ลวง ล่า ราตรี - นิยาย ลวง ล่า ราตรี : Dek-D.com - Writer
×

    ลวง ล่า ราตรี

    เมื่ออดีตเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานรับสายโทรศัพท์แปลกหน้าในดึกคืนหนึ่งเพียงเพื่อจะปล่อยให้มันดึงเขาเข้าสู่วังวนการไขคดีอุกฉกรรจ์ที่สุดคดีหนึ่งในชีวิต และสุดท้ายชีวิตของเขาเองที่ต้องถูกคุกคาม

    ผู้เข้าชมรวม

    293

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    293

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  สืบสวน
    จำนวนตอน :  4 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  20 ต.ค. 56 / 22:22 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    01.16 น.

                   

                    เสียงปืนดังกึกก้องขึ้นในความมืด  ก่อนจะสะท้อนออกไปโดยรอบปริมณฑล  เสียงที่ดังราวกับฟ้าผ่ากระชากทุกชีวิตในป่าที่กำลังหลับไหลให้หลุดจากห้วงนิทราฉับพลัน  กลุ่มนกกระพือปีกบินอย่างแตกตื่นอยู่เหนือยอดไม้  ลิงค่างกลางเถื่อนเพรียกร้องหากันอยู่ขรม  ความโกลาหลดำเนินไปชั่วระยะหนึ่งก่อนจะสงบลง  แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมป่าทั้งป่าอีกครั้งราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

                   

                    ผมผวาตื่น  ตาเบิกโพลงอยู่ในความมืด  งุนงงอยู่พักหนึ่งจึงค่อยๆเริ่มใช้สติที่ยังคงสภาพกึ่งตื่นกึ่งภวังค์ไล่เลียงความฝันเมื่อครู่  ผมฝันว่าตนเองได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง  ในห้วงความฝันนั้นทุกสิ่งดูพร่ามัว  ใบหน้าหล่อนรางเลือนเหลือเกิน  แม้ว่าผมพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อเบิกตามองหน้าหล่อนให้ชัดๆ  แต่ราวกับเปลือกตานั้นได้ทิ้งน้ำหนักมหาศาลกดทับลงมาอยู่ทุกขณะ  ผมจำได้รางๆว่าหล่อนขายผลไม้ท้ายรถคันเขียวเข้มและส่งยิ้มจางๆให้  นัยน์ตาคู่นั้นมองอย่างมีความหมาย  พลันมีเสียงปืนดังขึ้นแล้วหล่อนก็ล้มลง  ผมสะดุ้งตื่น  สูดอากาศเข้าลึกเต็มปอด  รู้สึกได้ถึงความอับชื้นจากเม็ดเหงื่อที่ซึมซาบกระจายทั่วเสื้อและแผ่นหลัง  ผมนั่งนิ่งอยู่นานในความมืด  ใบหน้าของหล่อนไม่หวนเข้ามาในความทรงจำอีกแล้ว  หากดวงตาคู่นั้นยังติดตาผมอยู่แม้ในยามตื่น  ผมบิดตัวเบาๆ  เอื้อมมือไปนวดท้ายทอยที่ปวดเนือยๆ  พลางไขว่คว้าสะเปะสะปะหาต้นเหตุของความปวดนี้

                    ฉันทำหมอนหล่นลงไปใต้แคร่ตอนหลับเป็นครั้งที่สี่แล้วนะเนี่ย

                    พฤติกรรมประหลาดนี้อาจไม่อยู่เหนือคำอธิบายแต่ผมเองยังคงสงสัยว่าการปัดหมอนหล่นจากแคร่ไม้หน้ากว้างสองเมตรเกิดขึ้นได้อย่างไรในช่วงเวลาติดๆกัน

