คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Level 1: Starting
LV.1: Starting
“ดาบผนึกแห่งความมืด ซอร์ดออฟดาร์คเนส!! ย้ากกกก”
ท่ามกลางโรงอาหารที่คนเริ่มมากขึ้นในทุกขณะ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังทำตัวเป็นร่างทรงจิตวิญญาณนักรบผู้พิทักษ์ซึ่งจะชื่ออะไรก็แล้วแต่ เขาได้ทำการสวมวิญญาณโดยผ่านสองมือที่ถือเครื่องเกมส์ขนาดพกพาของตนเองในขณะที่รอเพื่อนของตนซึ่งกำลังรับประทานอาหารอยู่
“เดย์...นายชอบเชอร์เบ็ตหรอ”
ชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆผู้ที่ถูกถามพูดขึ้นโดยไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีแม้แต่สัญญาณเตือนอะไรล่วงหน้าทำให้ผู้ที่โดนถามถึงกับตั้งตัวไม่ทัน
“หา! ว่าไงน-- อ๊ะ...ไม่น้า!”
เสียงของเดย์ดังขึ้นในขณะที่มือยังคงถือเครื่องเกมส์ขนาดพกพาที่ในจอมีคำว่า GAME OVER ตัวใหญ่สีแดงขึ้นมากลางจอ ทำให้แทนที่เขาจะตกใจกับคำถามซึ่งมีโอกาศกระทบถึงความมั่นคงกับเขาโดยตรง ถูกเพ่งเล็งมาที่เกมส์ขนาดพกพาที่อยู่ในมือของเขาแทน
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง”
“ไม่นะ เซฟีร่าจัง ฮือ...”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิครับคุณเดย์ (...ถ้ายังไม่ตอบจะด่าแล้วนะ)”
ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างๆกับเดย์เอ่ยขึ้นเป็นครั้งที่สอง พร้อมทั้งขยี้ผมอันระยิบระยับของตัวเองในขณะที่เดย์ยังเอาแต่โอดครวญให้กับการจากไปของนักรบศักสิทธิ์แห่งความมืด(?) เซฟีร่าที่ตายในอ้อมแขนของเขา
หลังจากถูกเตือนเป็นครั้งที่สองเดย์ก็เริ่มตั้งสติได้ สมองของเขาผละออกจากเครื่องเล่นขนาดพกพาที่อยู่ตรงหน้ามาประมวลผลกับคำถามซึ่งได้ถูกถามไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ หลังจากใช้เวลาประมวลผลถึงหนึ่งวินาทีเต็มๆเลือดของเดย์ก็สูบฉีดแรงขึ้น ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว และเห็นสีแดงระเรื่อบริเวณแก้มของเขา ในขณะที่ผู้ถามและเพื่อนที่อยู่ในโต๊ะเผยรอยยิ้มมีเลศนัยหลังจากรอคำตอบมานาน
“ดูง่ายจังนะหมอนี่”
“อืม...”
“Ah… หน้าแดงด้วยล่ะ ”
“!!!”
คำพูดแรกมาจากชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมสีทองจนเกือบขาวส่องประกายระยิบระยับราวรับกับแสงแดดยามเช้าราวกับคุณหนูผู้ดีที่ไหน สมกับชื่อ “ซันไชน์” แต่สิ่งที่พูดออกมาจากปากนั้นเจ็บแสบมากทีเดียว ต่อด้วยคำตอบรับจาก “อัญ” ผู้ซึ่งตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก และประโยคสุดท้ายมาจาก “ไวรัส” เพื่อนสนิทของเดย์ที่มักจะเป็นคนพูดประโยคปิดท้ายที่ไร้ความรุนแรง แต่ทำให้จำฝังใจไปจนตายได้เลย
ขณะที่เดย์นำมือไปแตะหน้าของตัวเองเพื่อพิสูจณ์ความเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิบนผิวหน้านั้น คำพูดต่างๆก็ระดมยิงใส่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโอเวอฮีตเลยแม้แต่น้อย
“ม...ไม่ได้แดงเฟ้ย”
“เห็นๆเลยล่ะ”
“อืม...”
“อ๊ากกก!”
