คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ห้องสมุดแห่งอิกดราซิล
‘ข้าขอถามเจ้า เจ้าใช่มนุษย์หรือไม่?’
‘ไม่ ข้าคือโลก โลกในคนโท โลกที่ดำรงไปด้วยความรู้และปัญญาทั้งมวล’
ห้องสมุดของอิกเดรเซล คือนามของห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือทั้งหมด 990,056 เล่มบนโลกเอาไว้ ในจำนวนเก้าแสนกว่าเล่มนั้นไม่ได้มีเพียงแค่หนังสือธรรมดาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหนังสือต้องห้ามอีกด้วย ตำราแห่งเอบอน ตำราคนตายของชาวอียิปต์ หรือแม้แต่คัมภีร์โคเด็กซ์ จิกัส ที่ว่ากันว่าเป็นคัมภีร์ไบเบิ้ลของปีศาจ ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยที่ต้องการครอบครอง ‘กุญแจแห่งอิกเดรเซล’ ที่ใช้ในการเปิดประตูห้องสมุดเพื่อเข้าไปหาความรู้ต้องห้ามจากหนังสือในห้องสมุดนั้น
ที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ปู้น!!!!!!!!!
เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นยาวๆครั้งหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงเครื่องจักรเริ่มทำงาน รถไฟสีแดงสดขบวนยาวที่บรรทุกผู้โดยสารนับพันคนจึงค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามรางอย่างเชื่องช้า ดูราวกับหนอนตัวใหญ่ยักษ์สีสดกำลังเคลื่อนตัวผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวขจี
นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวไปอย่างเลื่อนลอย ในห้องโดยสารนี้มีเธอนั่งอยู่เพียงลำพัง ผู้โดยสารคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างชะโงกหน้ามองผู้อยู่ในห้องโดยสารนั้นอย่างสนใจใคร่รู้และเตรียมตัวจะขอมานั่งด้วย แต่เมื่อสังเกตเห็นดวงตาสีแดงทั้งคู่แล้วก็เปลี่ยนความสนใจไปทันที
“อีกแล้วเหรอ” เด็กสาวผู้นั่งอยู่ตามลำพังพึมพำกับตัวเองเสียงเบา แต่สีหน้าของเธอดูไม่เศร้าสลดกับความรู้สึกของผู้คนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
ก็เพราะถูกรังเกียจจากสังคมมานานแล้วถึงได้ชินชาไปเลยยังไงล่ะ
ดวงตาสีแดงประหลาดนี้ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิด ทุกคนที่มองเห็นดวงตาคู่นี้ต่างก็หวาดกลัวและขนานนามว่าเธอเป็น ปีศาจบ้าง แม่มดบ้างล่ะ แต่มันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวนะ เพราะดวงตาคู่นี้ล่ะที่ทำให้เธอไม่รู้สึกเหงาเวลาอยู่ตัวคนเดียว
‘คิกคิกคิก อยู่คนเดียวเหรอจ๊ะแม่หนูน้อย’
เสียงกระซิบแผ่วเบาที่มาพร้อมกับอากาศเย็นยะเยือกเรียกให้เด็กสาวละสายตาไปจากทิวทัศน์ด้านนอกมายังเบาะนั่งที่ในตอนนี้มันไม่ว่างเปล่าอีกต่อไปแล้ว
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของเธอ เพราะว่ากำลังก้มหน้าอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของหล่อนได้ แต่เธอก็สังเกตเห็นเรียวปากบางสีแดงสดใต้ม่านผมนั้นกำลังฉีกยิ้มแสยะอยู่ ชุดที่หล่อนใส่นั้นเป็นชุดนอนเปียกชุ่มราวกับเพิ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำก็ไม่ปาน ทั้งยังมีคราบเลือดสีเข้มติดอยู่ที่หน้าอกอีกด้วย คนทั่วไปคงจะกรีดร้องแล้วรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วแล้วถ้าหากเจอสิ่งนี้เข้า
