ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลังเก็บนิยายตามใจฉัน

    ลำดับตอนที่ #15 : ห้องสมุดแห่งอิกดราซิล

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 55





    ข้าขอถามเจ้า   เจ้าใช่มนุษย์หรือไม่?

    ไม่ ข้าคือโลก โลกในคนโท   โลกที่ดำรงไปด้วยความรู้และปัญญาทั้งมวล

    ห้องสมุดของอิกเดรเซล   คือนามของห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือทั้งหมด 990,056 เล่มบนโลกเอาไว้   ในจำนวนเก้าแสนกว่าเล่มนั้นไม่ได้มีเพียงแค่หนังสือธรรมดาเท่านั้น   แต่ยังรวมไปถึงหนังสือต้องห้ามอีกด้วย ตำราแห่งเอบอน ตำราคนตายของชาวอียิปต์ หรือแม้แต่คัมภีร์โคเด็กซ์ จิกัส ที่ว่ากันว่าเป็นคัมภีร์ไบเบิ้ลของปีศาจ   ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยที่ต้องการครอบครอง กุญแจแห่งอิกเดรเซลที่ใช้ในการเปิดประตูห้องสมุดเพื่อเข้าไปหาความรู้ต้องห้ามจากหนังสือในห้องสมุดนั้น

    ที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด



     

    ปู้น!!!!!!!!!

    เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นยาวๆครั้งหนึ่ง   ตามมาด้วยเสียงเครื่องจักรเริ่มทำงาน   รถไฟสีแดงสดขบวนยาวที่บรรทุกผู้โดยสารนับพันคนจึงค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามรางอย่างเชื่องช้า   ดูราวกับหนอนตัวใหญ่ยักษ์สีสดกำลังเคลื่อนตัวผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวขจี

    นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวไปอย่างเลื่อนลอย   ในห้องโดยสารนี้มีเธอนั่งอยู่เพียงลำพัง   ผู้โดยสารคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างชะโงกหน้ามองผู้อยู่ในห้องโดยสารนั้นอย่างสนใจใคร่รู้และเตรียมตัวจะขอมานั่งด้วย   แต่เมื่อสังเกตเห็นดวงตาสีแดงทั้งคู่แล้วก็เปลี่ยนความสนใจไปทันที

    “อีกแล้วเหรอ” เด็กสาวผู้นั่งอยู่ตามลำพังพึมพำกับตัวเองเสียงเบา   แต่สีหน้าของเธอดูไม่เศร้าสลดกับความรู้สึกของผู้คนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

    ก็เพราะถูกรังเกียจจากสังคมมานานแล้วถึงได้ชินชาไปเลยยังไงล่ะ

    ดวงตาสีแดงประหลาดนี้ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิด   ทุกคนที่มองเห็นดวงตาคู่นี้ต่างก็หวาดกลัวและขนานนามว่าเธอเป็น ปีศาจบ้าง  แม่มดบ้างล่ะ   แต่มันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวนะ  เพราะดวงตาคู่นี้ล่ะที่ทำให้เธอไม่รู้สึกเหงาเวลาอยู่ตัวคนเดียว

    คิกคิกคิก อยู่คนเดียวเหรอจ๊ะแม่หนูน้อย

    เสียงกระซิบแผ่วเบาที่มาพร้อมกับอากาศเย็นยะเยือกเรียกให้เด็กสาวละสายตาไปจากทิวทัศน์ด้านนอกมายังเบาะนั่งที่ในตอนนี้มันไม่ว่างเปล่าอีกต่อไปแล้ว

    หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของเธอ   เพราะว่ากำลังก้มหน้าอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของหล่อนได้   แต่เธอก็สังเกตเห็นเรียวปากบางสีแดงสดใต้ม่านผมนั้นกำลังฉีกยิ้มแสยะอยู่   ชุดที่หล่อนใส่นั้นเป็นชุดนอนเปียกชุ่มราวกับเพิ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำก็ไม่ปาน  ทั้งยังมีคราบเลือดสีเข้มติดอยู่ที่หน้าอกอีกด้วย   คนทั่วไปคงจะกรีดร้องแล้วรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วแล้วถ้าหากเจอสิ่งนี้เข้า

