คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : Natsume Yuujinchou's Fic
ดวงตาสีทอง
ดวงตาต้องสาปที่เหล่าความมืดใฝ่ฝันหา
ต่างกับพวกเขาเหล่าแสงสว่างที่รังเกียจดวงตาคู่นี้เหลือเกิน
ทำไมกันล่ะ
ทำไมถึงทำกับฉันเช่นนั้น
ทำสิ่งเลวร้ายที่สุดกับฉัน
ทั้งๆที่ฉันคือเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกคุณ
มีเรื่องเล่าขานกันมามากมายในหมู่ของปีศาจและภูต ทุกๆร้อยปีจะมีการถือกำเนิดของผู้ครอบครองดวงตาสีทองขึ้นมาหนึ่งคน ดวงตาสีทองคู่นั้นเป็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจเทียบเท่ากับทวยเทพ ใครที่ได้สบกับดวงตาคู่นั้นแล้วจักไม่มีวันหลุดพ้นจากห้วงมายานั้นด้วยความลุ่มหลงในความงดงาม ตกเป็นทาสของผู้ครอบครองไปชั่วกาล ผู้ใดสามารถยึดครองดวงตานั้นมาได้จักได้รับพลังอันไร้ที่สิ้นสุดปานเปรียบดั่งเทพ จึงมีการสู้รบกันเพื่อแย่งชิงดวงตาสีทองขึ้นหลายครา เพราะว่าเป็นต้นเหตุของสงครามอันไร้เหตุผล ผู้ครอบครองดวงตาสีทองจึงปิดบังและซ้อนเร้นตัวตนเรื่อยมา และหายสาบสูญไปในที่สุด
ผู้มีดวงตาต้องสาปนั้นจึงเรียกตัวเองว่า
นัยน์ตามรณะ
‘เอาดวงตาของเจ้ามาให้ข้า
’
ความมืดมิดอันน่าสะพรึงกลัวกำลังคืบคลานตามหลังมา แม้ว่าขาทั้งสองข้างจะล้าจากการวิ่งเป็นระยะทางมากและเป็นเวลานานแล้ว ถึงกระนั้นเธอก็ยังบอกตัวเองให้วิ่งต่อไป เสียงแหบพร่าที่กระซิบต่ำตามหลังนั้นล่ะที่ทำให้เธอไม่สามารถหยุดฝีเท้าของตัวเองได้
เพราะถ้าหากหยุดเมื่อไรนั่นก็หมายถึงชีวิตจะต้องหยุดตามไปด้วย
เงามือที่เลื้อยตามหลังราวกับมีชีวิตเคลื่อนมาใกล้เท้าของเธอแล้ว มันขยับม้วนตัวขึ้นเหนือพื้นแล้วตวัดรัดพันเข้ากับข้อเท้าของเธอ นั่นทำให้เด็กสาวที่กำลังวิ่งอยู่ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง เธอพลิกตัวขึ้นนอนหงายแล้วจ้องมองไปยังเงาที่กำลังกลืนกินเข้ามาด้วยความสะพรึงกลัว เงาสายหนึ่งม้วนเข้ามาสัมผัสยังหางตาของเธอ
‘อา
กลิ่นอายของเจ้าช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน อยากลิ้มลองจริงๆ
’ เสียงเดิมครางแผ่วเบา ก่อนที่เงาอันไร้รูปร่างจะถาโถมเข้ามาดั่งคลื่นในทะเลซัดเข้าฝั่ง
เฮือก!
ร่างบางผุดลุกขึ้นจากฟูกนอนอย่างรวดเร็ว เพราะว่าไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าใครกำลังนั่งทับอยู่บนตัว หัวของทั้งสองคนจึงโขกกันอย่างแรง
โป๊ก!
“อูยยย! ทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะ!!!”
