ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลังเก็บนิยายตามใจฉัน

    ลำดับตอนที่ #24 : Natsume Yuujinchou's Fic

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 55







    ดวงตาสีทอง

    ดวงตาต้องสาปที่เหล่าความมืดใฝ่ฝันหา

    ต่างกับพวกเขาเหล่าแสงสว่างที่รังเกียจดวงตาคู่นี้เหลือเกิน

    ทำไมกันล่ะ

    ทำไมถึงทำกับฉันเช่นนั้น

    ทำสิ่งเลวร้ายที่สุดกับฉัน

    ทั้งๆที่ฉันคือเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกคุณ

     

    มีเรื่องเล่าขานกันมามากมายในหมู่ของปีศาจและภูต   ทุกๆร้อยปีจะมีการถือกำเนิดของผู้ครอบครองดวงตาสีทองขึ้นมาหนึ่งคน   ดวงตาสีทองคู่นั้นเป็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจเทียบเท่ากับทวยเทพ   ใครที่ได้สบกับดวงตาคู่นั้นแล้วจักไม่มีวันหลุดพ้นจากห้วงมายานั้นด้วยความลุ่มหลงในความงดงาม   ตกเป็นทาสของผู้ครอบครองไปชั่วกาล   ผู้ใดสามารถยึดครองดวงตานั้นมาได้จักได้รับพลังอันไร้ที่สิ้นสุดปานเปรียบดั่งเทพ   จึงมีการสู้รบกันเพื่อแย่งชิงดวงตาสีทองขึ้นหลายครา   เพราะว่าเป็นต้นเหตุของสงครามอันไร้เหตุผล   ผู้ครอบครองดวงตาสีทองจึงปิดบังและซ้อนเร้นตัวตนเรื่อยมา   และหายสาบสูญไปในที่สุด

    ผู้มีดวงตาต้องสาปนั้นจึงเรียกตัวเองว่านัยน์ตามรณะ

               

    เอาดวงตาของเจ้ามาให้ข้า…’

    ความมืดมิดอันน่าสะพรึงกลัวกำลังคืบคลานตามหลังมา   แม้ว่าขาทั้งสองข้างจะล้าจากการวิ่งเป็นระยะทางมากและเป็นเวลานานแล้ว   ถึงกระนั้นเธอก็ยังบอกตัวเองให้วิ่งต่อไป   เสียงแหบพร่าที่กระซิบต่ำตามหลังนั้นล่ะที่ทำให้เธอไม่สามารถหยุดฝีเท้าของตัวเองได้

    เพราะถ้าหากหยุดเมื่อไรนั่นก็หมายถึงชีวิตจะต้องหยุดตามไปด้วย

    เงามือที่เลื้อยตามหลังราวกับมีชีวิตเคลื่อนมาใกล้เท้าของเธอแล้ว   มันขยับม้วนตัวขึ้นเหนือพื้นแล้วตวัดรัดพันเข้ากับข้อเท้าของเธอ   นั่นทำให้เด็กสาวที่กำลังวิ่งอยู่ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง   เธอพลิกตัวขึ้นนอนหงายแล้วจ้องมองไปยังเงาที่กำลังกลืนกินเข้ามาด้วยความสะพรึงกลัว   เงาสายหนึ่งม้วนเข้ามาสัมผัสยังหางตาของเธอ

    อากลิ่นอายของเจ้าช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน   อยากลิ้มลองจริงๆ…’ เสียงเดิมครางแผ่วเบา   ก่อนที่เงาอันไร้รูปร่างจะถาโถมเข้ามาดั่งคลื่นในทะเลซัดเข้าฝั่ง



     

    เฮือก!

    ร่างบางผุดลุกขึ้นจากฟูกนอนอย่างรวดเร็ว   เพราะว่าไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าใครกำลังนั่งทับอยู่บนตัว   หัวของทั้งสองคนจึงโขกกันอย่างแรง

    โป๊ก!

    “อูยยย! ทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะ!!!

