คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : The appearance of missing A1 (การปรากฏตัวของ เอ วัน ที่สาบสูญ)
เป็นเวลากว่าหกปีในการฝึกฝนเยี่ยงทหารของผม ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ผมมีสมาธิมากขึ้น และตื่นตัวในเวลาเดียวกัน และพละกำลังมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาของผม ...ขาอันทรงพลัง
ผมกำลังเดินอยู่กับเอ็ดวิน และเอลิช่าในห้องโถง ซึ่งภายหลังผมทราบว่ามันชื่อว่า เอรีส ฮอลล์ มันเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งการสงคราม อย่างไรก็ตาม แมซ ไม่ใช่องค์กร เพื่อการสงครามอย่างแน่นอน อย่างน้อยผมก็รู้สึกเช่นนั้น เอลิช่าคุยกับผมขณะเดินไปยังบัลลังก์ซึ่งภาพสามมิติเสมือนจริงของเปเรสกำลังออนไลน์อยู่ หล่อนบอกว่าเราต้องกลับไปยังศูนย์ ซาน แอนโตนีโอ เพื่อพบกับ โฮเซ่น หลังจากที่เจอหน้าเขาเพียงแค่ผ่านทาง วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ที่แสดงภาพสามมิติเสมือนจริงเหมือนกับตอนที่เปเรสปรากฏตัว
“ท่าน เอ่อ... คุณเปเรส” เอลิช่าเอ่ยขึ้น “เราต้องกลับไปหาคุณโอเซ่นเพื่อนำตัว เอ วัน ที่ปรากฏตัวใน ซาน แอนโตนีโอมาที่นี่ค่ะ” เอลิช่าเอ่ยพลางมองหน้าเอ็ดวินที่ดูกระปรี้กระเปร่ากับอะไรสักอย่าง
“นั่นช่าง...เป็นเรื่องยอดเยี่ยมเลยหละ” เปเรสบอกเอลิช่า “ระวังเรื่อง ...พวกคาลิสโตด้วย มีราย
งานว่าพวกนั้นปรากฏตัวที่เทกซัสเมื่อหลายเดือนก่อน” เอลิช่าพยักหน้า ก่อนที่เธอเริ่มเดินนำหน้าผม และเอ็ดวินไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังผิวโลก
ห้องของกระท่อมหลังนี่ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สะอาด ดูเป็นระเบียบราวกับว่า แมซจ้างแม่บ้านมาทำทำสะอาดทุกวัน เอลิช่า เอ็ดวิน และผมเดินออกไปจากกระท่อมหลังนี้ ลมหอบหนึ่งพัดมากระทบใบหน้า มันให้ความรู้สึกถึงไอน้ำ และความเย็น ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ...มันก็แปลกอยู่ที่ผมกลับยังไม่ลืมสภาพภูมิอากาศบนพื้นโลก มันเป็นเวลาหกปีเต็มที่ผมอยู่ใต้พื้นโลก
เราเดินมายังรถแทรคเตอร์คันสีเหลืองสำหรับใช้งานในเหมือง ผมจำได้ว่ามันคือ เฮลิคอปเตอร์ลำที่เกือบจะฆ่าผม และพาผมมาที่นี่ เอ็ดวินบอกให้พวกเราหลบไปไกลๆ และกดปุ่มอะไรบางอย่างตรงล้อของแทรคเตอร์ เอ็ดวินวิ่งออกมาตรงพวกเรา ไม่กี่วินาทีแทรคเตอร์เริ่มขยับ เสียงโลหะดีดตัวราวกับมันเพิ่งตื่นจากการนอนมานานแสนนาน ล้อของแทคเตอร์หดเข้าไปในตัวรถ มีเสาขนาดเท่าเสาธงหน้ารัฐสภาโผล่ขึ้นมา ไม่นานมันก็แยกตัวออกเป็นใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ ที่นั่งแทรคเตอร์เลื่อนไปข้างหน้า โลหะเลื่อนตัวออกมาปิดที่นั่ง ท่อของแทรคเตอร์ยืดออกยาวกลายเป็นส่วนท้ายของเฮลิคอปเตอร์ เคร้ง! แทรคเตอร์ได้กลายเป็นเฮลิคอปเตอร์เรียบร้อยแล้ว
“นี่มันเจ๋งมากเลยแฮะ” ผมอุทาน และผมก็เหลือบเห็นตราสัญลักษณ์ของกองทัพ “นี่มันเฮลิคอปเตอร์ของรัฐ...”
