ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Time to ignite !... ถึงเวลาจุดไฟในตัวคุณ
Happy Mommy day everyone ^^
ฟิ้ววว.. วันนี้วันแม่แต่รู้สึกเป็นลูกที่แย่เพราะยังไม่ได้อ่านหนังสือสอบเลย ==" ไม่รู้ดิ มันเซ็งอ่ะ ยิ่งอ่านยิ่งเครียด เลยไม่อ่านมันล่ะ เป็นโรคแบบถ้าทำอะไรไปบนความเครียดแล้วจะทนทำไม่ได้นาน.. ว่าแล้วมาเล่าต่อดีกว่าสนุกกว่าเยอะเลย !
ตอนนี้.. เราจะเล่าเรื่องการเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจในการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนครั้งนี้ให้ฟัง(อ่าน ช่างเหอะ ==") เพราะเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่าแรงบันดาลใจมันเป็นพลังหลักในการขับเคลื่อนของชีวิต มันทำให้เราคิดที่ทำโน่นทำนี่ คิดที่จะเปลี่ยนแปลง คิดที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าแรงบันดาลใจ
อันที่จริงเราว่า.. การไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนสักครั้งในชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่เด็กๆ หลายคนใฝ่ฝัน เราเองก็เช่นกัน เคยคิดไว้เหมือนกันว่าอยากไปช่วงมัธยมคือสอบไปแล้วด้วยของโครงการ YES แต่บังเอิญว่าปีที่จะไปสมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จมาที่ รร. แล้วอาจารย์ก็อยากให้เราไปนำเสนอ project ด้านภาษา ตปท. ให้ท่านฟัง.. มันก็เลยต้องคิดหนัก สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะอยู่เข้าเฝ้าฯ ท่านแทน เพราะมันคงเป็นโอกาสหนึ่งในล้านจริงๆ ที่จะได้ทำอะไรแบบนี้ (ตอนนี้พ่อแม่เอารูปอัดกรอบอย่างดีแล้วแขวนไว้ที่ผนังบ้าน ฮ่าา) แล้วคิดว่าเราเลือกไม่ผิดเพราะเราได้เข้าเฝ้าท่านนานมาก ตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลมได้ สบตากับท่านแวบนึงด้วยรู้สึกเหมือนหัวใจจะวาย >< ซึ่งท่านเป็นคนที่ไม่ถือตัวเลย ย้ำ ท่านสามารถคุยเล่นกับพวกเราได้ด้วย ซาบซึ่งใจจนบอกไม่ถูกอ่ะ อีกอย่างตอนนั้นเราก็มีความเชื่อมั่นเหลือเกินว่าในอนาคตเราคงมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนอีกแน่ๆ ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นจริงแล้ว
พอพลาดโอกาสนั้นไป.. จากนั้น ม.6 ก็ทำแต่กิจกรรมและเตรียมสอบ ก็เลยหยุดคิดเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนไปสักพัก จนเข้ามาเรียนที่ มธ. จำได้เลยว่าวันปฐมนิเทศน์คณะ มีโบรชัวร์เกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนของทางมหาลัยแจกให้ดู.. ป๊าดดด ได้ฤกษ์ละทีนี้ เราก็นั่งอ่านๆไป จนสะดุดว่ามีไปรัสเซียด้วย ว๊าววว ชอบมาก ดังนั้น ประเทศแลกที่คิดอยากไปเรียนตอนนั้นคือ รัสเซีย เฮ้ ! แต่หลังจากได้ลองเรียนภาษารัสเซียไปตัวแรกก็ถึงกับเงิบเลยทีเดียว ==" มันยากโคตรค่ะท่านผู้ชม คือตัวอักษรบางตัวเขียนแบบอังกฤษ อย่าง B แต่มันไม่ออกเสียง บี ไง มันออกว่าอะไรก็ไม่รู้ มันเลยสับสน.. จากนั้นไม่นานจึง drop ค่ะ ฮ่าาา แต่คือมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ไงการ drop ไม่กระเทือนถึงเกรดหรือใดๆ ทั้งสิ้น ก็โอเค
จากนั้น.. ทางคณะก็มีการเชิญรุ่นพี่ที่เพิ่งจบมาแนะแนวเรื่องอาชีพและการเรียนต่อให้ฟัง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีพี่ไอติม(my idol) ที่เคยไปแลกเปลี่ยนที่ออสเตรียมา และตอนนี้ทำงานอยู่ cp ได้ไปทำงานแถวยุโรปบ่อยมาก แต่แบบพี่แกคงไม่ใช่คนอ่ะ เพราะเก่งเกินไป ตอนคุยกันแกบอกว่าพี่โอนหน่วยกิจกลับมาแค่ตัวเดียวเองนะ แต่พี่จบ 4 ปี ฝึกงานทีหลังเอา สรุปพี่แกจบเกียรตินิยมด้วย O.o ทำได้ไงอ่ะ คนปะเนี่ยะ !(คิดอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูด) คือพี่แกคุยดี แนะนำดีมากอ่ะ พี่แกแนะนำให้ไปสอบ Ielts แล้วก็บอกว่าประสบการณ์ด้านนี้ก็มีส่วนให้พี่แกได้งานด้วยเหมือนกัน ฉะนั้น ลุยค่ะ !
