คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Run! (วิ่ง!)
ผมตื่นขึ้นมาบนโซฟาตัวเดิม หันไปมองเอ็ดวินที่กำลังนอนหลับอยู่ ส่วนอีกมุมห้องเอลิช่านั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ที่หน้าคอมพิวเตอร์ ผมเงยหน้ามองนาฬิการูปหงส์ที่ติดอยู่ที่ผนังเหนือคอมพิวเตอร์ มันเป็นเวลาแปดนาฬิกากับอีกสิบสามนาที
“พระเจ้าช่วย! เราสายมากแล้ว!” เสียงของเอ็ดวินทำให้ผมสะดุ้ง เขามีท่าทางกระวนกระวายมาก
“สาย...อะไรสาย” ผมถาม
“เราต้องพานายไปพบกับ นักปราชญ์ เปเรส” เอ็ดวินพูดกับผมพลางเร่งรีบเดินไปยังล็อคเกอร์ “เขาจะช่วยนายเรื่องพลังพิเศษ” เอ็ดวินเปิดล็อคเกอร์ของเขา และหยิบเสื้อผ้าออกมา เขาถอดเสื้อนักบินของเขาออก ผมเห็นรอยสักอะไรสักอย่างบนหลังของเขา มันเขียนว่า ‘ข้าคือบุตรแห่งท้องฟ้า’ รู้สึกว่าหมอนี่คงรักการบินเป็นชีวิตจิตใจ เขาหันมามองผมที่กำลังให้ความสนใจกับรอยสักของเขา
“สักไว้เมื่อตอนอยู่ในกองทัพ” เขาบอกผม “ฉันเป็นนักบินที่มีฝีมือมากที่สุด ...แต่หลังจากฉันกลายเป็น เอ วัน พวกเขาก็เกลียดชังฉันยิ่งลาซัญญ่า เน่าๆ อีก”
คำพูดของเอ็ดวินทำให้ผมรู้สึกเห็นใจเขา ถึงแม้ผมอยากจะชกหน้าเขาเมื่อคืนก็ตาม ผมสังเกตเห็นร่องรอยบาดแผล และรอยสักของเขาอยู่ทั่วไปบนร่างกายของเขา ซึ่งบางรอยสักมันช่างเท่พิลึก เขาสวมเสื้อยืดที่หยิบออกมาจากล็อคเกอร์ เสื้อนั่นสีน้ำเงินเข้มกับตราสัญลักษณ์อย่างเดียวกับหน้าศูนย์บัญชาการของ โฮเซ่น
“นักปราชญ์ เปเรส?” ผมฉงน “เขาคือใคร”
“เขาเป็น เอ วันที่แก่ที่สุด และอาจเก่งที่สุดด้วย ...เฮ้! เอลิช่า ที่รักตื่นได้แล้ว ...เรากำลังจะสายนะ” เอ็ดวินสนใจตอบคำถามอยู่ครูหนึ่งก่อนเขาจะหันไปตะโกนเรียกเอลิช่าที่นั่งหลับอยู่
“รู้แล้วน่า” เอลิช่าตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ฉันตื่นตั้งแต่นายโวยวายแล้ว ฮอว์ค” หล่อนลุกจากเก้าอี้ และเดินตรงมายังล็อคเกอร์ พลางบ่นพึมพำ
“เราเหลือไม่ถึงสิบนาทีแล้ว” เอ็ดวินเร่ง “นักปราชญ์ เปเรส ต้องโกรธมากถ้าเราไปสาย” เขาดูวิตกกับเรื่องนี้มาก ผมสังเกตได้จาก ดวงตาสีทับทิมของเขาดูหมองลง และทันใดนั้นผมก็นึกคำถามหนึ่งออก
“ดวงตานั่น...” ผมเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ผลจากการเป็นเอ วัน เหรอ” ผมตัดสินใจต่อคำถามให้จบ
“ใช่” เขาตอบ “มันเป็นดวงตาที่เจ๋งมากเลยล่ะ ...มองไกลได้ถึงหลายร้อยไมล์ ว่องไวต่อสิ่งเคลื่อนไหว...”