“มันเป็นลำที่ฉันใช้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ตอนฉันอยู่ที่กองทัพ” เอ็ดวินแทรก ตาของเขาเป็นประกาย “และมันก็พาฉันหนีจากกองกำลังรัฐบาลมาด้วย ...มันช่วยชีวิตฉันไว้” เอ็ดวินลูบมืออย่างอ่อนโยนที่เฮลิคอปเตอร์ลำนั้น ซึ่งผมคิดว่ามันน่าเกรงขามเกินกว่าจะทำอะไรเช่นนั้น “เปเรส ให้งบฉันดัดแปลงมันให้ล้ำสุดๆไปเลย” เอ็ดวินหัวเราะ และเดินขึ้นไปยังที่นั่งคนขับของเฮลิคอปเตอร์
“รออะไรกันเล่าพวก!” เขาตะโกนออกมา
ผม และเอลิช่ามองหน้ากันก่อนจะเดินไปนั่งที่นั่งเก่าตอนผมมา ปืนกลสีเงินเป็นประกายนั่นยังคงอยู่ที่เดิมแต่คราวนี้ ผมไม่ค่อยระแวงเจ้านี่เท่าไร มันดูเหมือนว่า น่าเสียดายจัง นายคงไม่มีโอกาสกินลูกกระสุนของฉันแล้วหละ อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้น แต่บอกไว้ก่อนผมไม่ได้ปลอบใจตัวเองเลย
เราอยู่เหนือเมืองแกสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา มุ่งหน้าสู่ฟลอริดา เส้นทางซึ่งอยู่ห่างจากวิถีดาวเทียมของรัฐบาล ความเย็นเหนือพื้นโลกทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย และผล็อยหลับไป
“เจมส์!” เสียงของเอลิช่าฟังดูตระหนก ผมสะดุ้งตื่นเห็นสีหน้าเดินไม่ดีนัก
“ว...ว่าไง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงครั่นคร้าม ผมรู้ว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น”
“เอ็ดวินสัมผัสอะไรบางอย่างได้” เอลิช่าเอ่ยด้วยสีหน้าวิตก
“มันคืออะไรเหรอ” ผมละล่ำละลั่ก “ค...คาลิสโตเหรอ”
“ใช่!” เอ็ดวินตะโกนมาจากที่นั่งนักบิน “พวกนั้นอยู่แถวๆนี้”
สิ้นเสียงเอ็ดวินผมสังเกตุเห็นอะไรบางอย่างผ่านกระจกใสด้านหน้าเอ็ดวิน มันพุ่งด้วยความเร็ว เอ็ดวินเบิกตากว้าง เขาตกใจสุดขีด
“ป...ปืนจรวด!” เอ็ดวินร้อง เขารีบบังคับเฮลิคอปเตอร์ให้หลบเจ้าสิ่งนั้น โชคดีที่เขามีประสาทสัมผัสว่องไว เรารอดจากการถูกย่างกลางอากาศ
ไม่ทันที่พวกเราจะดีใจ ระเบิดจรวดหักเหกลับมาทางเราอีกครั้ง
“จรวดนำวิถี!” เอลิช่าตะโกน ก่อนที่จะเธอจะหลับตาเหมือนกับเพ่งสมาธิ
“เอ็ดวิน!” ผมตะโกน “มันเข้ามาใกล้แล้ว หักหลบไปทางขวา!” ผมสั่งด้วยท่าทางตื่นตระหนก จรวดพุ่งตรงมาหาเราเหมือนกับมันกำลังจะมาหาเรื่องพวกเรา ทันใดนั้น ก่อนที่จรวดจะพุ่งชนเฮลิคอปเตอร์มันหักเหทิศทาง และระเบิดกลางอากาศไกลออกไปจากเราประมาณสี่สิบฟุต เอลิช่าทำลายมัน...