    คนที่นั่งอยู่ด้านบนเมื่อถูกหัวอีกหัวปะทะเข้าอย่างแรงจนน้ำตาเล็ดก็ล้มตึงลงไปนอนโวยวายกับพื้นพลางใช้มือกุมหัวที่ปูดเป็นสีม่วงช้ำเหมือนมีลูกมะนาวลูกย่อมๆแปะอยู่บนหน้าผากด้วยความเจ็บปวด   ในขณะที่คนก่อเหตุยังนั่งมึนเป็นรูปปั้นหินอยู่  

    “เฮ้ย! ตายรึยังน่ะเจ้า” คนที่หัวปูดเป็นลุกมะนาวเอามือโบกไปมาตรงหน้าของเด็กสาวที่นั่งตัวแข็งเป็นท่อนไม้ประดับสวน   ก่อนจะโดนฝ่ามืออรหันต์ฟาดเปรี้ยงเข้าที่แก้มอย่างแรงจนลงไปนอนดิ้นแด่วๆกับพื้นอีกรอบ

    “เจ็บมั้ย?” คนก่อเรื่องก่อนถามเสียงเรียบ

    “เจ็บ-ฉิบ-หาย”

    แต่ละคำชายหนุ่มเค้นออกมาอย่างยากลำบาก   แต่ก็สรุปผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างรวบรัด   เขายันตัวขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วจ้องไปยังเด็กสาวที่ประทุษร้ายเขาด้วยสายตามาดร้าย

    “อืมม์” อีกฝ่ายเพียงตอบรับกลับมาสั้นๆเท่านั้น

    “เจ้า...เจ้ามันใจร้ายเกินไปแล้ว!

    “กฎหมายไม่ได้บอกซักหน่อยว่าฟาดปากชาวบ้านเบาๆเพราะหมั่นไส้แล้วติดคุก”

    เบาๆเรอะ!!!   เมื่อกี้พี่ท่านลงมือมาเต็มแรงเลยนี่หว่า

    “ยัยเด็กขี้เซา!!! ถ้าไม่รีบลงมาอดแด็กนะเฟ้ย!!!

    ก่อนที่จะเกิดสงครามน้ำลายขึ้นในรอบเช้า   เสียงห้าวของชายกลางคนก็ดังขึ้นมาจากข้างล่างเสียก่อน   เด็กสาวเจ้าของชื่อ ชินยะ พลิกตลบผ้าห่มขึ้นแล้วไปจัดแจงล้างหน้าล้างตาแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนจะรีบลงไปข้างล่าง   ก่อนออกไปไม่ลืมหันมามองผู้มาเยือนรอบเช้าด้วย

    “ฝากเก็บที่นอนด้วยล่ะโฮคุ”

    “ข้าไม่ได้เป็นเบ๊ประจำตัวเจ้านะยัยเด็กบ้า!!!

    ให้ตายสิท่าทางโฮคุจะหัวเสียจริงๆ   ขนาดเดินลงมาชั้นล่างแล้วยังได้ยินเสียงของหมอนั่นอยู่เลย ชินยะคิดในใจ

     

     

    ชีวิตประจำวันในยามเช้าของเธอก็ยังเป็นเช่นทุกๆวัน   มีเสียงเอะอะโวยวายชุดใหญ่ดังมาจากห้องรับประทานอาหารของบ้าน   ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับเหล่าลูกศิษย์ที่มาเก็บตัวฝึกหนักในโรงฝึกของสำนักแห่งนี้

    บ้านที่เธอใช้ชีวิตตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเป็นโรงฝึกเคนโดของสำนักซากุระอิจิริว   สำนักฝึกประจำเมืองที่เธออาศัยอยู่   เธอเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่จำความได้   ตามคำบอกเล่าของคุณอาสึคาวะ ผู้ดูแลโรงฝึกแห่งนี้   เธอถูกทิ้งเอาไว้ที่ศาลเจ้าตั้งแต่ยังเป็นทารก   ท่านนักบวชไม่สามารถเลี้ยงดูเธอที่เป็นเด็กผู้หญิงได้จึงส่งให้คุณอาสึคาวะที่เป็นเพื่อนสนิทกันให้ช่วยดูแล   ไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเธอเลยแม้แต่อย่างเดียว   มีเพียงชื่อและนามสกุลเขียนเอาไว้บนกำไลเงินแกะสลักเท่านั้น

    “เฮ้ยพวกเรา! เจ๊ชินยะมาแล้ว!

