ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Engineer Romance ศิลปกรรมขอเกียร์ เอนจิเนียร์ขอใจ END

    ลำดับตอนที่ #3 : Episode - 1 - ขอเกียร์ธรรมดาโลกไม่จำ! [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.05K
      349
      8 พ.ค. 66

    Bangkok

    สามอาทิตย์ผ่านไป

    หน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์

    “แน่ใจนะว่าจะไม่กลับไปเชียงใหม่กับแม่ เปลี่ยนใจยังทันนะเอย”

    “คุณแม่คะเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ นี่ก็หน้าคณะเอยแล้วด้วย”

    “ก็แม่ไม่เคยห่างจากลูกเลยนี่นา จะทิ้งลูกไว้กรุงเทพฯ คนเดียวแม่ใจคอไม่ดีเลย”

    “คุณ...ลูกมาเรียน ไม่ได้มาเที่ยว เดี๋ยวปิดเทอมก็กลับไปหาแล้ว”

    “คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ทิชาจะดูแลเอิงเอยอย่างดีเลยค่ะ” เพื่อนสนิทฉันตั้งแต่เด็กเสริมทัพอีกแรงเพราะเราสอบติดที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน สาขาเดียวกันอย่างตั้งใจ

    “ถึงแบบนั้นก็เถอะ ที่เชียงใหม่มหา’ ลัยทางด้านนาฏศิลป์ดัง ๆ ก็เยอะแยะทำไมต้องอยากมาไกลหูไกลตาแม่แบบนี้ด้วยนะ ไหนจะเรื่องรับน้องอีก แค่อาทิตย์เดียวที่ลูกกลับจากรับน้อง แม่เห็นนอนหมดสภาพทุกวัน”

    “คือ...มันเป็นกิจกรรมดี ๆ ที่รุ่นพี่กับรุ่นน้องมาทำความรู้จักกันไงคุณแม่”

    “ใช่ค่ะคุณป้า พวกเราสนุกเอนจอยชอบเข้ารับน้องมากเลยค่ะ”

    “แน่ใจนะ ไม่ใช่ว่ามีรับน้องแบบที่แม่เห็นตามข่าวนะ ส่วนมากที่กรุงเทพฯ รับน้องโหด ๆ ทั้งนั้น”

    “ไม่มีหรอกค่ะคุณแม่ รุ่นพี่เอยน่ารักทุกคนใช่ไหมทิชา”

    ตัดภาพมาในหัวของฉันตอนนี้ ถ้าคุณแม่เห็นต้องร้องกรี๊ดแน่ ๆ ความจริงของเรื่องนี้มันอาจจะบิดเบือนไปจากที่เล่านิดหน่อยจนต้องยกมือไขว้หลังเมื่อพูดโกหกออกไปเป็นฉาก ๆ

    “ใช่ค่ะคุณป้า เรารับน้องกันแบบเรียบร้อย รุ่นพี่เอ็นดูพวกเราสุด ๆ”

    “คุณหรือฉันจะมาเปิดสาขาโรงเรียนนาฏศิลป์ที่กรุงเทพฯ ดีคะจะได้มาดูแลลูกด้วย”

    “ไม่ดีค่ะ” ฉันโพล่งออกไปทันทีจนคุณแม่หรี่ตามอง “ก็เรามีโรงเรียนที่เดียวยังยุ่งขนาดนี้ แล้วไหนจะงานโชว์ที่รับคิวยาวยันสิ้นปีอีก แค่นี้คุณแม่ก็ยุ่งจนไม่ได้พักแล้ว อีกอย่างคุณพ่อจะต้องดูแลรีสอร์ตคนเดียวคุณแม่ไม่เป็นห่วงเหรอคะ”

    “ก็จริงของยัยเอย”

    “ลูกโตแล้วนะคุณ เข้ามหา’ ลัยดูแลตัวเองได้แล้ว”

    “ใช่ค่ะ เอยสัญญาว่าจะดูแลตัวเองดี ๆ”

    “เมื่อสามอาทิตย์ก่อนลูกยังขับรถชนคนอยู่เลยนะ”

    “คุณแม่” นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันถูกแม่ยึดใบขับขี่และไม่ได้รถมาขับที่กรุงเทพฯ โชคดีที่บ้านยัยทิชาให้รถมาใช้ เราก็อยู่คอนโดเดียวกันเลยไปกลับด้วยกันได้

    แต่ไม่ต้องห่วงฉันโทรไปกดดันไอ้พี่อินแล้วให้ช่วยเป่าหูคุณแม่ให้คืนใบขับขี่กับรถของฉันภายในสิ้นเดือนนี้ เพราะมันเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด ถ้ามันทำไม่ได้ฉันจะเปิดโปงเรื่องที่มันติดเมียจนไม่กลับบ้านกลับช่องแล้วให้คุณแม่ไปลากคอมันกลับบ้านทันที

    “คุณแม่คะ หนูกับทิชาต้องเข้าเรียนแล้ว ถึงบ้านโทรหาหนูด้วยนะคะ รักคุณแม่นะคะ” ฉันหอมแก้มคุณแม่สองข้าง “รักคุณพ่อด้วย ขับรถดี ๆ นะคะ อย่ามัวแต่สวีตกันนะ”

    “ตั้งใจเรียนกันนะลูก”

    “ค่ะ คุณพ่อ”

    “คุณลุงคุณป้า ขับรถดี ๆ นะคะ”

    “โทรหาแม่ทุกวัน รับสายแม่ทุกสาย ห้ามกลับคอนโดดึก ห้ามมีแฟนเด็ดขาด”

    “เอิงเอยรับทราบค่ะ บ๊ายบายค่ะ”

    ฉันโบกมือให้รถของคุณพ่อคุณแม่ที่ขับออกจากหน้าคณะไป แล้วหันกลับมากระโดดดีใจ กับยัยทิชา ในที่สุดก็เป็นอิสระสักที