อีกอย่างคือได้ดูรายการหนังพาไปกับพื้นที่ชีวิต.. เป็นแรงผลักดันสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือดูแล้วอยากไปเที่ยวบ้าง อันที่จริงงานที่อยากทำที่สุดในโลกคืออยากทำรายการแบบพี่สิงห์ วรรณสิงห์ เพราะแบบได้ไปเที่ยวกันรอบโลกเชียว ไปฟรีแถมได้ค่าตัวอีก อะไรจะวิเศษปานนั้น.. ดูแล้วทำให้จุดประกายขึ้นมาว่า ถ้าไม่ออกไปค้นหาก็คงไม่มีวันได้ค้นพบ การนั่งดูทีวีที่บ้านมันก็แบบหนึ่งแต่การได้ไปเห็น ไปทำความรู้จักมันด้วยตัวเองคงเป็นอะไรที่อัศจรรย์กว่าเยอะ อย่างหนังพาไปก็สนุกอีกแบบ ทำให้เราเรียนรู้วิธีเที่ยวแบบประหยัดๆได้ดี แล้วก็ฮาด้วย แต่บนความฮาก็มีสาระ คือเราเห็นถึงความมุ่งมั่นของพี่บอลพี่ยอด ที่ไม่ใช่ลูกคนรวย ไม่ได้ขอเงินพ่อแม่แล้วไปเที่ยวเพลินๆ แต่เค้าไป เพราะเค้าส่งผลงานที่ตัวเองทำไปประกวด แล้วได้รายวัล แล้วเริ่มเดินทาง คือชื่นชมมากๆ ที่พวกเค้าสามารถไป ตปท ด้วยลำแข้งของตัวเองได้ ! เราเองเลยสัญญากับตัวเองว่าพออายุครบ 20 เมื่อไหร่ จะเริ่มออกเดินทางบ้าง จะพยายามไป ตปท. ให้ได้ทุกๆ ปี โดยไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ เพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกใหม่ๆ และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตนเองอย่างแท้จริง
และที่สำคัญคือตอนนี้โปรไฟล์เรามันว่างเปล่ามากสำหรับการไปเรียนต่อ เพราะเค้าไม่ได้ดูแต่เกรดอย่างเดียวแต่เค้าจะดูว่าเราเคยผ่านอะไรมาบ้าง เราเป็นคนที่สนใจขนาดไหน..ซึ่งนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้เราต้องไปแลกเปลี่ยน เพราะมันจะได้ทั้งการฝึกภาษา เพราะการไปเรียนต่ออย่างน้อยต้องใช้ ielts 7 ซึ่งตอนนี้เรายังได้ไม่ถึง และถ้ายังคงทันทุรังอยู่เมืองไทยต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น และอย่างน้อยถ้าเราไปเราก็จะได้เกียรติบัตรยืนยันจากทั้งไทยและเกาหลี ซึ่งฝรั่งค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นะ มันจำทำให้โปรไฟล์เราน่าสนใจขึ้นมากๆ พร้อมๆกัยโอกาศที่เราจะได้ไปทำอะไรแปลกๆใหม่ๆที่โน่น เช่นงานอาสาสมัคร การทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ ฯ และที่เจ๋งไปกว่านั้นคือเราจะได้ไปฝึกงานเก็บหน่วยกิตที่โน่นด้วย !