“เดย์เหมือนจงใจแสดงออกเลยแฮะ”
(…!)
คอมเม้นสุดท้ายทำเอาสติเดย์หลุดลอยไปกับสายลมในทันที ในขณะที่ตัวเองหน้าแดงอยู่อย่างนั้น เขาก็ลุกขึ้นเอามือทุบโต๊ะและตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่ตนเองยังตกใจ
“ไม่ใช่ซะหน่อย!!”
เสียงเดย์ตะโกนลั่นโรงอาหารในตอนเช้าซึ่งเสียงรอบๆยังไม่ดังมากนัก เล่นเอาหลายโต๊ะที่อยู่รอบๆสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจและหันมามองเป็นตาเดียว ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น... มีคนเมายาหรือเปล่านะ... หรือว่าเด็กติดเกมส์พัฒนาถึงขั้นที่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณสาวน้อยใจบริสุทธิ์ที่อยู่ในเกมส์ได้แล้ว...!
แต่ถึงกระนั้นเพื่อนร่วมโต๊ะของเดย์ก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกตกใจใดๆแม้แต่น้อยและยังคงยิงคำถามต่ออย่างไม่หยุดยั้ง...
“ฮ้า... กว่าจะหนีออกมาได้”
เดย์ถอนหายใจเฮือกยาวหลังจากที่ปลีกตัวออกจากเหล่าสหายร่วมรบอย่างยากลำบาก ด้วยความพยายามที่จะปกปิดความลับของตัวเองอย่างสุดชีวิต ถึงแม้เจ้าตัวจะรู้ก็ตามว่าความพยายามเหล่านั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่สุดท้ายก็จำต้องปลีกตัวออกมาจากวงเพราะเขารู้ดีว่าหากอยู่นานมากกว่านี้ หลอดเลือดของตนอาจต้องทำงานหนักจนตัวเองรับไม่ไหวแน่ และ อีกเหตุผลหนึ่งคือ หากตนอยู่นั่นนานกว่านั้น จากที่ความลับจะแตกแค่คนในกลุ่ม อาจกลายเป็นข่าวไปทั่วโรงเรียนก็เป็นได้
ใช่แล้ว... เชอร์เบ็ตคือคนที่เดย์ชอบ และยิ่งไปกว่านั้นคือรักแรกของเดย์อีกด้วย และที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ เดย์ชอบคนคนเดียวมาถึงสามปีกว่าโดยที่ยังไม่ได้มีความก้าวหน้าในด้านความรักเลยแม้แต่ปลายเล็บ! ดังนั้นการที่เพื่อนของตนรู้ว่าคนที่ตัวเองชอบคือใครนั้นถือว่าเป็นความก้าวหน้าสำหรับเดย์แล้ว ถึงแม้สำหรับเพื่อนของเดย์แล้ว เรื่องพวกนี้คงเป็นเรื่องที่รู้กันนานมากแล้ว เพียงแต่ต้องการถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้น เพราะเดย์เป็นคนที่มักจะแสดงออกได้ชัดมากเวลาเจอหน้าคนที่ตัวเองชอบ ทั้งๆที่ปกติจะเป็นคนสบายๆก็ตามแต่
(หรือว่าที่จริงแล้วยัยนั่นก็จะ...)
เดย์ตัวสั่นเทิ้ม เหงื่อเย็นๆผุดขึ้นบริเวณหน้าผาก ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนแต่ปกติเดย์ไม่ใช่คนที่แค่เดินเฉยๆจะทำให้เหงื่ออกได้ เขาแทบไม่อยากจะคิดอะไรต่อ หรือว่าแม้แต่เชอร์เบ็ตก็จะรู้ความจริงแล้วด้วยกันนะ!