    สาเหตุหลัก ๆ ในการที่ฉันสอบติดมหาวิทยาลัยนี้ก็คือฉันอยากมาเจอความศิวิไลซ์ที่กรุงเทพฯ และสองคือเพื่อนฉันยัยทิชาเป็นติ่งเกาหลีอย่างหนักมันบอกว่าถ้าติดมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ จะได้ไปตามศิลปินง่าย ๆ ส่วนข้อสามมหาวิทยาลัยนี้เป็นที่ที่เราคิดว่าคะแนนของเราน่าจะติดทั้งคู่น่ะ

    จะเรียกว่าเก็บกดก็ไม่เชิงแต่ว่าบ้านของเราค่อนข้างจะมีกฎระเบียบเยอะ เพราะคุณแม่ของฉันเป็นเจ้าของโรงเรียนนาฏศิลป์ไทยชื่อดังที่เอ่ยชื่อมาใคร ๆ ก็รู้จักดี มันก็ใช่ว่าไม่ดีแต่พอโตขึ้นคนเราก็อยากจะใช้ชีวิตในแบบฉบับของตัวเองใช่ไหมล่ะ ฉันเลยคิดว่าช่วงมหาวิทยาลัยนี่แหละที่ฉันจะได้ปลดปล่อยตัวตนได้สุดขีด

    ฉันมาเรียนที่นี่ได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ค้นพบว่าสาขาของฉันมีคนเรียนน้อยมากน่าจะน้อยที่สุดในมหาวิทยาลัยแล้วก็ว่าได้ อาจเพราะที่มหาวิทยาลัยนี้ดังในด้านเทคโนโลยีและพวกวิศวกรรมศาสตร์มากกว่า ทำให้ปีหนึ่งสาขานาฏศิลป์ไทยเรามีกันอยู่สิบสองคนเอง

    “ฮัลโหลพวกแก” ทิชาทักทายเพื่อนในคลาสที่เมาท์มอยกันอยู่เป็นกลุ่ม สาขาเรามีกันน้อยก็เลยทำให้สนิทกันหมดทุกคน แต่ถ้าสนิทมาก ๆ เป็นพิเศษก็มีกันอยู่ห้าคน

    “นังคิม เพื่อนมาแล้วจ้า เต๊าะผู้อยู่ได้”

    “บอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกคิมมี่...ยัยทิชา” เพื่อนสาวในร่างชายสุดปังที่สุดในสาขา สับขากลับมาที่กลุ่มประหนึ่งนางแบบของหลุยส์วิตตอง ก่อนจะแสดงหน้าอย่างระริกระรี้หลังจากไปเต๊าะของดีของสาขาทุกวี่ทุกวัน “ไงจ๊ะแม่สีดา”

    “แม่สีดา?” ฉันทวนคำพูดของคิมมี่ที่ทักทายกันแปลกไปจากทุกวัน “คืออะไรวะ”

    “อาจารย์กชกรให้แกกับพอร์ชของฉันไปลองชุดหลังเลิกเรียนคลาสบ่าย”

    “ลองชุดอะไร”

    “เห็นอาจารย์บอกว่า สั่งชุดโขนนางสีดากับพระรามของสาขามาใหม่ เลยเลือกแกไปลองเป็นแบบจะถ่ายรูปทำโปรเจกต์อะไรสักอย่าง แต่ถ้าแกไม่ว่างฉันไปแทนได้นะ ฉันอยากเข้าคู่กับพระรามพอร์ชสุดหล่อ

    พอร์ชคือผู้ชายแท้เพียงคนเดียวที่หลุดมาในสาขาของเราแถมหล่อมากด้วย เรียกว่าเป็นของดีขึ้นชื่อของนาฏศิลป์ไทยปีนี้ก็ว่าได้ และเป็นอาหารตาของสาวในสาขาอีกสิบเอ็ดคนที่รวมคิมมี่ไปแล้ว

    “แม่จะไปแทน ถามพอร์ชมันหรือยังว่ามันอยากไปกับแม่ไหม”

    “อ้าวยัยพิมมี่ นี่แม่เอง”

    พิมมี่กับคิมมี่สนิทกันมาตั้งแต่มัธยม สองคนนี้ชอบแทนตัวเองว่าแม่กับลูกสาวจนคิมมี่ติดเรียกแม่กับทุกคนไปแล้ว

    “หยอก ๆ นะแม่ แต่อิจฉาแกอะเรื่องจริงยัยเอย อยากถ่ายแบบกับพอร์ชจัง”

    “แต้มบุญแกสูงว่ะ” ทิชาชมเสียงหมั่นไส้

    “แน่นอน ฉันแผ่ส่วนบุญให้พวกแกก่อนนอนทุกคืน บุญฉันเยอะอยู่แล้ว”

    “คนนะไม่ใช่เปรต ปากคอเราะร้ายอย่างแกนี่ไม่น่ามีบุญ”

    “สาธุขอให้อาจารย์เปลี่ยนคน แม่จะหัวเราะให้ฟันร่วง”

    “จริงแม่” แต่ละคนในกลุ่มก็คือไม่อวยเพื่อนเลยจ้า รอซ้ำเติมอย่างเดียว

    “แต่ว่า ถ้าไปรับน้องสาย พี่ว้ากไม่ทำโทษเราตายเลยเหรอพวกแก” รถเมล์เด็กแว่นจอมเนิร์ดเงยหน้ามาจากหนังสือเรียน ที่นาน ๆ จะพูดทีทำให้กลุ่มเราทั้งห้าคนกลืนน้ำลายลงคอ