“แต่ไร้ประโยชน์ในเวลากลางวัน” เอลิช่าขัด “แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้มีพลังตรงตาหรอกนะ” เธอหันไปยักคิ้วให้เอ็ดวิน ซึ่งกำลังหัวเสียกับการถูกขัดจังหวะเมื่อครู่ “เขามีประสาทสัมผัสว่องไวเหมือนนักล่า ที่สำคัญ ฮอว์ครู้วิธีฆ่าศัตรูอย่างชาญฉลาด” เห็นได้ชัดว่าเอลิช่าไม่ต้องการให้เอ็ดวินรู้สึกไม่ดีไปมากกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าพลังของเอ็ดวินมันเจ๋งมากเลยทีเดียว ปัญหาคือผมยังไม่รู้เลยว่าความสามารถที่แท้จริงของผมคืออะไร...
“แล้วพลังของเธอล่ะ” ผมถามเอลิช่าต่อ “มันคืออะไร”
“ฉันมีพลังจิต” หล่อนอธิบาย “หลายคนเรียกมันว่า ‘โทรจิต’ ...หมายความว่าฉันสามารถใช้พลังจิตกับสสารทุกชนิด และหยั่งรู้ถึงความคิดของมนุษย์ทุกคน” ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว ที่คิดจะชกหน้าหล่อนก่อนหน้านี้ บางทีหล่อนอาจจะรู้แล้วก็ได้ และกำลังหาวิธีเล่นงานผมคืน
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ...ฉันไม่ชอบอ่านความคิดของคนสักเท่าไร” หล่อนเสริม “เพราะฉันเป็นประเภทที่ห่วยมากในด้านการอ่านความคิด ...ที่สำคัญฉันค่อนข้างมีมารยาท”
“ฉันคิดว่ามันเจ๋งดีนะ ...มีพลังจิต” เวลานี้ผมควรจะเสแสร้งชมหล่อนไว้ก่อน ถึงหล่อนจะกำลังอ่านความคิดผมตอนนี้ก็ตาม และตอนนี้ผมกำลังคิดว่า ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ ซึ่งหากหล่อนอ่านมันอยู่คงจะดีกว่า
“เอ่อ ...ขอขัดหน่อยได้มั้ย” เอ็ดวินแทรก ตอนนี้เขาแต่งตัวเสร็จแล้วกับเสื้อยืดสีน้ำเงิน กางเกงขายาวแบบทหาร ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าผมสีโค้กของเอ็ดวินถูกจัดทรงให้เหมือนทรงผมของ ทอม ครูซ ในภาพยนตร์เรื่อง มิชชั่น อิมพอสสิเบิ้ล เลย ซึ่งดูไปแล้ว เขาก็เป็นคนที่หน้าตาดีใช่ย่อย
“ตอนนี้เรากำลังจะสายแล้ว ..ฉันคิดว่าเราควรไปกันตอนนี้เลยนะ” เอ็ดวินจบประโยคของเขา
“เดี๋ยวสิ!” เอลิช่าแย้ง “ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ ...ตอนนี้ฉันเกลียดกลิ่นตัวของฉันมากที่สุดในโลกเลย”
“ฉันยังไม่ได้อาบเหมือนกัน ไม่มีเวลาแล้ว ...ไว้กลับมาค่อยอาบเถอะ” เอ็ดวินเริ่มหงุดหงิด สีหน้าของเขาทำให้เอลิช่าต้องจำยอม
เอ็ดวินยื่นหน้ามาที่ผม “อ่อ ...และทำตัวดีๆล่ะ พ่อนักวิทยาศาสตร์” เขาพูดขึ้น จากนั้นเขาเดินไปยังกรอบรูปอันหนึ่งที่ติดอยู่ตรงผนังข้างๆ ตู้เย็น เอลิช่าวิ่งอย่างเร่งรีบไปที่เขา
“มานี่สิ เจมส์” เอลิช่าเรียกผม พระเจ้าช่วย! หล่อนเรียกชื่อผมเป็นครั้งแรก ถึงมันจะฟังดูแปลกๆ แต่ผมรู้สึกถึงความสนิทสนม
ผมเดินไปตรงนั้น
