คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : [LOTR]Esthedel, The White Moon Behind Shadow
“มารดาข้าล่องนาวาสู่แดนอมตะตั้งแต่ข้ายังเด็ก” เอสเธเดลเอ่ยเรื่อยๆขณะเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า เธอรักแสงระยิบระยับของดาวไม่ต่างจากชาวเอลดาร์ตนอื่นๆ เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาผ่านสายเลือดของมารดาผู้ลาลับที่เธอไม่อาจลืมได้เลย “อิธิลลินด์คือชื่อของนาง บทเพลงของจันทราผู้งดงาม...ซึ่งกลายเป็นชายาของราชาออร์คในเวลาต่อมา”
“ข้าได้ยินมาว่าออร์คกับพรายเกลียดกันจะตาย” เลโกลัสเริ่มที่จะสนใจเรื่องราวของหญิงสาวผู้เป็นเลือดผสมคนนี้ขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น?”
เธอส่ายหน้าช้าๆ “ข้าเองก็ไม่รู้ ท่านพ่อไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยแม้แต่ข้าเองก็ตาม ข้ารับรู้เพียงเรื่องราวจากท่านแม่เท่านั้น”
เอสเธเดลสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวความรักต้องห้ามอันเป็นตำนานออกมา
เมื่อครั้งที่อาซอคยังเป็นเพียงเจ้าชายของเหล่าออร์ค เขามิได้ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆทั้งสิ้นรวมถึงการทำสงครามรุกรานเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่ด้วยภาระหน้าที่ในฐานะทายาทของราชาจำเป็นต้องก้าวเข้าสู่สงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขามักจะหลีกหนีกลุ่มออร์คออกมานั่งเพียงลำพังใต้ต้นไม้ในเขตแดนของป่าวู้ดแลนด์ที่ติดกับป้อมปราการโดลกุดูร์เป็นประจำ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีอากาศที่สดใสไปกว่านอกเขตป่าแต่นั่นก็เป็นที่ที่สงบมากพอสำหรับเผ่าพันธุ์ที่เกิดมาเพื่อทำสงครามเข่นฆ่าผู้อื่นเช่นออร์คอย่างเขา
แล้วดวงดาวก็ชักพานางพรายหญิงผู้งดงามยิ่งกว่าพรายใดๆมาพบเขา
นามของสตรีผู้นั้นคือ อิธิลลินด์ บทเพลงแห่งจันทรา บุตรีแห่งกลอร์ฟินเดล มือขวาผู้เก่งกาจแห่งพรายเจ้าเอลรอนด์
นางเป็นพรายวัยแรกรุ่น เกศาสีเงินยวงดุจแสงจันทรายาวจรดเอวคอดบางผิดกับบิดาผู้มีเรือนผมสีทองคำ ใบหน้าเกลี้ยงเกลารับกับดวงตาสีฟ้าจางคล้ายท้องฟ้าที่ถูกบดบังด้วยม่านหมอกประดับรัดเกล้ามิธริลสีเงินฝังไพลินที่มีสีเข้มกว่าดวงตาของนางอย่างเด่นชัด
เขารับรู้ได้เลยว่าแสงสว่างที่เปล่งประกายรอบกายบางนั้นได้เติมเต็มความปรารถนาลึกๆของเขา
นางเองก็รับรู้เช่นกันว่าออร์คหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางนั้นมิได้ต้องการทำอันตรายใดๆได้จากเหล่าสรรพสัตว์ที่กำลังรายล้อมและจ้องมองร่างสูงใหญ่อย่างห่างๆ พรายสาวระบายรอยยิ้มอ่อนโยนซึ่งกุมหัวใจของนักรบสีขาวตั้งแรกพบ
“ข้าชื่อ อิธิลลินด์ แล้วท่านเล่า? ออร์คสีขาวผู้สง่างาม”
“อาซอค...นามของข้าคืออาซอค” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ไม่คิดว่าจะเคยเอ่ยกับใครสักครั้ง
แล้วนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความรักที่โชคชะตามิอาจขวางกั้น...
