คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : Fanfiction[Captain America 2 : Winter Soldier]
Fanfiction [Captain America 2: Winter Soldier]
Pairing: BuckyxOC
Winter and Snow
เอลิเซ่เกิดในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังปะทุขึ้นด้วยน้ำมือของผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อของเขาก็คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำสูงสุดของเยอรมนีในขณะนั้น
แม่ของเธอเป็นชาวอังกฤษและพ่อของเธอเป็นทหารชาวเยอรมัน บ้านเกิดของเธออยู่ที่เมืองเดรสเดนซึ่งต่อมาก็ไม่ใช่บ้านให้กลับอีกต่อไปหลังจากถูกถล่มจนราบไปทั้งเมืองด้วยระเบิดภายในเวลาเพียงคืนเดียว พ่อตายตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้น ทำให้แม่ของเธอต้องลักลอบขึ้นเรือส่งสินค้ามายังอเมริกาอย่างลับๆด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนแม่ที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพสหรัฐฯ ระหว่างการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก โจรสลัดกลุ่มหนึ่งได้บุกเข้าปล้นเรือทว่าไม่สำเร็จ แต่กระสุนที่ยิงกราดอย่างสะเปะสะปะไปทั่วนั้นกลับทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าที่คิด มีผู้คนที่โดยสารมาด้วยเสียชีวิตหลายราย
...และหนึ่งในนั้นก็คือแม่ของเธอ
ตู้คอนเทนเนอร์ถูกเปิดออกเมื่อมีคนงานเห็นหยดเลือดจากขอบประตู และภาพที่พวกเขาได้เห็นนั้นก็ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะภาพที่พวกเขาได้เห็นก็คือเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่โดยกอดร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้ ใบหน้าของเด็กหญิงเปื้อนไปด้วยหยาดเลือดแห้งกรังและคราบน้ำตา รอยสีเข้มบนแผ่นหลังของหญิงสาวที่เด็กคนนั้นกอดเอาไว้ทำให้รู้ได้ถึงที่มาของหยดเลือดนั้น
หญิงสาวคนนั้นก็คือแม่ของเด็กหญิง...และได้สิ้นลมไปแล้วด้วยบาดแผลจากกระสุนปืนของพวกโจรสลัดที่บุกเข้าปล้นเรือ
เอลิเซ่กลายเป็นเด็กกำพร้าในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน ดังนั้น ด็อกเตอร์อับราฮัม เออร์สไคน์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ประจำกองทัพและเป็นเพื่อนสนิทของแม่จึงรับเธอเป็นลูกสาวบุญธรรม การได้อยู่ใกล้ชิดกับอัจฉริยะอย่างผู้ชายคนนั้นทำให้พรสวรรค์ที่แอบซ่อนอยู่ของเด็กหญิงเบ่งบานออกมา เธอมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่า อาจเป็นเพราะเธอต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆสายตาของพวกนาซีในเยอรมันมาตลอดสามปีที่ผ่านมาทำให้เธอได้ฝึกฝนความสามารถด้านนี้โดยไม่รู้ตัว
นอกจากประสาทสัมผัสแล้ว ด้านการประดิษฐ์คิดค้นและถอดรหัสเด็กหญิงก็ไม่น้อยหน้า อายุเพียงสิบสองเธอก็สามารถสร้างรหัสที่ซับซ้อนสำหรับป้องกันข้อมูลของระบบเครือข่ายสัมพันธมิตรได้แล้ว อีกทั้งฝีมือการต่อสู้ของเธอเองก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับแนวหน้าอีกด้วย
เธอไม่เคยลืมช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต...
ช่วงเวลาที่เธอได้พบกับ ‘เขา’
และช่วงเวลาที่ได้อยู่เคียงข้างกันในฐานะ [ชเนย์วิทเท่น] และ [วินเทอร์โซลด์เยอร์]
รถซีอาวีหุ้มเกราะกันกระสุนสีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดยังถนนที่ใกล้กับอดีตตึกบัญชาการชีลด์มากที่สุด ร่างบางของหญิงสาวกระโดดลงจากรถแล้ววิ่งเต็มฝีเท้าเข้าไปยังซากปรักหักพังของทั้งตึกและยาน ดวงตาสีม่วงเข้มเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงของนายทหารเหมันต์ที่กำลังเดินลากขาออกมาจากริมตลิ่งแม่น้ำน้ำอย่างช้าๆ
“บัคกี้!”
เสียงหวานตะโกนลั่นก่อนที่หญิงสาวจะถลาเข้าไปประคองร่างของชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่ทิ้งลงบนบ่าทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังจะหมดแรงลงเต็มที และที่เดินลากขาขึ้นมาถึงริมถนนได้ก็เป็นการฝืนร่างกายล้วนๆ
“...เอล...เอล...”