                    เสียงอีกาตัวหนึ่งที่ดังมาจากยอดไม้ต้นใดสักต้นบริเวณใกล้ๆดึงสติผมให้หลุดออกจากห้วงความคิดอีกครั้ง  ยังมีเสียงของสัตว์ชนิดอื่นๆอีกมากมายที่ผมไม่รู้จักดังระงมขึ้นในที่ไกลออกไป  ผมก้าวลงจากแคร่  ปรับสายตาให้ชินกับความมืดและค่อยๆสืบเท้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ  มีของวางระเกะระกะในห้องนี้อยู่ไม่น้อยเลย  หากได้ลองกระแทกกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเข้าแล้ว  น่ากลัวว่าสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในเวลานี้อาจเป็นการนอนทนปวดโดยไม่มีหยูกยาบรรเทาไปจนกว่าตะวันจะโผล่ซึ่งผมคะเนว่าคงยังอีกหลายชั่วโมง  ขณะที่ความอดทนต่อการเคลื่อนไหวอันยืดยาดนี้กำลังจะสิ้นสุดลงมือผมก็แตะขอบหน้าต่างพอดี 

                    เกิดอะไรขึ้นวะ

                    ฟ้าเบื้องหน้าไม่มีสิ่งใดน่าพิสมัย  โดยปกติแล้ว  วันนี้ควรจะต้องเป็นวันข้างขึ้นที่มีพระจันทร์ทอแสงสีเงินนุ่มนวลฉาบผืนป่า  หากแต่สิ่งที่ผมเห็นในขณะนี้คือความมืดทะมึน  สายฟ้าแปลบปลาบอยู่ไกลๆ  ทำให้เห็นว่าท้องฟ้าที่เหมือนจะมืดสนิทนี้จริงๆแล้วกำลังถูกปกคลุมด้วยเมฆหนา  ไม่ถึงกับต้องใช้ประสาทแยกแยะสักเท่าใดก็พอจะสังเกตได้ว่าแม้แต่เมฆเหล่านั้นเองก็ล้วนเป็นสีดำ  ดูท่าหากฝนกระหน่ำลงมาในคืนนี้ดังที่ผมสังหรณ์ใจ  ผมอาจได้ขัดห้างฉุกเฉินนอนบนต้นไม้สักต้นนอกรัศมีสองกิโลจากกระท่อมในยามวิกาลเช่นนี้แน่

                    “จะนอนนี่จริงๆหรือ”  เด็กชาวป่าซึ่งถูกจ้างจากในไร่ให้มาช่วยนำทางและหาบของโพล่งถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังจากเราบุกป่าฝ่าดงเข้ามาจนถึงกระท่อมขนาดไม่เล็กนัก

                    “มีอะไรหรือเปล่า  สีหน้าแกดูไม่ค่อยดีเลยนะสมาน”  ผมถามกลับทั้งที่ยังไม่ได้ตอบคำถามเขา

                    “สมานมันกลัว  กระท่อมสร้างข้างถ้ำ  มันกลัวว่ายามกลางคืนผีแมนจะออกมาทำ”   ปะสี  ลูกป่ารุ่นราวคราวเดียวกับสมานที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยตอบอย่างร่าเริง  พลางเด็ดดอกไม้ป่าขึ้นทัดหูแล้วรำป้อ

                    ผมคุ้นเคยกับเรื่องผีแมนดีหลังจากที่ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านปลายแดนแม่ฮ่องสอนมาร่วมสองสัปดาห์  โดยเฉพาะพวกเด็กๆที่มักเล่าทุกเรื่องที่รู้โดยไม่ปิดบัง  โดยส่วนตัวแล้วผีชนิดนี้จะมีหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจด้านใดของผมเลยเพราะไม่ได้เชื่อถือเรื่องผีสางนางไม้เท่าใดนัก  แต่สมานนั้นแสดงสีหน้าวิตกอย่างชัดเจน  เขาคงจะคิดว่าผมเห็นเรื่องที่เขาเชื่อถือเป็นสิ่งไร้สาระ  อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้ผมเองจะไม่เชื่อ  ทว่าหากมองในมุมของคนที่นี่  ผมก็เข้าใจความห่วงใยของสมาน  เรื่องเล่าหรือตำนานปรัมปรามักจะดูเป็นจริงเป็นจังเสมอเมื่อมีองค์ประกอบปัจจัยปรากฏครบ  กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน  เรื่องตัวตนของผีแมนที่จับต้องหรือมองเห็นได้นั้นลืมไปได้เลย  เพราะไม่มีใครเคยได้เห็น  หากการที่ถ้ำถูกค้นพบพร้อมๆกับสมบัติพัสถานทำจากเหล็กและหิน  อีกทั้งเรือขุดอีกนับไม่ถ้วน  กอปรกับปากคำของผู้เฒ่าผู้แก่ที่คนส่วนใหญ่นับถือก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เรื่องราวนี้แทบจะเป็นจริง