แต่ไม่ใช่สำหรับจีเซลล่า แวนเฮล์ม คนนี้
“รีบๆไปเลยไป๊” เธอกล่าวเสียงเนือยอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันเกลียดอากาศเย็นแบบนี้รู้มั้ย”
ใบหน้าของวิญญาณเร่ร่อนที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ใต้ม่านผมนั้นดูจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยัยเด็กน้อยนี่มองเห็นนางด้วยงั้นหรือ!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งขึงไม่ยอมไปซักที ดวงตาสีแดงทับทิมก็ตวัดขึ้นมองด้วยแววตากรุ่นโกรธ “อย่าให้ฉันบอกอีกรอบ จะไปไหนก็ไปซะ”
ผีสาวไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป นางรีบสลายตัวเป็นหมอกควันลอยออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็วโดยทิ้งเสียงกรีดร้องแผ่วเบาเอาไว้ชุดใหญ่ คนที่อยู่ตู้โดยสารอื่นๆต่างชะโงกหน้าออกมาตามเสียงนั้นด้วยความงุนงงกันเป็นทิวแถว โดยที่คนก่อเรื่องนั้นกำลังนั่งกระดกน้ำหวานในกระติกพกพาอย่างไม่อนาทรทุกข์ร้อนใดๆทั้งสิ้น
บ้านเกิดของเธออยู่ในเมืองที่ค่อนข้างมีความเป็นชนบทพอสมควร เมืองที่เธออาศัยอยู่คือเมืองเอดินเบิร์ก เป็นเมืองที่สงบสุขมากๆ ตั้งอยู่ใจกลางภูเขาเขียวขจี ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวของต้นไม้ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากรู้ต้นเหตุที่ทำให้พ่อต้องออกมาจากตระกูลล่ะก็ เธอก็คงไม่ออกมาที่เมืองหลวงนี่แน่นอน
มือบางยกขึ้นกุมกุญแจสีเงินในกระเป๋าเสื้อที่ได้รับมาพร้อมกับจดหมายเรียนเชิญอย่างเลื่อนลอย เธอกำมันแน่นจนรู้สึกได้ถึงความเย็นบนผิวโลหะเรียบๆได้ ใจเย็นไว้สิจีเซล ไม่สงบนิ่งแบบนี้ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ
//ผู้โดยสารที่ต้องการจะลงสถานีลอนดอนโปรดทราบ อีกสิบนาทีรถไฟจะทำการเทียบชานชลา ขอให้ท่านผู้โดยสารตรวจสอบสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนลง ผู้โดยสาร
//
จีเซลลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงประกาศตามสายของพนักงานบนรถไฟ เธอจัดการรวบเส้นผมสีเงินให้เป็นหางม้าด้วยริบบิ้นผูกผมที่นำติดตัวมาด้วยแล้วจึงหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนชั้นวางสัมภาระลงมา ของที่มีมีเพียงแค่หมวกกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กอีกใบหนึ่งเท่านั้น อ้อ! แล้วยังมีห่อผ้าผอมๆยาวๆอีกห่อหนึ่งด้วย เพราะว่านอกจากของพวกนี้แล้วที่บ้านของเธอก็ไม่มีอะไรอยู่เลย มรดกที่พ่อกับแม่ทิ้งเอาไว้ก็ถูกนำไปขายเพื่อชดใช้หนี้สินและเป็นค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนหมดแล้ว เงินทุกเพนนีล้วนมีค่าสำหรับคนที่ต้องหาเช้ากินค่ำอย่างเธอ ดังนั้นของที่เธอเห็นว่าไร้ประโยชน์จะถูกนำไปขายเป็นเงินมาใช้จ่ายทั้งหมด
“ขอโทษนะครับคุณสุภาพสตรีน้อย คุณคือจีเซลล่า แวนเฮล์ม รึเปล่าครับ”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นข้างกายหยุดความคิดของเด็กสาวไปชั่วขณะ เมื่อหันกลับไปก็พบกับชายวัยกลางคนในชุดสูทราคาแพงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ดูจากท่าทางการยืนที่น่าจะผ่านการอบรมมารยาทมาอย่างดีแล้ว เขาน่าจะอยู่ในตระกูลขุนนางหรือไม่ก็เป็นตระกูลผู้ดีพอสมควรเลยทีเดียว