ในขณะที่เดย์ซึ่งเดินหนีกลุ่มเพื่อนออกมาเป็นระยะทางไกลพอสมควรจากโรงอาหารซึ่งอยู่ที่บริเวณหน้าโรงเรียน อีกฟากหนึ่งอันไกลโพ้นของโรงอาหารขนาดโออ่าอลังการของโรงเรียนนั้นเอง
“ฮ้าด....ชิ๊วว”
เสียงเล็กหวานใสของเด็กหญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“ฮ้า สงสัยจะเป็นหวัดแล้วมั้งนี่”
เด็กหญิงคนเดิมยังคงพูดต่อในขณะที่เอามือข้างหนึ่งไปรวบผมยาวมันวาวสีน้ำตาลแก่ของตน ที่กระเซิงเพราะการจามเมื่อครู่นี้ ในขณะที่เพื่อนๆของเธอกลั้นหัวเรอะกับท่าทีอันไร้เดียงสาของเธอ
“สงสัยจะมีคนพูดถึงนะ”
“ไม่มีใครพูดถึงฉันหรอกน่า”
“อย่างน้อยก็มีเดย์คนนึงแหละนะ ฮิๆๆ”
“เดย์หรอ...”
เสียงน้อยๆเปล่งออกมาอย่างไม่มั่นใจ ดูเหมือนว่าถึงแม้เพื่อนๆในกลุ่มจะรู้ความหมายของคำพูดนั้น แต่คนที่ถูกพูดถึงดูจะไม่เข้าใจที่เพื่อนๆพูดซะทีเดียว
(หมายความว่าเดย์นินทาเราอย่างงั้นหรอ...)
เด็กสาวที่เหมือนจะคิดตามเพื่อนๆของเธอไม่ทัน เริ่มหันมองซ้ายทีขวาทีดูปฏิกริยาของเพื่อนของเธอ ซึ่งดูเหมือนว่าจะกำลังมองเธอเป็นเด็กน้อยๆ ไม่สิ บางทีอาจจะมองเธอเป็นลูกหมาน้อยๆมากกว่า อย่างน้อยก็มีตัวเธอคนนึงที่คิดเช่นนั้น
“เชอร์เบ็ตคนชอบเป็นล้าน อาจจะไม่ใช่เดย์ก็ได้นะ”
เพื่อนของเธออีกคนหนึ่งพูดแย้งขึ้นพร้อมด้วยประโยคที่ว่า ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางเป็นความจริงไปได้ จริงอยู่ที่ว่าคนนิสัยแปลกๆอย่างเชอร์เบ็ตนั้นหาได้ยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีคนชอบมากมายมหาศาลถึงขนาดนั้น
“นั่นน่ะสินะ”
เสียงของเพื่อนอีกคนส่งเสริมคอมเมนต์ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ จากนั้นจึงกลายเป็นบทสนทนาอย่างออกรสในขณะที่จุดศูนย์กลางของวงสนทนาก็ยังคงไม่อาจตามความคิดของเหล่าเพื่อนๆของตนได้ทัน
ขณะที่วงสนทนาของเชอร์เบ็ตกับเพื่อนๆเป็นไปอย่างสนุกสนาน เดย์ที่หนีเพื่อนของตนอย่างยากลำบากนั้นได้เดินสาวท้าวไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย เนื่องจากยังเหลือช่วงเวลาในตอนเช้าอีกมาก ทำให้เดย์ซึ่งผละตัวออกมาจากเพื่อนไม่รู้ว่าควรจะไปอยู่ที่ไหนดี เขาจึงสาวท้าวของตนเองไปเรื่อยๆ
เมื่อการขยับเท้าเป็นจังหวะของเดย์หยุดลง เขาพบว่าตนเองมายืนอยู่ที่หลังโรงเรียนซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ค่อยมีคนมาซักเท่าไหร่นัก ถึงแม้จะไม่ใช่ที่ลับสายตาอะไร แต่ก็ไม่ใช่ที่ๆจะมีอะไรน่าพิศมัยให้ชมเช่นกัน
ด้วยความที่ว่าโรงเรียนที่เดย์อยู่นั้นมีขนาดค่อนข้างที่จะใหญ่โต หรือความจริงต้องเรียกว่ามีขนาดมากพอที่จะทำให้คนที่อยู่โรงเรียนนี้มาหกปีบางคนก็ยังไม่สามารถเดินได้ทั่วโรงเรียน แต่ถึงอย่างนั้นโรงเรียนแห่งนี้ก็เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาที่มีชื่อเสียงอยู่พอตัว ทำให้บรรยกาศในโรงเรียนไม่เงียบเหงาเท่าไหร่นัก
