกระสุนอยู่เต็ม ...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมกำลังสู้กับ เอ วัน ที่ใช้พลังจิตได้ ...เขาจะทำลายปืนสั้นของผมโดยไม่ต้องขยับอะไรเลย แต่การมีปืนสั้นในมือยังไงมันก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจอยู่เหมือนกัน
“ว้าว ปืนสั้นเหรอ” มิคาอีล พูดด้วยสำเนียงรัสเซียเป็นการเยาะเย้ย “นายคิดว่าฉันเป็นตุ๊กตายิงเป้าที่งานวัดหรือไง” สิ้นเสียงของเขา เสียงหัวเราะเยาะเย้ยจาก ออสตินและมารีอา ดังขึ้น มันทำให้ผมรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“ฉันยิงไม่พลาดแน่” ผมข่มเสียง “อย่าเล่นสกปรกก็แล้วกัน”
ไม่ทันที่ผมจะต่อประโยคต่อไป ทุกอย่างรอบตัวของผมก็เปลี่ยนไป จากหาดทรายเมื่อครู่ มันกลายไปเป็นห้องกว้างสีขาวโล่ง ไม่มีสิ่งใดเลย
“ฉันรู้ ว่าเอลิช่า จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วย” เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ไหนลองมาดูซิว่า ถ้ามีอะไรให้เธอช่วยเลย ...หล่อนจะเป็นอย่างไร”
ผมเริ่มรู้สึกรำคาญและรู้สึกหวั่นใจกับ เจ้ารัสเซียแผนสูงนี่จริงๆ ผมยกปืนเล็งไปที่หมอนั่น เตรียมพร้อมที่จะเป่าสมองให้กระจุย ทันทีที่เขาคิดจะใช้พลังจิต ...ถึงมันจะฟังดูสิ้นหวังก็ตาม
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ เอลิช่าเหงียบตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับหล่อน ผมหันหน้าไปมองหล่อนเพื่อแน่ใจว่าหล่อนยัง โอเค ...แต่ว่าเอลิช่าของผมเปลี่ยนไป... ดวงตาของหล่อนเปล่งประกายสีทองแสงสะท้อนออกมาจากเบ้าตา ผมสีแดงของหล่อนปลิวว่อนเหมือนกับมีลมพายุกำลังพัด ผมรับรู้ถึงพลังงานของหล่อน แต่คราวนี้มันมากเหลือเกิน ...เกิดอะไรขึ้นกับเอลิช่ากันแน่
ตรงข้ามเราทั้งคู่ มิคาอีลกำลังทำอะไรสักอย่างกับนาฬิกาทรายของเขา มันเริ่มเปล่งแสงสีเขียว และม่วงสลับกัน
“น่าประทับใจจริงๆ” มิคาอีลพูดพลางใช้มือขวาของเขาหมุนรอบๆนาฬิกาทราย ชั่วไม่กี่อึดใจแสงที่เขียวและม่วงจากนาฬิกาทรายพุ่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด มันพุ่งตรงมายังเรา ผมสังเกตเห็นว่ามันเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ เป็นรูปอสรพิษต่างๆ
เอลิช่าหลับตาลงและยิ้มอย่างใจเย็น แต่ตอนนี้ผมอยากจะบอกว่า รีบหน่อยเถอะ หรือ ทำอะไรสักอย่างได้มั้ย ผมเหนี่ยวไกและยิงปืนสั้นของผมอย่างสิ้นหวัง ลูกกระสุนพุ่งตรงไปยังแสงนั่น บ้างก็ถูกแสงที่กลายรูปร่างเป็นงู แมงป่อง หรือเสือ ทำลาย บ้างก็พุ่งทะลุเข้าไปในแสงแล้วหายวับไป
“เตรียมตัวตายเถอะ” ผมเริ่มเกลียดสำเนียงรัสเซียงี่เง่านั่นแล้ว “ปากา ปากา” มันแปลว่า ลาก่อน ภาษารัสเซีย ผมเกลียดที่สุดเลย...
และแล้วแสงนั่นก็วิ่งมายังเราทั้งคู่ผมทิ้งปืนสั้นและจับมือเอลิช่า แสงนั่นต้องฆ่าเราทั้งคู่แน่ๆ ...แต่ผมยังมีหวัง…
เอลิช่าเบิกตาของหล่อน แสงสีทองพุ่งออกมาจากตาเป็นสาย เหมือนกับว่าแสงสีทองจากตาของเอลิช่ากำลังขับไล่ แสงของมิคีล มันค่อยๆล่าถอยและกลับไปยังนาฬิกาทรายในมือของมิคาอีล และหายวับไป สิ้นแสงจากตาเอลิช่า ฉากสีขาวที่มิคาอีลสร้างขึ้น เริ่มพลังสลายลงมา ก่อนมันจะตกถึงพื้นมันก็กลายเป็นแสงสีเขียวลอยไปในอากาศ นั่นทำให้มิคาอีลค่อนข้างผิดหวัง แต่เขาก็ยังคงทำสีหน้าเย็นชาต่อไป
เราทั้งคู่ยิ้ม ก่อนที่เอลิช่าจะหมดสติลงไป ผมรับเธอไว้ได้ทัน
“พวกนายก็แค่ยืดเวลาการตายไว้เท่านั้น” ออสตินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “บอกทุกคนที่รู้จักนายไว้ว่า ระวังตัวให้ดี” คำเตือนนั่นทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ที่ผมชอบอ่านตอนเด็กๆ มันเป็นคำพูดของเหล่าร้ายงี่เง่าเท่านั้นเอง ...แต่ว่ามันทำไมทำให้ผมรู้สึกเหมือนเสี้ยวหัวใจถูกเฉือนเลยหละ
ผมตัดสินใจแบกเอลิช่าไว้บนบ่า ผมสีแดงของหล่อนเปลี่ยนไปเป็นสีขาวแล้ว ...หล่อนอาการไม่ดีแล้ว มันต้องเกิดอะไรขึ้นกับหล่อนแน่ๆ มีคนเดียวที่รู้ว่าต้องทำอย่างไร คือ เปเรส
ผมไม่สนใจออสตินและลูกสมุนพวกนั้น ผมหันกลับหลังและถีบเท้าออกวิ่ง ผมต้องวิ่งจากหลุยส์เซียน่าไปยังเวสต์เวอจิเนีย ถึงมันจะใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่เชื่อผมเถอะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ความคิดเห็น