    แต่ไม่ใช่สำหรับจีเซลล่า แวนเฮล์ม คนนี้

    “รีบๆไปเลยไป๊” เธอกล่าวเสียงเนือยอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันเกลียดอากาศเย็นแบบนี้รู้มั้ย”

    ใบหน้าของวิญญาณเร่ร่อนที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ใต้ม่านผมนั้นดูจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย   ยัยเด็กน้อยนี่มองเห็นนางด้วยงั้นหรือ!

    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งขึงไม่ยอมไปซักที  ดวงตาสีแดงทับทิมก็ตวัดขึ้นมองด้วยแววตากรุ่นโกรธ “อย่าให้ฉันบอกอีกรอบ   จะไปไหนก็ไปซะ”

    ผีสาวไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป   นางรีบสลายตัวเป็นหมอกควันลอยออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็วโดยทิ้งเสียงกรีดร้องแผ่วเบาเอาไว้ชุดใหญ่   คนที่อยู่ตู้โดยสารอื่นๆต่างชะโงกหน้าออกมาตามเสียงนั้นด้วยความงุนงงกันเป็นทิวแถว   โดยที่คนก่อเรื่องนั้นกำลังนั่งกระดกน้ำหวานในกระติกพกพาอย่างไม่อนาทรทุกข์ร้อนใดๆทั้งสิ้น

    บ้านเกิดของเธออยู่ในเมืองที่ค่อนข้างมีความเป็นชนบทพอสมควร  เมืองที่เธออาศัยอยู่คือเมืองเอดินเบิร์ก เป็นเมืองที่สงบสุขมากๆ  ตั้งอยู่ใจกลางภูเขาเขียวขจี   ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวของต้นไม้  ถ้าไม่ใช่เพราะอยากรู้ต้นเหตุที่ทำให้พ่อต้องออกมาจากตระกูลล่ะก็   เธอก็คงไม่ออกมาที่เมืองหลวงนี่แน่นอน

    มือบางยกขึ้นกุมกุญแจสีเงินในกระเป๋าเสื้อที่ได้รับมาพร้อมกับจดหมายเรียนเชิญอย่างเลื่อนลอย   เธอกำมันแน่นจนรู้สึกได้ถึงความเย็นบนผิวโลหะเรียบๆได้   ใจเย็นไว้สิจีเซล   ไม่สงบนิ่งแบบนี้ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ

    //ผู้โดยสารที่ต้องการจะลงสถานีลอนดอนโปรดทราบ  อีกสิบนาทีรถไฟจะทำการเทียบชานชลา  ขอให้ท่านผู้โดยสารตรวจสอบสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนลง  ผู้โดยสาร//

    จีเซลลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงประกาศตามสายของพนักงานบนรถไฟ   เธอจัดการรวบเส้นผมสีเงินให้เป็นหางม้าด้วยริบบิ้นผูกผมที่นำติดตัวมาด้วยแล้วจึงหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนชั้นวางสัมภาระลงมา  ของที่มีมีเพียงแค่หมวกกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กอีกใบหนึ่งเท่านั้น  อ้อ! แล้วยังมีห่อผ้าผอมๆยาวๆอีกห่อหนึ่งด้วย   เพราะว่านอกจากของพวกนี้แล้วที่บ้านของเธอก็ไม่มีอะไรอยู่เลย   มรดกที่พ่อกับแม่ทิ้งเอาไว้ก็ถูกนำไปขายเพื่อชดใช้หนี้สินและเป็นค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนหมดแล้ว   เงินทุกเพนนีล้วนมีค่าสำหรับคนที่ต้องหาเช้ากินค่ำอย่างเธอ   ดังนั้นของที่เธอเห็นว่าไร้ประโยชน์จะถูกนำไปขายเป็นเงินมาใช้จ่ายทั้งหมด

    “ขอโทษนะครับคุณสุภาพสตรีน้อย   คุณคือจีเซลล่า แวนเฮล์ม รึเปล่าครับ”