(…ที่นี่ก็สงบดีนะ)
เดย์คิดในใจขณะที่มองหาทำเลเพื่อที่จะนั่งเล่นเครื่องเกมขนาดพกพาของตนที่เพิ่งเสียหายย่อยยับจากการที่เซฟีร่าพ่ายแพ้แก่จอมมาร เนื่องจากเดย์ละสายตาออกจากเกมส์แค่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
บริเวณด้านหลังของโรงเรียนนั้นมีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ต้นหนึ่งซึ่งบิดเบี้ยวจากลมและฝนมีกระหน่ำใส่เป็นระยะเวลานาน รอบๆก็มีวัชพืชและพุ่มไม้ขึ้นอยู่เต็มไปหมด ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ได้รับการดูแลจากภารโรง ทั้งๆที่อยู่ในบริเวณโรงเรียนเช่นเดียวกับที่อื่นๆ บรรยกาศของที่นี่เลยไม่เป็นมิตรกับผู้ที่กลัวเหล่าสัตว์ประหลาดนาๆชนิด หรือ ผู้ที่กลัวภูติผีปีศาจเท่าใดนัก
(ตรงนั้นดูนุ่มสบายดีจัง ดูเหมือนจะไม่เลอะมากด้วย)
แต่สำหรับเดย์ที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องผีสางมากนัก แถมยังชอบธรรมชาติที่สงบๆอีกด้วย ที่นี่ถือได้ว่าเป็นสวรรค์ได้ระดับนึงเลยเชียวล่ะ
(แต่ถ้าใครผ่านมาเจอจะถูกหาว่าบ้ามั้ยนะ มานั่งบนหญ้าแบบนี้...)
ถึงแม้จะไม่ได้คิดถึงเรื่องผี เดย์กลับมาระแวงเรื่องความเห็นของคนรอบข้าง แต่หญ้านิ่มๆที่พื้นก็ช่างน่าไปนอนเล่นจริงๆ ถึงแม้จะขึ้นสูงและรกกว่าหญ้าที่อยู่ในสนามกอร์ฟหรือสวนมากก็เถอะ
ในขณะที่มองหาทำเลที่นั่งดีๆท่ามกลางหญ้ารกของด้านหลังโรงเรียน สายตาของเดย์ก็ไปสะดุดกับกำแพงซึ่งเป็นเสมือนสิ่งที่บอกจุดสิ้นสุดของเขตโรงเรียนไว้ สภาพของกำแพงนั้นสามารถบ่งบอกอายุของมันได้อย่างดี ฝุ่นที่เกาะหนาเตอะและไม้เลื้อยนาๆพันธุ์เกาะตามกำแพง แสดงให้เห็นว่าสถาณที่นี้ถูกปล่อยให้รกร้างมานานเพียงใดแล้ว ส่วนล่างของกำแพงจุดหนึ่งนั้นเป็นรูโหว่าขนาดใหญ่พอที่จะให้มนุษย์คลานรอดเข้าไปได้พอดี
(…น่าสงสัยจังเลยแฮะ)
ถึงแม้ในคำว่าน่าสงสัยของเดย์นั้นจะแฝงไปด้วยความสนุกมากกว่าที่จะคิดอะไรจริงจัง แต่การกระทำอย่างนี้ก็ยังถือว่าผิดกฏโรงเรียน เพราะโรงเรียนที่เดย์อยู่นั้นมีกฏห้ามนักเรียนออกจากโรงเรียนหลังเข้ามาในโรงเรียนแล้วหากไม่ได้รับอณุญาติจากครูหรือคณะกรรมการนักเรียน
(ช่างมันสิ ยังไงก็คงไม่มีคนมาอยู่แล้ว ถ้าโดนเจอค่อยบอกว่าทำของหล่นก็ได้มั้ง)
หลังจากคิดได้ เดย์ก็นำกระเป๋าของตัวเองวางไว้ข้างๆกำแพงเก่านั่นและเริ่มย่อตัวลง เพื่อที่จะพยายามมุดเข้าไปในรูโหว่ของกำแพงแต่ด้านหลังของกำแพงที่เดย์มองลอดเข้าไป ก็ยังเห็นเป็นเพียงพื้นที่รกร้างเช่นเดียวกับในกำแพงทำให้เดย์หมดความสนใจในพื้นที่ด้านหลังไปกว่าครึ่ง แต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเอาตัวรอดผ่านช่องเล็กๆอย่างใจเย็น
“ฮื๊บบบบ....”