    “ไม่หรอกมั้ง ก็อาจารย์สั่งปะ” พิมมี่ว่า

    “งั้นพวกเราก็ไปรวมที่คณะ แล้วแจ้งพวกพี่สตาฟไว้ก่อน ยัยเอยจะได้ไม่ซวย” คิมมี่เสนอ

    ทำให้ทุกคนพยักหน้า ความจริงคณะศิลปกรรมศาสตร์ของเราเป็นคณะที่ใหญ่ไม่แพ้คณะอื่น เพราะรวบรวมสาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านศิลป์ทุกแขนงเอาไว้

    แต่จำที่ฉันบอกว่าสาขานาฏศิลป์ไทยมีคนเรียนอยู่สิบสองคนได้ใช่ไหม คือสาขาเรานี่เรียกว่าเป็นสาขาลูกเมียน้อยเลยแหละถ้าเทียบกับสาขาอื่นเช่น สาขาการออกแบบสื่อสาร สาขาทัศนศิลป์ สาขาการออกแบบทัศนศิลป์ สาขาดุริยางคศิลป์ และสาขาศิลปะการแสดง

    ยิ่งสาขาสุดท้ายนี่หนักเลยคนเรียนเยอะมาก ตลอดช่วงรับน้องที่ผ่านมาพี่ที่เป็นเฮดว้าก เฮดสตาฟ พี่ระเบียบ หรือแม้แต่ประธานคณะก็มาจากสาขานี้ทั้งนั้น

    ความจริงรุ่นพี่ในสาขาของเราก็แอบเล่าให้ฟังว่าอาจารย์ของภาคสาขาเราเคยทะเลาะกับสาขาศิลปะการแสดงมาหลายปี จนส่งไม้ต่อให้รุ่นพี่ ปีต่อมาก็เหมารวมแล้วไม่ลงรอยกันมาเรื่อย ๆ ทำให้รุ่นน้องอย่างพวกเราที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ซวยกันไปตาม ๆ กัน

    ก็ฝั่งนู้นคนเขาเยอะนี่ ฝั่งฉันเลยเหมือนถูกกระทำตลอดเวลา

    หลังจากจบคลาสฉันก็แยกย้ายกับเพื่อนไปที่ห้องการแสดงของสาขาที่มีอาจารย์กชกรสั่งการอยู่อย่างตื่นเต้น ฉันกับพอร์ชถูกจับแยกห้องแต่งตัว ก่อนจะถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องซึ่งกว่าจะใส่ครบขนาดนี้และแต่งหน้าทำผมอีกก็กินเวลาไปนานพอสมควร

    พอออกมาให้อาจารย์ดูเขาก็ถูกอกถูกใจไม่น้อย แถมยังเป็นคนจัดแจงการถ่ายแบบคู่ของพวกเราอย่างสนุกสนาน ประหนึ่งว่าเราเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกสั่งให้ทำตาม

    “งามเหลือเกินแม่สีดา พระรามก็หล่อจนใจละลาย เพอร์เฟกต์”

    “ขอถามได้ไหมคะ ทำไมพวกเราต้องลองชุดด้วยคะอาจารย์”

    “อาจารย์จะให้พวกเธอทำการแสดงโชว์ไง”

    “ปีหนึ่งเนี่ยนะครับ ทำโชว์รามเกียรติ์”

    “เปล่า ทั้งสาขา เป็นงานใหญ่ประจำปีของคณะ สาขาเราโดนถามมาหลายครั้งแล้วเรื่องการแสดงโชว์เหมือนสาขาอื่น เพราะปีที่ผ่าน ๆมาคนคณะเราน้อยอาจารย์เลยแค่โชว์รำเปิดงานแค่นั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนสาขาอื่นเขา แต่ปีนี้อาจารย์เห็นแววแล้ว เราจะทำโชว์เหมือนสาขาอื่นที่เขาทำกันทุกปี ไม่สิต้องยิ่งใหญ่กว่าสาขาอื่นแน่นอน”

    “อ๋อครับ/ค่ะ”

    ฉันกับพอร์ชเลิ่กลั่กเมื่อได้ยิน รุ่นบุกเบิก?

    “เราจะต้องโชว์ศักยภาพของนาฏศิลป์ไทยออกมาให้ทุกสาขา ทุกคณะได้เห็น”

    “อาจารย์แกไหวปะวะ” พอร์ชกระซิบเบา ๆ ที่เห็นอาจารย์พูดคนเดียว

    “อาจารย์จะทำให้เห็นว่าการแสดงของไทย มันยิ่งใหญ่และสวยงามขนาดไหน”

    “แกอะไหว แต่เราอะไม่ไหวแล้วปะ”

    “นี่เธอสองคน” ฉันกับพอร์ชถึงกับสะดุ้งรีบหันไปสบตาอาจารย์ “อาจารย์ลืมไปว่ามีประชุมของสาขาต่อ พวกเธอถอดชุดแล้วไว้ที่เดิมนะ อย่าลืมล็อกห้องแต่งตัวด้วยล่ะ เดี๋ยวอาจารย์รีบไปก่อน”

    “ครับ/ค่ะ”

    แต่พอกลับไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าฉันก็หมุนกุญแจอยู่สองสามรอบแต่ว่ามันถูกล็อกไปแล้ว

    “เวรกรรม” มองหาอาจารย์ที่มาช่วยฉันแต่งชุดเมื่อกี้ก็ไม่อยู่สักคน อย่าบอกนะว่าไปประชุมสาขากันหมด จนพอร์ชออกมาจากห้องที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วฉันยังหาทางเข้าห้องไม่ได้เลย

    “ไม่เปลี่ยนชุดเหรอ”

    “ห้องมันล็อก ของฉันอยู่ข้างใน”

    “อ้าว ทำไงล่ะ”

    “นั่นดิ”

    “ถ้าไม่รีบไปรับน้อง โดนพวกรุ่นพี่เขายำแน่ คิมมี่ไลน์มาตามหลายรอบแล้วเนี่ย บอกให้รีบมาด่วน” พอร์ชยกไลน์กรุ๊ปของสาขาขึ้นโชว์ ซึ่งเพื่อนสนิทของฉันก็ไลน์ตามเหมือนทวงหนี้ ไม่รู้ว่าติดเพื่อนหรือติดผู้

    “จะไปยังไง ของอยู่ในนั้นหมดเลย”

    “หรือจะไม่ไป?”