                    หากสมานกลับหัวเราะออกมาอย่างเห็นขันแล้วตอบว่า

                    “ไม่ใช่  ไม่ใช่ผี  สมานแค่จะเล่าเรื่องที่พวกอำเภอมาเตือน  บอกว่าหน้าฝน  ดินตรงกระท่อมเคยไหลลงมาข้างล่างตีนเขาตอนปีกลาย  เขายังไม่ได้มาพูดหรือว่าให้รื้อ”

                    “ไม่เห็นมีใครมาพูดอะไรนี่”  ผมตอบไม่เต็มเสียง  ความจริงแล้วเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่มาตรวจหมู่บ้านเมื่อวันก่อนเตือนผมแล้วว่าไม่ควรไปสร้างอะไรไว้บริเวณนั้นแม้จะเป็นแค่ที่พักชั่วคราวก็ตาม  และแม้จะรับคำเป็นมั่นเหมาะแต่ผมก็ยังแอบขึ้นมาอีกครั้งด้วยหวังว่าจะได้เจอสิ่งที่ตามหา  กำหนดเอาไว้ในใจว่าหากครั้งนี้คว้าน้ำเหลวจริงๆ  ผมจึงจะยอมให้ชาวบ้านขึ้นมารื้อกระท่อมออกไป

                    “ถ้าอย่างนั้นสมานกับปะสีจะตัดไม้ไผ่ไปทำห้างให้ห่างกระท่อมสักสองโลแล้วกัน  มีอะไรก็วิ่งไปขึ้นห้าง  เรื่องเสือสางสัตว์ดุอย่ากลัว  ท่องกันมาตั้งแต่ละอ่อนยังไม่เคยเจอ”

                    “เฮ้ย  จะต้องลำบากทำไม  ไม่ต้อง  ฉันขึ้นมาไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับ  ดินมันคงไม่จำเพาะจะมาถล่มเอาช่วงนี้หรอก”

                    “อย่างไรปะสีกับสมานก็จะไปตัดไม้มาเผื่อไว้  ไม่ได้เอาไปยกห้างก็ใช้ได้อย่างอื่น”  ปะสีผู้รำเสร็จเรียบร้อยแล้วขัดจังหวะขึ้นทันควัน

                    “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเถอะ”  ผมจนปัญญา  ได้แต่นึกขอบคุณความห่วงใยและความช่างจำนรรจาของเด็กทั้งสองอยู่ในใจ

                    ท้องฟ้ายังคงมืดมนอนธกาล  แสงแปลบปลาบตามมาด้วยเสียงคำรามจากที่ไกลยิ่งทำให้ใจหดหู่  ลมเย็นพัดต้องใบหน้าเบาๆ  น่าแปลกที่ยังไม่เคยมีลมชนิดใดทำให้ผมขนลุกได้มากเท่ายามนี้  เสียงสิงสาราสัตว์เมื่อครู่เงียบลงไปนานแล้ว  แต่แม้ป่าจะเข้าสู่ความสงบอีกครั้งผมกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียเฉยๆ  สัญชาตญาณการหวาดระแวงอันตรายของผมทำงานไม่สู้ดีนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  หากครั้งนี้ผมรู้สึกแน่ใจว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

    …………………………………………………………………..