“ค่ะ” จีเซลตอบสั้นๆ ในขณะที่รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตามอายุของเขา
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณหนูจีเซล ผมชื่อ ทอม บาเรนส์ เป็นทนายความส่วนตัวของคุณท่านซึ่งเป็นคุณปู่ของคุณหนูน่ะครับ”
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เอาแล้ว ไอ้คำว่า คุณหนูๆนี่ชอบดึงดูดมาหาเธอกันจัง คราวก่อนที่มีคนเรียกเธอว่าคุณหนูก็โดนไล่ฆ่าซะเกือบตาย ไม่ใช่ว่าคราวนี้จะมีเรื่องอะไรอีกนะ
มือที่เกาะกุมสายสะพายห่อผ้าเอาไว้เอาไว้เผลอกำเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ลางสังหรณ์ในคราวนี้เธอว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ
“ค่ะ แล้วดิฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณปู่ยังไงคะ ในเมื่อพ่อกับแม่ของดิฉันถูกตัดขาดออกจากตระกูลตั้งนานแล้ว” เด็กสาวเอ่ยถามทนายคนนั้นเสียงเรียบ
ใช่ พ่อของเธอเป็นทายาทเศรษฐีมาก่อน แต่ด้วยเหตุอะไรไม่รู้ที่ทำให้เขาต้องถูกตัดออกจากกองมรดก รู้สึกว่าจะออกมาก่อนจะแต่งงานกับแม่ของเธอเสียอีก แล้วพ่อก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวกับตระกูลให้ฟังอีกเลย ไม่ปริปากบอกใดๆทั้งสิ้นจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ความสัมพันธ์นั้นถูกปิดเป็นความลับมาโดยตลอด และก็ได้หายไปพร้อมกับความตายของเขาในคืนนั้น
นัยน์ตาสีเทาของชายวัยกลางคนเปล่งประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มบางจะผุดขึ้นมาบนใบหน้า ท่าทางว่าคุณท่านจะได้หลานสาวสุดแก่นแก้วมาอีกคนซะแล้ว ดวงตาสีแดงเข้มคู่นั้นแข็งกร้าวไม่เบาเลย
“เอาเป็นว่าผมจะเล่าให้ฟังระหว่างเดินทางก็แล้วกันครับคุณหนู” ทอมกล่าวขณะรับกระเป๋าเดินทางของเด็กสาวมาถือไว้ จากนั้นทั้งคู่จึงเดินออกไปจากชานชลาด้วยกัน
ระหว่างที่ขับรถไปตามถนน ทนายบาเรนส์ไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของครอบครัวเธอตามที่สัญญาเอาไว้
“คุณพ่อของคุณหนูเป็นลูกชายคนรองของคุณท่าน ตระกูลอิกเดรซิลของคุณท่านนั้นเป็นตระกูลที่ทำการค้าขายและการทำธุรกิจ ถึงแม้จะเป็นสมาชิกในตระกูลเศรษฐี แต่สำหรับตัวคุณท่านเองก็ถือว่าเป็นคนที่แปลกแยกเอาเรื่องเหมือนกันครับ เพราะท่านรักการสะสมหนังสือมาก เลยทำให้คุณท่านเป็นคนที่ค่อนข้างรักสันโดษพอสมควร
ส่วนเรื่องคุณพ่อของคุณหนู ผมเองก็ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงหรอกครับ เพราะว่าคุณท่านไม่ยอมเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเลยหลังจากที่นายน้อยคาลอสออกจากบ้านไป”
จีเซลเผลอยิ้มออกมาอย่างขมขื่นชั่วครู่หนึ่ง กะจะถามนายคนนี้ให้รู้เรื่องซะหน่อย คุณปู่นี่ปิดความลับเก่งเป็นบ้าเลยแฮะ ไอ้เรื่องอุบเงียบไม่บอกใครจนตายนี่เหมือนพ่อเราเด๊ะ ไม่ต้องพิสูจน์ก็รู้ได้ว่าสองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน
“จริงสิครับ” ทอมหันมาหาเธอเหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ “เสียใจด้วยครับเรื่องคุณพ่อคุณแม่ของคุณหนู”