    “ไม่ไปก็ซวยดิ”

    “ถ้างั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว”

    “ยังไงพอร์ช” ฉันหันไปทางคนที่ดูฉลาดทำท่าคิดออก

    “ก็ไปชุดนี้เลย”

    “นี่คิดแล้วเหรอ” ฉันกลับมาทำหน้าหงอยเหมือนเดิม “ไปชุดนี้โดนล้อตายเลย คนทั้งคณะเลยนะ”

    “แล้วแกมีทางเลือกอื่นหรือไง ถ้าแกไม่ไป เราไปก่อนนะ เราไม่อยากโดนทำโทษ”

    “จะทิ้งกันเลยเหรอ” ฉันรั้งแขนเขาไว้ก่อน

    “งั้นเลือกแล้วตอบมา ไปแล้วโดนล้อกับไม่ไปแล้วโดนทำโทษ”

    “โดนล้อก็ได้วะ”

    ก็ต้องไปปะ เพราะไม่ไปสิ่งที่ตามมามันน่ากลัวกว่าเยอะ ที่บอกว่าโดนทำโทษมันสาหัสกว่าที่ทุกคนคิดนะ โดนหนักมากจริง ๆ แบบว่าวิ่งรอบสนามบอลมหาวิทยาลัยเป็นสิบรอบ หรือไม่ก็ไปตะโกนขอขมาพี่ ๆ ที่หน้าคณะให้ได้ยินถึงตึกเรียนชั้นสี่อะไรแบบนี้เลย

    แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พอถึงลานคณะทุกสายตาก็มองมาที่ฉันเป็นตาเดียว จากที่เงียบ ๆ อยู่ก็ส่งเสียงแซวและหัวเราะไม่หยุด แต่ที่แปลกใจคือเห็นคนในสาขาตัวเองถูกยืนอยู่ด้านหน้าทั้งหมดตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่ ส่วนสาขาอื่นนั่งอยู่ที่พื้นเหมือนรอดูพวกเราโดนทำโทษ

    พี่พริบพราวรุ่นพี่ปีสี่ที่เป็นหัวหน้าสาขารีบเดินมาหาฉันกับพอร์ชอย่างร้อนใจ

    “น้องพอร์ช น้องเอิงเอย เกิดอะไรขึ้น ทำไมมาชุดนี้”

    “เรื่องมันยาวค่ะ ว่าแต่ทำไมสาขาเราถึง…”

    “เรื่องยาวเหมือนกัน ไปรวมกับเพื่อนก่อนเถอะ”

    เสียงตะโกนแซวและเสียงล้อเลียนจากโทรโข่งที่รุ่นพี่กับเพื่อนสาขาอื่นล้อฉันดังไม่หยุด ถึงแม้ว่าฉันมารวมกับเพื่อนแล้วก็ตาม ก็ทำใจตั้งแต่ที่คิดว่าต้องมาทั้งชุดนี้แล้วว่าต้องถูกล้อไม่เลิก เลยเก๊กหน้าไม่ให้เขินเท่าไร ถ้ายิ่งแสดงออกคนพวกนี้ก็จะล้อไม่เลิกแน่

    “แก...เกิดไรขึ้น” ทิชากระซิบถาม

    “ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามันล็อก ของฉันอยู่ในนั้นหมดเลย แล้วทำไมพวกเราถึงโดนทำโทษ?”

    “ก็พวกประธานคณะแม่งหาเรื่อง พวกฉันไปบอกพี่ไลลาตั้งแต่มาถึงว่าแกกับพอร์ชจะมาช้าเพราะอาจารย์เรียกตัว แต่พอเข้ารับน้องพี่ไลลาก็หาเรื่องบอกว่าพวกเราไม่ได้บอกเฉยเลย” ทิชาบอกสีหน้าไม่พอใจ

    “แถมยังถามรุ่นพี่สาขาเราว่ามีใครรู้เรื่องนี้ไหม คือพวกฉันก็คิดว่าบอกพวกพี่ไลลาแล้ว เลยไม่ได้บอกพวกพี่พริบพราวไง นี่เลยโดนทำโทษทั้งสาขาเลย หาว่าไม่มีความรับผิดชอบ มีคนหายไปไม่ยอมมาแจ้งรุ่นพี่ พวกฉันอธิบายแล้วก็ไม่ฟัง” ส่วนนี่เป็นพิมมี่ที่กล่าวเสริม

    “เกินไปปะวะ” เอาจริงตอนแรกก็ไม่อะไรกับพวกรุ่นพี่นะ ถึงจะโดนแกล้งทุกวันก็เถอะ แต่แบบบางทีก็แกล้งกันเกินไป ครั้งนี้เหมือนตั้งใจแกล้งให้อายเลย

    “หาเรื่องแกงสาขาเราสุด” คิมมี่บอกเสียงแค้น แกงเป็นคำที่เพี้ยนมาจากแกล้ง ที่มาจากคำว่าโดนต้ม แต่แกงจะหนักกว่า “ลุกนั่งจนต่อมลูกหมากฉันจะยานถึงพื้นแล้วเนี่ย”

    “แม่น่าเกลียด”