ทั้งสองลักลอบมาพบกันหลายต่อหลายครั้ง ความผูกพันเช่นมิตรสหายเริ่มที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความรักเมื่อกาลเวลาผันผ่าน แล้วเมื่อฤดูหนาวครั้งที่สิบสองหลังจากที่ทั้งคู่ได้พบพานครั้งแรก อาซอคก็เอ่ยวาจาขออิธิลลินด์แต่งงาน
ในใจของพรายสาวนั้นตกตะลึงเป็นอย่างมาก ด้วยว่านางเป็นถึงบุตรีของทหารคนสนิทของพรายเจ้าเอลรอนด์ แต่ด้วยด้วยความรักที่มีต่อชายตรงหน้า นางก็ตอบตกลง
ทั้งสองได้สร้างบ้านหลังเล็กบริเวณชายป่าเมิร์ควู้ดใกล้กับลำน้ำอันดูอิน เมื่อฤดูใบไม้ร่วงหนที่สิบเจ็ดหลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานกัน เด็กหญิงที่มีผิวกายสีขาวซีดเช่นบิดาและมีเรือนผมสีเงินยวงดุจแสงจันทร์เฉกเช่นมารดาก็ถือกำเนิดขึ้น
“นางจะเป็นความหวังของความสงบสุขที่กำลังจะเกิดขึ้น” อิธิลลินด์กล่าวขึ้นพลางยิ้มกว้างให้กับสามีขณะที่ในอ้อมแขนอุ้มบุตรสาวผู้ซึ่งเพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วัน อาซอคก้มลงจุมพิตเบาๆที่หน้าผากของภรรยาก่อนจะใช้นิ้วจิ้มเบาๆที่แก้มของเจ้าตัวน้อย เอสเธเดลหัวเราะเอิ้กอ้ากตอบและกำนิ้วของผู้เป็นบิดาเอาไว้
“แน่นอน...ข้าเชื่อเช่นนั้น เอสเธเดล ดวงดาวแห่งความหวังของข้า”
ไม่นานนักอาซอคก็จำเป็นต้องกลับไปยังกุนดาบัด ขึ้นเป็นราชาของเหล่าออร์คตามคำสั่งเสียของบิดาผู้ล่วงลับ เส้นทางที่เขาจำเป็นต้องเดินเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของเหล่าออร์คผู้รักสงบกับเผ่าพันธุ์อื่นและลบล้างภาพนักรบกระหายเลือดในอดีตทำให้เขาต้องแยกจากนางอันเป็นที่รักและบุตรสาวผู้ซึ่งอายุเพียงห้าขวบปี
“ท่านพ่อ! ท่านจะกลับมาใช่ไหม!”
