ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลังเก็บนิยายตามใจฉัน

    ลำดับตอนที่ #44 : [Groslez Project] Ephemeris de Puella

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.พ. 59







     

    ตอนนี้เอาไว้ปล่อยผีเฉยๆ แต่จะมีเนื้อเรื่องลงต่อแน่ๆค่ะ (หลังจบ7 ภาค น่ะนะ)

    Ephemeris de Puella


     

     

    “ให้ข้าช่วยเถิดท่านป้า ยังมีคนที่ต้องการผ้าแห้งๆอีกมาก” เซฟิรีนวิ่งเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนที่กำลังหอบผ้าห่มหนาๆ

    เมื่อเห็นเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวคนเดียวกับที่เคยใช้เวทมนตร์อยู่ในเมืองตอนที่พวกคนแคระเดินทางออกไปแล้วนางก็อ้าปากค้าง เผลอปล่อยผ้าร่วงลงไปกองกับพื้นจนเซฟิรีนรีบคว้าขึ้นมาแทบไม่ทัน

    “ท่าน...ท่านคือแม่มดคนนั้น...”

    “อะไรนะ” ชายฉกรรจ์หลายคนที่อยู่ในละแวกนั้นผุดลุกขึ้นพร้อมกับถืออาวุธไว้ในมือไม่ว่าจะเป็นขวาน เสียมหรืออะไรก็ได้ที่หาได้ในละแวกนั้น   พวกเขาค่อยๆกรูกันเข้ามาล้อมเซฟิรีนเอาไว้จนกระทั่งไม่เหลือทางให้หนีออกไปได้

    “อ้าวๆ เกิดอะไรกันขึ้น” และแล้วตัวเสือกอันดับหนึ่งก็มาถึงจนได้ ดวงตาดำขลับที่น่ารังเกียจของเขาจ้องมองเด็กสาวผมขาวด้วยแววตาเป็นประกาย “ดูซิว่าใคร แกคือ...แม่มดน้อยที่ตามหลังพวกคนแคระต้อยๆนั่นเอง”

    เขาแหวกชาวบ้านเข้ามาเผชิญหน้ากับเธอ ยิ้มให้สีหน้ากราดเกรี้ยวน้อยๆของเด็กสาวและหันไปหาพวกชาวบ้าน “ข้าเห็นกับตาตอนที่มันเอ่ยร่ายคาถาเรียกมังกรมา”

    อะไรนะ!?

    เมื่อได้ยินดังนั้นพวกชาวบ้านก็เบิกตากว้าง “อะไรนะ...เรียกมังกรเรอะ”

    “นังตัวกาลกิณี!

    “จับมันเผาเลย!

    และอีกหลายเสียงที่ตะโกนด่าทอสาปแช่งนับไม่ถ้วน เสียงเหล่านั้นอื้ออึงอยู่ในหัวเธอจนฟังไม่ได้ศัพท์ อะไรกัน? ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้...ทำไมกัน?

    รอยแผลจากกรงเล็บสม็อคบริเวณสีข้างที่ยังไม่สมานกันดีทวีความเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง...

    “พวกแกกับคนแคระน่ะสมควรตายๆไปซะ!” หญิงชราคนหนึ่งพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อของเธอ “เพราะพวกแก...ลูกชายข้าถึงได้ตาย!!!

    นัยน์ตาสีทับทิมเบิกกว้างอีกหนเมื่อมีดเล่มสั้นที่หญิงชราหยิบขึ้นมากำลังจะแทงลงบนดวงตาของเธอ   ถึงตอนนั้นเซฟิรีนก็ไม่มีสติมากพอที่จะคิดป้องกันตัวอีกต่อไป

    “หยุดนะ!

    เสียงตะโกนของใครคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่มือเหี่ยวย่นของหญิงชราจะถูกจับกุมเอาไว้ก่อนแทงมีดลงมา เซฟิรีนหันไปก็พบกับเจ้าชายพรายแห่งเมิร์ควู้ดนั่นเองที่เป็นคนเข้ามาห้ามพร้อมๆกับที่ทอเรียลแหวกผู้คนเข้ามาประคองเธอออกไป

    นัยน์ตาสีเทาของเลโกลัสทอประกายเย็นเยียบขณะกวาดมองพวกมนุษย์จากเมืองทะเลสาบ “อย่าได้มีใครยังอาจแตะต้องแม่หญิงผู้นี้ต่อหน้าข้าอีกเป็นอันขาด   นางสำคัญต่อมิดเดิ้ลเอิร์ธมากกว่าที่พวกเจ้ารู้เสียอีก”

    “โอ๊ะโอ” แต่อัลเฟรดก็ยังไม่เลิกตอแย “นี่หมายความว่าเอลฟ์ร่วมมือกับแม่มดงั้นเหรอ   แสดงว่าเอลฟ์แห่งเมิร์ควู้ดก็มีส่วนรู้เห็นในการบุกของมังกรด้วยน่ะสิ...”