                    


                      เสียงโทรศัพท์ข้างเตียงดังสนั่นปลุกผมขึ้นมาตอนรุ่งสาง  ผมปล่อยให้มันดังอยู่นานจึงค่อยๆเอื้อมมือไปคว้าหู  แอบหวังอยู่บ้างว่าสายจะถูกตัดไปก่อนที่มือจะเอื้อมถึงเช่นที่เคยจงใจให้เป็นบ่อยครั้ง  แต่น่าเสียดายที่วันนี้ไม่เป็นดังคาด  มันดังยาวและเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเอาเลย  ผมยกหูรับและกรอกเสียงลงไป

                    “อยุทธพูดครับ”

                    “สวัสดีครับคุณอยุทธ  ผมคงไม่ได้โทรมารบกวนเวลานอนคุณใช่ไหมครับ” 

                    ผมมองนาฬิกา  ตีห้ายี่สิบนาที  คงไม่หรอก

                “คุณเป็นใคร”

                    “ผมชื่อนรเศรษฐ์  ศรียมก  ผมเป็นตำรวจครับ”  เสียงปลายสายเอ่ยแนะนำตนเองอย่างเนิบช้า  “ผมสังกัดสถานีตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอปางมะผ้า  จังหวัดแม่ฮ่องสอน”

                    จะสังกัดอะไรก็ช่างเถอะ  ประเด็นไม่ได้อยู่ที่สังกัด  แต่อยู่ที่โทรมาทำไม

                    ผมกำลังนั่งนึกว่าสองสามวันที่ผ่านมา  ตนเองไปซิ่งรถบนทางด่วนช่วงไหนบ้างหรือเปล่าจึงได้มีตำรวจตามมาเขียนใบสั่งทางโทรศัพท์เช่นนี้  แต่แล้วก็นึกเอะใจ

                    ปางมะผ้าอย่างงั้นหรือ  ตำรวจคนนี้บอกว่าตัวเองอยู่ปางมะผ้านี่นะ  แล้วฉันไปนึกถึงทางด่วนทำไมกัน

                ผมเพิ่งลงมาจากปางมะผ้าเมื่อต้นสัปดาห์  แล้วอยู่ๆก็มีตำรวจจากที่นั่นโทรเข้าโทรศัพท์ส่วนตัว  มันหมายความว่าอย่างไรนี่  ผมชักร้อนๆหนาวๆเสียแล้ว 

                    “เอ้อ  มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ  แล้วไม่ทราบว่าคุณได้เบอร์บ้านของผมมาได้อย่างไรกันนี่”  ผมถามอย่างตื่นๆ  ยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น  พยายามสลัดความง่วงงุนทิ้ง

                    “ในราชการตำรวจ  การหาทางติดต่อบุคคลไม่สู้จะยากเท่าไรหรอกครับ  อย่าใส่ใจเลย  ผมว่าผมจะรีบเข้าเรื่องและรวบประเด็นให้กระชับมากที่สุด  เพื่อที่คุณจะได้ไปล้างหน้าจิบกาแฟให้สร่างง่วงนะครับ” 

                    ดูท่าตำรวจนี่คงไม่ธรรมดาซะแล้ว

                    ผมแน่ใจว่าตนเองพยายามทำเสียงให้เป็นปกติเช่นในยามตื่นเต็มตาตอนที่เราเริ่มสนทนากัน

                    “ผมทราบว่าคุณเคยเป็นอดีตเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานในส่วนกลางและเป็นนักเดินป่าในคราวเดียวกัน  ทางเราจึงมีเรื่องจะขอร้องให้คุณช่วย”  เขาอารัมภบทต่อสั้นๆและเผยความประสงค์ในตอนท้าย  น้ำเสียงเขาแลดูมั่นใจเสียเหลือเกินว่าอย่างไรผมต้องยอมให้ความร่วมมือกับเขาแน่  ถึงตอนนี้ผมเริ่มสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้  อาจเกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้าป่าที่ปางมะผ้าของผมเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนจริงๆ  หลังจากนิ่งคิดถึงเรื่องที่เคยไปทำไว้ในป่าคราวนั้นอยู่พักใหญ่  ผมจึงค่อยๆตะล่อมถามกลับไป  เป็นจังหวะเดียวกับที่ปลายสายเริ่มมีเสียงหายใจแรงๆ

                    “เรื่องที่จะขอให้ช่วยนี่เกี่ยวข้องกับอาชีพเก่าและงานอดิเรกของผมด้วยหรือครับ”