“เธอเจ๋งมากๆเลย” ผมดีใจ “พระเจ้าช่วย! พวกนั้นบ้าไปแล้วแน่ๆ”
“พวกนั้นจะฆ่าเราต่างหาก” เอลิช่าแก้คำพูด
“ไม่!” เอ็ดวินตะโกนด้วยเสียงตื่นตระหนกอีกครั้ง “จรวดอีกลูกกำลังมา!” เขาโวยวาย “ทุกคนออกไปจากเฮลิคอปเตอร์ซะ!” เอ็ดวินพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ไม่!” ผมตะโกน “เราจะไม่ ...ทิ้งนาย”
“อย่าโง่น่า!” เอ็ดวินตวาด “นายต้องไปหาคุณโฮเซ่น ...เอลิช่าช่วยที”
เอลิช่าเพ่งสมาธิอีกครั้ง ในความคิดของผมคือ หล่อนกำลังจะทำลายจรวดนั่น แต่ทันใดนั้นร่างกายของผมเสียการควบคุม ผมลอยคว้างออกมาจากเฮลิคอปเตอร์พร้อมกับเอลิช่า ผมมองเห็นระเบิดจรวดพุ่งอย่างรวดเร็วไปยังเฮลิคอปเตอร์
ใช้เวลาไม่ถึงวินาที
ตูม!
เฮลิคอปเตอร์ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ไฟแดงฉานประทุขึ้นกลางอากาศ ซากเฮลิคอปเตอร์ลำคู่ใจของเอ็ดวินแตกกระจายเป็นพันๆชิ้น บางชิ้นปลิวผ่านผมกับเอลิช่าไป แต่ด้วยโทรจิตของเอลิช่า มันไม่สามารถทำให้ผมกับเอลิช่าได้รับบาดเจ็บ ถึงอย่างไรก็ตามภายในไฟแดงฉานนั้น ร่างเพื่อนที่ไร้วิญญาณของผม และเอลิช่ากำลังไหม้เป็นจุล
“ไม่!” เอลิช่าตะโกน น้ำตาของหล่อนเอ่อออกมาที่ขอบตามันปลิวไปกับสายลม น้ำไหลออกจากตาของเอลิช่ากลายเป็นสีทอง นั่นอาจเพราะเธอกำลังเพ่งจิตเพื่อจะเคลื่อนย้ายเราลงสู่พื้นดินอย่างปลอดภัย ผมรู้สึกสลดแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ในความรู้สึกหนึ่งผมรู้สึกเสียใจ ที่เอ็ดวินต้องจากไป อย่างน้อยเขาก็เคยสอนผมในหลายๆเรื่อง อย่างน้อยผมก็รู้สึกสนิทกับเขามากขึ้นตลอดหกปีที่ผ่านมา
ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยอยู่เหนือเมืองกัลเวสตัน รัฐเทกซัส ซึ่งอีกไม่กี่ไมล์ก็จะถึงศูนย์บัญชาการของโฮเซ่นแล้ว ร่างกายของผมพุ่งลงสู่ข้างล่างอย่างช้าๆ ตอนนี้มันไม่ใช่เมืองกัลเวสตันแล้ว ผมกำลังพุ่งลงสู่เกาะเซาท์ เดียร์
พื้นที่สีเขียวจากหญ้า และต้นไม้ค่อยปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าเอลิช่ากำลังผ่อนพลังจิตของหล่อน เพื่อที่จะลงพื้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ ...หล่อนกำลังหมดแรง เอลิช่าปลิวออกไปไกลจากผม เอลิช่ายังไม่หยุดสะอื้น น้ำตาทั้งหมดของหล่อนตอนนี้มันลอยอยู่รอบๆตัวเธอ มันทำให้ผมรู้สึกอยากแลกชีวิตของผมกับเอ็ดวินเลย ผมไม่ชอบยามหล่อนมีน้ำตามันน่าสลดกว่าการต้องเสียเอ็ดวินไปเป็นพันเท่า
แสงสีทองห้อมล้อมตัวเอลิช่าไว้ มันส่องประกายออกมา พาเอลิช่าลอยลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ ไม่นานผมก็จำได้ว่าผมกำลังตกลงสู่พื้นโลกโดยปราศจากการควบคุม ผมพุ่งตัวลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว ภาพเอลิช่ากำลังลางไปจากไอหมอกที่บังเธอไว้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมรู้สึกกลัวเกินกว่าจะหันไปมองเอลิช่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับหล่อน ผมจ้องมองพื้นดินที่ผมกำลังพุ่งลงไปหาอย่างรวดเร็ว เสียงอากาศเสียงสีกับผิวหนังของผมดังอื้ออึง แทบทำให้ผมหัวสมองระเบิดกลางอากาศ ผมหลับตา กำลังจินตนาการถึงสภาพศพของผมบนพื้นที่เกาะแห่งนี้
พลั้ก!!!
