คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : ราชันย์แห่งบาป 1
แสงสีละลานตา…
แสงสว่างอันแสนพิสุทธิ์…
ขาวและไร้สิ่งอื่นแต่งแต้ม…
ไม่ใช่…ตัวตนของฉันดำมืดยิ่งกว่านั้น
ตัวตนอันแปดเปื้อน…
สีดำอันเป็นที่รักของฉัน…
‘กลางคืนห้ามออกนอกบ้านโดยพลการ มิฉะนั้นปีศาจจะมาเอาวิญญาณไป’
นั่นเป็นคำสอนที่แม่คอยพร่ำบอกเธอเสมอทุกๆคืนในตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยเชื่อในคำพูดนั้นเลยและพยายามที่จะปีนออกไปข้างนอกบ้านเป็นประจำยามหลังอาทิตย์ตกดิน
เธอรักในสีดำอันมืดมิดนี้…รักเพราะว่ามันคือตัวตนและชีวิตของเธอ
ลาเซลเติบโตขึ้นมาโดยมีความมืดเป็นเพื่อน แม่เล่าให้ฟังว่าคืนที่เธอลืมตาดูโลกนั้นเป็นคืนพระจันทร์สีเลือด ท้องฟ้านั้นแดงฉานน่ากลัวราวกับปีศาจเอาโลหิตสดๆมาชโลมย้อม…เป็นสีเดียวกับดวงตาทั้งสองของเธอ
บ้านของสองแม่ลูกนั้นอยู่ท่ามกลางแมกไม้หนาทึบในป่าอันห่างไกลจากหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านนั้นรังเกียจที่แม่ให้กำเนิดเธอ…เด็กที่เกิดจากแม่ผู้ถูกชายโฉดข่มขืน
เส้นผมสีเงินยวงดั่งแสงจันทร์และนัยน์ตาสีโลหิตคือสิ่งที่ชายคนนั้นถ่ายทอดมาให้เธอ รวมทั้งพรสวรรค์ทางด้านการรับรู้สัมผัสอีกด้วย
เด็กสาวรักที่จะออกผจญภัยและใช้พรสวรรค์นั้นให้เป็นประโยชน์ แต่แม่มักจะให้เธอเก็บตัวอยู่ในบ้านเสียส่วนใหญ่ มีบางครั้งที่เธอจะแอบปีนออกไปทางหน้าต่างแล้วมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเบื้องล่างของภูเขาเพื่อเปิดหูเปิดตารับสิ่งใหม่ๆภายนอกซึ่งไม่เคยได้รับรู้มาก่อน
เพราะว่าหมู่บ้านของเธอเป็นทางผ่านไปสู่ท่าเรือใหญ่ที่สำคัญของอาณาจักร ทำให้มีรถม้าและพาหนะของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ามาพักอย่างไม่ขาดสาย บ้างก็เห็นสินค้าหน้าตาประหลาดถูกเก็บรักษาอย่างดีอยู่ตรงด้านหลังเกวียน เห็นผู้คนในชุดแต่งกายที่แตกต่างกันออกไปเดินกันขวักไขว่ ถ้าหากมีคนเยอะหน่อยสามารถพอจะพรางตัวเองให้กลมกลืนได้โดยไม่เป็นที่สังเกต ลาเซลก็ฉลาดพอที่จะใช้ผ้าโพกหัวเก็บผมสีประหลาดของเธอเอาไว้ แล้วแต่งกายเป็นชายลงไปปะปนกับคนในตลาดโดยที่ไม่มีใครรู้
เด็กผู้หญิงในวัยเดียวกับเธอส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาไปกับการเย็บปักถักร้อยและร่ำเรียนวิชาคหกรรม แต่เธอจะลงไปขลุกกับพวกเด็กผู้ชาย ก็เลยได้วิชาป้องกันตัวกลับมาบ้างนิดหน่อย ไม่นับเอารอยฟกช้ำที่นับวันจะเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วยนะ
แต่แล้ววิถีชีวิตอันเต็มไปด้วยสีสันและความสดใสก็ถูกพรากจากไป เฉกเช่นเดียวกับแสงสว่างดวงน้อยที่ไม่อาจดำรงอยู่ได้ท่ามกลางความมืดมิด
สีแดงฉานที่เธอเกลียดกลับมาฝากรอยแผลเอาไว้อีกครั้ง…