เสียงแผ่วเบาที่เอ่ยเรียกชื่อเล่นของเธอทำให้นัยน์ตาสีม่วงเข้มทอประกายร้าวราน หญิงสาวหลับตาลงข่มความรู้สึกเจ็บปวดที่ทิ่มแทงอยู่ในอก ค่อยๆประคองเขาให้เข้าไปนอนบนเบาะหลังแล้ววิ่งอ้อมกลับมาประจำที่คนขับ รถสีดำเข้าเกียร์ถอยหลังกลับไปยังถนนแล้วเร่งความเร็วออกไป
เอลิเซ่ขับรถ (ที่ขโมยมา) ออกนอกเมือง โชคดีที่เธอรอบคอบพอจะพ่นสีสเปรย์ทับตราสัญลักษณ์ของหน่วยชีลด์และจัดการตัดระบบนำร่องทุกอย่างทิ้งก่อนจะขับมารับอดีตคู่หู แต่ว่าถึงจะตัดหรือไม่ตัดมันก็มีค่าเท่ากันอยู่ดี ชีลด์ล่มไปแล้ว ล่มไปพร้อมๆกับไฮดร้าและยานทั้งสามลำนั่นล่ะ
จากทิวทัศน์ของตึกสูงในเมืองค่อยๆเปลี่ยนเป็นป่าทึบสีเขียวและอากาศที่เย็นลงเมื่อค่ำคืนมาเยือน หญิงสาวหักเลี้ยวรถออกนอกถนนสายหลักเข้าสู่ถนนลูกรังที่มุ่งหน้าสู่เขตพื้นที่ค่ายทหารเก่าซึ่งยังไม่มีใครเข้าไปทำอะไร ได้แต่ปล่อยให้มันทิ้งร้างอยู่อย่างนั้นมาเกือบศตวรรษ
เพราะที่นี่คือแล็บทดลองเก่าของด็อกเตอร์เออร์สไคน์ อดีตนักวิทยาศาสตร์ผู้มากความสามารถของสหรัฐฯในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของพ่อบุญธรรมเอลิเซ่นั่นเอง ก่อนที่เขาจะถูกฆ่าโดยคนของไฮดร้าในห้องแล็บ เขาได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้คร่าวๆว่าจะยกพื้นที่นี้ทั้งหมดให้เป็นของเธอเพราะเขาไม่มีลูกหรือภรรยาเลย เธอเองก็เหมือนจะสังหรณ์ใจอะไรบางอย่างได้จึงได้เขียนจดหมายทิ้งเอาไว้ที่กองทัพว่าหากเธอตายจะยกพื้นที่นี้ให้กับกองทัพ เคราะห์ดีที่ใครบางคนจะรับรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่จึงได้ปิดตายที่แห่งนี้เอาไว้ให้ตามจดหมาย
ประตูที่คล้องเอาไว้ด้วยโซ่เปื้อนสนิมถูกยิงด้วยปืนและขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย เธอขับรถเข้าไปจอดภายในโกดังที่อยู่เกือบหลังสุดของค่าย ลากประตูอันหนักอึ้งและแสนฝืดด้วยสนิมให้ปิดลง ไฟจากรถยังสว่างพอที่จะให้มองเห็นอะไรๆได้บ้าง หญิงสาวจึงหยิบถังสีและถังน้ำมันเครื่องที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะช่างขึ้นมา เปิดมันด้วยวิธีเดียวกับที่เปิดประตู แล้วสาดสีกับน้ำมันเครื่องใส่กระจกจนกลายเป็นสีดำทึบ
อาจจะมืดหน่อย...แต่อย่างน้อยก็วางใจได้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นข้างในนี้แน่ๆ
อดีตนักฆ่าสาวคาบไฟฉายสนามไว้แล้วพยุงร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลลงมาจากรถเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ ไฟฉายถูกโยนแบบส่งๆไว้บนกองลังไม้ เอลิเซ่ปลดสายคาดเกราะกันกระสุนออกแล้วตามด้วยชุดหนังสีดำ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแกร่ง รอยแผลเป็นมากมายที่ประดับอยู่บนร่างนั้นเรียกให้หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาสีม่วงเข้มเหลือบมองแผลกระสุนที่สีข้างอย่างหนักใจ
ก่อนอื่นก็ต้องฆ่าเชื้อสินะ...