ผมกระแทกกับพื้นดินของเกาะเซาท์ เดียร์ อย่างแรง มันแรงจนสามารถทำให้พื้นดินร้องไห้หากมันมีชีวิต ผมนอนแน่นิ่งอยู่สักครู่ ก่อนจะรู้สึกว่าผมสบายดี ทั้งๆที่ความสูงกว่าร้อยฟุตควรจะทำให้กระดูกผมแหลกละเอียดหลังจากตกลงมาสู่พื้นดิน ผมค่อยๆลุกยืนขึ้น ปัดเศษดินที่ติดอยู่ทั่วร่างกาย
ผมเริ่มจ้องมองแขนของผมทั้งสองข้าง มันปกติเหมือนอย่างที่มันควรจะเป็น หลังจากแน่ใจแล้วว่าผมปกติแล้ว ผมรีบหาหน้ามองขึ้นไปยังบนฟ้า หวังว่าจะเห็นเอลิช่าลอยด้วยพลังจิตอ่อนๆของหล่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ว่าผมก็พบเพียงท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เมฆลอยเกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่น แสงอาทิตย์อ่อนๆสาดส่องลงมาผ่านกลุ่มเมฆบนฟ้า
ผมรู้ว่าจะออกจากเกาะนี้อย่างไร ...โดยเรือหรือว่ายน้ำเท่านั้น ปัญหาข้อแรกคือผมไม่มีทางหาเรือได้จากเกาะแห่งนี้ ผมต้องรอจนกว่าจะมีนักท่องเที่ยวผ่านมา ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร ปัญหาที่สองคือผมต้องว่ายน้ำด้วยระยะทางกว่าสามพันฟุตไปยังเกาะกัลเวสตัน ซึ่งนั่นจะทำให้ผมตายที่ระยะทางหนึ่งพันฟุตแรก ผมกำลังติดเกาะ... มันคงดีมากหากมันเหมือนกับนิยายเรื่องของโรบินสัน ครูโซ ซึ่งเขาติดอยู่ที่เกาะที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย เซาท์ เดียร์ เป็นเกาะที่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย ไม่มีผู้คน มีเพียงต้นหญ้าต้นเล็กที่มักจะขึ้นตามชายฝั่ง ส่วนมากเป็นมอสซะมากกว่า
ไม่กี่นาทีต่อมาผมเริ่มสัมผัสบางอย่างแปลกๆ มีใครบางคนอยู่ที่นี่...
ฟ้าว!
เสียงโลหะวิ่งเฉือนอากาศด้วยความเร็ว โลหะนั่นกำลังพุ่งตรงมาที่ผม โดยสัญชาตญาณ ผมเอี้ยวตัวหลบเจ้าสิ่งนั้น
ฉึก!
โลหะรูปร่างยาวพุ่งเข้าแทงที่พื้นหญ้าด้านหลังผมห่างออกไปประมาณสิบฟุต มันมีรูปร่างเหมือนกับมีดพก เพียงแต่มันเป็นสีดำสนิท ไฟสีแดงกระพริบตลอดเวลาอยู่ตรงด้ามจับของมัน ทันใดนั้นผมรู้โดยทันที มันคือระเบิด
ตูม!