เดย์ลากเสียงยานขณะยันตัวขึ้นอย่างยากลำบากและพบว่าด้านหลังของกำแพงที่น่าสงสัยนั้นแท้จริงแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากด้านหน้าเลยแม้แต่น้อย ทำเอาเดย์ที่อยากพบเจอเรื่องเหลือเชื่อ เช่น เจอผีสาวของโรงเรียนและพูดคุยสนิทสนมด้วย หรือว่าการเจอห้องทดลองใต้ดินที่ฝังลึกอยู่ใต้โรงเรียน นั้นฝันสลายเลยทีเดียว
ด้านหลังกำแพงนั้นกินพื้นที่เป็นบริเวณไม่มากนักและมีกำแพงแบบเดียวกับด้านหน้าตั้งอยู่ สิ่งเดียวในบริเวณนี้ที่ต่างจากด้านหน้าคือนอกจากมีหญ้าขึ้นทึบแล้ว บริเวณนี้ไม่มีต้นไม้ใหญ่แม้แต่ต้นเดียว ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร เพราะถึงอย่างไร ที่นี่ก็อยู่ใจกลางเมืองหลวงอยู่ดี ตรงกลางของบริเวณนี้มีหลุมดินซึ่งเหมือนกับว่าเกิดจากการขุดของเครื่องจักรบางชนิด แต่ถูกทิ้งไว้กลางคัน
“ที่นี่อาจจะเป็นโครงการขยายพื้นที่แต่ถูกยกเลิกไปก็ได้ล่ะมั้ง”
เดย์พูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเสียดาย ในขณะที่เอามือไปปัดหัวซึ่งเต็มไปด้วยเศษฝุ่นและดินหลังจากที่มุดผ่านกำแพงโทรมๆมาได้ แบบนี้ไม่น่าเสียเวลามุดข้ามมาเล้ย เดย์คิดแบบนั้น
“ลองมุดเข้าไปดูในหลุมนั่นมั้ยล่ะ”
“!!”
เดย์สะดุ้งเฮือก และรีบกลับหลังหมุนตัว 180 องศา เพื่อหันไปหาต้นตอของเสียง เนื่องจากเสียงนั้นไม่ได้มาจากเดย์อย่างแน่นอน เบื้องหน้าเดย์คือชายอายุประมาณ 20 ปีเศษๆหรืออาจจะมากกว่านั้น รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีขาววานิลลา แต่สภาพทรงผมกลับดูเหมือนคนที่เพิ่งเดินทางออกจากป่าทางใต้ของอเมซอนได้ไม่นาน ช่างเป็นอะไรที่ติดกับสีผิวอย่างแท้จริง ผมหยักศกสีดำอมแดงปลิวไปมาในอากาศ พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายผู้นั้น ชุดเครื่องแบบมหาลัยชื่อดังที่ชายผู้นั้นใส่อยู่เป็นเครื่องระบุได้อย่างดีว่าเขาไม่ใช่คนของโรงเรียนนี้อย่างแน่นอน
“พี่เจด!”
“โย่ว ไม่เจอกันนานนะ”
ชายผู้มาไหม่ทักอย่างเป็นกันเองในขณะที่เดย์กำลังตั้งสติและใช้ความคิดว่าเขาโผล่มาได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่มุดมาตนยังไม่เห็นแม้แต่เงาของมนุษย์ซักคน
“เป็นอะไรไป ลมจับหรอ ไม่ไหวเล้ย ยังเด็กอยู่แท้ๆ”
“พี่มายืนอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย!?”
“ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว”
“…”
เสียงตอบกลับอย่างไม่จริงจังนักของชายที่ชื่อ เจด ทำเอาเดย์นิ่งอึ้งต่อคำพูดไม่ออกอยู่เหมือนกัน
เมื่อเจดเห็นเดย์ที่ทำหน้า งง ราวกับถูกดักตีหัวทำให้ต้องพูดประโยคต่อไป แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นประโยคที่เขาต้องการตั้งแต่แรกแล้ว
“ถ้าอยากรู้อะไรล่ะก็ ลงไปในหลุมนั่นสิ”
เจดพูดอย่างสบายๆและดูไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่การที่จะให้ลงไปในหลุมแบบนั้นก็ดูไม่น่าจะเป็นเจตนาที่ดีอย่างแน่นอน สำหรับเดย์แล้วมันเหมือนก้าวลงนรกเลยนะ
“พูดอะไรเป็นการ์ตูนไปได้พี่”
(คนบ้าที่ไหนพอมีคนบอกให้ลงหลุมก็มุดลงไปบ้างล่ะ)
เดย์ได้แต่คิดในใจ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องที่ตนเองสนิทด้วย จะพูดไปก็กระไรอยู่ ถึงแม้เจดจะเป็นพวกที่ว่า “จะพูดยังไงก็เชิญ กูอาร์ต” และมักจะไม่เก็บคำพูดต่างๆไปใส่ใจมากนัก
“ถ้าไปจะเล่าเรื่องในโรงเรียนที่แทบไม่มีคนรู้ให้ฟังเอามั้ยล่ะ? ”
เมื่อเห็นว่าเดย์ไม่สนใจจะมุดเข้าไปในหลุมอย่างที่ตนหวังไว้ เจด ก็เริ่มหว่านล้อมอีกครั้งโดยการเอาเรื่องที่เดย์ไม่เคยได้ยินมาล่อ เสริมด้วยการพูดที่ดูจริงจังขึ้นนิดๆหน่อยๆ แต่เดย์ก็รับรู้ถึงความจริงจังนั้นได้
(มันเรื่องอะไรกันนะ)
เดย์ที่สนใจเนื่องจากท่าทีที่ดูจริงจังต่างจากเจดเวลาปกติ ที่แทบจะไม่เคยทำตัวจริงจังกับเขาเลย ถึงขนาดที่ว่า บ้าๆบอๆอย่างเดย์ ยังมีความน่าเชื่อถือกว่าเจดหลายเท่าตัว แต่จากการที่อยู่กับเจดมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้ว่าหากพูดด้วยสีหน้าจริงจังล่ะก็ จะต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน นอกจากนี้เจดยังเคยเป็นถึงอดีตประธานนักเรียนของโรงเรียนนี้ซึ่งมีนักเรียนอยู่ถึงราวๆเจ็ดพันคนอีกด้วย
“เอ้า...เอ้า... ว่าไง ถ้าไม่คิดจะลงไป พี่ก็จะกลับล่ะนะ”
“นี่จะเร่งให้รีบตัดสินใจใช่มั้ยครับ โอเค ลงก็ลง!”
(เอาสักตั้งวะ เราก็อยากรู้ด้วยว่าในนั้นมันมีอะไรกันแน่)
“โฮ่ มันต้องอย่างงี้สิน้องเลิฟ”
เจดก็ยังพูดด้วยท่าที่สบายๆเช่นเคย พร้อมทั้งเริ่มเข็นหลังเดย์ไปยังปากหลุมดิน ซึ่งดูไกลๆเหมือนหลุมที่ขุดทิ้งไว้ แต่ถ้าดูใกล้ๆแบบนี้กลับเหมือนอุโมงค์ใต้ดินมากกว่า ทางจากปากหลุมเทราบลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งแสงจากด้านนอกส่งไปไม่ถึง เดย์ไม่มีทางรู้เลยว่าหลุมนี่มันจะลึกลงไปได้ขนาดไหน
“อึ้ก”
“เอ้า อย่ามาปอดตอนนี้สิ ลงไปเล้ยย”
เดย์กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ก่อนจะทบทวนตัวเองว่าที่ตัดสินใจนั้นถูกแล้วหรือ ถึงแม้ว่าเดย์จะไม่ได้กลัวผีสางอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย แถมสิ่งที่ทำให้เดย์ขนลุกจริงๆคือความมืดที่ไม่รู้จะทอดยาวไปถึงไหน เข้าไปจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้