เอ็ดวินกำลังทำอะไรบางอย่างกับกรอบรูปซึ่งเป็นภาพวาดสีน้ำมันรูปผู้หญิงเปลือยกาย ผมคิดว่าเอลิช่า จะต่อว่าเอ็ดวินเรื่องนี้ แต่ว่าก็ไม่ได้ทำ
“ฮอว์ค เดอ อาดัม” เอ็ดวินเอ่ยกับกรอบรูป ทันใดนั้นรูปในกรอบรูปค่อยๆ จางลง และกลายเป็นหน้าจอสีฟ้า มันมีรูปสัญลักษณ์ของศูนย์บัญชาการติดอยู่ด้วย ไม่นานก็มีเสียงเหมือนหญิงสาวพูดออกมาจากจอนั่น กรุณาใส่รหัสผ่านของคุณ ด้วยการสแกนม่านตา
ฮอว์ค ก้มศีรษะเข้าไปใกล้กับเครื่องนั่น แสงเลเซอร์ส่องเข้าไปในลูกตาสีทับทิมของเขา มันทำให้เกิดการหักเหของแสงในดวงตาอัญมณีของเขา ดูสวยงาม ไม่นานผมก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้ตู้เย็นข้างๆ กรอบรูปนั่นหมุนหันกลับไปในกำแพง มันเป็นตู้สี่เหลี่ยมขนาดประมาณ สิบคูณเจ็ดฟุต
ติ๊ง! เสียงของตู้นั่นดัง ซึ่งมันไม่ใช่ตู้แต่ว่าเป็นลิฟต์ ประตูลิฟต์เปิดออก
“เราจะลงไปข้างล่างกัน” เอลิช่าหันมาบอกผม “นักปราชญ์ เปเรสอยู่ข้างล่างนี้”
ผมอยากจะพูดเล่นว่า เขาอยู่ในนรกหรือเป็นช่างประปาหละ? แน่นอนเธอต้องฆ่าผม และลงไปข้างล่างพร้อมกับศพของผมแน่ๆ ผมไม่แปลกใจที่เลยกับการที่มีศูนย์บัญชาการใต้ดิน ซึ่งมันก็ดีกว่าเจ้ากระท่อมหลังนี้จะเป็นศูนย์บัญชาการซะเอง ถึงมันจะหรูหราก็เถอะนะ
“เจ๋ง” ผมกล่าวเพียงแค่นั้น
เราเดินเข้าไปในลิฟต์ และอีกครั้งผมรู้สึกถึงความหรูหราของลิฟต์ตัวนี้ ศูนย์บัญชาการนี้คงไม่ค่อยมีอะไรทำนอกจากการตกแต่งลิฟต์แหงๆ ผมคิด มันยากเกินจะบรรยาย พื้นของมันเหมือนทำมาจากงาช้างถูกตกแต่งด้วยอัญมณีสีต่างๆให้เป็นรูปสัญลักษณ์ของศูนย์บัญชาการ ผนัง และเพดานลิฟต์ ทำจากโลหะแต่มันวาวกว่าโลหะทั่วไป ผมรู้สึกว่าลิฟต์ตัวนี้ไม่ได้ขยับไปที่ใดหรือถ้ามันกำลังขยับ มันคงจะเป็นลิฟต์ที่เคลื่อนที่ในกองปุยนุ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันขัดกับหลักการทางฟิสิกส์เกินไปที่ลิฟต์ตัวนี้จะไม่มีแรงสั่นจะการเคลื่อนตัวเลย
มันใช้เวลากว่าสิบนาทีในการเดินทางของลิฟต์สู่ศูนย์บัญชาการ ลิฟต์เปิดออก แสดงให้เห็นห้องโถงขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอล ผมคาดไว้ผิดพลาด ที่นี่ไม่เหมือนศูนย์บัญชาการของ โฮเซ่น เลยแม้แต่นิดเดียว มันดูทันสมัย ...ไม่สิ มันดูล้ำยุคกว่ามาก สิ่งที่เหมือนกับศูนย์บัญชาการของโฮเซ่นก็คือ เก้าอี้ทรงสูงเหมือนบัลลังก์ แต่ที่นี่มันมีจำนวนห้าบัลลังก์วางเรียงกัน และหนึ่งบัลลังก์ดูเด่นเป็นสง่า บัลลังก์ทั้งหมดไม่ได้ทำจากทอง แต่เป็นกระจกหรืออะไรสักอย่างที่โปร่งใส มีแสงไฟสีฟ้าเป็นประกายอยู่รอบๆ ราวกับว่ามันเป็นบัลลังก์ของเหล่าเทพเจ้า บนบัลลังก์ทุกบัลลังก์ว่างเปล่า แต่ละบัลลังก์มีหน้าจอใสๆ ปรากฏอยู่ เดาว่ามันคือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผมรู้สึกว่าที่นี่มันเจ๋ง