แรงระเบิดส่งร่างผมกระเด็นออกไปประมาณห้าหลา เสื้อผมขาด มีแผลถลอกที่แขน น่อง และหน้าอก ผมพยายามลุกขึ้นยืน เพ่งสมาธิเพื่อจับการเคลื่อนไหวของเจ้าของวัตถุประหลาดอันนั้น ผมหรี่ตามองไปรอบๆ
“แกเป็นใคร!” ผมตะโกนบอกกับใครสักคนผู้ซึ่งพยายามฆ่าผมในเกาะเฮงซวยนี้
ไม่มีเสียงตอบใดๆ แต่ว่าใครก็ตามคนนั้นหนีประสาทสัมผัสผมไม่ได้ ผมรู้สึกถึงฝีเท้าของเขาคนนั้นจากข้างหลังผมไกลออกไปประมาณห้าสิบฟุต ไม่นานมันก็กลายเป็นเสียงเร่งฝีเท้า ผมหลับตาอย่างช้าๆ รอจนกว่าเจ้าของเสียงจะวิ่งเข้ามาใกล้ ไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าของเสียงอยู่ห่างจากผมออกไปไม่ถึงสองฟุต ผมหันด้วยความเร็ว กำหมัดแน่น
ผัวะ! หมัดของผมกระทบเข้ากับใบหน้าของใครบางคน ร่างนั้นกระเด็นห่างออกไปด้วยแรงหมัดอันทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อของผม ชายคนนั้นหมุนตัวกลางอากาศ และพุ่งลงสู่พื้นดิน เขาย่อเข่าลงเพื่อลดโมเมนตัม จากนั้นก็ลุกยืน
ชายคนนั้นอยู่ในชุดสูตรลายทางสีดำ เขาสวมแว่นตาสีดำ แก้มข้างซ้ายของเขาเป็นรอยสีแดงผลจากหมัดอันทรงพลังของผม ผมสังเกตุเห็นหมอนั่นแสยะยิ้ม มันสยองว่าตอนเอลิช่าพูดด้วยน้ำเสียงเหยือกเย็นเป็นล้านเท่า แว่นตาดำ และผมสีดำขลับของเขาทำให้รอยยิ้มของเขาดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น
หมอนั่นค่อยๆเดินตรงมาที่ผม หากเป็นเอลิช่าหรือเอ็ดวิน เขาคงยืนอยู่กับที่ และตั้งท่าพร้อมจะต่อสู้ แต่ผมก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มในชุดสูตรสีดำอยู่ห่างจากผมประมาณไม่ถึงสิบฟุต เขาค่อยๆถอดแว่นดำของเขาออก เผยให้เห็นดวงตาสีแดงฉาน ชั่วครู่หนึ่งมันทำให้ผมนึกถึงดวงตาสีทับทิมของเอ็ดวิน แต่ของชายคนนี้มันน่ากลัวกว่าเป็นร้อยเท่า
“นายทำได้ดี” เสียงเยือกเย็นของชายคนนั้นทำให้เลือดของผมแทบแข็งเป็นก้อน
“นายเป็นใคร” ผมพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไม่ให้รู้สึกหวาดกลัวชายคนนี้
“ออสติน อีธาน แมค อะลิสโต” ทันทีที่ชื่อของเขาถูกเอ่ย ผมเกือบจะล้มลงไปนอนกับพื้นดิน ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างกำลังรบกวนจิตใจของผม ผมเริ่มหวาดกลัวชายคนนี้ แต่ทันใดนั้นผมก็จำได้ว่านามสกุลของเขา คือ...นามสกุลของเอลิช่า
“นายนี่เอง ...นายเป็นอะไรกับเอลิ..”
“พี่ชาย” เขาตอบ
“เยี่ยม” ผมพูด “นายทำไมไม่กลับไปหาคุณเปเรสหละ” ผมตั้งคำถาม “เขากำลังตามหานายนะ”
“เปเรสเหรอ” เขาพูด “คุณลุงที่แสนดีของฉัน”
“เดี๋ยวนะ! ...นายเป็นหลานชายของเขาเหรอ” ผมถาม
“เปล่า!” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง “เปเรสเป็นเพียงแค่ตาเฒ่าที่เวลากำลังหมดลงต่างหาก”