    เสียงเรียกที่ดังขึ้นข้างกายหยุดความคิดของเด็กสาวไปชั่วขณะ   เมื่อหันกลับไปก็พบกับชายวัยกลางคนในชุดสูทราคาแพงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้น   ดูจากท่าทางการยืนที่น่าจะผ่านการอบรมมารยาทมาอย่างดีแล้ว   เขาน่าจะอยู่ในตระกูลขุนนางหรือไม่ก็เป็นตระกูลผู้ดีพอสมควรเลยทีเดียว

    “ค่ะ” จีเซลตอบสั้นๆ  ในขณะที่รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตามอายุของเขา

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณหนูจีเซล   ผมชื่อ ทอม บาเรนส์  เป็นทนายความส่วนตัวของคุณท่านซึ่งเป็นคุณปู่ของคุณหนูน่ะครับ”

    คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว  เอาแล้ว  ไอ้คำว่า คุณหนูๆนี่ชอบดึงดูดมาหาเธอกันจัง   คราวก่อนที่มีคนเรียกเธอว่าคุณหนูก็โดนไล่ฆ่าซะเกือบตาย   ไม่ใช่ว่าคราวนี้จะมีเรื่องอะไรอีกนะ

    มือที่เกาะกุมสายสะพายห่อผ้าเอาไว้เอาไว้เผลอกำเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว  ลางสังหรณ์ในคราวนี้เธอว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ

    “ค่ะ  แล้วดิฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณปู่ยังไงคะ   ในเมื่อพ่อกับแม่ของดิฉันถูกตัดขาดออกจากตระกูลตั้งนานแล้ว” เด็กสาวเอ่ยถามทนายคนนั้นเสียงเรียบ

    ใช่  พ่อของเธอเป็นทายาทเศรษฐีมาก่อน   แต่ด้วยเหตุอะไรไม่รู้ที่ทำให้เขาต้องถูกตัดออกจากกองมรดก   รู้สึกว่าจะออกมาก่อนจะแต่งงานกับแม่ของเธอเสียอีก   แล้วพ่อก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวกับตระกูลให้ฟังอีกเลย  ไม่ปริปากบอกใดๆทั้งสิ้นจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต   ความสัมพันธ์นั้นถูกปิดเป็นความลับมาโดยตลอด  และก็ได้หายไปพร้อมกับความตายของเขาในคืนนั้น

    นัยน์ตาสีเทาของชายวัยกลางคนเปล่งประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง   ก่อนที่รอยยิ้มบางจะผุดขึ้นมาบนใบหน้า   ท่าทางว่าคุณท่านจะได้หลานสาวสุดแก่นแก้วมาอีกคนซะแล้ว   ดวงตาสีแดงเข้มคู่นั้นแข็งกร้าวไม่เบาเลย

    “เอาเป็นว่าผมจะเล่าให้ฟังระหว่างเดินทางก็แล้วกันครับคุณหนู” ทอมกล่าวขณะรับกระเป๋าเดินทางของเด็กสาวมาถือไว้   จากนั้นทั้งคู่จึงเดินออกไปจากชานชลาด้วยกัน

    ระหว่างที่ขับรถไปตามถนน  ทนายบาเรนส์ไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของครอบครัวเธอตามที่สัญญาเอาไว้

    “คุณพ่อของคุณหนูเป็นลูกชายคนรองของคุณท่าน   ตระกูลอิกเดรซิลของคุณท่านนั้นเป็นตระกูลที่ทำการค้าขายและการทำธุรกิจ   ถึงแม้จะเป็นสมาชิกในตระกูลเศรษฐี  แต่สำหรับตัวคุณท่านเองก็ถือว่าเป็นคนที่แปลกแยกเอาเรื่องเหมือนกันครับ   เพราะท่านรักการสะสมหนังสือมาก   เลยทำให้คุณท่านเป็นคนที่ค่อนข้างรักสันโดษพอสมควร