    ชิ้ง!

    ประกายแสงจากคมมืดเงาวับของทอเรียลสะท้อนออกมาเมื่อพรายสาวใช้มันจ่อเข้าที่ลำคอของชายผู้น่ารังเกียจที่สุดในเมือง “ถ้าเจ้ายังไม่หุบปากเน่าๆนั่น ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ในอเวจีเดี๋ยวนี้...”

    “พอได้แล้วทอเรียล” ในที่สุดเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวก็เอ่ยขึ้นปราม “แล้วก็ท่านด้วย...มากลอร์”

    นัยน์ตาสีแดงเข้มเหลือบมองไปยังด้านหลังซึ่งมีพรายผมดำผู้กำลังโก่งศรเตรียมยิงเจาะหัวคนปากดีอยู่ไม่ไกล   ชายผู้เป็นองครักษ์ของกษัตริย์พรายกระโดดลงมาจากหลังม้าพลางยิ้มให้เธออย่างคนที่เคารพนับถือ “ข้าคงทำไปแล้วหากท่านไม่ห้ามปราม...ซิลาธิเลีย ประกายแสงสีขาวแห่งวาลินอร์”

    มีข่าวจากกษัตริย์พรายผู้นั้นหรือคะ?” เด็กสาวถามเป็นภาษาซินดารินอย่างสุภาพ เพราะอย่างไรก็ตามเอลฟ์ผู้นี้ก็เป็นถึงอดีตองค์ชายแห่งสกุลโนลดอร์ มีศักดิ์เหนือพรายซิลวันและซินดาร์ทั้งปวงในแผ่นดินนี้

    ก็นะ...ท่านหญิงน้อย” นัยน์ตาสีน้ำเงินครามที่ได้มาจากฝั่งมารดาเบนไปยังร่างสูงขององค์ชายแห่งเมิร์ควู้ด “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านกลับไป...องค์ชาย”

    สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของอดีตพรายเจ้าบนหลังอาชาทำให้ผู้คนในเมืองเอสการอธเริ่มถอยห่างออกไปจากคน(เอลฟ์)ทั้งสามอย่างรวดเร็ว   และเมื่อลองสังเกตดูดีๆแล้วก็พบว่าทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเอลฟ์หนุ่มบนหลังม้ากับเอลฟ์ผมทองคนนั้นมีรัศมีบางอย่างที่สัมผัสได้ถึงเชื้อสายของขัตติยวงศ์อย่างชัดเจน

    แตกต่างกับเด็กสาว เธอคนนั้นมีอะไรที่แตกต่างออกไปจากเอลฟ์ทั้งสอง   ประกายแสงสีเงินเรืองรองจับอยู่บนเรือนผมสีหิมะราวกับว่าตัวเธอนั้นเกิดมาจากประกายแสงแห่งดวงดาว เช่นเดียวกับเปลวเพลิงโชนกล้าในดวงตาสีทับทิม

    “ข้ายังกลับไปไม่ได้...ทอเรียล มาเร็ว” เขาหันกลับไปเรียกองครักษ์สาวที่ยังส่งสายตาเขม่นใส่เจ้าผู้แทนปากดีของมนุษย์ไม่เลิก

    “ข้าไปด้วยคนสิ!” เซฟิรีนร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าสหายเอลฟ์กำลังจะขึ้นม้าไป

    “เจ้าไปไม่ได้ ซิลาธิเลีย” เลโกลัสส่ายหน้า “กุนดาบัดเป็นแหล่งสะสมของเวทมนตร์ด้านมืด   เจ้าจะเป็นอันตรายหากอยู่ใกล้ที่นั่น   อยู่ที่นี่ช่วยคนของเมืองทะเลสาบเถิด...พวกเขายังไม่ปลอดภัยนัก”