ดังนั้น เราก็เลยตั้งใจแน่วแน่ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วว่ายังไงก็จะต้องไปแลกเปลี่ยนตอนปีสามให้ได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยจะให้เด็กปี 2 ขึ้นไปสมัครเท่านั้น เราก็เลยสมัครตอนอยู่ปีสอง แล้วได้ไปตอนปีสาม.. ทีนี้ประเด็นมันก็อยู่ที่ว่าแล้วจะไปไหนดีหล่ะ ? คือเป็นคำถามที่เหมือนกับว่าอยากกินไอติมหรือช็อคโกแลต ซึ่งจะตอนว่าอยากกินหมดก็ไม่ได้ เพราะตังไม่พอ ฮ่าาา (เรื่องจริงๆ).. สิ่งแรกที่คิดคืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ USA ! ไม่รู้สิคือเราก็ชอบ USA นะ แต่คิดว่าถ้าให้ไปอยู่หรือไปเรียนคงไม่เอา มันไม่ไหวเพราะมันกว้างเกินไป หลากหลายเกินไป มันดูเยอะไปอ่ะ หรือคงเป็นเพราะว่าวัฒนธรรมของเข้ามันกลืนโลกไปแล้วจนเรารู้สึกว่าถ้าไปก็คงไม่ได้อะไรใหม่ๆ เท่าไหร่ อีกอย่างมันแทบจะกลายเป็นชุมชนคนไทยอยู่แล้วในบางรัฐ ไม่เบื่อหร๋อที่ถูกคนถามว่าไปไหนมา แล้วตอบกันแต่ อเมริกาๆๆๆๆๆ อื่ม...
ก็เลยคิดว่างั้นไปฝรั่งเศสดีกว่าเพราะ ม.ปลาย เรียนภาษานี้มาแล้วสนุกดี ทำกิจกรรมด้านนี้ก็หลายอย่าง ที่ฟังใจคือเป็นตัวแทน รร ไปร่ายบทกลอนที่ st.john แบบโคตรอาย นึกล้วก็ยังอายอยู่ แต่ก็สนุกดี ฝึกความหน้าหนาเข้าไว้ เฮ้ ! อีกอย่างปลื้มท่านทูตวัฒนธรรมเป็นการส่วนตัวตอนที่เป็นตัวแทน รร ไปสอบชิงทุน(ไม่ติด TT) คือท่านเป็นคนที่ nice มากก ^^.. แต่กระนั้น ขึ้นชื่อว่าการไปฝรั่งเศสเป็นอะไรที่การแข่งขันสูงมาก และปัญหาใหญ่คือถ้าจะไปเรียนหลักสูตรที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแน่นอนว่าไปแล้วคงต้องเรียน จะต้องสอบ dalf อย่างต่ำ b1 ซึ่งยากมาก ณ จุดๆ นี้ เพราะห่างหายจากการเรียนมานานโข คิดว่าสอบไปก็คงไม่รอดแน่ TT อีกอย่างเด็กศิลป์ศาสตร์ที่เรียนภาษานี้ก็สมัครเยอะ ดูยังไงๆ ก็ไม่รอด
ตัวเลือกต่อมาจึงเป็น ออสเตรียเลีย ! ชอบมาเป็นทุนเดิม อยากไปดูหมีโคอ่าล่า(น่ารักเว่อ) ตอนนั้นอยากไป ANU เพราะเป็นมหาลัยอันดับ 1 ของที่นั่นซึ่ง มธ มี contact อยู่ แถมเค้ามีทุนให้ด้วยนะ O.o ตาลุกวาวเลยพอพูดถึงของฟรี.. แต่มานั่งๆ คิดดูว่า ถ้าไปเราคงต้องเรียนหนักมากกกก เนื่องจากมาตรฐานของมหาวิทยาลัย อีกอย่างคือออสเตรเลียช่วงหลังๆ ดูไม่ค่อยปลอดภัยเลย เพราะเจอภัยธรรมชาติเยอะมาก เลยเกิดอาการกลัวว่าได้ไปแต่จะไม่ได้กลับ ฮ่าา อีกอย่างคือมันกว้าง (เป็นโรคชอบที่แคบ ฮ่าา) คิดว่าคงเที่ยวได้ไม่หมด เพราะปัจจัยหลักอีกประการที่หลายคนอยากไปแลกเปลี่ยน คือได้ไปเที่ยวยาวตั้ง 1 ปี !