“มันนานแล้ว อย่าไปนึกถึงมันอีกเลยค่ะคุณทอม อดีตก็คืออดีต ไม่มีประโยชน์หรอกถ้าจะนึกถึงแต่มันโดยไม่สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า” จีเซลตัดบทเสียงเรียบ
“แต่อดีตก็เป็นบทสอนเราเหมือนกันนะครับคุณหนู” ทอมแย้งขึ้นมาทั้งรอยยิ้ม เด็กสาวมองแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ นั่นสินะ
อดีตคือบทสอน ตราบใดที่มนุษย์ยังมีหัวคิดอยู่ พวกเขาก็ควรที่จะมองถึงความผิดพลาดในอดีตแล้วความผิดพลาดนั้นมาแก้ไขในปัจจุบันเพื่อให้อนาคตดำเนินต่อไป แต่ถ้าทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้วล่ะ
จากทิวทัศน์ที่เคยเป็นเมืองอันครึกครื้นไปด้วยผู้คนค่อยๆถูกแทนที่ด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ถัดจากทุ่งหญ้าก็ค่อยๆเข้าสู่เขตป่าครึ้มที่ให้ความรู้สึกเย็นเยือกอย่างน่าประหลาด ท่าทางข่าวที่ว่าคุณปู่ชอบความสันโดษจะเป็นความจริงซะแล้วสิ
เมื่อพ้นเขตป่าออกมา เขตพื้นที่อันกว้างขวางของคฤหาสน์ก็ปรากฏแก่สายตาของคนทั้งคู่ รั้วสีเงินสูงโดดเด่นตัดกับผืนป่าสีเข้มโดยรอบอย่างสิ้นเชิง มันเรียงตัวรอบอาณาเขตนับร้อยเอเคอร์รอบๆของสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ แบ่งเขตระหว่างผืนหญ้ากับป่าสูงโดยรอบอย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวที่มารับฟังการอ่านพินัยกรรมของเศรษฐีผู้จากไปอย่าง มาคาร์ล อิกเดรซิล บริเวณสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ยังมีรถและรถม้าหลายคันจอดรออยู่ ผู้ที่มากับรถเหล่านั้นต่างเป็นคนดังในสังคมชั้นสูงที่ต่างเคยผ่านตาเธอมาแล้วทั้งนั้น
ชายหนุ่มผมทองเจ้าของดวงตาสีฟ้าสดใสที่ยืนอยู่กับหญิงกลางคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกัน บ่งบอกความเป็นแม่เป็นลูกได้เป็นอย่างดี ท่านลอร์ดวอร์ริค อิกเดรซิล กับท่านหญิงวาเลนเซีย อิกเดรซิล สองท่านนี้เป็นคนที่ควบคุมธุรกิจถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของอิกเดรซิลคอมปานี เรียกได้ว่าคือมันสมองของตระกูลเลยก็ว่าได้
นั่นไง คนที่ยืนคุยกันอยู่ตรงรถม้าสามคนนั้น หญิงสาวหน้าตาสะสวยเจ้าของเรือนผมสีดำขลับและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่สวยประมาณล่มบ้านล่มเมืองได้ อลิเชีย อิกเดรซิล นักร้องโอเปร่าของโรงละครอันดับหนึ่งของเมือง คนถัดมาคือหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาดูเหมือนหญิงสาวแรกรุ่นผู้มีรอยยิ้มใจดีอยู่บนใบหน้า คือ ศาสตราจารย์อันเก่งกาจของวงการแพทย์ ท่านหญิงสเวน่า อิกเดรซิล และคนสุดท้าย ชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาที่ท่าทางน่าเกรงขามคนนั้น ดยุคทาเมริค อิกเดรซิล ประธานของบริษัทบลูลีฟว์ บริษัทที่กุมหุ้นส่วนใหญ่ของวงการเดินเรือสมุทรเอาไว้
และคนสุดท้ายที่ไม่เข้าพวกกับใครทั้งสิ้น ลีโอลา อิกเดรซิล เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีซึ่งดูจะเป็นรุ่นเดียวกับเธอ เส้นผมสีเทาหมอกยาวระบ่า ผมปอยหนึ่งของเขาผูกมัดเอาไว้ด้วยสร้อยเงินร้อยอัญมณีสีเขียวสดคล้ายกับดวงตาเจ้าตัว แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ความอ่อนเยาว์ของเขา ชายหนุ่มคนนี้คือเจ้าของบริษัทผลิตของเล่นเด็กที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร
มันน่าดีใจไหมเนี่ย เกิดมาเพิ่งรู้ตัวว่ามีญาติห่างๆเป็นคนรวยเยอะขนาดนี้ รู้สึกว่าตัวเองเป็นรากหญ้าสามัญชนอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็ตอนนี้ล่ะ
“ขออภัยที่ให้รอนานนะครับทุกท่าน แขกคนสุดท้ายมาถึงแล้วครับ”
ทอมเป็นผู้เดินเข้าไปสลายการสนทนาของเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลาย บรรยากาศที่เคยผ่อนคลายกลับเคร่งเครียดขึ้นเมื่อเธอเดินตามหลังทนายประจำตระกูลเข้ามาในวงสนทนา ปฏิกิริยาแรกที่เธอได้รับคือสายตาหวาดเกรงทันทีที่เห็นดวงตาสีแดงประหลาดของเธอ
เฮ้อ
เอาอีกแล้วสินะ กะแล้วว่ายังไงก็ต้องหนีไม่พ้น
“อ้าว! หนูเองก็ได้รับจดหมายเชิญเหมือนกันเหรอจ๊ะ ฉัน สเวน่า เรียกว่า ป้าสเวน ก็ได้นะจ๊ะ”
คนแรกที่เข้ามาทักทายเธอก็คือ หญิงวัยกลางคนเจ้าของเรือนผมสีฟางข้าวหรือแพทย์หญิงผู้เก่งกาจคนนั้นนั่นเอง รอยยิ้มสดใสของนางทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด เธอรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ปลอมแปลง แต่เป็นความรู้สึกที่แท้จริง
จีเซลโค้งคำนับพลางระบายรอยยิ้มบางให้หญิงกลางคนคนนั้นตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณป้าสเวน่า หนูชื่อ จีเซล ค่ะ จีเซลล่า แวนเฮล์ม”
สีหน้าของหลายๆคนในที่นั้นเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินนามสกุลของเธอ หญิงกลางคนที่ยืนอยู่กับชายหนุ่มผมทองหน้าตายคนนั้นถึงกับแสยะยิ้มเหยียด
“ยังเหลืออยู่อีกเหรอ นึกว่าครอบครัวของไอ้คนนอกคอกคาลอสจะตายในกองไฟไปแล้วซะอีก”
“พี่วาเลน!!! พูดอย่างนั้นไม่ได้นะคะ” สเวน่าร้องขึ้นมาขณะเอาตัวเองเข้าบังหลานสาวเอาไว้อย่างปกป้อง “ถึงจะออกจากบ้านไปแล้วพี่คาลอสก็ยังเป็นน้องชายของพี่อยู่นะคะ!”
การเกลี้ยกล่อมนั้นไม่เพียงไม่ได้ผลเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนการราดน้ำมันเข้ากองไฟ ยุให้วาเลนเซียยิ่งโกรธจัดขึ้นมากกว่าเดิมเท่านั้น หญิงกลางคนถลึงตามองน้องสาวร่วมสายเลือดอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ใครใช้ให้เธอมายุ่งกันสเวน่า นี่มันเรื่องระหว่างฉันกับลูกสาวคาลอสนะ!”
“คาลอสเป็นพี่ชายของฉันเหมือนกันค่ะ! คาลอสเป็นพ่อของจีเซล ดังนั้นเด็กคนนี้ก็คือหลานของฉันด้วย ฉันไม่ยอมให้พี่ทำอะไรกับครอบครัวของคาลอสหรอก!” แพทย์หญิงทุ่มเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ เธอเคยเสียพี่ชายที่แสนดีกับน้องสะใภ้คนนั้นไปครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้เธอจะต้องปกป้องหลานสาวที่เป็นลูกของพี่ชายเอาไว้ให้ได้
“อ่า
ทุกๆท่านครับ”
เสียงเรียกเบาๆเหมือนกับจะเกร็งนิดๆของทอมดังขึ้น ทุกคนจึงหันไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียงจนเจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง วาเลนเซียสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์แล้วจึงเดินเข้าไปหาลูกชายที่เป็นรูปปั้นน้ำแข็งของหล่อน
“ประตูบ้านเปิดแล้วล่ะครับ”
ความคิดเห็น