เธอกระโดดออกไปจากตู้คอนเทนเนอร์ วิ่งตรงไปยังประตูไม้เก่ากึ๊กที่เพียงถีบเบาๆก็หลุดโครมลงมาทั้งบาน มือบางคว้าเหล้าของปี 20 ที่จำได้ว่าพ่อบุญธรรมเคยแอบหมักเอาไว้มาสองขวดใหญ่ เอลิเซ่เปิดมันออกแล้วเทราดลงไปบนแผลของชายตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
“อ๊ากกกกกกกกกกก!”
เจอแอลกอฮอล์หมักเจ็ดสิบปีเข้าไปนายทหารเหมันต์ถึงกับร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและกลายเป็นเสียงอู้อี้เมื่อหญิงสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวยัดอุดปากเขา เธอลงมือเย็บแผลอย่างรวดเร็วโดยไม่ใส่ใจเสียงร้องอู้อี้ใต้ผ้าเช็ดหน้าและอาการดิ้นพราดๆเล็กน้อยของคนเจ็บ แล้วปิดท้ายด้วยการพันผ้าพันแผลสีขาวและพันผ้าซึ่งเป็นอดีตเสื้อคลุมตัวเก่งของเธอทับอีกชั้น
ดวงตาสีฟ้าครามของอดีตนักฆ่าหนุ่มเต็มไปด้วยน้ำตาคลอ เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนเอลยังไม่ได้มือหนักอะไรขนาดนี้เลยนะ...ทำไมเจอกันอีกทีถึงได้น่ากลัวแบบนี้
เจอประสบการณ์ราดสด เย็บสดแบบไร้ยาชาเข้าไป...เขาก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมเจ็บตัวกลับมาให้คนตรงหน้ารักษาอีกเป็นอันขาด
หลังจากการพังทลายขององค์กรรักษาความมั่นคงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เอลิเซ่ก็เริ่มที่จะใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆเหมือนครั้งที่เคยหนีการตามล่าของไฮดร้า หญิงสาวแฮ็กเข้าไปในบัญชีของตัวเองแล้วโอนใส่ในบัญชีใหม่เพื่อไม่ให้ใครตามสืบได้ จากนั้นก็ใช้เงินที่เหลือ (เยอะมาก) ในการซื้อวัสดุมาปรับปรุงโกดังเน่าๆนี่ให้พอเป็นที่ซุกหัวนอนสำหรับคนสองคน เริ่มจากการเปลี่ยนประตูด้านหน้าให้เป็นระบบอัตโนมัติ เรื่องแบบนี้ไม่ยากหรอกสำหรับคนที่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนอย่างเอลิเซ่ เธอดาวน์โหลด AI ตัวเก่าที่เคยพัฒนาอยู่ช่วงหนึ่งตอนอยู่ในกองทัพมาใส่ในเครือข่ายของค่ายเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการเรื่องต่างๆ บอกตามตรงไม่ได้อวด นี่ล่ะคือต้นแบบของจาร์วิสในเครือข่ายของสตาร์ค
“เอจิส...ประจุพลังงานไปถึงไหนแล้ว”
ร่างบางเอ่ยถามระบบสมองกลขณะกำลังเชื่อมแผ่นเหล็กแผ่นหนาเข้าด้วยกัน
[60% ครับเจ้านาย] เสียงของระบบประมวลผลดังขึ้นจากลำโพงที่ติดตั้งอยู่เกือบทุกๆแห่งในผนัง [คุณเจมส์กำลังอยู่หน้าประตู ให้ผมเปิดมั้ยครับ]
นัยน์ตาสีม่วงเข้มกลอกมองเพดานอย่างเหนื่อยใจ “เปิดก็ได้”
ประตูเหล็กหนาหนักค่อยๆเลื่อนตัวเองออกไปด้านข้างให้มีช่องว่างเล็กน้อยสำหรับเพียงพอต่อหนึ่งคนผ่าน ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าในชุดลำลองสบายๆอย่างเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มและกางเกงยีนเดินเข้ามาในห้องทำงานพลางกวาดสายตามองข้าวของหน้าตาประหลาดที่วางระเกะระกะตรงหน้าแล้วหยุดลงยังร่างบางของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีดำขลับ
“เอามื้อเช้ามาให้” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“ขอล่ะบัคกี้” เธอวางไขควงลง “จะให้ฉันย้ำอีกกี่รอบว่าแผลนายยังไม่หายดีเลยนะ”
ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ยที่ทำอย่างลวกๆ “ฉันว่าเธอน่าเป็นห่วงกว่า เธอไม่ได้กินอะไรมาหลายมื้อแล้วนะ”
[ผมเห็นด้วยครับ] เสียงนุ่มของสมองกลอัจฉริยะดังขึ้นเสริม
“...เงียบไปเลยเอจิส”
เพื่อเห็นแก่คนป่วยที่ไม่ห่วงตัวเองแต่ดันไปห่วงคนอื่น เอลิเซ่จึงวางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วหันมานั่งกินข้าวโอ้ตต้มที่ชายหนุ่มอุตส่าห์ลากสังขารตัวเองขึ้นมาทำให้ กลิ่นเครื่องเทศจางๆที่ผสมอยู่ทำให้มันดูน่ากินมากยิ่งขึ้น
“ไปเรียนรู้มาจากไหน?” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ จำได้ว่าปกติเขาจะอยู่กับไฮดร้าตลอด แล้วไปเอาสูตรของพวกนี้มาจากไหน?