คนที่นั่งอยู่ด้านบนเมื่อถูกหัวอีกหัวปะทะเข้าอย่างแรงจนน้ำตาเล็ดก็ล้มตึงลงไปนอนโวยวายกับพื้นพลางใช้มือกุมหัวที่ปูดเป็นสีม่วงช้ำเหมือนมีลูกมะนาวลูกย่อมๆแปะอยู่บนหน้าผากด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่คนก่อเหตุยังนั่งมึนเป็นรูปปั้นหินอยู่
“เฮ้ย! ตายรึยังน่ะเจ้า” คนที่หัวปูดเป็นลุกมะนาวเอามือโบกไปมาตรงหน้าของเด็กสาวที่นั่งตัวแข็งเป็นท่อนไม้ประดับสวน ก่อนจะโดนฝ่ามืออรหันต์ฟาดเปรี้ยงเข้าที่แก้มอย่างแรงจนลงไปนอนดิ้นแด่วๆกับพื้นอีกรอบ
“เจ็บมั้ย?” คนก่อเรื่องก่อนถามเสียงเรียบ
“เจ็บ-ฉิบ-หาย”
แต่ละคำชายหนุ่มเค้นออกมาอย่างยากลำบาก แต่ก็สรุปผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างรวบรัด เขายันตัวขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วจ้องไปยังเด็กสาวที่ประทุษร้ายเขาด้วยสายตามาดร้าย
“อืมม์” อีกฝ่ายเพียงตอบรับกลับมาสั้นๆเท่านั้น
“เจ้า...เจ้ามันใจร้ายเกินไปแล้ว!”
“กฎหมายไม่ได้บอกซักหน่อยว่าฟาดปากชาวบ้านเบาๆเพราะหมั่นไส้แล้วติดคุก”
เบาๆเรอะ!!! เมื่อกี้พี่ท่านลงมือมาเต็มแรงเลยนี่หว่า
“ยัยเด็กขี้เซา!!! ถ้าไม่รีบลงมาอดแด็กนะเฟ้ย!!!”
ก่อนที่จะเกิดสงครามน้ำลายขึ้นในรอบเช้า เสียงห้าวของชายกลางคนก็ดังขึ้นมาจากข้างล่างเสียก่อน เด็กสาวเจ้าของชื่อ ชินยะ พลิกตลบผ้าห่มขึ้นแล้วไปจัดแจงล้างหน้าล้างตาแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนจะรีบลงไปข้างล่าง ก่อนออกไปไม่ลืมหันมามองผู้มาเยือนรอบเช้าด้วย
“ฝากเก็บที่นอนด้วยล่ะโฮคุ”
“ข้าไม่ได้เป็นเบ๊ประจำตัวเจ้านะยัยเด็กบ้า!!!”
ให้ตายสิ
ท่าทางโฮคุจะหัวเสียจริงๆ ขนาดเดินลงมาชั้นล่างแล้วยังได้ยินเสียงของหมอนั่นอยู่เลย ชินยะคิดในใจ
ชีวิตประจำวันในยามเช้าของเธอก็ยังเป็นเช่นทุกๆวัน มีเสียงเอะอะโวยวายชุดใหญ่ดังมาจากห้องรับประทานอาหารของบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับเหล่าลูกศิษย์ที่มาเก็บตัวฝึกหนักในโรงฝึกของสำนักแห่งนี้
บ้านที่เธอใช้ชีวิตตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเป็นโรงฝึกเคนโดของสำนักซากุระอิจิริว สำนักฝึกประจำเมืองที่เธออาศัยอยู่ เธอเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่จำความได้ ตามคำบอกเล่าของคุณอาสึคาวะ ผู้ดูแลโรงฝึกแห่งนี้ เธอถูกทิ้งเอาไว้ที่ศาลเจ้าตั้งแต่ยังเป็นทารก ท่านนักบวชไม่สามารถเลี้ยงดูเธอที่เป็นเด็กผู้หญิงได้จึงส่งให้คุณอาสึคาวะที่เป็นเพื่อนสนิทกันให้ช่วยดูแล ไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเธอเลยแม้แต่อย่างเดียว มีเพียงชื่อและนามสกุลเขียนเอาไว้บนกำไลเงินแกะสลักเท่านั้น
“เฮ้ยพวกเรา! เจ๊ชินยะมาแล้ว!”