และดูมีสไตล์กว่าห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ เอ็ม ไอ ที (สถาบัน เทคโนโลยี แห่ง แมสซาชูเซ็ท)เป็นล้านเท่า มีเสาประมาณห้าสิบต้นเรียงกันเป็นแถวตรงไปตามทางเดิน เสาทุกต้นมีรูปร่างคล้ายกับโลหะสีขาวขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยจอคอมพิวเตอร์ และเครื่องมือที่ทันสมัยติดอยู่รอบๆ ผมสังเกตเห็นหน้าจอที่เสาต้นหนึ่งกำลังแสดงรูปของพวกเราเดินอยู่ เหมือนกับทุกๆ ที่ในโถงนี้ติดกล้องเอาไว้ มันแสดงภาพทุกมุมของพวกเรา บนพื้นของโถงทำมาจากงาช้างสะท้อนกับแสงไฟจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประกาย
“ไหนหล่ะ นักปราชญ์ ที่ว่านั่น” ผมเอ่ยถามเอ็ดวิน ทันใดนั้นเขาหันมาทำหน้าหงุดหงิดใส่ผม
“นายควรจะหุบปากไว้” เอ็ดวินเอ็ด “ที่นี่มีเครื่องตรวจจับดีเอ็นเอ และเสียง หากมีดีเอ็นเอหรือเสียงที่แปลกปลอม อาวุธทุกตัวจะกำจัดเจ้าสิ่งนั้นทำที” เขาทำหน้าจริงจัง ซึ่งเขาพูดถูก ผมไม่อยากโดนฆ่าก่อนรู้ความจริงเรื่องความสามารถพิเศษหรอก แต่ก็อีกแหละ มันเป็นความผิดของเขาที่ไม่ยอมบอกผมก่อน
“ความผิดของนายนะ ฮอว์ค” เอลิช่าเอ่ย “นายไม่ยอมบอกเขาก่อน” เหมือนหล่อนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ หล่อนหันมาทางผม “มนุษย์คนล่าสุดตายศพไม่สวยเท่าไร” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงเหยือกเย็น มันทำให้ผมเสียวสันหลัง ชั่วครู่หนึ่งผมเริ่มมองไปรอบๆ เผื่อว่าผมอาจวิ่งหนีได้ทัน หากอาวุธสังหารกำลังจะฆ่าผม เอลิช่า และเอ็ดวินทำผมจิตตก
ใช้เวลานานพอสมควรในการเดินมายังหน้าบัลลังก์ทั้งห้า ที่สำคัญคือผมปลอดภัย
“อภัยที่มาสาย ขอรับ” เอ็ดวินพูดด้วยคำที่เป็นทางการ “เราพาตัวเขามาแล้วครับ”
“เราเจอเขาเพียงคนเดียว” เอลิช่ากล่าวต่อ “ที่เหลือ เรายังหาตัวไม่พบเลยค่ะท่าน”
ทันทีที่เอลิช่าพูดจบ บัลลังก์ตัวที่วง่าที่สุดก็มีแสงเปล่งออกมา หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้านหน้าบัลลังก์มีตัวหนีวิ่งขึ้น-ลง อย่ารวดเร็ว ไม่นานบัลลังก์ก็ปรากฏร่างชายนั่งอยู่ เขาเป็นชายวัยประมาณสักสี่สิบห้าถึง ห้าสิบ ชายคนนี้สวมชุดสีขาวล้วนทั้งตัว ซึ่งมันเป็นชุดไปรเวตธรรมดา หนวดเคราของเขายาวไม่มาก และเหมือนถูกตัดเล็มมาโดยช่างฝีมือดี มันเป็นสีน้ำตาลทอง เช่นเดียวกับผมของเขา ชายคนนี้ดูน่าเคารพนับถือมาก
“ผมน่าจะเขียนกฎไว้ว่า ให้ เอ วัน ทุกคน พูดด้วยภาษากึ่งทางการนะ” เขาเอ่ย เสียงนั่นเป็นเสียงที่ผ่านลำโพง ใช่แล้วนนั่นเป็นภาพเสมือนของชายคนนี้ เขาต้องอยู่ที่ไหนสักที่ในศูนย์บัญชาการนี้