                    “ถ้าไม่ใช่ผมคงไม่เกริ่นอย่างนั้นหรอกนะ  มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นในพื้นที่ของผมเมื่อวาน  เจ้าทุกข์ร้องกับเจ้าหน้าที่ว่าสามีออกจากบ้านสองวันแต่ไม่กลับมาและขาดการติดต่อ  สามวันหลังจากตำรวจท้องที่รับเรื่องก็มีชาวบ้านพบศพศพหนึ่งในสภาพยับเยินอยู่กลางป่า  มีการบ่งชัดแล้วว่าเป็นศพของบุคคลที่หายไป  รวมระยะเวลานับจากเขาออกจากบ้านจนกระทั่งมีผู้พบศพประมาณห้าวัน  จนถึงวันนี้ก็รวมเป็นหกพอดี  หากแต่เรายังไม่ทราบชัดว่าเขาตายเมื่อไร  ตายมานานเท่าไรและที่สำคัญคืออย่างไร  ผมคงไม่พักต้องอธิบายต่อแล้วนะครับว่าทำไมเราถึงมาขอให้คุณช่วย  รายละเอียดนั้นผมไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์  วันนี้คุณพอจะมีเวลาว่างบ้างหรือเปล่า  ตอนนี้ผมขึ้นมาราชการที่กรุงเทพฯ  ถ้าคุณสะดวกผมจะได้………..” เขาพูดเองเออเองโดยไม่คิดจะให้ผมได้พูดแทรกสักคำ 

                    “ผมเกรงว่าผมจะ.....  ผมรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล   ผมก้าวเข้ามาสู่เส้นทางอาชีพที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมายและเคยไขคดีอุกฉกรรจ์มานับครั้งไม่ถ้วน  หากการได้พบประสบการณ์เลวร้ายที่สุดเมื่อต้องตกเป็นเหยื่อเสียเองเป็นสาเหตุให้ผมยุติอาชีพนี้มาได้เกือบสิบปีและหันมาเอาดีด้านการวาดภาพ  การพาตนเองเข้าไปในวังวนอาชญากรรมอีกครั้งอาจเป็นเหตุให้ประวัติศาสตร์ของผมกลับมาซ้ำรอยเดิม  แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ไกลถึงขนาดนั้น  หากอยู่ที่คำพูดของตำรวจคนนี้ต่างหาก  สิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้สร้างความแคลงใจให้ผมมากจนเกินจะปักใจเชื่อ  เมื่อไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนฟังอยู่เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ  ผมจึงตัดสินใจจะจบบทสนทนานี้เสียที   ผมค่อยๆชิงปฏิเสธอย่างละม่อม  แต่ทันใดนั้นเขาก็แทรกขึ้นกลางคันราวกับรู้ทันความคิด

                    “ผมไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อฟังคำปฎิเสธหรอกนะครับ  เราคาดหวังอย่างสูงว่าคนเคยทำงานตีแผ่ความจริงอย่างคุณจะไม่ปล่อยให้ความทุกข์ระทมของหญิงแก่ที่เสียสามีต้องดำเนินต่อไปจนวันหล่อนหมดลม” 

                    สำบัดสำนวนดีจริงนะ

                น้ำเสียงที่เขาใช้พูดอยู่ในขณะนี้ทำให้ผมนึกสีหน้าเขาไม่ออกจริงๆ

                    อย่างไรก็ตาม  ผมเองก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่เอาด้วย  หลังจากฟังเขาพูดมาทั้งหมด  ผมก็แน่ใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ  ข้อเท็จจริงที่ผมทราบกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดช่างสวนทางกันลิบลับ

                    “คุณตำรวจครับ  ผมเกรงว่าคุณจะต้องผิดหวังนะครับ  เพราะผมคงจะช่วยคุณเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ  อย่าเสียเวลาชักแม่น้ำมาจูงใจผมอยู่เลย”  ผมบอกเรียบๆ  สะกดกลั้นน้ำเสียงไม่ให้สั่น  แม้จะไม่แน่ใจว่าเขาเป็นตำรวจ  แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเขาจะไม่ใช่  ถ้าเขาเป็นจริงๆผมคงปฏิเสธคำขอนี้ได้ลำบาก  เพราะสมัยทำงานกับตำรวจ  ผมเป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำอยู่อย่างเดียว  คือทำตามคำสั่ง 