ตุบ...ตุบ...ตุบ...เสียงก้าวเท้าอย่างกล้าๆกลัวๆของเดย์ดังขึ้นเป็นจังหวะช้าๆ หลังจากที่เดินผ่านพ้นปากทางเข้ามาได้ไม่นาน ทางเดินแคบๆก็ค่อยๆกว้างขึ้น แต่ก็ยากที่จะสามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่าสภาพโดยรอบเป็นอย่างไร เนื่องจากแสงสว่างจากทางเข้านั้นไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้เลย
“เฮ้อ…”
เดย์ถอนหายใจเป็นครั้งที่ยี่สิบเก้าหลังจากเดินเข้ามาในนี้ ในมือข้างหนึ่งของเดย์ถือแหล่งแสงเพียงแหล่งเดียวที่มี นั่นคือโทรศัพท์มือถือนั่นเอง ส่วนมืออีกข้างก็พยายามคลำทางไปเรื่อยๆ
“ไม่น่าโลภเลยเรา”
เดย์ที่กำลังสำนึกผิดพูดออกมาดังๆเพื่อให้ทางเดินที่เงียบสงัดพอมีเสียงบ้าง อย่างน้อยๆก็ช่วยลดความกลัวลงไปได้หน่อยนึงในสภาพมืดสนิทเช่นนี้
(ในที่แบบนี้อาจจะตัวอะไรโผล่ออกมาจริงๆก็ได้นะ)
เดย์ที่ปกติจะมองโลกในแง่ดี เจอสถาณการณ์แบบนี้ก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน ขาที่ก้าวเดินอย่างสม่ำเสมอเริ่มสั่นเทามือข้างที่ถือโทรศัพท์เริ่มแกว่งไม่เป็นจังหวะ ในขณะที่มืออีกข้างที่สัมผัสกับผนักถ้ำเริ่มมีความรู้สึกว่ากำลังจับสิ่งแปลกปลอมอะไรบางอย่างอยู่
(ไม่สิ...เราคิดไปเอง)
หลังจากพยายามรวบรวมสติและสมาธิเพื่ออธิบายความกลัวและความกังวลที่วนเวียนอยู่ในหัวนั้น มือข้างที่คลำผนังก็จับต้องอะไรไม่ได้อีก ทำให้เดย์ต้องหยุดสองขาที่กำลังก้าวลง
“เอาจริงดิ...”
แสงไฟจากโทรศัพท์นั้นถึงแม้จะให้แสงสว่างเพียงน้อยนิด แต่ก็ให้แสงมากพอที่จะมองเห็นสภาพโครงร่างของสิ่งที่อยู่รอบๆตัวได้ สิ่งที่เดย์เห็นอยู่นั้นคือ พื้นที่กว้างทรงกลมซึ่งมีลักษณะคล้ายกับโบสถ์ในบางประเทศอยู่ แต่ต่างกันตรงที่หากที่นี่ปราศจากไฟจากโทรศัพท์ล่ะก็จะเรียกได้ว่ามืดสนิททีเดียว
‘ลงไปในนี้นะ ตรงสุดทางจะมีหนังสืออยู่เล่มนึง เก่ามากเลยแหละ ถ้าเจอก็จะรู้เองว่าเล่มไหน หยิบขึ้นมาด้วยถึงจะถือว่าผ่าน เข้าใจนะ’
เดย์นึงถึงคำพูดสุดท้ายของเจด ก่อนที่จะค่อยๆคลำทางลงมาในหลุมที่ปราศจากแสงไฟนี้ นั่นหมายความว่า เป้าหมายของเดย์คือหนังสือที่น่าจะอยู่ที่ไหนซักแห่งในบริเวณนี้ แต่ปัญหาก็คือที่นี่นั้นมืดสนิท การจะหาหนังสือหนึ่งเล่มนั้นไม่ง่ายทีเดียว
(รู้สึกเหมือนจะมีตัวอะไรออกมาจริงๆเลย)
เดย์ได้แต่คิดในใจพร้อมทั้งก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ มือไม้ที่สั่นนั้นเป็นสิ่งย้ำเตือนได้อย่างดีว่าเดย์นั้นใกล้ถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว แต่จะถอยตอนนี้ก็คงสายไปซะแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าตนนั้นเดินมาไกลเพียงใด หากถอยกลับตอนนี้ก็เหมือนทุกอย่างสูญเปล่า....
ความคิดเห็น