“ความจริงพวกคุณน่าจะพูดด้วยภาษาเด็กฮิพ ฮอพ นะ” เขาพูดต่อ “ผมว่ามันเจ๋งดี” พระเจ้าช่วย! ผมรู้สึกชอบชายคนนี้จัง ‘เจ๋งดี’ งั้นเหรอ ถึงมันจะเป็นคำที่ไม่เหมาะกับชายอายุเท่าเขา แต่ผมรู้สึกผ่อนคลายกว่าตอนที่ได้ยินเอลิช่าหรือเอ็ดวินพูด ซะอีก
ชายคนนั้นมองมาทางผม “เจมส์ ...อาร์เทอร์” เขาเอ่ยชื่อผม นั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ เขาไม่เคยรู้จักผมมาก่อน “ข้อมูลของนายเจ๋งดีนะพวก ...แต่จัดระเบียบได้แย่เชียวหล่ะ” ผมรู้สึกว่าเขากำลังอ่านสมองผมหรืออะไรสักอย่าง เขามีพลังพิเศษอะไรกันนะ จังหวะนั้นผมอยากจะถามเขา แต่คงทำไม่ได้ แต่มันก็ทำให้ผมนึกชื่อของเขาออก นักปราชญ์ เปเรส
นักปราชญ์ ทำหน้าเคร่งเครียด และจ้องมาทีผม “พลังพิเศษของเขา...” เขาหยุดเว้นช่วง เหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะพูดว่า “เป็นพลัง เอ วัน แบบยกเว้น” หมายความว่าไง ยกเว้น ผมคิด เอลิช่า และเอ็ดวิน มองหน้ากันก่อนจะหันมามองผมอย่างพินิจพิจารณา ผมรู้สึกอึดอัดเป็นบ้า อยากจะถามเขาเหลือเกินว่ามันคืออะไร
“มันคือ พลังพิเศษที่ เอ วัน ไม่มากนักมีมันอยู่” เปเรสพูดขึ้น เหมือนกับเขารู้คำถามในใจของผม “ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันนอกเหนือพลัง เอ วัน รุ่นเก่าอย่างผม” ทุกๆ คำพูดของ เปเรส ทำให้ผมตั้งคำถามมากมายในใจ และมันน่ารำคาญที่ไม่สามารถถามคำถามเหล่านั้นได้ เอ วัน รุ่นเก่าเหรอ
“คุณพูดได้แล้วหล่ะ เจมส์ อาร์เทอร์” เขาบอกผม “นามสกุลนายนี่สะกดแปลกชะมัด” ผมรู้สึกเหมือนเอาภูเขาออกจากอก หลังจากไม่ได้พูดมานานเกือบครึ่งชั่วโมง
“มันเป็นข้อผิดพลาดของ สำนักทะเบียนของรัฐหนะ” ผมตอบ “ผมยังสงสัยอยู่ว่าพวกนั้นเรียนจบกันหรือเปล่า แต่ช่างมันเถอะ ...คือคุณมีพลัง...”
“หยั่งรู้ ทั้งอนาคต และอดีต ด้วยการมอง” เขาตอบก่อนที่ผมจะจบประโยค “มันเจ๋งสุดๆ ใช่มั้ยหล่ะ ...ความจริงแล้ว คุณเอลิช่า เก่งกว่าผมมาก เพียงแต่เธอ ถ่อมตัวเกินกว่าจะยอมรับพลังนั้นได้” เขาอธิบาย คำพูดของเขาทำให้เอลิช่า หน้าแดง มันทำให้เอ็ดวินยิ้มอย่างเจ้าล่ห์ออกมาเหมือนเป็นการหยอกล้อกับเอลิช่า
“มันขึ้นอยู่กับการฝึกฝนใช่มั้ย ...ผมหมายถึงแบบภาพยนตร์กำลังภายในของจีนหนะ” ผมพูดด้วยเสียงเป็นกันเองกับเขา ทันใดนั้นสิ้นเสียงของผม เสียงไซเรนดังขึ้น มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่ แสงทำลายล้างนั้นกำลังจะทำลายเมือง มันทำให้ผมนึกถึงเมือง ซาน แอนโตนีโอ แต่ผมมีเวลาคิดเรื่องนี้ไม่มากนัก กำแพงของห้องโถงเริ่มเปิดเป็นช่องขึ้น ทุกๆ ทิศ มีปืน และอาวุธจำนวนมากมายโผล่ออกมาจากช่องเหล่านั้น แน่นอนอาวุธเหล่านั้นเล็งมาที่ผม ผมหันไปมองเอลิช่า และเอ็ดวิน พวกเขากำลังตกตะลึง แต่เอ็ดวินตั้งสติได้เขาตะโกนบอกผม “วิ่ง!”