    “อะไรกัน แรงยังเหลือใช่ไหม” พี่ภูผาหนึ่งในเฮดว้ากตะคอกใส่โทรโข่ง “ให้ยืนท่าเตรียม ไม่ได้ให้มาคุยเล่นกัน เห็นเป็นเรื่องตลกหรือไง หรือว่าที่ลุกนั่งไปมันน้อยเกิน จะเอาอีกใช่ไหม” ประโยคหลังพี่เขาจงใจหันมาว้ากแบบไม่มีโทรโข่งมาทางที่ฉันยืนอยู่

    “ไม่เอาแล้วครับ” คิมมี่รีบตอบเสียงแมน

    “สรุปนางสีดานี่ใช่เพื่อนที่หายไปหรือเปล่า”

    “ใช่ครับ/ค่ะ”

    “หนีไปหาพระรามที่กรุงอโยธยามาหรือไง ถึงหาทางมารับน้องไม่เจอ”

    “เปล่าค่ะ” ฉันตอบพี่ภูผา

    “แล้วไปไหนมา”

    “อาจารย์ในสาขาให้ไปลองชุดที่ใช้ในการแสดงค่ะ”

    “แล้วแจ้งใครไว้ไหม”

    “เพื่อนแจ้งพี่ไลลาไว้แล้วค่ะ”

    “แน่ใจ?”

    “แน่ใจค่ะ” ทิชาตอบรับชัดเจน

    “พี่ไลลาครับเชิญทางนี้หน่อยครับ”

    พี่ไลลาเป็นประธานของคณะรับน้อง เป็นรุ่นพี่ที่ดูแลและใหญ่สุดในการตัดสินใจเรื่องทุกอย่าง เธอเป็นรุ่นพี่ปีสี่ที่หน้าตาดี คม สวย มีออร่า เป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ ทุกคณะ

    เธอมาหยุดที่หน้าฉัน มีจิตสังหารส่งมาให้ทุกรอบที่มองกัน เท่าที่รู้มาคือเธอไม่ชอบหน้าพี่พริบพราวรุ่นพี่ในสาขาฉันมาก ๆ เพราะสองคนนี้เคยแข่งกันเป็นดาวคณะแล้วพี่พริบพราวก็ได้ตำแหน่งไปแถมยังเป็นถึงขั้นดาวมหาวิทยาลัยในปีนั้นด้วย

    “นางสีดาเขาบอกว่าเพื่อนของน้องแจ้งพี่ไลลาไว้แล้ว เรื่องที่น้องเข้ารับน้องช้า พี่ไลลาทราบหรือเปล่าครับ”

    “ไม่ทราบค่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน” เธอตอบด้วยสีหน้าใสซื่อ

    “แต่ทิชาสาบานว่าบอกพี่แล้วนะคะ”

    “ตอนไหนคะ ตอนมโนหรือเปล่า พี่ไม่เห็นคุ้นหน้าน้องมาก่อนเลย” เธอแสยะยิ้มทันทีที่พูดจบ ทำให้มีเสียงโห่จากกลุ่มคนที่นั่งอยู่

    “แต่ว่า...”

    “ช่างเถอะแก พูดไปก็เท่านั้นแหละ” ฉันปรามคิมมี่ที่กำลังจะพูดต่อความยาวสาวความยืด คนพวกนี้ตั้งใจจะกวนประสาทกันแต่แรกอยู่แล้ว

    “นี่น้องกำลังจะบอกว่าพี่โกหก?” พี่ไลลาตวัดสายตามาจ้องหน้ากัน ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้พวกรุ่นน้องที่นั่งอยู่จนเกิดเสียงโห่อีกรอบ “พี่ดูเป็นพวกตอแหลเหรอคะ?”

    ไม่หรอกพี่ไม่ใช่แค่เหมือน แต่พี่ตอแหลเลยแหละ เป็นคำที่ดังอยู่ภายในใจของฉันในตอนนี้เลย

    “ไลลาแกก็เห็นว่าน้องมันไปหาอาจารย์มา แล้วจะเอายังไงอีก น้องมันก็ไม่ได้ตั้งใจมาสายไง” พี่พริบพราวเข้ามาห้ามปราม เหมือนรู้ว่าฉันเองก็เริ่มไม่โอเคกับสถานการณ์ตอนนี้พอสมควร

    “มาสายไม่แจ้ง แต่งชุดผิดระเบียบ ป้ายชื่อไม่ห้อย กล่าวหาใส่ร้ายรุ่นพี่ เป็นสาขาที่ไร้ความรับผิดชอบ รุ่นพี่ก็ห่วยไม่คุมรุ่นน้อง ส่วนรุ่นน้องก็แย่ไม่เคารพรุ่นพี่ ฉันควรทำไงดี ปรับตกรับน้องทั้งสาขาดีไหม แล้วค่อยมาซ่อมรับกับรุ่นน้องปีหน้า” พี่ไลลานี่ก็หน้าตาหาเรื่องอยู่นะ ตอนแรกฉันไม่อะไร แต่ตอนนี้เริ่มไม่ชอบหน้าแล้ว

    “จะลงโทษอะไรก็ว่ามา เอยมาสายเอง คนอื่นไม่เกี่ยว”

    “ใจเย็นแก” ทิชากระซิบ

    “โห นางสีดาดุว่ะ เอาเรื่องว่ะ” พี่ภูผาพูดใส่โทรโข่ง ทำให้มีเสียงโห่แซวตามหลังมาไม่หยุด

    “แน่มากไหม” พี่ไลลาจ้องฉันแล้วฉันก็จ้องกลับด้วยสายตาที่ไม่ยอม คือทำไมต้องเคารพคนแบบนี้ ไม่จำเป็น

    “พวกแก อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ปะ ถ้าเรื่องไปถึงสโมสรนักศึกษามันจะยุ่งกันไปหมด น้องมันก็ยอมโดนลงโทษแล้วไง แกก็สั่งมาสิ

    “สตาฟปีสองของสาขานาฏศิลป์ไทยทุกคนไปวิ่งรอบสนามบอลสามสิบรอบ โทษฐานที่ไม่ดูแลน้อง ไม่ใส่ใจที่น้องหายไปสองคน”

    “เฮ้ย!”