เปลวเพลิงสีชาดลุกกระพือโหมอย่างบ้าคลั่งยังบ้านเรือนเบื้องล่าง ชาวบ้านต่างหนีตายกันชุลมุนโดยมีพวกโจรป่าวิ่งไล่ตามสังหารอย่างไร้ความปรานี ลาเซลได้ยินเสียงของพวกเขาหัวเราะลั่นด้วยความเบิกบานใจขณะได้ยินเสียงกรีดร้องสุดท้ายของเหยื่อที่ถูกตนสังหาร ศพนับร้อยนอนกองเกลื่อนเต็มเนิน ในขณะที่อณูอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นไหม้และควันจากกองเพลิงใหญ่นั้น
เธอยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยแววตาตื่นตระหนก แต่ร่างกายกลับหนักอึ้งจนไม่สามารถขยับตัวได้ ใบหน้านิ่งขึงราวกับมีใครบางคนจงใจจับให้เธอมองสิ่งที่เกิดขึ้น
‘ยินดีเสียสิ…จงยินดีกับความตายของเจ้าพวกนั้น’
เสียงกระซิบแหบพร่าของปีศาจดังขึ้นในหัว เป็นเสียงเดียวกับที่เธอเคยได้ยินในความฝันก่อนวันเกิดครบสิบสามปีหลายต่อหลายคืน
ซึ่งวันเกิดของเธอก็คือวันนี้…
‘จงมีชีวิตอยู่บนความตาย’
‘จงดื่มกินเพียงความตาย’
‘จงยืนหยัดเพื่อความตายของผู้อื่น’
ประโยคนั้นช่างคล้ายกับคำที่แม่เคยพร่ำกระซิบขับกล่อมก่อนนอนทุกคืนเหลือเกิน แต่ยังมีส่วนที่แตกต่างกันออกไป
‘จงมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อแม่’
‘จงดื่มกินเพียงแม่’
‘แล้วสุดท้ายลูกจะยังคงดำรงตัวตนของลูกอยู่ได้โดยไม่สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปอย่างที่ผู้ชายคนนั้นเป็น’
ภาพนั้นยังคงตรึงตาอยู่ไม่จางหาย เงาดำทะมึนสูงใหญ่ปานหมีของโจรป่าก้าวมายืนตรงหน้าของเธอพร้อมกับเงื้อดาบในมือขึ้นสูง
แล้วดาบก็ฟาดฟันลงมา ทว่าผู้ที่ถูกสังเวยให้กับการลงดาบครั้งนี้คือแม่ของเธอ…
เลือดสีแดงเข้มกระเซ็นเปื้อนมือทั้งสองที่ถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้จนถึงข้อมือ แม่ใช้มันเป็นเครื่องพยุงกายก่อนจะล้มลงไปสิ้นใจ แรงดึงทำให้ผ้าเลื่อนหลุดออก เผยให้เห็นรอยสักสีแดงเข้มดั่งเลือดลากเป็นสัญลักษณ์ของกรงเล็บสัตว์ร้าย
ของเหลวอุ่นๆไหลเจิ่งนองเต็มพื้น แม่นอนสิ้นใจอยู่แทบเท้า ลาเซลไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากรอยสักหลังมือที่กำลังทวีความร้อนขึ้นมากเรื่อยๆ
และรู้สึกว่าน้ำตากำลังไหลรินผ่านแก้มอย่างช้าๆ…
ดาบโค้งที่ใช้ปลิดชีพผู้คนเงื้อขึ้นเหนือหัว เธอแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ราวกับว่ามีใครอีกคนข้างในตัวเธอกำลังควบคุมร่างกายอยู่ เด็กสาวปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณโดยไม่คิดจะหักห้าม
ความมืดในตัวเธอกำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง…