ร่างเล็กของลูกครึ่งตัวน้อยวิ่งออกมาจากอ้อมแขนของมารดาและตรงมาเกาะขาวอร์กสีขาวประจำตัวเขา นัยน์ตาสีครามกลมโตที่เหมือนกับเขายิ่งกว่าสิ่งใดจ้องมองมาด้วยแววตาเว้าวอน อาซอคก้มลงช้อนร่างของเด็กน้อยขึ้นมานั่งบนตักและจุมพิตเบาๆที่หน้าผาก “พ่อจะกลับมา”
“สัญญาแล้วนะท่านพ่อ” ใบหน้ากลมของเด็กหญิงค่อยๆมีรอยยิ้มขึ้นมาแม้ว่ามันจะจืดเจื่อนจนคนมองรู้สึกใจหาย เขาส่งบุตรสาวให้กับพรายสาวที่ตามออกมาภายหลังพร้อมกับจูบลา
ฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปหนแล้วหนเล่า...แต่เอสเธเดลก็ไม่เคยได้เห็นนักรบสีขาวหวนกลับมาเลย
อิธิลลินด์ตัดสินใจสอนเพลงดาบของกอนโดลินให้แก่บุตรสาวเมื่อเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องใช้มันในอนาคต นางรู้ตัวดีว่าคงมิอาจปกป้องบุตรสาวได้ตลอดจึงสอนทุกอย่างเกี่ยวกับการต่อสู้และการใช้ศาสตราต่างๆอย่างไม่คิดปิดบัง รวมทั้งมอบดาบคู่กายนาม มอร์โรเควน (อัศวินสีดำ) อันเป็นสมบัติตกทอดมาจากครั้งยังอยู่ในนครกอนโดลินให้เป็นอาวุธอีกด้วย
แต่ความสงบสุขก็มิเคยยั่งยืน
ขณะที่เอสเธเดลกำลังนั่งขัดมีดสั้นอยู่ภายในบ้านหลังเดิม ประตูบ้านก็เปิดผางออกพร้อมกับร่างของมารดาวิ่งเข้ามา สีหน้าของนางดูรีบลนอย่างเห็นได้ชัด
“เก็บอาวุธเร็วเข้าเอสเธ!!!” มารดากล่าวอย่างร้อนรนและตรงไปยังหีบเก็บอาวุธ หยิบดาบสีฟ้าขาวนาม นาเรลูอิน (เพลิงคราม)พร้อมด้วยคันธนู ซองบรรจุศรและมีดสั้นอีกหลายเล่มออกมา เด็กหญิงรีบทำตามแม่ของเธอก่อนจะวิ่งตามออกไปยังคอกม้าด้านหลัง อิธิลลินด์โหนตัวขึ้นนั่งบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่วและดึงลูกสาวของเธอตามไปด้วย
ทันใดนั้นเอง ศรเล่มหนาก็พุ่งมาปักยังเสาคอก กระตุ้นให้ลาสเบลิน ม้าพรายสีน้ำตาลเข้มควบออกไปด้วยความเร็วดั่งลมพัด เอสเธเดลรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอกเมื่อได้ยินเสียงกึกก้องของกองทัพที่กำลังไล่หลังมาติดๆ พวกนั้นเป็นคนแคระที่ขี่หมูป่าและม้าแคระ ในมือของพวกเขาถือค้อน ขวานและดาบพร้อมลงมือสังหารทุกเมื่อ
“อ๊าก!!!” คนแคระคนหนึ่งร้องลั่นเมื่อถูกลูกธนูจากคันศรสีทองแห่งกอนโดลินปักเข้ากลางอกอย่างแม่นยำและล้มลง ก่อนที่จะมีอีกหลายเสียงดังขึ้นตามมาเมื่ออิธิลลินด์ลงมืออีกครั้ง เอสเธเดลยอมรับเลยว่าแม่ของเธอนั้นเป็นนักรบที่เก่งกาจไม่แพ้กับพ่อเพียงแต่ไม่เคยได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาเท่านั้นเอง
ม้าพรายสามารถควบได้เร็วกว่าม้าธรรมดาหลายเท่าตัว เพียงไม่กี่ชั่วโมงเธอกับมารดาก็สามารถข้ามแม่น้ำอันดูอินมาถึงเชิงเทือกเขามิสตี้ อีกไม่นานก็จะสามารถข้ามไปยังริเวนเดลล์ ดินแดนที่ตาของเธออยู่ได้...แค่อีกนิดเดียวเท่านั้น
“อั่ก!” ร่างของมารดาฟุบลงกับแผงคอของลาสเบลิน ดวงตาสีเข้มของเอสเธเดลเบิกกว้างเมื่อเห็นศรสองเล่มปักอยู่กลางหลังมารดา แล้วทันใดนั้นในอกของเธอก็บันดาลโทสะขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กหญิงเอื้อมมือไปหยิบคันธนูที่คาดอยู่ด้านหลังออกมาและหยิบศรในซองของมารดาขึ้นคาดสายและยิงออกไปด้วยความแม่นยำถึงสามดอกติดกัน สามารถเรียกเสียงคำรามจากพวกคนแคระได้มากโขเมื่อพวกพ้องถูกจัดการไปอีก แต่เธอไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ศรอีกหลายดอกยิงใส่คนแคระที่ไล่ตามมาจนกระทั่งขบวนที่ไล่ล่าเริ่มหายไปเกินครึ่ง เมื่อสูญเสียกำลังพลมากเข้าพวกคนแคระก็จำเป็นต้องล่าถอยในที่สุด
นัยน์ตาสีท้องฟ้าจ้องมองดูกองทัพของพวกคนแคระที่ล่าถอยไปจนกระทั่งลับตาด้วยแววตากราดเกรี้ยวถึงที่สุด สาบานกับตัวเองนับแต่นั้นว่าจะไม่มีวันให้อภัยพวกมันเด็ดขาด!