    เมื่อได้ยินดังนั้นเด็กสาวก็เม้มปากเข้าหากันแน่นและยอมพยักหน้ารับอย่างจนใจ   แม้ว่าหน้าที่ของเธอคือการหยุดสงครามและพิทักษ์แผ่นดินนี้ แต่อย่างไรเสีย ชีวิตของผู้คนตรงหน้าก็สำคัญกว่า   อีกอย่างฤดูหนาวก็คืบคลานเข้ามาใกล้เต็มที หากไร้ที่อยู่ต่อไปคนพวกนี้ต้องตายแน่ๆ

    “บาร์ด” เด็กสาวก้าวยาวๆเข้าไปหานักธนู “ข้าจะออกไปล่าสัตว์มาให้พวกท่าน จงเตรียมการอพยพให้เรียบร้อยเสีย แล้วข้าจะตามพวกท่านไปเอง”

    “เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าน่ะเหรอจะล่าสัตว์” อัลเฟรดยังคงทำหน้าที่วอนอวัยวะเบื้องล่างได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “ให้เจ้าไปเย็บผ้าคงยังไม่รอดเลยล่ะมั้ง”

    “อัลเฟรด” ชายวัยกลางคนเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงตำหนิ และหันมาหาเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวที่ดูใกล้จะเดือดเต็มที “เราจะอพยพไปที่เมืองเดลร้าง อย่างน้อยที่นั่นก็พอมีป้อมปราการกันลมหนาวได้บ้าง”

    เซฟิรีนพยักหน้า และเอ่ยต่อเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “จริงสิ ท่านพอมีโหลแก้วหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไม้บ้างไหม”

    “ทำไมกัน?” คิ้วหนาของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย   เธอกลอกตามองท้องฟ้าแล้วเอ่ยเป็นเชิงรำคาญว่า “ขอมันให้ข้าซักขวด ข้าจะมอบสิ่งที่ท่านต้องใช้ให้”

    บาร์ดหันไปหาหญิงชาวบ้านคนหนึ่งและบอกในสิ่งที่เด็กสาวต้องการ ไม่นานนักพวกเขาก็ไปหาโหลแก้วใบหนึ่งมาให้ แม้ว่าจะใหญ่ไปหน่อยแต่นั่นล่ะที่เธอต้องการพอดี

    นัยน์ตาสีทับทิมหลับลงรวบรวมสมาธิ ทันใดนั้นเองบนปลายมือของเธอก็มีเปลวเพลิงสีน้ำเงินครามลุกโชติขึ้นมาท่ามกลางเสียงฮือฮาจากชาวบ้านรอบข้าง   เซฟิรีนไม่สนใจพวกเขา เธอค่อยหย่อนเปลวไฟที่สร้างขึ้นลงไปในโหลและยื่นให้กับนักธนู

    “นี่เป็นไฟที่เกิดจากอำนาจของข้า” เธอยิ้มบาง “มันจะให้ความร้อนก็ต่อเมื่อท่านต้องการ หรือจะเปลี่ยนทุกสิ่งที่สัมผัสให้กลายเป็นน้ำแข็งก็ได้   อย่างน้อยถ้าแบ่งเจ้านี้ให้ชาวเมืองได้ใช้คงจะพออบอุ่นกว่าไฟที่พวกท่านใช้ได้บ้าง”

    “ขอบคุณเจ้ามาก เซฟิรีน” บาร์ดมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาซาบซึ้ง   เขาอดชื่นชมเด็กคนนี้ไม่ได้ แม้ว่านางจะถูกเกลียดชังจากคนรอบข้าง แต่เมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือเธอก็พร้อมจะมอบมันให้อย่างไม่มีเงื่อนไข

    เซฟิรีนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินลงไปยังตลิ่งริมน้ำ   โชคดีที่ชาวเมืองเกรงกลัวต่ออำนาจเวทมนตร์จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นางเลยในระยะสิบเมตรเป็นอย่างต่ำ   ก็ดี...จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายไล่

    ปีกหงส์สีขาวพิสุทธิ์กางสยายออกมาจากแผ่นหลัง ร่างบางถีบตัวขึ้นสูงไปในอากาศและใช้ปีกของตนห่อหุ้มกาย   ก่อนที่ร่างนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นและกลายเป็นมังกรสีขาว   เกล็ดรูปขนมเปียกปูนเรียงซ้อนกันบนร่างกายที่ใหญ่โตยิ่งกว่าสม็อค   บนหลังของร่างเพรียวลมนั้นคือสันหนามที่เรียงต่อกันไปจรดยังปลายหางทรงลูกศรคมกริบ   หัวอันมหึมาของมังกรสีขาวเบนมองมายังเด็กๆของบาร์ดที่กำลังโบกไม้โบกมือให้และขยับมุมปากเป็นเส้นโค้งคล้ายกับรอยยิ้ม   ก่อนที่ปีกกว้างคู่นั้นจะกระพือส่งให้ร่างนั้นพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือท้องฟ้าสีมัว  

    “มังกร!