สรุปว่า.. หวยงวดนั้นเลยมาออกที่ เกาหลีใต้ ! ซึ่งได้ความคิดนี้มาตอนที่บุกไปถาม จนท เรื่องการรับสมัครของ ANU แล้วในใบสมัครเขียนว่าต้องได้ ielts 6.5-7 เป็นอย่างต่ำ นึกในใจว่าซวยล่ะกู ไม่ได้ไปแน่เลย แล้วพี่เค้าพูดประมาณว่า บางปีอาจไม่เปิดรับ เพราะเด็กจาก ANU ไม่ค่อยมาแลกเปลี่ยนที่ มธ เลยอาจโดนตัดโควต้า.. แต่ทีเห็นคือปีนี้ก็ยังเปิดรับนะ ฉะนั้นใครตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไป ปท.นี้ ก็อย่างไปเกรงไป เตรียมตัวให้พร้อมซะแล้วลุย อย่าฟังคนอื่นมาก จริงๆ.. จนท.เลยแนะนำว่าทำไมไม่ไปแทบเอเชียหล่ะเพราะคนไปค่อนข้างน้อยนะ ไม่ต้องแข่งกันเยอะ.. แวบแรกนึกในใจว่าไม่เอาอ่ะ มันใกล้ไปนะเอเชียอ่ะ อยากไปไกล (แถบแอฟริกาอะไรแบบนี้ กร๊าก) แต่พอพี่เค้าบอกมีเกาหลีใต้ด้วยนี่หันแถบไม่ทัน ฮ่าา
ทำไมอยากไปเกาหลีใต้หน่ะหร๋อ.. โอ่วเหตุผล 108 นะ ฮ่าาา 1.บรรยากาศแบบเกาหลี.. โรแมนติกโคตร คือเราสามารถชิวกับสไตน์ยุโรปได้ในราคาที่ถูกกว่า เพราะบรรยากาศคล้ายกันทุกอย่าง และเป็นประเทศไม่ใหญ่มากคิดว่าน่าจะเที่ยวได้ทั่ว ไปแล้วต้องเที่ยวให้คุ้ม 2.อย่างน้อยก็เอเชียด้วยกัน.. คือคิดว่าถ้าโดดไปฝั่งยุโรปเลยอาจจะ culture shock ไปพักนึง อีกอย่างตั้งใจแล้วว่าอยากไปเรียนต่อโทแถบนั้น ซึ่งถ้าไปซะตั้งแต่ตอนนี้ถึงตอนนั้นก็คงเซ็ง 3.เขาว่าเกาหลีจะครองโลก.. คือยอมรับว่าก็ชอบดูซีรีย์เกาหลีนะ แต่หลังๆ ไม่ค่อยดู เพราะดูแล้วติดไม่เป็นอันทำอย่างอื่นเลย อยากไปตาม 2pm ด้วย แต่เสียดายตอนนี้เลิกบ้าไปละ.. ประเด็นคือ ตอนนี้ในบ้านเราหรือที่อื่นๆ หันไปทางไหนต้องเจอแต่สิ่งที่มาจากเกาหลีใต้ ! samsung LG Hyundai นักร้อง ซีรีย์ แฟชั่น ศัลกรรมฯ ลองนึกสิว่าเป็นไปได้ไหมที่วันหนึ่งๆ คนจะได้ได้ดูไม่ได้เห็นอะไรที่เกี่ยวกับเกาหลีเลย ลองสังเกตุดูนะ แต่เราว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ! แต่อีกนัยนึงเราก็คิดว่าเกาหลีมันคงไม่ได้มีดีไปซะทุกอย่างเพราะมันเป็นสัจธรรมของโลก ฉะนั้นเลยตั้งใจจะไปหามุมมองใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยถูกนำเสนอเกี่ยวกับที่นั่นด้วย
4.ภาษาที่ 4 คือถ้าเรารู้ภาษาเกาหลีอีก เราจะกลายเป็นคนที่ใช้ได้ 4 ภาษาคือ ไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส และเกาหลี ถึงแม้มันจะได้ไม่ดีนักก็ตาม ฮ่าา.. คือมันเป็นความตั้งใจอีกอย่างที่เราอยากใช้ภาษาในเอเชียให้ได้สองภาษา ซึ่งแน่นอนว่าภาษาเกาหลีมันมีประโยชน์มากตอนนี้ ธุรกิจเค้ากำลังเติบโตโคตรๆ โอกาสจึงเปิดกว้างให้เรามากขึ้น อีกตัวคือภาษาอินโด เพราะใช้กันมากที่สุดในอาเซียน ที่ซึ่งเรากำลังจะกลายเป็นประชาคมเดียวกันในเร็ววัน มีโอกาสก็จะลองไปเรียนดูที่นั่น.. คือเราเป็นคนชอบเรียนภาษาไง แล้วคนว่ามันมีประโยชน์มากสำหรับการทำงานในโลกที่มันแคบลงเรื่อยๆนี้ อีกอย่างถ้าเราได้ภาษาเพิ่มเราจะคุยกับเจ้าของภาษาได้รู้เรื่องกว่า เราจะได้เข้าใจอะไรที่มันลึกซึ้งเกี่ยวกับที่นั้นๆ ได้มากขึ้นด้วย
เอาหล่ะ.. ต่อไปจะเป็นการเล่าถึงขั้นตอนการเลือกมหาวิทยาลัย กระบวนการคัดเลือก การเตรียมตัว และการเตรียมใจเมื่อหลายคนถามว่า
ฟิ้ววว.. วันนี้วันแม่แต่รู้สึกเป็นลูกที่แย่เพราะยังไม่ได้อ่านหนังสือสอบเลย ==" ไม่รู้ดิ มันเซ็งอ่ะ ยิ่งอ่านยิ่งเครียด เลยไม่อ่านมันล่ะ เป็นโรคแบบถ้าทำอะไรไปบนความเครียดแล้วจะทนทำไม่ได้นาน.. ว่าแล้วมาเล่าต่อดีกว่าสนุกกว่าเยอะเลย !