    “ส่วนปีสามปีสี่ยกมือไหว้น้องปีหนึ่ง สอนมารยาทและการเคารพรุ่นพี่ให้น้องในสาขาพวกแกดู หรือว่านอกคอกกันทั้งสาขา”

    “เชี่ย โหดเกิน” เสียงบ่นของสาขาฉันดังไม่หยุด

    นี่มันแกล้งกันเกินไปปะ

    “มันจะเกินไปแล้วนะไลลา”

    “เหรอจ๊ะพริบพราวเพื่อนรัก หรือว่าอยากโดนปรับตกรับน้องทั้งสาขาดี ข้อหาของน้องเธอเนี่ยไม่ใช่น้อย ๆ นะ”

    “โคตรปัญญาอ่อน” เป็นฉันเองที่พูดแทรกพี่พริบพราว “นี่แน่ใจนะว่าพี่อยู่ปีสี่”

    “จะทำไม”

    “เอยใจเย็น”

    “ก็พี่เล่นแกล้งสาขาเราชัดขนาดนี้ เป็นอะไรมากปะ อิจฉาอะไรเหรอ หรือเพราะเรื่องตั้งแต่ที่พี่พริบพราวได้เป็นดาวมหา’ ลัยมันแทงใจดำมากจนฝังใจ” พอจี้ใจดำเข้าหน่อยพี่ไลลาก็เลือดขึ้นหน้าทันที

    “แกว่าไงนะ”

    “น้องเอิงเอย” พี่พริบพราวปราม “ขอโทษแทนน้องด้วย ฉันจะยอมทำตามที่แกบอก แต่แกต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่เอาเรื่องนี้เข้าสโมสรนักศึกษาหรือตัดคะแนนน้องเอย ปีสองไปวิ่ง...”

    “เดี๋ยว ฉันคิดอะไรออกแล้ว” พี่เมลเพื่อนสนิทพี่ไลลาเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู ก่อนที่สองคนนี้จะยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ ซึ่งสายตาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่

    “เอายังไงก็ว่ามา”

    “เธอคิดว่าฉันลำเอียงไม่รักสาขาเธอ”

    “…”

    “คิดว่าฉันกลั่นแกล้งสาขาของเธอเพราะเรื่องส่วนตัว”

    “…”

    “งั้นฉันจะยกเลิกคำสั่งทั้งหมดเมื่อกี้ก็ได้”

    “แลกกับอะไร” ฉันถามเพราะรู้นิสัยของคนประเภทนี้ดี ไม่มีทางยอมง่าย ๆ หรอก

    “ไหน ๆ เธอก็พูดเองว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด งั้นจะลงโทษคนทั้งสาขาก็ไม่ถูกเพราะคนที่สำนึกมันต้องเป็นตัวเธอเอง”

    “บทลงโทษคือ?”

    “ในเมื่อเธอเป็นนางสีดางดงามจนคนตะลึงขนาดนี้แล้ว ก็ควรต้องคู่กับพระรามใช่ไหม”

    “…”

    “ถ้าเธอไปขโมยศรรักจากพระรามได้ ฉันจะไม่ส่งเรื่องของสาขาเธอเข้าสโมสรนักศึกษา และไม่ตัดคะแนนรับน้องของเธอด้วย”

    “หมายความว่ายังไง”

    ศรรักพระราม?

    “ราม รามิล” ทันทีที่พี่ไลลาพูดชื่อนี้ออกมา เสียงสาว ๆ ทั้งคณะก็ฮือฮาทันที “ถ้าเธอได้เกียร์จากเขามาได้ ฉันจะไม่เอาเรื่องสาขาเธอ ไม่ยื่นเรื่องร้องเรียนที่เธอทำผิดกฎไปที่สโมสรนักศึกษา แล้วจะขอโทษเธอต่อหน้าทุกคน”

    “ราม รามิล”

    “อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้จักราม ประธานสโมสรนักศึกษาที่อยู่คณะวิศวกรรม”

    คุ้น ๆ เหมือนพวกคิมมี่เมาท์ให้ฟังว่าเขาเป็นหนึ่งใน ‘แก๊งราชันเอนจิเนียร์’ ที่อยู่ปีสี่ เป็นกลุ่มที่มีแฟนคลับในมหาวิทยาลัยและนอกมหาวิทยาลัยค่อนข้างเยอะ

    ชื่อแก๊งนี้เป็นชื่อที่แฟนคลับตั้งให้พวกพี่เขา กลุ่มนี้มีกันอยู่ห้าคนแถมยังเป็นสโมสรนักศึกษาเฮดหลักของนักศึกษาทั้งหมด แบ่งกันดูแลเรื่องกิจกรรม กีฬา การเรียน สันทนาการ แล้วรู้สึกว่าพี่รามอะไรนี่จะเป็นประธานใหญ่สุดคุมทุกอย่าง

    แบบว่าหล่อเทพ เก่งเทพ คีปคูลอะไรทำนองนี้ แฟนคลับเลยสรรเสริญเยินยอว่าราชันไปเลยจ้า คือมหาวิทยาลัยเราวิศวกรรมศาสตร์จะมีคนเยอะเป็นอันดับหนึ่ง กลุ่มนี้เลยมีอิทธิพลค่อนข้างมากในมหาวิทยาลัย แต่ประเด็นก็คือฉันไม่ได้สนใจ แค่เอาพลังมาเรียนกับรับน้องก็หมดแล้ว เลยไม่เคยเห็นหน้าพี่เขาแม้แต่ครั้งเดียว

    “แล้วทำไมเอยต้องไปเอาเกียร์พี่เขาด้วย?”