    “นั่นมังกรนี่!

    “นางไม่ใช่แม่มดแต่เป็นมังกรหรอกรึ!!!

    มังกรบินจากไปทางทิศตะวันตก ทิ้งเอาไว้เพียงความชุลมุนวุ่นวายและความพรั่นพรึงของเหล่าชาวเมืองทะเลสาบซึ่งบาร์ดต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะทำให้พวกเขาสงบลงได้








     

    “ท่านไปรู้จักมังกรตนนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน บาร์ด” หญิงชาวเมืองคนหนึ่งถามขึ้นขณะนั่งลงตรงหน้ากองไฟสีน้ำเงินเข้มที่วีรบุรุษของชาวเมืองได้มาจากมังกรประหลาดตนนั้น

    เขาโอบบุตรชายและบุตรสาวทั้งสามเข้ามาใกล้ “เราเจอนางพร้อมๆกับพวกคนแคระแต่นางกลับมีความคิดที่แตกต่างออกไป   นางตามคนแคระมาเพื่อหยุดสงครามที่จะเกิดขึ้น...ข้าเองก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่นางบอกเช่นนั้น”

    “มันเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันมานมนานแล้ว” ชายชราคนหนึ่งที่นั่งเอนพิงซากปรักหักพังของเมืองเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้จากนักพเนจรชาวดูเนไดน์ เชื้อสายปฐมบุรุษที่มีอายุยืนยาวนานกว่าคนทั่วไปอย่างเราๆ”

    “เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยฮะ” บาอิน บุตรชายของบาร์ดเอ่ยขึ้นพลางขยับตัวเข้าไปผิงไฟเมื่อลมหนาวพัดมากระทบร่าง   ในตอนนั้นเองที่ชาวเมืองในละแวกนั้นต่างขยับเข้ามาใกล้เพื่อฟังเรื่องราวจากชายชรา

    “ในยุคที่เอลฟ์ยังมีอยู่โดยทั่วไปในแผ่นดินนี้...บนแผ่นดินที่เคยมีชื่อว่าเบเลริอันด์   ว่ากันว่าทวยเทพผู้สร้างโลกได้ส่งมังกรสีขาวตนหนึ่งลงมายังมิดเดิ้ลเอิร์ธเพื่อยับยั้งสงครามและพิทักษ์ผู้คน   เกล็ดของมังกรตนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเพชร   ยามใดที่ปีกคู่นั้นสะบัดจะเกิดประกายแสงเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์ พวกออร์คและโทรลล์ที่ไม่อาจต้านทานแสงอาทิตย์ได้ถึงกับกลายเป็นหินทันทีที่ต้องแสง”

    “ถ้าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นจริงแสดงว่าเซฟิรีนก็มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยุคที่สอง...งั้นอายุของนางก็เกินห้าพันปีเลยน่ะสิ”

    6977 ปี...นั่นคืออายุของข้านับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกใบนี้”

    เสียงหวานนุ่มดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กสาวผู้ถูกกล่าวขาน   เซฟิรีนลากเอากระสอบที่พันห่อบางอย่างไว้อย่างมิดชิดมาใกล้กองไฟ “เอานี่ไปเสีย   ข้าแวะกลับไปยังเอสการอธอีกรอบเผื่อเจอผ้าดีๆที่ยังไม่ไหม้ไฟ   แล้วก็...มีเนื้อวัวสองสามตัวอยู่ที่ลานกลาง หากต้องการก็แวะไปเอาได้เลย”

    ท้ายประโยคนางกล่าวกับพวกชาวบ้านที่มามุงชายชราเล่านิทานปรัมปรา   เมื่อได้ยินว่ามีอาหาร เหล่าคนหิวโหยก็ต่างรีบมุ่งหน้าไปยังจุดที่ว่าทันที   ส่วนพวกผู้หญิงที่พอได้ทานเนื้อแห้งอะไรบ้างแล้วก็เดินมาหยิบผ้าแห้งที่เธอนำมาไปแจกจ่ายให้กับคนที่กำลังหนาวเหน็บ