                    โชคดีที่ตอนนี้ความไม่แน่ใจว่าเขาเป็นตำรวจนั้นมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

                    “แต่คุณอยุทธครับ  คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ  คุณจะปล่อยให้ผมโทรหาคุณฟรีๆอย่างนั้นรึ”  เขารีบร้อนโพล่งออกมาอย่างมีพิรุธ 

                    คิ้วผมขมวดทันทีเมื่อได้ยินเขาพูดประโยคนี้  โทรฟรีงั้นรึ  ฉันควรต้องรับผิดชอบการโทรหาฟรีๆครั้งนี้ในส่วนไหนบ้างล่ะนี่  คนคนนี้โทรมาปลุกในเวลาที่ผมควรจะได้นอน  แล้วยังมาสาธยายอะไรเสียยืดยาว  แถมยังอ้างว่าตนเองเป็นตำรวจ  เรื่องโกหกพกลมนี้เบียดเบียนเวลานอนผมมานานเกินพอแล้ว  มีอย่างที่ไหนมาตามหาเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปทำคดี  ทั้งที่ความจริงแม้จ่าแก่ๆกะโหลกกะลายังรู้เลยว่าตำรวจภูธรทุกจังหวัดมีทีมนักวิทยาศาสตร์ในตำแหน่งนี้ประจำอยู่แล้ว  ผมมองไปที่หน้าต่าง  เห็นแสงอาทิตย์เริ่มจับยอดไม้ระเรื่อๆ  ผมแน่ใจแล้วว่าที่เขาพูดว่าตนเองเป็นตำรวจนั้นโกหกทั้งเพ

                    “ขอโทษนะ  คุณโทรมาปลุกผมตอนตีห้ากว่าๆ  ทั้งที่คุณเป็นใครผมก็ไม่รู้จัก  แล้วยังมาขอให้ผมช่วยคดีอะไรก็ไม่รู้  ถ้าเป็นคุณบ้างในสถานการณ์แบบนี้  คุณคิดว่าผมควรทำยังไงล่ะนี่  ผมไม่รู้หรอกว่าคุณไปหาข้อมูลของผมมาจากไหน  แต่ถ้ายังคิดจะทำแบบนี้ต่อ  ผมแจ้งตำรวจเอาเรื่องคุณแน่”  ผมกระแทกหูโทรศัพท์ลงอย่างหัวเสียพร้อมกับล้มตัวลงนอนต่ออย่างอ่อนแรง

                    ไอ้พวกโรคจิตนี่มันเกลื่อนเมืองจริงนะเดี๋ยวนี้ 

                    ผมหลับไม่ลงเสียแล้วตอนนี้  อาจเป็นเพราะตอนเด็กๆผมถูกหัดให้ตื่นนอนอย่างมีวินัย  ถ้าตื่นลืมตาขึ้นมาแล้วจะต้องไม่กลับไปนอนต่อเหมือนคนขี้เกียจ  หรือบางทีที่ผมหลับต่อไม่ลง  อาจเป็นเพราะความคิดที่ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องบ้าๆเมื่อครู่นี้ก็เป็นได้  ผมลุกขึ้นมาบิดร่างกาย  เดินออกจากห้องนอนไปเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อนในครัวเพื่อชงกาแฟ  แล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง  คอมพิวเตอร์ตัวเก่าที่รับใช้ผมมานานปียังวางอยู่ที่เดิมของมัน  ผมไม่ชอบเลย  เวลาที่ยังค้างคาใจกับอะไรสักอย่างแต่ฝืนไม่ยอมหาคำตอบ  ทั้งๆที่วิธีไขข้อสงสัยก็แทบจะวางอยู่ตรงหน้า  สุดท้ายจนแล้วจนรอด  ผมก็มักต้องยอมแพ้ความอยากรู้ของตนเองเสมอ

                    ผมค่อยๆเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดคอมพิวเตอร์


    ………………………………………………………

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น