ชายหนุ่มชู PDA ที่เธอเพิ่งซื้อให้เมื่อสองสามวันก่อนขึ้นมา “ให้เอจิสหาให้”
อยากจะบ้า...
ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งทำให้เธอนึกถึงตอนที่ทำภารกิจร่วมกับวินเทอร์โซลด์เยอร์ เธอมักจะพกช็อกโกแล็ตบาร์ติดกระเป๋าไว้เสมอเพราะตอนที่ไปทำงานนั้นเรียกได้ว่าสุดยอดแห่งความกันดาร ครั้งแรกที่ความคิดในการพกอาหารสำรองติดตัวก็คือตอนที่ไปตระเวนชายแดนรัสเซียและตามเก็บพวกทหารสอดแนมนอกค่าย ตอนนั้นเป็นเวลากว่าสี่วันแล้วที่อาหารไม่ได้ตกถึงท้องของทั้งคู่เลย อีกทั้งยังไม่ได้หลับติดต่อกันมาสามวันแล้ว
ชายหนุ่มยิงปืนปลิดชีพทหารหน่อยสอดแนมของฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อนที่จะดึงมีดออกมากรีดที่ท้องแขนของเหยื่อแล้วก้มลงกินเลือดอย่างหิวกระหาย
ชเนย์วิทเท่นถึงกับอึ้ง...และสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยให้คู่หูหิวเป็นอันขาด
หลังจากนั้นหญิงสาวก็ยื่นคำขาดขอให้มีช็อกโกแลตหรืออะไรก็ได้ที่กินได้ติดกระเป๋าปืนทุกครั้งที่ออกภารกิจ จริงจังถึงขนาดว่าวิ่งไปขอท่านผู้นำไฮดร้าถึงห้องทำงาน คนถูกขออย่างเรดสคัลก็ถึงกับเหวอไปเลยทีเดียว แต่อย่างไรสุดท้ายก็ต้องอนุญาตและมีคำสั่งลงไปยังห้องครัวของฐานทัพให้มีของกินในสัมภาระของชเนย์วิทเท่นและวินเทอร์โซลด์เยอร์ทุกครั้งที่ทั้งคู่ออกปฏิบัติงาน
ก็นะ...เป็นเรื่องตลกๆอีกเรื่องในไฮดร้าเหมือนกัน
ชามข้าวโอ้ตต้มหมดลงอย่างรวดเร็ว เอลิเซ่ยื่นชามเปล่าให้กับคนที่เดินสำรวจนู่นนี่นั่นในห้องทำงานด้วยความสนใจก่อนที่จะถามขึ้นว่า “บัคกี้...นายอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกรึเปล่า?”
หนึ่งสัปดาห์เต็มๆที่เอลิเซ่ทั้งสั่งทั้งขู่บังคับให้ชายตรงหน้านอนนิ่งๆอยู่บนเตียง เธอเข้าใจดีเลยล่ะว่ามันน่าเบื่อแค่ไหนถึงจะมีเกมจากโทรศัพท์ให้เล่นพลางๆก็เถอะ ทั้งชีวิตของเขาเริ่มต้นที่โลงน้ำแข็งและจบลงที่เดิม ไฮดร้าลบความทรงจำของเขาทุกครั้งที่ออกไปทำภารกิจ ความทรงจำนั้นเลือนรางเสียจนเกือบลืมแม้กระทั่งคนที่เคยเป็นคู่หูกันมาตลอด
ดวงตาสีครามทอประกายอย่างมีความหวังเล็กๆแม้ใบหน้าจะยังราบเรียบไม่เปลี่ยน “ได้เหรอ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” เอลิเซ่ยิ้มกว้าง “ไปสนุกกันหน่อยแล้วกัน”
---------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อหลายวันก่อนดูหนังเรื่องนี้ค่ะ
บอกตามตรงเซบาสเตียนซัง (คนแสดงวินเทอร์โซลด์เยอร์) หล่อดิบถูกใจเจ้มากกกกกกกกกกกกกกก!
ชเนย์วิทเท่น Schneewitten เป็นภาษาเยอรมันแปลว่า สโนว์ไวท์ ค่ะ
ความคิดเห็น