    “เก่งนักไม่ใช่เหรอ เก่งนักก็ไปเอามาให้ได้สิ ฉันให้เวลาเธอถึงวันรับน้องวันสุดท้ายกลางเดือนหน้าเลย” ฉันเห็นหลายคนหัวเราะเยาะใส่ “ทำไม แค่ไปเอาเกียร์เองกลัวอะไร หรืออยากถูกปรับตกทั้งสาขา”

    เพื่อน ๆ ในสาขาหน้าซีดเป็นไข่ต้มไปแล้ว แม้แต่รุ่นพี่ก็สีหน้าห่อเหี่ยวไปด้วย ทำไมการเข้ารับน้องมันยุ่งยากขนาดนี้เนี่ย

    “แต่ฉันไม่เห็นด้วย ควรลงโทษแค่ในคณะสิ ทำไมต้องดึงคนอื่นมาเกี่ยวด้วย เอากฎลงโทษแรกที่แกบอกแล้วกันมันจะได้จบ ๆ”

    “ทำไมจ๊ะพราว กลัวแม่สีดาคนเก่งทำไม่สำเร็จหรือไง”

    “นั่นสิ นึกว่าจะแน่” พวกพี่ภูผาเองก็หัวเราะเยาะ ฉันโคตรเกลียดโมเมนต์แบบนี้เลย

    “ถ้าได้เกียร์มาคือเรื่องจบ?”

    “น้องเอย” พี่พริบพราวแสดงสีหน้าเหมือนจะห้ามกัน

    แต่พี่ไลลาตอบสีหน้าท้าทาย “ใช่”

    “ถ้าได้เกียร์มาพวกเราจะผ่านรับน้องเหมือนทุกคน”

    “ใช่”

    “งั้นเอยขอเพิ่มอีกข้อ”

    “ว่ามาสิ”

    “ถ้าหากเอยรับคำท้า พวกพี่ ๆ จะให้เกียรติทุกสาขาเท่าเทียมกัน และรับน้องอย่างเป็นธรรมไม่เอนเอียงหรือกลั่นแกล้งสาขาอื่น”

    “ได้สิ”

    “ก็ได้ค่ะ เอยรับคำท้า” เสียงโห่ดังอีกรอบ พร้อมกับการเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงของเพื่อนและพี่พริบพราว

    “แต่ถ้าเธอทำไม่ได้ ฉันจะสั่งทำโทษรุ่นพี่สาขาเธอทุกคน แล้วก็ปรับปีหนึ่งตกรับน้องไปซ่อมรับน้องปีหน้าแทน”

    “ตามนั้นค่ะ”

    “อีกอย่าง ห้ามบอกว่านี่เป็นคำสั่งของฉัน เธอต้องเอามาด้วยความสามารถของตัวเอง ถ้าเกิดใครหลุดปากจนเรื่องไปถึงหูรามแล้วละก็...ฉันจะให้คนนั้นตกรับน้องแล้วค่อยมาซ่อมกับรุ่นน้องปีหน้า”

    “ค่ะ/ครับ”

    พี่ราม รามิลมันจะขนาดไหนกันเชียว ถ้าแค่ไปขอยืมมาแป๊บเดียวคงไม่ยากหรอก

     

    Ram Say:

    ตึกวิศวกรรม

    ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมอุตสาหการ

    “โธ่ ไอ้ห่าศรันย์ เรียนในภาคมึงยังโดดเลย แรดไปจีบสาวที่ตึกอักษร ถึงขั้นลงเรียนเพื่อเจอเขาเลยเนี่ยนะ”

    “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ตัวจริงน้องข้าวตูสวยฉิบหาย ตัวเล็กสเปกศรันย์สุด ๆ”

    “ไอ้เรื่องสวยกูเข้าใจ แต่มึงเอากูไปเรียนด้วยเพื่อ?” มิวนิคบ่นเอือม ๆ มันเป็นอัจฉริยะประจำวิศวกรรมที่ถูกลากไปเรียนอักษรเมื่อช่วงบ่ายด้วย

    “ก็มึงอัจฉริยะไง กูรู้ว่ากูต้องโง่อักษรแน่ ๆ กูเลยลงให้มึงไปช่วยกูด้วย ถือว่าเพิ่มความรู้ให้มึงไม่ดีหรือไง”

    “มึงเอาคู่จิ้นกูไปจีบสาวให้เนี่ยนะไอ้ห่ารันย์ กูคิดถึงมิวนิคจะตายอยู่แล้วเนี่ย”

    “ช่างมันเถอะไอ้ภณ กูให้มันอีกสองคลาสเดี๋ยวมันก็เลิก อาจารย์สั่งงานโคตรโหด แล้วพวกมึงทำไรกันวะเนี่ย”

    “ก็อาจารย์กฤษอะดิ เอาหุ่นยนต์อัจฉริยะของกลุ่มกูตอนงานโอเพนเฮาส์ปีที่แล้วไปทดสอบโชว์เด็กมัธยม ทดสอบยังไงไม่รู้ระบบไฟฟ้าชอร์ตเฉย คือพวกกูต้องใช้ต่อยอดเป็นโปรเจกต์จบปีสี่ เลยต้องรีบเช็กอาการไง” ศิลาตอบแทนผมที่กำลังดูระบบไฟของหุ่นยนต์อยู่

    “เออไอ้มิว หรือคลาสหน้ากูจะไม่ไปดีวะ ไลน์น้องเขากูก็ได้แล้ว เรียนไปพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ กูไม่เข้าใจเลยเนี่ย”

    “ไหนมาดูดิ มันคืออะไรวะ” ศิลาที่เพิ่งช่วยผมซ่อมงานอยู่ดี ๆ ก็หันไปสนใจเพื่อนอีกสามคนที่เถียงกันอยู่สักพัก