ตอนนี้.. เราจะเล่าเรื่องการเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจในการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนครั้งนี้ให้ฟัง(อ่าน ช่างเหอะ ==") เพราะเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่าแรงบันดาลใจมันเป็นพลังหลักในการขับเคลื่อนของชีวิต มันทำให้เราคิดที่ทำโน่นทำนี่ คิดที่จะเปลี่ยนแปลง คิดที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าแรงบันดาลใจ
อันที่จริงเราว่า.. การไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนสักครั้งในชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่เด็กๆ หลายคนใฝ่ฝัน เราเองก็เช่นกัน เคยคิดไว้เหมือนกันว่าอยากไปช่วงมัธยมคือสอบไปแล้วด้วยของโครงการ YES แต่บังเอิญว่าปีที่จะไปสมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จมาที่ รร. แล้วอาจารย์ก็อยากให้เราไปนำเสนอ project ด้านภาษา ตปท. ให้ท่านฟัง.. มันก็เลยต้องคิดหนัก สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะอยู่เข้าเฝ้าฯ ท่านแทน เพราะมันคงเป็นโอกาสหนึ่งในล้านจริงๆ ที่จะได้ทำอะไรแบบนี้ (ตอนนี้พ่อแม่เอารูปอัดกรอบอย่างดีแล้วแขวนไว้ที่ผนังบ้าน ฮ่าา) แล้วคิดว่าเราเลือกไม่ผิดเพราะเราได้เข้าเฝ้าท่านนานมาก ตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลมได้ สบตากับท่านแวบนึงด้วยรู้สึกเหมือนหัวใจจะวาย >< ซึ่งท่านเป็นคนที่ไม่ถือตัวเลย ย้ำ ท่านสามารถคุยเล่นกับพวกเราได้ด้วย ซาบซึ่งใจจนบอกไม่ถูกอ่ะ อีกอย่างตอนนั้นเราก็มีความเชื่อมั่นเหลือเกินว่าในอนาคตเราคงมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนอีกแน่ๆ ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นจริงแล้ว
พอพลาดโอกาสนั้นไป.. จากนั้น ม.6 ก็ทำแต่กิจกรรมและเตรียมสอบ ก็เลยหยุดคิดเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนไปสักพัก จนเข้ามาเรียนที่ มธ. จำได้เลยว่าวันปฐมนิเทศน์คณะ มีโบรชัวร์เกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนของทางมหาลัยแจกให้ดู.. ป๊าดดด ได้ฤกษ์ละทีนี้ เราก็นั่งอ่านๆไป จนสะดุดว่ามีไปรัสเซียด้วย ว๊าววว ชอบมาก ดังนั้น ประเทศแลกที่คิดอยากไปเรียนตอนนั้นคือ รัสเซีย เฮ้ ! แต่หลังจากได้ลองเรียนภาษารัสเซียไปตัวแรกก็ถึงกับเงิบเลยทีเดียว ==" มันยากโคตรค่ะท่านผู้ชม คือตัวอักษรบางตัวเขียนแบบอังกฤษ อย่าง B แต่มันไม่ออกเสียง บี ไง มันออกว่าอะไรก็ไม่รู้ มันเลยสับสน.. จากนั้นไม่นานจึง drop ค่ะ ฮ่าาา แต่คือมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ไงการ drop ไม่กระเทือนถึงเกรดหรือใดๆ ทั้งสิ้น ก็โอเค
จากนั้น.. ทางคณะก็มีการเชิญรุ่นพี่ที่เพิ่งจบมาแนะแนวเรื่องอาชีพและการเรียนต่อให้ฟัง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีพี่ไอติม(my idol) ที่เคยไปแลกเปลี่ยนที่ออสเตรียมา และตอนนี้ทำงานอยู่ cp ได้ไปทำงานแถวยุโรปบ่อยมาก แต่แบบพี่แกคงไม่ใช่คนอ่ะ เพราะเก่งเกินไป ตอนคุยกันแกบอกว่าพี่โอนหน่วยกิจกลับมาแค่ตัวเดียวเองนะ แต่พี่จบ 4 ปี ฝึกงานทีหลังเอา สรุปพี่แกจบเกียรตินิยมด้วย O.o ทำได้ไงอ่ะ คนปะเนี่ยะ !(คิดอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูด) คือพี่แกคุยดี แนะนำดีมากอ่ะ พี่แกแนะนำให้ไปสอบ Ielts แล้วก็บอกว่าประสบการณ์ด้านนี้ก็มีส่วนให้พี่แกได้งานด้วยเหมือนกัน ฉะนั้น ลุยค่ะ !