พอมารู้สึกตัวอีกครั้ง รอบกายก็เต็มไปด้วยร่างไร้ชีวิตของโจรป่าเหล่านั้นนอนกองอยู่แทบเท้า แต่ละศพล้วนอยู่ในสภาพสยดสยอง บางร่างก็ตัวกับหัวแยกกันไปคนละทาง บางร่างก็มีอวัยวะภายในไหลออกมากองข้างนอก แต่ที่ทุกร่างเหมือนกันก็คือดวงตาที่เบิกโพลงด้วยความสะพรึงกลัวต่อบางสิ่งบางอย่างก่อนตาย
เด็กสาวก้มลงมองบางสิ่งที่อยู่ในมือ ก็เห็นดาบโค้งแบบเดียวกับที่พวกโจรใช้กำลังสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย
หมายความว่าเธอคือคนที่สังหารทุกคนที่นี่งั้นเหรอ…
มือบางถูกยกขึ้นสูง ตราประทับนั้นแดงฉานอยู่บนผิวซีดเผือดเนื่องจากไม่ได้สัมผัสแสงอาทิตย์มาเป็นเวลานาน มันกำลังเต้นตุบๆอย่างยินดีเมื่อได้สัมผัสกับเลือดและความตายของคนในที่แห่งนี้ ณ เวลานั้นเองที่เธอได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
ว่าทำไมคนในหมู่บ้านถึงได้จงเกลียดจงชังเธอกับแม่นัก
ว่าทำไมเธอต้องเติบโตอยู่ในบ้านอันโดดเดี่ยวกลางภูเขามาตลอด
ว่าทำไมแม่ถึงกำชับไม่ให้เธอออกนอกบ้าน
เพราะว่าสายเลือดนี้เอง…สายเลือดปีศาจอันกระหายเลือดนี้
มันดื่มกิน’ชีวิต’ของผู้คนรอบข้าง และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังให้เธอได้มีลมหายใจอยู่ต่อไป
พลังอันน่ารังเกียจ!
ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ในกองเพลิงที่กำลังส่องสว่างท่ามกลางราตรี แล้วมุ่งหน้าไปยังความมืดมิด…เพียงลำพัง
เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่สงครามใหญ่ปะทุขึ้นระหว่างสมาพันธรัฐเซอร์เพนทัสและประเทศมหาอำนาจอย่างอวาลอน สาเหตุเกิดมาจากการแย่งชิงพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ของป่าเนอยาร์คซึ่งมีเขตแดนเชื่อมระหว่างประเทศทัสซาโรและอวาลอนเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ในการครอบครองพื้นที่และทำสงครามกันเรื่อยมาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายได้สูญเสียสิ่งสำคัญของตัวเองไปจึงได้ตระหนักถึงความไร้สาระของสงครามที่ก่อขึ้น พวกเขาจึงได้ร่างสัญญาขึ้นเพื่อสงบศึก ทว่าแม้จะมีสัญญาคอยขีดเส้นกั้นเอาไว้แต่ความบาดหมางระหว่างทั้งสองขั้วอำนาจก็ยังคงมีอยู่จางๆ
อวาลอนนั้นคือจักรวรรดิที่ได้ชื่อว่ามีอาณาเขตกว้างขวางที่สุดและมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มหาศาล แต่เพราะมีอาณาเขตกว้างทำให้มีประชากรมากเป็นอันดับต้นๆของโลก ทรัพยากรที่มีอยู่เองก็กำลังจะเริ่มร่อยหรอเต็มทีทำให้พวกเขาเลือกที่จะทำสงครามเพื่อแย่งชิงความอุดมสมบูรณ์ที่มีอยู่ในป่าเนอยาร์คบริเวณชายแดนด้านทิศตะวันตกที่อยู่ติดกับประเทศทัสซาโร
ทว่าไม่มีใครรู้ถึงความดำมืดที่ซ่อนอยู่ในป่าแห่งนั้นเลยแม้แต่คนเดียว...
นอกจาก ‘พวกเขา’...
-------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น