พวกที่กำลังวิ่งไปรอบๆห้องเมื่อเห็นเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีทรายเดินเข้ามาก็รีบกุลีกุจอกันเข้านั่งที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยประหนึ่งกำลังอยู่ในชั่วโมงฝึกสอนมารยาท ถึงแม้ว่าจะขัดๆกับหน้าตาเถื่อนปานโจรป่าของแต่ละคนก็เหอะ
“อ้าว? วันนี้ตื่นสายจังเลยนะชินยะ” ชายกลางคนเจ้าของรอยแผลเป็นยาวตรงคางเอ่ยทักทายเสียงเนือย เด็กสาวเดินเข้ามานั่งยังที่ว่างด้านขวาของหัวโต๊ะซึ่งเป็นตำแหน่งของเจ้าบ้านอย่างอาสึคาวะ
“ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะอาสึคาวะซัง” ชินยะเอ่ยตอบแล้วพุ้ยข้าวเข้าปากกินอย่างเงียบๆ
“อา
ถ้าอย่างนั้นก็แย่น่ะสิ” ชายผู้มีรอยบากบนใบหน้าครางเบาๆ “ดันมาฝันเอาตอนที่จะย้ายบ้านเสียด้วย”
จากนั้นคือปรากฏการณ์พาเหรดล้มโต๊ะขบวนใหญ่ พวกหน้าเถื่อนที่แอบฟังการสนทนาอยู่ต่างลุกพรวดขึ้นมองเด็กสาวที่นั่งอยู่เกือบหัวโต๊ะด้วยความเหวอสุดขีด
“ว่าไงนะ! ย้ายบ้านงั้นเรอะ!!!” ทุกคนพ่นคำพูดออกมาพร้อมกัน
“ไม่ต้องแสดงออกมาชัดขนาดนั้นก็ได้ว่าฟังชาวบ้านเขาคุยกัน” ชินยะเอ่ยวาจาเชือดเฉือนอย่างเยือกเย็น ความหมายโดยตรงที่สื่อออกมาก็คือ รู้แล้วย่ะว่าแอบสอดเรื่องของชาวบ้านอยู่ ไม่ต้องแสดงให้เห็นก็ได้
“อ่า
ครับ” คนที่หน้าตาดูเป็นผู้เป็นคนมากที่ตอบเสียงอ่อย
“ว่าแต่จะไปไหนเหรอครับเจ๊~ บอกให้คาโอรุคนนี้รู้ได้มั้ยอ่า~” คนที่หน้าตาวอนอวัยวะเบื้องล่างมากที่สุดยื่นหน้าเข้ามาใกล้
พลั่ก!!!