“เอส...เธ...เอสเธ...” เสียงแผ่วเบาของมารดาที่เริ่มพร่ำเพ้อด้วยพิษบาดแผลทำให้เอสเธเดลรีบควบม้าให้มุ่งตรงไปยังอิมลาดิสให้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็ขอให้ถึงมือของท่านพรายเจ้าเอลรอนด์...
หุบผาสีเขียวขจีและชุ่มชื้นด้วยน้ำตกสีขาวที่ไหลออกมาจากซอกผาปรากฏแก่สายตา เธอไม่จำเป็นต้องบังคับลาสเบลินอีกเลยเพราะมันจดจำบ้านของมันได้เป็นอย่างดี และมันก็ฉลาดพอที่จะควบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะรู้สึกถึงชีวิตของผู้เป็นนายที่กำลังจะจางหายไปบนหลังของมัน
ฮี้!!!
ม้าพรายสีน้ำตาลร้องลั่นพร้อมกับชูสองขาหน้าขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มหน่วยลาดตระเวนของริเวนเดลล์ที่เรียงแถวหน้ากระดานพร้อมหันคมดาบใส่โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ข้าต้องการความช่วยเหลือ! มีคนบาดเจ็บ” เอสเธเดลร้องลั่นพร้อมกับกระโดดลงมาจากหลังลาสเบลินโดยไม่หวั่นเกรงต่อคมดาบของพรายพวกนั้น สิ่งที่อยู่ในใจเธอตอนนี้มีเพียงมารดาที่กำลังบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
“คำพูดของออร์คอย่างเจ้านั้นเชื่อไม่ได้” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นโดยไม่ยอมลดดาบลงแม้แต่นิดเดียว และนั่นยิ่งทำให้เอสเธเดลรู้สึกเดือดดาลมากขึ้นไปอีก
“นามของข้าคือ เอสเธเดล บุตรีแห่งอิธิลลินด์ บุตรีแห่งกลอร์ฟินเดล! หากพวกท่านไม่ต้องการจะสูญเสียสตรีผู้นั้นไปก็ได้โปรดเปิดทางให้ข้าด้วย!!!”
เอสเธเดลไม่รู้ว่าเสียงของเธอในขณะนั้นเป็นอย่างไร มันแตกพร่าหรือทรงอำนาจอย่างไรเธอไม่อาจรู้ เพียงแต่สีหน้าของเหล่ากองลาดตระเวนนั้นตกตะลึงไปตามๆกัน ก่อนที่จะมีพรายร่างสูงผู้หนึ่งก้าวออกมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ
ใบหน้าของเขาช่างดูคุ้นเคย...
รอยยิ้มละมุนปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา “ข้าได้ยินแล้ว...สาวน้อย รีบพามารดาเจ้าลงมาก่อนเถิด ท่านเอลรอนด์รออยู่ด้านในห้องเยียวยาแล้ว”
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ยังไม่จบน้า
ความคิดเห็น