    พวกที่กำลังวิ่งไปรอบๆห้องเมื่อเห็นเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีทรายเดินเข้ามาก็รีบกุลีกุจอกันเข้านั่งที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยประหนึ่งกำลังอยู่ในชั่วโมงฝึกสอนมารยาท   ถึงแม้ว่าจะขัดๆกับหน้าตาเถื่อนปานโจรป่าของแต่ละคนก็เหอะ

    “อ้าว? วันนี้ตื่นสายจังเลยนะชินยะ” ชายกลางคนเจ้าของรอยแผลเป็นยาวตรงคางเอ่ยทักทายเสียงเนือย   เด็กสาวเดินเข้ามานั่งยังที่ว่างด้านขวาของหัวโต๊ะซึ่งเป็นตำแหน่งของเจ้าบ้านอย่างอาสึคาวะ

    “ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะอาสึคาวะซัง” ชินยะเอ่ยตอบแล้วพุ้ยข้าวเข้าปากกินอย่างเงียบๆ

    “อาถ้าอย่างนั้นก็แย่น่ะสิ” ชายผู้มีรอยบากบนใบหน้าครางเบาๆ “ดันมาฝันเอาตอนที่จะย้ายบ้านเสียด้วย”

    จากนั้นคือปรากฏการณ์พาเหรดล้มโต๊ะขบวนใหญ่   พวกหน้าเถื่อนที่แอบฟังการสนทนาอยู่ต่างลุกพรวดขึ้นมองเด็กสาวที่นั่งอยู่เกือบหัวโต๊ะด้วยความเหวอสุดขีด

    “ว่าไงนะ! ย้ายบ้านงั้นเรอะ!!!” ทุกคนพ่นคำพูดออกมาพร้อมกัน

    “ไม่ต้องแสดงออกมาชัดขนาดนั้นก็ได้ว่าฟังชาวบ้านเขาคุยกัน” ชินยะเอ่ยวาจาเชือดเฉือนอย่างเยือกเย็น   ความหมายโดยตรงที่สื่อออกมาก็คือ  รู้แล้วย่ะว่าแอบสอดเรื่องของชาวบ้านอยู่  ไม่ต้องแสดงให้เห็นก็ได้

    “อ่าครับ” คนที่หน้าตาดูเป็นผู้เป็นคนมากที่ตอบเสียงอ่อย

    “ว่าแต่จะไปไหนเหรอครับเจ๊~   บอกให้คาโอรุคนนี้รู้ได้มั้ยอ่า~” คนที่หน้าตาวอนอวัยวะเบื้องล่างมากที่สุดยื่นหน้าเข้ามาใกล้

    พลั่ก!!!

    จากนั้นก็ถูกสันมือมารสับเข้ากลางหน้าผากจนหงายหลังล้มตึงลงไปนอนชักแหง่กๆกับพื้นอย่างหมดรูปโทษฐานกล้าทำสายตาลวนลาม

    “ฉันจะไปไหนก็เรื่องของฉัน   แกไม่ต้องยุ่ง” เธอกล่าวเสียงเย็นแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องรับประทานอาหารรวมอย่างรวดเร็ว   อาสึคาวะถอนหายใจยาวพลางส่ายหน้าช้าๆ

    “จะเก๊กโกรธก็ให้มันเนียนกว่านี้หน่อยสิยัยเด็กซึนเดเระเอ๊ย”

    แต่เขาก็ว่าออกไปตรงๆไม่ได้   เด็กคนนี้มีปมด้อยจนอยู่ในสังคมได้ยากมาตั้งแต่จำความได้แล้ว   จะไปต่อว่าต่อขานให้เด็กบ้านั่นซึมลงไปกว่าเดิมก็ใช่ที่   ดีไม่ดีเสียวโดนดาบไม้คู่กายของเจ้าหล่อนฟาดซ้ำอีกต่างหาก   เขาเป็นอาจารย์แท้ๆยังโดนลูกศิษย์ฟาดเสียตัวเขียวตัวลาย   รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