อีกอย่างคือได้ดูรายการหนังพาไปกับพื้นที่ชีวิต.. เป็นแรงผลักดันสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือดูแล้วอยากไปเที่ยวบ้าง อันที่จริงงานที่อยากทำที่สุดในโลกคืออยากทำรายการแบบพี่สิงห์ วรรณสิงห์ เพราะแบบได้ไปเที่ยวกันรอบโลกเชียว ไปฟรีแถมได้ค่าตัวอีก อะไรจะวิเศษปานนั้น.. ดูแล้วทำให้จุดประกายขึ้นมาว่า ถ้าไม่ออกไปค้นหาก็คงไม่มีวันได้ค้นพบ การนั่งดูทีวีที่บ้านมันก็แบบหนึ่งแต่การได้ไปเห็น ไปทำความรู้จักมันด้วยตัวเองคงเป็นอะไรที่อัศจรรย์กว่าเยอะ อย่างหนังพาไปก็สนุกอีกแบบ ทำให้เราเรียนรู้วิธีเที่ยวแบบประหยัดๆได้ดี แล้วก็ฮาด้วย แต่บนความฮาก็มีสาระ คือเราเห็นถึงความมุ่งมั่นของพี่บอลพี่ยอด ที่ไม่ใช่ลูกคนรวย ไม่ได้ขอเงินพ่อแม่แล้วไปเที่ยวเพลินๆ แต่เค้าไป เพราะเค้าส่งผลงานที่ตัวเองทำไปประกวด แล้วได้รายวัล แล้วเริ่มเดินทาง คือชื่นชมมากๆ ที่พวกเค้าสามารถไป ตปท ด้วยลำแข้งของตัวเองได้ ! เราเองเลยสัญญากับตัวเองว่าพออายุครบ 20 เมื่อไหร่ จะเริ่มออกเดินทางบ้าง จะพยายามไป ตปท. ให้ได้ทุกๆ ปี โดยไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ เพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกใหม่ๆ และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตนเองอย่างแท้จริง
และที่สำคัญคือตอนนี้โปรไฟล์เรามันว่างเปล่ามากสำหรับการไปเรียนต่อ เพราะเค้าไม่ได้ดูแต่เกรดอย่างเดียวแต่เค้าจะดูว่าเราเคยผ่านอะไรมาบ้าง เราเป็นคนที่สนใจขนาดไหน..ซึ่งนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้เราต้องไปแลกเปลี่ยน เพราะมันจะได้ทั้งการฝึกภาษา เพราะการไปเรียนต่ออย่างน้อยต้องใช้ ielts 7 ซึ่งตอนนี้เรายังได้ไม่ถึง และถ้ายังคงทันทุรังอยู่เมืองไทยต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น และอย่างน้อยถ้าเราไปเราก็จะได้เกียรติบัตรยืนยันจากทั้งไทยและเกาหลี ซึ่งฝรั่งค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นะ มันจำทำให้โปรไฟล์เราน่าสนใจขึ้นมากๆ พร้อมๆกัยโอกาศที่เราจะได้ไปทำอะไรแปลกๆใหม่ๆที่โน่น เช่นงานอาสาสมัคร การทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ ฯ และที่เจ๋งไปกว่านั้นคือเราจะได้ไปฝึกงานเก็บหน่วยกิตที่โน่นด้วย !