ไม่ได้! ผมวิ่งไม่ได้ ทำไม!? ขาของผมนิ่งถึงแม้พยายามอย่างมากที่จะวิ่ง เสียงไซเรนหยุดลง เปลื่ยนเป็นเสียงของอาวุธทั้งหมดในเวลาต่อมา ผมรู้สึกว่าใจของผมเต้นแรงเหมือนจะออกมาดิ้นให้ผมเห็นว่ามันกำลังตกใจ ตื่นตระหนก และหวาดกลัว ไม่ถึงวินาทีกระสุนเหล่านั้นคงจะทำให้มันหยุดเต้น ...ตลอดกาล
ทันใดนั้น เร็วเท่าความคิดขาของผมเหมือนทรงพลังขึ้น มันผลักดันตัวผมให้ออกมาจากที่ตรงนั้น ผมไม่รู้ตัวว่าผมกำลังวิ่ง ไม่ถึงเสี้ยววินาที ผมหันกลับไปมองตำแหน่งที่เมื่อครู่ผมเกือบจะถูกทำลายด้วยอาวุธบนกำแพง ผมมองเห็นกระสุนทั้งหมดวิ่งอย่างช้าๆไปที่ตำแหน่งนั้น ลูกกระสุนทั้งหมดมันวิ่งช้าลงได้เองหรือ? มันผิดกับหลักการทางฟิสิกส์ แต่ไม่ใช่ ไม่เพียงแค่กระสุนที่วิ่งช้าลง ทั้งเอลิช่า และเอ็ดวินก็เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเช่นกัน เหมือนกับฉากสโลว์โมชั่น ในภาพยนตร์ ผมรู้สึกว่าผมเริ่มวิ่งออกห่างมาอย่างรวดเร็ว พระเจ้า! ผมกำลังวิ่งด้วยความเร็ว ผมหันกลับไปมอง กำแพงอีกด้านหนึ่งของห้องโถงกำลังวิ่งเข้าหาผมอย่างเร็วปานสายฟ้า ไม่ถึงวินาทีมันต้องชนผม ไม่ใช่! ผมกำลังวิ่งเข้าหามันต่างหาก
ทันใดนั้นผมสั่งขาของผมให้มันหยุดวิ่ง น่าแปลกผมหยุดอยู่กับที่ ไม่มีแม้แต่แรงโมเมนตัม หน้าของผมอยู่ห่างจากกำแพงไม่ถึงฟุต ทุกอย่างหยุดนิ่ง ผมก็ด้วย ผมค่อยๆหันไปมองอาวุธทั้งหมด มันกำลังพับตัวเอง และเลื่อนตัวกลับเข้าไปในกำแพง ช่องของอาวุธถูกปิดสนิท เหมือนไม่มีช่องใดมาก่อน ตรงหน้าผมปรากฏ หน้าจอโปร่งใสแสดงให้เห็นใบหน้าของ เปเรส ผมรู้สึกโล่งอกที่ผมยังเห็นหน้าของเขา เพราะแน่นอนเขาไม่ใช่ เทวดาหรือยมทูตแน่ๆ
“โอ้! ผมของโทษที พ่อหนุ่ม” เขากล่าวด้วยหน้าตาตกตะลึง “ลืมใส่ดีเอ็นเอ ของนายไปในระบบ หนะ” เขาพูดต่อ ถึงเขาจะดูน่าเคารพก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกอยากจะกระชากเขาลงมา และฉีกออกเป็นชิ้นๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมลืมสิ่งที่เกิดกับผมเมื่อครู่นี้หรอก ผมวิ่งได้เร็วขนาดนั้น นั่นเพราะ... ใช่แล้ว! นั่นมันพลังพิเศษของผม!
“นั่นมันเจ๋งที่สุดเลย” เปเรสพูด “คุณมันหนุ่มนักวิ่งนี่นา” เขาหัวเราะขึ้นเหมือนกำลังจะปกปิดความผิดของตัวเอง แต่ก็นั่นแหล่ะผมรู้สึกตื่นเต้นเกินกว่าจะเล่นงานเขา
ความคิดเห็น