    ช่วยไม่ได้ล่ะนะใครใช้ให้เด็กคนนั้นเกิดมาพร้อมกับดวงตาสีทองกันล่ะ

    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะยอมรับความผิดปกติหรือความไม่สมบูรณ์ของสิ่งที่อยู่รอบข้าง   เมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในสังคมของพวกเขา   มนุษย์ก็ไม่ลังเลที่จะผลักไล่ไสส่งความผิดปกตินั้นออกไปทันที   ถึงแม้ว่าส่วนที่แปลกปลอมนั้นจะมีสายเลือดเดียวกับตนเองก็ตาม

    ใช่แล้วตาทั้งสองข้างของเด็กคนนั้นเป็นสีทอง

    เพราะมีดวงตาคู่นั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั่นล่ะถึงทำให้เด็กคนนั้นถูกพ่อแม่ทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี   จากที่คุยกับนักบวชประจำศาลเจ้า   ตอนที่เจอเด็กคนนั้นครั้งแรกแกก็เกือบจะได้ไปเฝ้าท่านเอ็นมะในปรภพเสียแล้วเพราะทนอากาศหนาวไม่ไหว   เคราะห์ดีที่ไปพบก่อนจึงสามารถยื้อชีวิตน้อยๆนี้เอาไว้ได้ทันเวลา

    เมื่อหลายวันก่อนมีคนมาติดต่อกับเขาเรื่องชินยะ   ที่ว่าพวกเขาได้รับเลี้ยงดูเด็กผู้ชายคนหนึ่งมา   และเด็กผู้ชายคนนั้นก็ใช้นามสกุล นัตสึเมะ เหมือนกันด้วย   จึงจะขอชินยะไปเลี้ยงดูด้วยอีกคนเผื่อว่าเด็กทั้งสองจะเป็นพี่น้องกันจริงๆ

    “อาสึคาวะเซ็นเซครับจะถือตะเกียบอีกนานมั้ยครับ”

    เพล้ง!

     

     

    ช่วงบ่าย   หลังจากที่ทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว    เด็กสาวก็กลับมาเก็บข้าวของที่มีอยู่ไม่มากใส่กระเป๋าสัมภาระเพื่อเตรียมที่จะย้ายบ้าน   ส่วนชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวนาม โฮคุ ที่ยังเคืองไม่หายกับคดีฟาดปากเมื่อเช้าก็นั่งจุมปุ๊กอยู่ไม่ห่าง   ดวงตาสีเงินสว่างของเขาหรี่ลงอย่างไม่พอใจนัก   ชินยะที่รู้การกระทำของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีถอนหายใจยาว

    “จะงอนไปถึงไหนล่ะนั่น”

    “ฮึ!” อีกฝ่ายสะบัดหน้าหนี

    ขี้งอนอย่างกับยายแก่ไม่ผิด   ชินยะแอบนินทาชายหนุ่มคนนี้ในใจอย่างอดไม่ได้  

    “ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังนินทาข้าอยู่” โฮคุเปรยขึ้น

    “ก็ดีเวลาด่านายฉันจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย”

    “กร๊าซ!!! ข้าขอสาปแช่งเจ้า!!!

    “สาปเลย   ถ้านายไม่กลัวคำสาปจะติดตัวเองด้วยน่ะนะ” นัยน์ตาสีทองสุกสกาวหรี่มองท้าทาย “ลืมไปแล้วเหรอว่านายกับฉันยังมีพันธะกันอยู่”

    ชายหนุ่มถึงกับสะอึก   เขาทำหน้าบูดก่อนที่จะขยับร่างกายท่อนล่างขึ้นพันเป็นขนดหลวมๆ   เส้นผมสีขาวเหลือบเงินที่ยาวระลงมาประหน้าอกกว้างนั้นเมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์แล้วดูงดงามอย่างน่าประหลาด   ใบหน้าของเขานั้นราวกับรวมความงดงามของสตรีและความหล่อเหลาของบุรุษเข้าไว้ด้วยกัน   ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ดูงดงามยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆในภพนี้   ดวงตาสีทองอร่ามที่ทอประกายสดใสกว่าดวงตาของเธอเล็กน้อยสามารถดึงดูดสายตาของคนมองให้ลุ่มหลงได้ไม่ยากเย็น   หากกล่าวว่าถ้าได้สบตาสักครั้งแล้วคงไม่แคล้วตกอยู่ในห้วงมายาตลอดกาลคงจะไม่เกินจริงไป   แม้แต่เธอที่อยู่ร่วมกับเขามานานหลายปีแล้วก็ยังอดมองเหม่อไม่ได้

    สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าสายเลือดได้เชื่อมโยงทั้งเธอและเขาเอาไว้ด้วยกัน   พวกเธอทั้งสองไม่สามารถขาดใครคนใดคนหนึ่งไปได้   ทั้งโชคชะตา พลังอำนาจและความรู้สึกทั้งหมดได้แบ่งปันถ่ายทอดซึ่งกันและกันราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน

    “โฮคุ”

    “หืมม์” ผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยด้วยความสงสัย

    “ยัตสึฮาระที่ที่เราจะไปน่ะเป็นยังไงเหรอ?”

    เด็กสาวเอ่ยถามขณะทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้าสีรามด้านนอก   สายลมที่พัดเข้ามากระทบกับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนราวกับเม็ดทรายให้ปลิวสยายน้อยๆ

    “ข้าเองก็ไม่เคยไปที่นั่นเช่นกัน   เพียงแต่มีคำล่าขานมากมายว่าที่นั่นเป็นดินแดนเก่าแก่ของเหล่าภูตผีปีศาจอย่างข้า   น่าจะมีพวกเดียวกับข้าอาศัยอยู่มากเช่นกัน”

    พวกเดียวกันภูตผีอีกแล้วสินะ   ชินยะคิดในใจ

    ตั้งแต่เด็กๆแล้ว   เธอมักจะมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นอยู่เสมอ   ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณหรือภูตผีปีศาจต่างๆ   เพราะว่ามีเธอเห็นเพียงคนเดียว   เมื่อพูดเรื่องนี้ออกไปจึงถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดเสมอ   ทำให้เธอไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว   คงมีเพียงอาสึคาวะซังคนเดียวล่ะมั้งที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ

    อาสึคาวะซังเองก็สามารถมองเห็นภูตผีได้เช่นกัน   ถึงแม้ว่าจะเห็นเพียงภาพรางๆไม่ชัดเจนเท่ากับเธอก็ตาม   แต่อย่างน้อยก็ยังมีใครซักคนเข้าใจในสิ่งที่เธอเป็นอยู่ล่ะนะ

    ใครซักคนที่เข้าใจในความโดดเดี่ยวแบบเดียวกับเธอ

     

     

    รถไฟเที่ยวบ่ายของเมืองเริ่มออกตัว   เด็กสาวชะโงกหน้าออกมาดูเหล่าคนในสำนักที่มาคอยส่งลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย   พวกเด็กเกทั้งหลายที่เธอไม่คิดว่าเขาจะมาด้วยชูป้ายผ้าทำเองขึ้นโบกไปมาอย่างไม่อายต่อสายตาของคนทั้งสถานี

    “มาหาพวกเราอีกให้ได้นะครับเจ๊!!!

    “หาของฝากมาด้วยนะคร้าบ!!!

    “โชคดีนะครับเจ๊!!!

    เสียงตะโกนของพวกเขาช่างห่างไกลออกไปเรื่อยๆเมื่อรถไฟเคลื่อนตัวห่างออกไปจากสถานี   แต่กลับดังก้องอยู่ในหัวของเธอราวกับว่ามีใครจงใจกรอมันกลับมาเล่นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

    น้ำตาที่ไม่เคยไหลออกมาแม้แต่ครั้งเดียวตลอดเวลาที่ผ่านมาเอ่อคลอขึ้นมา   ความอบอุ่นที่เธอไม่เคยได้รับกำลังแทรกเข้าไปในหัวใจที่ปิดกั้นตัวเองจากคนอื่นมาโดยตลอดอย่างช้าๆ