    “มันเป็นบทชมนางสีดา เรื่องรามเกียรติ์ ที่พวกกูต้องแปลส่ง”

    พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดังจันทร      พิศขนงโก่งงอนดังคันศิลป์

    พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน           พิศทนต์ดั่งนิลอันเรียบราย

    พิศโอษฐ์ดั่งหนึ่งจะแย้มสรวล     พิศนวลดังสีมณีฉาย

    พิศปรางดั่งปรางทองพราย       พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง

    พิศจุไรดั่งหนึ่งแกล้งวาด          พิศศอวิลาสดั่งคอหงส์

    พิศกรดั่งงวงคชาพงศ์             พิศทรงดั่งเทพกินรา

    พิศถันดั่งปทุมเกสร               พิศเอวเอวอ่อนดั่งเลขา

    พิศผิวผิวผ่องดั่งทองทา           พิศจริตกิริยาก็จับใจ

    “แล้วมันแปลว่าอะไรวะ”

    “เออมันเป็นตอนที่ทศกัณฐ์ชมความงามของนางสีดา ประมาณว่างามตั้งแต่หัวจรดเท้า ไล่ชมความงามแบบทุกสัดส่วน งามในทุกอย่าง งามในกิริยาท่าทาง งามในงาม งดงามแบบประหนึ่งว่าความงามของนางสีดานั้นไม่สามารถหาหญิงใดมาเทียบเทียม งามจนกูอยากเห็นเลยแม่ง” มิวนิคประชดเสียงแข็ง

    ตึก! เสียงประตูห้องถูกเปิดทำให้ผมได้ยินเสียงเพื่อนโวยวายอะไรบางอย่าง

    “เชี่ย งามจริง!!!”

    “อะไรของมึงไอ้ห่ารันย์”

    “นางสีดา”

    “อย่ามาอำ...เชี่ย!!!”

    ผมได้ยินบางช่วงที่เพื่อนสนิทด่าสลับคำชมอยู่ไม่ไกล แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะรีบดูระบบไฟว่ามันส่งผลให้อย่างอื่นในหุ่นยนต์พังด้วยหรือเปล่าอย่างกังวล

    “น้องนางสีดาบุกมาถึงอโยธยามีอะไรให้พี่รับใช้เหรอครับ”

    “พี่รามอยู่ไหมคะ”

    “มาตามหาพระรามนี่เอง มันไปยิงศรรักทิ้งไว้ที่ไหนเหรอครับ”

    “คือ...คนไหนพี่รามเหรอคะ เอยมีธุระสำคัญอยากคุยด้วย”

    “ท่าทางจะไม่ใช่ศรรักธรรมดา ไอ้รามมึงไปทำอะไรนางสีดาเอาไว้วะ”

    “แป๊บหนึ่งนะครับ” ศรันย์หันมาสะกิดให้ผมสนใจเหตุการณ์ตอนนี้ คือได้ยินพวกมันพูดถึงตัวเองแต่ไม่รู้ว่ามีอะไรกันแน่ “นางสีดามาหามึงอะ”

    “ฮะ?”

    “มึงมานี่เลย ไอ้ตัวดี” มันลากให้ผมลุกขึ้น หลังจากที่นั่งซ่อมหุ่นยนต์อยู่บนพื้น

    “อะไรของพวกมึงเนี่ย”

    ผมวางเครื่องมือเตรียมลุกไปด่าเพื่อนที่มันเล่นไม่รู้เวล่ำเวลา คนกำลังเครียดที่งานต่อยอดโปรเจกต์มีปัญหา แต่ทันทีที่ยืนขึ้นมาผมก็เจอกับนางในวรรณคดีสวมชุดไทยเต็มยศขยับเท้ามายืนประจันหน้า

    “พี่ราม...ใช่ไหมคะ”

    เหมือนถูกเวทมนตร์ของนางในวรรณคดีสะกดเอาไว้ ทำให้ผมไม่สามารถเอ่ยคำด่าคนที่มากวนเวลาทำงานได้เลยสักคำเดียว

    “อึ้งเลยมึง พระรามถึงกับอึ้งไปเลย”

    “นี่คือพี่รามที่น้องนางสีดาตามหาอยู่ครับ” ศิลาบอกกับเธอ

    “เอยมีเรื่องจะรบกวนพี่รามค่ะ”

    “น้องนางสีดามีอะไรจะรบกวนพี่รามเหรอครับ” เป็นภณที่ตอบแทนผมอีกคน

    “ขอ...ไอ้นี่ได้ไหมคะ”

    “น้องเขาขอหัวนมพระรามได้เหรอวะ มีในบทประพันธ์ปะ?”

    “หัวนมบ้านมึงสิไอ้ศรันย์ ขอช็อปหรือเปล่า” ภณพยายามแก้ให้ดีขึ้น

    “ช็อปบ้านมึงสิ น้องเขาจะเอาไปทำอะไร คนกำลังจะโรแมนติกพวกมึงก็เล่นมุกไม่รู้เวล่ำเวลา น้องเขาขอหัวใจต่างหาก” เป็นศิลาที่เดินไปตบหัวไอ้สองคนนี้แทนผม แต่นางในวรรณคดีหน้าแดงก่อนจะส่ายหัวไปมา

    “ไม่ใช่ค่ะ”

    ผมถึงได้ถามกลับไป “แล้วต้องการอะไร”

    “เอยมาขอ...เกียร์ของพี่รามค่ะ”


    ใส่ชุดนางสีดาไปขอแบบนี้พี่รามจะให้เกียร์ไหมคะ

    ขอธรรมดาๆ โลกไม่จำอะเนอะ

    มาต่อให้แล้วนะคะ

    ชอบเรื่องนี้อย่าลืมคอมเมนต์ให้กันนะคะ <3

    เจอกันตอนหน้าจ้า


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×