จากนั้นก็ถูกสันมือมารสับเข้ากลางหน้าผากจนหงายหลังล้มตึงลงไปนอนชักแหง่กๆกับพื้นอย่างหมดรูปโทษฐานกล้าทำสายตาลวนลาม
“ฉันจะไปไหนก็เรื่องของฉัน แกไม่ต้องยุ่ง” เธอกล่าวเสียงเย็นแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องรับประทานอาหารรวมอย่างรวดเร็ว อาสึคาวะถอนหายใจยาวพลางส่ายหน้าช้าๆ
“จะเก๊กโกรธก็ให้มันเนียนกว่านี้หน่อยสิยัยเด็กซึนเดเระเอ๊ย”
แต่เขาก็ว่าออกไปตรงๆไม่ได้ เด็กคนนี้มีปมด้อยจนอยู่ในสังคมได้ยากมาตั้งแต่จำความได้แล้ว จะไปต่อว่าต่อขานให้เด็กบ้านั่นซึมลงไปกว่าเดิมก็ใช่ที่ ดีไม่ดีเสียวโดนดาบไม้คู่กายของเจ้าหล่อนฟาดซ้ำอีกต่างหาก เขาเป็นอาจารย์แท้ๆยังโดนลูกศิษย์ฟาดเสียตัวเขียวตัวลาย รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
ใครใช้ให้เด็กคนนั้นเกิดมาพร้อมกับดวงตาสีทองกันล่ะ
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะยอมรับความผิดปกติหรือความไม่สมบูรณ์ของสิ่งที่อยู่รอบข้าง เมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในสังคมของพวกเขา มนุษย์ก็ไม่ลังเลที่จะผลักไล่ไสส่งความผิดปกตินั้นออกไปทันที ถึงแม้ว่าส่วนที่แปลกปลอมนั้นจะมีสายเลือดเดียวกับตนเองก็ตาม
ใช่แล้ว
ตาทั้งสองข้างของเด็กคนนั้นเป็นสีทอง
เพราะมีดวงตาคู่นั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั่นล่ะถึงทำให้เด็กคนนั้นถูกพ่อแม่ทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี จากที่คุยกับนักบวชประจำศาลเจ้า ตอนที่เจอเด็กคนนั้นครั้งแรกแกก็เกือบจะได้ไปเฝ้าท่านเอ็นมะในปรภพเสียแล้วเพราะทนอากาศหนาวไม่ไหว เคราะห์ดีที่ไปพบก่อนจึงสามารถยื้อชีวิตน้อยๆนี้เอาไว้ได้ทันเวลา
เมื่อหลายวันก่อนมีคนมาติดต่อกับเขาเรื่องชินยะ ที่ว่าพวกเขาได้รับเลี้ยงดูเด็กผู้ชายคนหนึ่งมา และเด็กผู้ชายคนนั้นก็ใช้นามสกุล นัตสึเมะ เหมือนกันด้วย จึงจะขอชินยะไปเลี้ยงดูด้วยอีกคนเผื่อว่าเด็กทั้งสองจะเป็นพี่น้องกันจริงๆ
“อาสึคาวะเซ็นเซครับ
จะถือตะเกียบอีกนานมั้ยครับ”
เพล้ง!
ช่วงบ่าย หลังจากที่ทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวก็กลับมาเก็บข้าวของที่มีอยู่ไม่มากใส่กระเป๋าสัมภาระเพื่อเตรียมที่จะย้ายบ้าน ส่วนชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวนาม โฮคุ ที่ยังเคืองไม่หายกับคดีฟาดปากเมื่อเช้าก็นั่งจุมปุ๊กอยู่ไม่ห่าง ดวงตาสีเงินสว่างของเขาหรี่ลงอย่างไม่พอใจนัก ชินยะที่รู้การกระทำของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีถอนหายใจยาว
“จะงอนไปถึงไหนล่ะนั่น”
“ฮึ!” อีกฝ่ายสะบัดหน้าหนี
ขี้งอนอย่างกับยายแก่ไม่ผิด ชินยะแอบนินทาชายหนุ่มคนนี้ในใจอย่างอดไม่ได้
“ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังนินทาข้าอยู่” โฮคุเปรยขึ้น
“ก็ดี
เวลาด่านายฉันจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย”
“กร๊าซ!!! ข้าขอสาปแช่งเจ้า!!!”