ดังนั้น เราก็เลยตั้งใจแน่วแน่ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วว่ายังไงก็จะต้องไปแลกเปลี่ยนตอนปีสามให้ได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยจะให้เด็กปี 2 ขึ้นไปสมัครเท่านั้น เราก็เลยสมัครตอนอยู่ปีสอง แล้วได้ไปตอนปีสาม.. ทีนี้ประเด็นมันก็อยู่ที่ว่าแล้วจะไปไหนดีหล่ะ ? คือเป็นคำถามที่เหมือนกับว่าอยากกินไอติมหรือช็อคโกแลต ซึ่งจะตอนว่าอยากกินหมดก็ไม่ได้ เพราะตังไม่พอ ฮ่าาา (เรื่องจริงๆ).. สิ่งแรกที่คิดคืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ USA ! ไม่รู้สิคือเราก็ชอบ USA นะ แต่คิดว่าถ้าให้ไปอยู่หรือไปเรียนคงไม่เอา มันไม่ไหวเพราะมันกว้างเกินไป หลากหลายเกินไป มันดูเยอะไปอ่ะ หรือคงเป็นเพราะว่าวัฒนธรรมของเข้ามันกลืนโลกไปแล้วจนเรารู้สึกว่าถ้าไปก็คงไม่ได้อะไรใหม่ๆ เท่าไหร่ อีกอย่างมันแทบจะกลายเป็นชุมชนคนไทยอยู่แล้วในบางรัฐ ไม่เบื่อหร๋อที่ถูกคนถามว่าไปไหนมา แล้วตอบกันแต่ อเมริกาๆๆๆๆๆ อื่ม...
ก็เลยคิดว่างั้นไปฝรั่งเศสดีกว่าเพราะ ม.ปลาย เรียนภาษานี้มาแล้วสนุกดี ทำกิจกรรมด้านนี้ก็หลายอย่าง ที่ฟังใจคือเป็นตัวแทน รร ไปร่ายบทกลอนที่ st.john แบบโคตรอาย นึกล้วก็ยังอายอยู่ แต่ก็สนุกดี ฝึกความหน้าหนาเข้าไว้ เฮ้ ! อีกอย่างปลื้มท่านทูตวัฒนธรรมเป็นการส่วนตัวตอนที่เป็นตัวแทน รร ไปสอบชิงทุน(ไม่ติด TT) คือท่านเป็นคนที่ nice มากก ^^.. แต่กระนั้น ขึ้นชื่อว่าการไปฝรั่งเศสเป็นอะไรที่การแข่งขันสูงมาก และปัญหาใหญ่คือถ้าจะไปเรียนหลักสูตรที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแน่นอนว่าไปแล้วคงต้องเรียน จะต้องสอบ dalf อย่างต่ำ b1 ซึ่งยากมาก ณ จุดๆ นี้ เพราะห่างหายจากการเรียนมานานโข คิดว่าสอบไปก็คงไม่รอดแน่ TT อีกอย่างเด็กศิลป์ศาสตร์ที่เรียนภาษานี้ก็สมัครเยอะ ดูยังไงๆ ก็ไม่รอด
ตัวเลือกต่อมาจึงเป็น ออสเตรียเลีย ! ชอบมาเป็นทุนเดิม อยากไปดูหมีโคอ่าล่า(น่ารักเว่อ) ตอนนั้นอยากไป ANU เพราะเป็นมหาลัยอันดับ 1 ของที่นั่นซึ่ง มธ มี contact อยู่ แถมเค้ามีทุนให้ด้วยนะ O.o ตาลุกวาวเลยพอพูดถึงของฟรี.. แต่มานั่งๆ คิดดูว่า ถ้าไปเราคงต้องเรียนหนักมากกกก เนื่องจากมาตรฐานของมหาวิทยาลัย อีกอย่างคือออสเตรเลียช่วงหลังๆ ดูไม่ค่อยปลอดภัยเลย เพราะเจอภัยธรรมชาติเยอะมาก เลยเกิดอาการกลัวว่าได้ไปแต่จะไม่ได้กลับ ฮ่าา อีกอย่างคือมันกว้าง (เป็นโรคชอบที่แคบ ฮ่าา) คิดว่าคงเที่ยวได้ไม่หมด เพราะปัจจัยหลักอีกประการที่หลายคนอยากไปแลกเปลี่ยน คือได้ไปเที่ยวยาวตั้ง 1 ปี !