“นายหมายความว่านายกำลังจะฆ่าเขาหนะเหรอ” ผมเริ่มโกรธกับคำพูดสกปรกของเขา “ฉันว่านายควรจะไปหาพื้นที่แถวๆนี้ทำหลุมศพของนายซะ!” ด้วยความเดือดดาลผมเอ่ยคำพูดออกไป ผมยั้งปากไม่ทัน นั่นมันต้องเป็นผมต่างหากที่ควรจะหาหลุมศพของตัวเองแถวๆนี้
ออสตินหัวเราะ“นายเอาชนะฉันไม่ได้หรอก”
สิ้นเสียงออสตินพุ่งตรงมาที่ผมด้วยความเร็ว ผมสังเกตเห็นดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ฝ่ามือของเขากระแทกที่ท้องผมอย่างเต็มที่ มันเหมือนกับว่าผมกำลังถูกชนด้วยรถบรรทุก ร่างของผมกระเด็นพุ่งออกไป ผมร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่นานผมตกลงมาที่พื้นหินที่เต็มไปด้วยมอส ผมมองไม่เห็นออสตินแล้ว
ผมเริ่มหรี่ตา แต่ก่อนที่ผมจะสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของเขา ออสตินถึงตัวผมด้วยความรวดเร็ว เขายืนอยู่ตรงหน้าผมในมือของเขามีแท่งโลหะสีดำรูปร่างเหมือนกับอันที่ก่อนหน้านี่เขาพุ่งใส่ผม
“น่าเสียดายจริงๆ ที่นายต้องตายก่อน เปเรส”
เขาแทงแท่งโลหะนั่นมาที่ผม ด้วยความเร็ว ผมหมุนตัวหลบทัน ผมลุกยืนด้วยความเร็ว ตอนนี้เขากำลังเสียหลักเพราะแท่งโลหะสีดำของเขาแทงติดอยู่กับพื้น ผมใช้เท้าถีบเขากระเด็นออกไป ไฟสีแดงกระพริบอยู่ที่ด้ามจับของแท่งโลหะ ผมรีบตีลังกาหมุนตัวไปทางด้านหลังหลายตลบ ก่อนที่แท่งนั่นจะระเบิด
ออสตินวิ่งฝ่ากองเพลิงของระเบิดตรงมาที่ผม ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาผายมือออก แท่งโลหะสีดำนับสิบลอยมาอยู่ตรงหน้าของเขา ดวงตาออสตินเปลี่ยนเป็นสีม่วง เขาปัดแท่งโลหะทั้งหมดมาที่ผม
“ถ้านายเจ๋งจริงหลบให้ทันสิ!” ออสตินคำรามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ผมหันหลังกลับ เพื่อจะสั่งขาของผมให้วิ่งหนีแท่งโลหะเหล่านั้น แต่ว่าข้างหน้าผม ...มันคือทะเล ผมไม่มีทางหนีแล้ว... ผมหันกลับมา โลหะทั้งหมดพรุ่งผ่านอากาศราวกับว่ามันกำลังโกรธผมที่ทำให้เพื่อนๆมันระเบิดโดยเปล่าประโยชน์ หากเป็นเอลิช่าหล่อนคงใช้พลังจิตหยุดเจ้าโลหะเหล่านี้ไปแล้ว แต่สำหรับผมมันกำลังจะฆ่าผมภายในเวลาไม่ถึงวินาที
ผมยกมือขึ้นปิดหน้าตามสัญชาตญาณ หลับตาสนิท ทันใดนั้นผมรู้สึกมีไอร้อนวิ่งลอยผ่านหน้าผม ร่างกายของร้อนผ่าว เหมือนเลือดกำลังเดือด ผมค่อยๆลืมตา แท่งโลหะทั้งหมดหยุดอยู่ตรงหน้าของผม มันหยุดนิ่ง ผมหยุดพวกมันได้...
ด้วยพลังอะไรสักอย่าง ผมสามารถหยุดแท่งโลหะเหล่านั้นไว้ด้วยการยกฝ่ามือขึ้นป้องกันไว้ คำถามนับล้านของผมผุดขึ้นในหัวของผม มีเพียงคำตอบเดียวที่ผมจำได้จากเปเรส ผมคือ ผมเป็นประเภทยกเว้น มันเกี่ยวกับพลังพิเศษที่สองของผมหรือไม่ หรือตอนนี้แค่มีใครกำลังช่วยชีวิตผม เอลิช่าเหรอ
แท่งโลหะร่วงกรูลงพื้น ออสตินมองผมด้วยสายตาเย้ยหยัน ราวกับว่าสิ่งที่ผมทำมันเป็นแค่เรื่องของเด็กๆ สำหรับผมมันเป็นเรื่องน่ายินดีหากนี่เป็นพลังพิเศษของผม
“นั่นหนะพลังของนายสินะ” ออสตินเอ่ย “น่าตลกสิ้นดี!”