“สาปเลย ถ้านายไม่กลัวคำสาปจะติดตัวเองด้วยน่ะนะ” นัยน์ตาสีทองสุกสกาวหรี่มองท้าทาย “ลืมไปแล้วเหรอว่านายกับฉันยังมีพันธะกันอยู่”
ชายหนุ่มถึงกับสะอึก เขาทำหน้าบูดก่อนที่จะขยับร่างกายท่อนล่างขึ้นพันเป็นขนดหลวมๆ เส้นผมสีขาวเหลือบเงินที่ยาวระลงมาประหน้าอกกว้างนั้นเมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์แล้วดูงดงามอย่างน่าประหลาด ใบหน้าของเขานั้นราวกับรวมความงดงามของสตรีและความหล่อเหลาของบุรุษเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ดูงดงามยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆในภพนี้ ดวงตาสีทองอร่ามที่ทอประกายสดใสกว่าดวงตาของเธอเล็กน้อยสามารถดึงดูดสายตาของคนมองให้ลุ่มหลงได้ไม่ยากเย็น หากกล่าวว่าถ้าได้สบตาสักครั้งแล้วคงไม่แคล้วตกอยู่ในห้วงมายาตลอดกาลคงจะไม่เกินจริงไป แม้แต่เธอที่อยู่ร่วมกับเขามานานหลายปีแล้วก็ยังอดมองเหม่อไม่ได้
สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าสายเลือดได้เชื่อมโยงทั้งเธอและเขาเอาไว้ด้วยกัน พวกเธอทั้งสองไม่สามารถขาดใครคนใดคนหนึ่งไปได้ ทั้งโชคชะตา พลังอำนาจและความรู้สึกทั้งหมดได้แบ่งปันถ่ายทอดซึ่งกันและกันราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน
“โฮคุ”
“หืมม์” ผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“ยัตสึฮาระ
ที่ที่เราจะไปน่ะเป็นยังไงเหรอ?”
เด็กสาวเอ่ยถามขณะทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้าสีรามด้านนอก สายลมที่พัดเข้ามากระทบกับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนราวกับเม็ดทรายให้ปลิวสยายน้อยๆ
“ข้าเองก็ไม่เคยไปที่นั่นเช่นกัน เพียงแต่มีคำล่าขานมากมายว่าที่นั่นเป็นดินแดนเก่าแก่ของเหล่าภูตผีปีศาจอย่างข้า น่าจะมี ’พวกเดียวกับข้า’ อาศัยอยู่มากเช่นกัน”
พวกเดียวกัน
ภูตผีอีกแล้วสินะ ชินยะคิดในใจ
ตั้งแต่เด็กๆแล้ว เธอมักจะมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณหรือภูตผีปีศาจต่างๆ เพราะว่ามีเธอเห็นเพียงคนเดียว เมื่อพูดเรื่องนี้ออกไปจึงถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดเสมอ ทำให้เธอไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว คงมีเพียงอาสึคาวะซังคนเดียวล่ะมั้งที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ
อาสึคาวะซังเองก็สามารถมองเห็นภูตผีได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเห็นเพียงภาพรางๆไม่ชัดเจนเท่ากับเธอก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังมีใครซักคนเข้าใจในสิ่งที่เธอเป็นอยู่ล่ะนะ
ใครซักคนที่เข้าใจในความโดดเดี่ยวแบบเดียวกับเธอ
รถไฟเที่ยวบ่ายของเมืองเริ่มออกตัว เด็กสาวชะโงกหน้าออกมาดูเหล่าคนในสำนักที่มาคอยส่งลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย พวกเด็กเกทั้งหลายที่เธอไม่คิดว่าเขาจะมาด้วยชูป้ายผ้าทำเองขึ้นโบกไปมาอย่างไม่อายต่อสายตาของคนทั้งสถานี
“มาหาพวกเราอีกให้ได้นะครับเจ๊!!!”
“หาของฝากมาด้วยนะคร้าบ!!!”
“โชคดีนะครับเจ๊!!!”