สรุปว่า.. หวยงวดนั้นเลยมาออกที่ เกาหลีใต้ ! ซึ่งได้ความคิดนี้มาตอนที่บุกไปถาม จนท เรื่องการรับสมัครของ ANU แล้วในใบสมัครเขียนว่าต้องได้ ielts 6.5-7 เป็นอย่างต่ำ นึกในใจว่าซวยล่ะกู ไม่ได้ไปแน่เลย แล้วพี่เค้าพูดประมาณว่า บางปีอาจไม่เปิดรับ เพราะเด็กจาก ANU ไม่ค่อยมาแลกเปลี่ยนที่ มธ เลยอาจโดนตัดโควต้า.. แต่ทีเห็นคือปีนี้ก็ยังเปิดรับนะ ฉะนั้นใครตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไป ปท.นี้ ก็อย่างไปเกรงไป เตรียมตัวให้พร้อมซะแล้วลุย อย่าฟังคนอื่นมาก จริงๆ.. จนท.เลยแนะนำว่าทำไมไม่ไปแทบเอเชียหล่ะเพราะคนไปค่อนข้างน้อยนะ ไม่ต้องแข่งกันเยอะ.. แวบแรกนึกในใจว่าไม่เอาอ่ะ มันใกล้ไปนะเอเชียอ่ะ อยากไปไกล (แถบแอฟริกาอะไรแบบนี้ กร๊าก) แต่พอพี่เค้าบอกมีเกาหลีใต้ด้วยนี่หันแถบไม่ทัน ฮ่าา
ทำไมอยากไปเกาหลีใต้หน่ะหร๋อ.. โอ่วเหตุผล 108 นะ ฮ่าาา 1.บรรยากาศแบบเกาหลี.. โรแมนติกโคตร คือเราสามารถชิวกับสไตน์ยุโรปได้ในราคาที่ถูกกว่า เพราะบรรยากาศคล้ายกันทุกอย่าง และเป็นประเทศไม่ใหญ่มากคิดว่าน่าจะเที่ยวได้ทั่ว ไปแล้วต้องเที่ยวให้คุ้ม 2.อย่างน้อยก็เอเชียด้วยกัน.. คือคิดว่าถ้าโดดไปฝั่งยุโรปเลยอาจจะ culture shock ไปพักนึง อีกอย่างตั้งใจแล้วว่าอยากไปเรียนต่อโทแถบนั้น ซึ่งถ้าไปซะตั้งแต่ตอนนี้ถึงตอนนั้นก็คงเซ็ง 3.เขาว่าเกาหลีจะครองโลก.. คือยอมรับว่าก็ชอบดูซีรีย์เกาหลีนะ แต่หลังๆ ไม่ค่อยดู เพราะดูแล้วติดไม่เป็นอันทำอย่างอื่นเลย อยากไปตาม 2pm ด้วย แต่เสียดายตอนนี้เลิกบ้าไปละ.. ประเด็นคือ ตอนนี้ในบ้านเราหรือที่อื่นๆ หันไปทางไหนต้องเจอแต่สิ่งที่มาจากเกาหลีใต้ ! samsung LG Hyundai นักร้อง ซีรีย์ แฟชั่น ศัลกรรมฯ ลองนึกสิว่าเป็นไปได้ไหมที่วันหนึ่งๆ คนจะได้ได้ดูไม่ได้เห็นอะไรที่เกี่ยวกับเกาหลีเลย ลองสังเกตุดูนะ แต่เราว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ! แต่อีกนัยนึงเราก็คิดว่าเกาหลีมันคงไม่ได้มีดีไปซะทุกอย่างเพราะมันเป็นสัจธรรมของโลก ฉะนั้นเลยตั้งใจจะไปหามุมมองใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยถูกนำเสนอเกี่ยวกับที่นั่นด้วย
4.ภาษาที่ 4 คือถ้าเรารู้ภาษาเกาหลีอีก เราจะกลายเป็นคนที่ใช้ได้ 4 ภาษาคือ ไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส และเกาหลี ถึงแม้มันจะได้ไม่ดีนักก็ตาม ฮ่าา.. คือมันเป็นความตั้งใจอีกอย่างที่เราอยากใช้ภาษาในเอเชียให้ได้สองภาษา ซึ่งแน่นอนว่าภาษาเกาหลีมันมีประโยชน์มากตอนนี้ ธุรกิจเค้ากำลังเติบโตโคตรๆ โอกาสจึงเปิดกว้างให้เรามากขึ้น อีกตัวคือภาษาอินโด เพราะใช้กันมากที่สุดในอาเซียน ที่ซึ่งเรากำลังจะกลายเป็นประชาคมเดียวกันในเร็ววัน มีโอกาสก็จะลองไปเรียนดูที่นั่น.. คือเราเป็นคนชอบเรียนภาษาไง แล้วคนว่ามันมีประโยชน์มากสำหรับการทำงานในโลกที่มันแคบลงเรื่อยๆนี้ อีกอย่างถ้าเราได้ภาษาเพิ่มเราจะคุยกับเจ้าของภาษาได้รู้เรื่องกว่า เราจะได้เข้าใจอะไรที่มันลึกซึ้งเกี่ยวกับที่นั้นๆ ได้มากขึ้นด้วย
เอาหล่ะ.. ต่อไปจะเป็นการเล่าถึงขั้นตอนการเลือกมหาวิทยาลัย กระบวนการคัดเลือก การเตรียมตัว และการเตรียมใจเมื่อหลายคนถามว่า
"ไปทำไมเกาหลีจะไปดูดาราหร๋อหรือจะไปศัลกรรม !"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น