ออสตินจ้องผมด้วยสายตาที่น่ากลัว ตาของเขาค่อยๆกลายเป็นสีดำ ผมหมายถึงสีดำทั้งดวงตา ผมรู้สึกถึงลมที่มีความเร็วขนาดเท่าพายุกำลังก่อตัว และพัดไปทางเขา อากาศค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ ต้นหญ้าลู่ไปกับพื้นดินด้วยแรงลม มันไม่ได้กำลังพัดไปทางออสติน แต่มันกำลังพัดเข้าหาออสติน ลมนั่นแรงมากพอที่จะดูดผมเข้าไปเลยหละ น้ำทะเลรอบๆเกาะเริ่มปั่นป่วน มันก่อตัวเป็นคลื่นสูง ทันใดนั้นลมก็สงบเงียบ ผมรู้สึกเหมือนกำลังกลั้นหายใจ แต่เปล่าเลย ...อากาศทั้งหมดในบริเวณนี้ถูกดูดไปยังวงกลมสีดำขนาดเท่าลูกบาสเกตบอล ด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่า มันคือหลุมดำขนาดย่อม
ผมไม่เคยเห็นหลุมดำของจริงมาก่อน เพราะมันเป็นไปได้ยากที่คุณจะทันได้เห็นเจ้าสิ่งนั้นเป็นเวลานานก่อนที่คุณจะถูกมันดูดเข้าไปแล้วอัดให้แบนเป็นปลากระป๋อง ถึงมันจะมีขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลก็ตาม มันไม่ได้ลดความน่ากลัว และความทรงพลังของเจ้าสิ่งนี้ได้ตามขนาดที่ลดลงของมันได้เลย
ผมกำลังยืนตกตะลึงกับสิ่งที่ออสตินทำ มันเหนือคำบรรยาย ผมควรจะขอโทษเขาที่ชกหน้าเขา และทำตัวเป็นวัยรุ่นมีปัญหา จากนั้นก็บอกให้เขากำจัดเจ้าก้อนกลมสีดำนั่น แล้วสัญญากับเขาว่าผมจะเป็นเด็กดี แต่น่าเสียดายผมคิดได้ช้าไป ออสตินค่อยเดินตรงมาทางผมพร้อมกับแบมือใต้หลุมดำที่กำลังดูดทุกอย่างเข้าไปแม้แต่ทรายเม็ดเล็กๆ ราวกับว่าเขากำลังควบคุมเจ้าสิ่งนั้นอย่างง่ายดาย
“แรงดูดมหาศาล” ออสตินแสยะยิ้ม “ดูดแม้กระทั่งแสง ...รอดออกไปให้ได้” สิ้นเสียงออสติน เขาปัดมือขวาของเขามาทางผม เจ้าหลุมดำลอยอย่างช้าๆมาทางผม แต่ว่าผมรู้ว่ามันวิ่งเข้าหาผม ความจริงแล้ว ...มันกำลังดูดผมเข้าไปหามันอย่างรวดเร็วต่างหาก
ทันใดนั้นผมรีบหมุนปลายเท้าของผม ร่างกายของผมฝืนแรงดูดมหาศาลนั่น ตอนนี้ผมหันหน้าสู่ทะเล เศษซากสิ่งของต่างๆ ปลิวว่อนผ่านตัวผมไป มีท่อนไม้ท่อนหนึ่งพุ่งตรงมาทางผม ผมย่อตัวลงเพื่อหลบ จากนั้นผมเพ่งสมาธิ สั่งขาของผม ไม่นานขาของผมก็รู้สึกทรงพลังขึ้นมาทันที ผมรู้สึกว่ากำลังมหาศาลไหลลงไปอยู่ที่ขาของผม ผมจำได้ว่าหากผมวิ่งด้วยความเร็วมากๆ ผมจะสามารถวิ่งบนผิวน้ำได้อย่างสบาย ซึ่งผมกำลังลังเลใจ ...ในตอนนี้ผมจำเป็นต้องตัดสินใจ ทะเลอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่สิบฟุต...