เสียงตะโกนของพวกเขาช่างห่างไกลออกไปเรื่อยๆเมื่อรถไฟเคลื่อนตัวห่างออกไปจากสถานี แต่กลับดังก้องอยู่ในหัวของเธอราวกับว่ามีใครจงใจกรอมันกลับมาเล่นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
น้ำตาที่ไม่เคยไหลออกมาแม้แต่ครั้งเดียวตลอดเวลาที่ผ่านมาเอ่อคลอขึ้นมา ความอบอุ่นที่เธอไม่เคยได้รับกำลังแทรกเข้าไปในหัวใจที่ปิดกั้นตัวเองจากคนอื่นมาโดยตลอดอย่างช้าๆ
นี่สินะ
ความหมายของคำว่า ครอบครัว
แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็สามารถสื่อถึงกันได้ แม้ว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันจะสั้นเพียงใด เธอก็ยังรับรู้ถึงความอบอุ่นนั้น
รถไฟขวบยาวแล่นผ่านทุ่งนาสีเขียวขจีและภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าพี่ชายฝาแฝดของเธอจะย้ายมาอยู่ในเมืองที่ค่อนข้างชนบทพอสมควร แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดี หากเธอเจออะไรแปลกๆก็มีแค่คนส่วนน้อยที่เห็น หลบซ่อนอาการแปลกๆของเราได้ง่ายกว่าอยู่ในเมืองใหญ่ๆเยอะ
‘นี่
เจ้ากำลังจะไปอยู่กับใครเหรอ’ เสียงทุ้มของโฮคุดังขึ้นในหัวเธอ
“ครอบครัวฟุจิวาระน่ะ” ชินยะตอบพร้อมกับหยิบหูฟังขึ้นเสียบไว้ที่หูเพื่อไม่ให้คนอื่นผิดสังเกตว่าเธอกำลังพูดอยู่คนเดียว “เห็นว่าครอบครัวนั้นรับอุปการะเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นามสกุลเหมือนกับฉัน พวกเขาก็เลยอยากรับฉันไปอีกคน”
‘ข้าสังหรณ์ใจว่าหากเจ้าไปอยู่ที่นั่นแล้วจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นพรวน’
“คิก” เด็กสาวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อได้ยินคำกล่าวปนเหน็บแนมของคู่หู มือซ้ายที่วางพาดอยู่บนห่อผ้าซึ่งซ่อนดาบไม้และดาบคาตานะของเธอเอาไว้กำเข้าหากันแน่น
“ก็ดีเหมือนกันนะ
ฉันจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้”
ชีวิตที่โดดเดี่ยว สิ่งที่มีแต่เธอเท่านั้นที่เห็น ยังไงก็ไม่อยากจะเจอแบบนั้นอีกแล้ว
อยากจะมี
ความสุขบ้าง
เธอหลับสนิทตลอดทั้งการเดินทาง จนกระทั่งโฮคุแหกปากปลุกเธอตอนที่รถไฟได้มาถึงที่หมายแล้ว เด็กสาวรีบสะพายกระเป๋าสัมภาระที่มีอยู่ไม่มากกับห่อดาบประจำตัวแล้ววิ่งลงก่อนที่จะรถไฟจะเคลื่อนตัวออก
“ฟู่ว! ทันเวลาพอดี”
“ขอโทษนะจ๊ะ”
ในขณะที่เด็กสาวกำลังยืนอยู่นั้นเอง หญิงกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา ด้านหลังของนางยังมีชายกลางคนกับเด็กหนุ่มอีกคนที่น่าจะวัยไล่เลี่ยกับเธอด้วย
“หนูใช่
เด็กที่คุณอาสึคาวะบอกรึเปล่าจ๊ะ”
“ค่ะ
คุณคงจะเป็น ฟุจิวาระซัง สินะคะ” ชินยะเอียงคอเล็กน้อย ใบหน้าของหญิงกลางคนเปล่งประกายสดใสขึ้นมาทันตา
“ดีจังเลยนะที่พวกเรามาทันเที่ยวรถไฟของหนูพอดี ฉันชื่อโทโกะจ้ะ ส่วนนี่สามีของฉัน คุณชิเงรุ แล้วนั่นก็
”
“ทาคาชิ
นัตสึเมะ ทาคาชิ ครับ” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
นัตสึเมะ! หมายความว่า
“พี่คะ!!!”
เด็กสาวกระโดดเข้ากอดพี่ชายที่ตามหามานานด้วยความดีใจ นัตสึเมะถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียวเมื่อเห็นเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกับคุณยายที่เห็นในความทรงจำเข้ามากอดเขาแน่น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น