    นี่สินะความหมายของคำว่า ครอบครัว

    แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็สามารถสื่อถึงกันได้   แม้ว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันจะสั้นเพียงใด   เธอก็ยังรับรู้ถึงความอบอุ่นนั้น

    รถไฟขวบยาวแล่นผ่านทุ่งนาสีเขียวขจีและภูเขาอันอุดมสมบูรณ์   ดูเหมือนว่าพี่ชายฝาแฝดของเธอจะย้ายมาอยู่ในเมืองที่ค่อนข้างชนบทพอสมควร   แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดี   หากเธอเจออะไรแปลกๆก็มีแค่คนส่วนน้อยที่เห็น   หลบซ่อนอาการแปลกๆของเราได้ง่ายกว่าอยู่ในเมืองใหญ่ๆเยอะ

    นี่เจ้ากำลังจะไปอยู่กับใครเหรอเสียงทุ้มของโฮคุดังขึ้นในหัวเธอ

    “ครอบครัวฟุจิวาระน่ะ” ชินยะตอบพร้อมกับหยิบหูฟังขึ้นเสียบไว้ที่หูเพื่อไม่ให้คนอื่นผิดสังเกตว่าเธอกำลังพูดอยู่คนเดียว “เห็นว่าครอบครัวนั้นรับอุปการะเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นามสกุลเหมือนกับฉัน   พวกเขาก็เลยอยากรับฉันไปอีกคน”

    ข้าสังหรณ์ใจว่าหากเจ้าไปอยู่ที่นั่นแล้วจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นพรวน

    “คิก” เด็กสาวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อได้ยินคำกล่าวปนเหน็บแนมของคู่หู   มือซ้ายที่วางพาดอยู่บนห่อผ้าซึ่งซ่อนดาบไม้และดาบคาตานะของเธอเอาไว้กำเข้าหากันแน่น

    “ก็ดีเหมือนกันนะฉันจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้”

    ชีวิตที่โดดเดี่ยว   สิ่งที่มีแต่เธอเท่านั้นที่เห็น   ยังไงก็ไม่อยากจะเจอแบบนั้นอีกแล้ว

    อยากจะมีความสุขบ้าง

     

    เธอหลับสนิทตลอดทั้งการเดินทาง   จนกระทั่งโฮคุแหกปากปลุกเธอตอนที่รถไฟได้มาถึงที่หมายแล้ว   เด็กสาวรีบสะพายกระเป๋าสัมภาระที่มีอยู่ไม่มากกับห่อดาบประจำตัวแล้ววิ่งลงก่อนที่จะรถไฟจะเคลื่อนตัวออก

    “ฟู่ว!   ทันเวลาพอดี”

    “ขอโทษนะจ๊ะ”

    ในขณะที่เด็กสาวกำลังยืนอยู่นั้นเอง   หญิงกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา   ด้านหลังของนางยังมีชายกลางคนกับเด็กหนุ่มอีกคนที่น่าจะวัยไล่เลี่ยกับเธอด้วย

    “หนูใช่เด็กที่คุณอาสึคาวะบอกรึเปล่าจ๊ะ”

    “ค่ะคุณคงจะเป็น ฟุจิวาระซัง สินะคะ” ชินยะเอียงคอเล็กน้อย   ใบหน้าของหญิงกลางคนเปล่งประกายสดใสขึ้นมาทันตา

    “ดีจังเลยนะที่พวกเรามาทันเที่ยวรถไฟของหนูพอดี   ฉันชื่อโทโกะจ้ะ   ส่วนนี่สามีของฉัน คุณชิเงรุ   แล้วนั่นก็

    “ทาคาชินัตสึเมะ ทาคาชิ ครับ” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

    นัตสึเมะ!   หมายความว่า

    “พี่คะ!!!

    เด็กสาวกระโดดเข้ากอดพี่ชายที่ตามหามานานด้วยความดีใจ   นัตสึเมะถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียวเมื่อเห็นเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกับคุณยายที่เห็นในความทรงจำเข้ามากอดเขาแน่น

                “อืมม์ยินดีต้อนรับกลับมานะน้องสาว”

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×