ผมใช้เท้าขวาถีบพื้นทราย ร่างกายของผมเริ่มรู้สึกอบอุ่น ขาของผมกำลังทำงานเหมือนเครื่องจักร ...ตอนนี้ผมกำลังวิ่งอยู่น้ำด้วยความมหัศจรรย์ของขาคู่นี้ของผม มันทำให้ผมรอดชีวิตเป็นครั้งที่สอง
ผมหันกลับไปมองออสติน ภาพของเขาหายไปอย่างรวดเร็วในหมอก ตอนนี้ผมกำลังวิ่งอยู่ถนนฮาร์เบอร์วอร์ค ด้วยความเร็วกว่าห้าร้อยไมล์ต่อชั่วโมง ผมแทบมองไม่เห็นสิ่งรอบๆตัวผม ผมหลบสิ่งกีดขวางอย่างได้อย่างหวุดหวิด ราวกับว่าขาของผมคิดเองได้ด้วยตัวของมันเอง ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาทีด้วยการวิ่งผ่านทุ่งข้าวโพดเพื่อไม่ต้องให้เป็นที่สนใจของชาวเมือง ผมมาถึงซาน แอนโตนีโอ ซึ่งอีกประมาณสิบไมล์ผมก็จะถึงศูนย์บัญชาการของโฮเซ่นแล้ว
ผมทั้งกระหายน้ำ และเหนื่อยล้า ขาของผมไร้กำลัง ผมวิ่งต่อไปไม่ได้แล้ว ผมหยุดอยู่ข้างถนนแมค อลิสเตอร์ มองออกไปยังโอลมอส ที่ซึ่งผม และเอลิช่าเจอกันครั้งแรก ซึ่งชื่อถนนนั่นมันช่างคล้ายกับนามสกุลของเอลิช่าเหลือเกิน มันทำให้ผมเป็นห่วงเอลิช่าขึ้นมาทันที ผมนึกได้ว่าหลังจากที่ผมหนีออสตินมา ผมก็ลืมนึกถึงเอลิช่าไปเลย ...พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหล่อนอยู่ที่ไหน
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นประมาณสิบนาทีก่อนที่อาการเหนื่อยล้าของผมจะหายไป ผมไม่กระหายน้ำอีกต่อไป ผมรู้สึกว่าร่างกายเป็นปกติ
การจราจรของถนนแมค อลิสเตอร์เป็นสิ่งที่ชาวเมืองทุกคนต้องการ มันลื่นไหล ไม่มีรถติด นั่นอาจเพราะถนนนี้ตัดผ่านเขตเกษตรกรรมของเทกซัสก็เป็นได้
ผมลุกขึ้นยืน พยายามใช้มือดันพื้นเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้ม รู้สึกว่าขาของผมเป็นปกติแล้ว ผมมองนาฬิกา มันเป็นเวลาเที่ยงวัน บางทีผมอาจต้องเดินไปยังศูนย์บัญชาการของโฮเซ่นซึ่งมันคงดีกว่าการวิ่งในเขตชุมชนด้วยความเร็วห้าร้อยไมล์ต่อชั่วโมง
มันเป็นเวลาบ่ายสามโมงเย็น ผมเดินมาถึงฮอลลิวูด พาร์ค น่าแปลกใจที่ผมไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่นิดเดียว ตรงหน้าของผมคือศูนย์บัญชาการของโฮเซ่น ศูนย์บัญชาการยังคงสวยงามเหมือนเดิม ราวกับว่าโฮเซ่นจ้างคนมาทำความสะอาดบริเวณรอบๆศูนย์บัญชาการทุกวัน ตราสัญลักษณ์แมซ สะท้อนกับแสงแดดยามเย็นเป็นประกายดูน่าเกรงขาม ถึงแม้มันจะเป็นเวลากว่าหกปี ผมยังรู้สึกถึงบรรยากาศโดยรอบของแมซ
ผมเดินผ่านสนามหน้าที่เมื่อหกปีก่อนผมไม่เคยเห็นมันก่อน รอบๆสนามหญ้ามีกุหลาบหลากสีปลูกเป็นแนว บางทีกุหลาบเหล่านั้นอาจมีเจ็ดสีก็ได้ ผมสังเกตเป็นประตูทางเข้าหลักของศูนย์บัญชาการถูกเปิดไว้ มีเสียงก้องดังออกมาทางประตู เสียงนั่นเป็นเสียงของชายวัยชรา เขากำลังพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับพระเจ้าบนสวรรค์ ที่นี่ถูกทำให้กลายเป็นโบสถ์หรือไง ผมคิด แต่ทันใดนั้นผมก็คิดได้ทันทีว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น ...งานศพเอ็ดวิน
ความคิดเห็น