    เด็กสาวหยิบเนื้อน่องก้อนใหญ่ออกมาจากย่ามและเสียบมันกับดาบสั้นต่างไม้และนำพิงไว้ข้างกองไฟ   เห็นแล้วเขาอดเสียดายแทนดาบเล่มนั้นไม่ได้ เพราะท่าทางมันจะเป็นดาบที่ดีด้วยแร่มิธริลอย่างดีด้วย

    ผงเครื่องเทศที่ไม่รู้ไปนำมาจากไหนโรยลงบนน่อง “เนื้อแบบนี้ถ้าโรยด้วยโรสแมรี่กับไธม์อบแห้งจะรสชาติดีมาก ลองชิมดูสิ”

    พูดพลางใช้ดาบที่เพิ่งเสียบเนื้อหันนั่นล่ะเฉือนเนื้ออกเป็นชิ้นๆพอดีคำและแจกจ่ายให้กับคนทั้งสี่

    “พูดถึงเรื่องเมื่อครู่” บาอินเงยหน้าขึ้น “ท่านว่าท่านอายุหกพันกว่าปีจริงๆหรือ?”

    “ใช่แล้ว” มือบอบบางลูบศีรษะของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน “ข้าลืมตาตื่นอยู่เคียงข้างกับทวิพฤกษาที่เกิดก่อนแสงตะวันและจันทรา   พวกเขา...เป็นทั้งพ่อแม่ให้กับข้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเอง   ทั้งเทลเพริออนและลอเรลินมอบพรพิเศษให้กับข้า พรสุดท้ายของมหาพฤกษาที่คงอยู่ก่อนจะมีอาทิตย์และจันทราทำให้ข้ามีชีวิตเป็นอมตะ   แต่ด้วยผลกระทบจากพลังอำนาจอันมากสุดจะหยั่งทำให้ข้าถึงคราหลับใหลไปนับร้อยปี   เมื่อข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง...ข้าก็จำเป็นต้องชดเชยเวลานับพันปีที่เสียเปล่าด้วยการบินข้ามมายังมิดเดิ้ลเอิร์ธ มาอยู่กับเหล่ากษัตริย์แห่งพรายผู้กล้าหาญทั้งหลาย

    ข้ามองเห็นโดริอัธล่มสลาย มองเห็นกอนโดลินนครลับแลแห่งพรายก่อตั้งและเติบโต มองเห็นการเกิดและการจากไปของสหายที่ข้ารักนับไม่ถ้วน   ข้ามีชีวิตอยู่ตั้งแต่รุ่นทวดของทวด ไล่เรื่อยมาจนกระทั่งลูกหลาน   มองเห็นในยามที่แผ่นดินเบเลริอันด์ที่ข้าหวงแหนล่มสลายลงไปในท้องทะเล   ไม่กี่ลมหายใจที่ข้าเฝ้ามองแผ่นดินที่เหลือจากเทือกเขาเอเร็ดมิธริน...ทุกอย่างก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง” มังกรขาวระบายลมหายใจน้อยๆ

    “การมีชีวิตอมตะนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ข้าคิดว่าข้าถูกสาปด้วยซ้ำ” นัยน์ตาสีทับทิมของเด็กสาวตรงหน้าของดูราวกับแก้วที่แตกและถูกหลอมขึ้นใหม่เรื่อยๆจนไม่อาจปกปิดรอยร้าวได้อีกต่อไป “ข้ามองเห็นผู้คนที่ข้ารักจากไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น   แม้ว่าข้าจะได้พบพวกเขาอีกครั้งที่ท้องพระโรงแห่งมานดอส...แต่พวกเขาก็ไม่มีวันโลดแล่นบนแผ่นดินที่งดงามนี้ได้อีก”

               “สิ่งที่ข้าทำได้ในยามนี้คือใช้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ของข้าสร้างความสงบสุขให้กับผู้คนที่ยังหลงเหลืออยู่...นั่นล่ะคือหน้าที่ของข้า ซิลาธิเลีย ผู้พิทักษ์แห่งมิดเดิ้ลเอิร์ธ”
     

    ...เพื่อรอวันที่ข้าจะได้กลับบ้าน

     

    -----------------------------------------------------------------------------------------------


             ชีวิตอมตะ...ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าให้มีเลยว่ามั้ยคะ   ต้องมองดูคนที่เรารักคนแล้วคนเล่าจากไปโดยที่เราได้แต่หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×