    ส่วนเรื่องคุณพ่อของคุณหนู  ผมเองก็ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงหรอกครับ  เพราะว่าคุณท่านไม่ยอมเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเลยหลังจากที่นายน้อยคาลอสออกจากบ้านไป”

    จีเซลเผลอยิ้มออกมาอย่างขมขื่นชั่วครู่หนึ่ง   กะจะถามนายคนนี้ให้รู้เรื่องซะหน่อย   คุณปู่นี่ปิดความลับเก่งเป็นบ้าเลยแฮะ   ไอ้เรื่องอุบเงียบไม่บอกใครจนตายนี่เหมือนพ่อเราเด๊ะ   ไม่ต้องพิสูจน์ก็รู้ได้ว่าสองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน

    “จริงสิครับ” ทอมหันมาหาเธอเหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ “เสียใจด้วยครับเรื่องคุณพ่อคุณแม่ของคุณหนู”

    “มันนานแล้ว   อย่าไปนึกถึงมันอีกเลยค่ะคุณทอม  อดีตก็คืออดีต  ไม่มีประโยชน์หรอกถ้าจะนึกถึงแต่มันโดยไม่สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า” จีเซลตัดบทเสียงเรียบ

    “แต่อดีตก็เป็นบทสอนเราเหมือนกันนะครับคุณหนู” ทอมแย้งขึ้นมาทั้งรอยยิ้ม    เด็กสาวมองแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ     นั่นสินะอดีตคือบทสอน    ตราบใดที่มนุษย์ยังมีหัวคิดอยู่    พวกเขาก็ควรที่จะมองถึงความผิดพลาดในอดีตแล้วความผิดพลาดนั้นมาแก้ไขในปัจจุบันเพื่อให้อนาคตดำเนินต่อไป   แต่ถ้าทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้วล่ะ

    จากทิวทัศน์ที่เคยเป็นเมืองอันครึกครื้นไปด้วยผู้คนค่อยๆถูกแทนที่ด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวขจี    ถัดจากทุ่งหญ้าก็ค่อยๆเข้าสู่เขตป่าครึ้มที่ให้ความรู้สึกเย็นเยือกอย่างน่าประหลาด    ท่าทางข่าวที่ว่าคุณปู่ชอบความสันโดษจะเป็นความจริงซะแล้วสิ

    เมื่อพ้นเขตป่าออกมา   เขตพื้นที่อันกว้างขวางของคฤหาสน์ก็ปรากฏแก่สายตาของคนทั้งคู่    รั้วสีเงินสูงโดดเด่นตัดกับผืนป่าสีเข้มโดยรอบอย่างสิ้นเชิง    มันเรียงตัวรอบอาณาเขตนับร้อยเอเคอร์รอบๆของสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่   แบ่งเขตระหว่างผืนหญ้ากับป่าสูงโดยรอบอย่างชัดเจน

    เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวที่มารับฟังการอ่านพินัยกรรมของเศรษฐีผู้จากไปอย่าง  มาคาร์ล  อิกเดรซิล    บริเวณสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ยังมีรถและรถม้าหลายคันจอดรออยู่   ผู้ที่มากับรถเหล่านั้นต่างเป็นคนดังในสังคมชั้นสูงที่ต่างเคยผ่านตาเธอมาแล้วทั้งนั้น

    ชายหนุ่มผมทองเจ้าของดวงตาสีฟ้าสดใสที่ยืนอยู่กับหญิงกลางคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกัน  บ่งบอกความเป็นแม่เป็นลูกได้เป็นอย่างดี   ท่านลอร์ดวอร์ริค  อิกเดรซิล  กับท่านหญิงวาเลนเซีย อิกเดรซิล  สองท่านนี้เป็นคนที่ควบคุมธุรกิจถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของอิกเดรซิลคอมปานี   เรียกได้ว่าคือมันสมองของตระกูลเลยก็ว่าได้

    นั่นไง  คนที่ยืนคุยกันอยู่ตรงรถม้าสามคนนั้น    หญิงสาวหน้าตาสะสวยเจ้าของเรือนผมสีดำขลับและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่สวยประมาณล่มบ้านล่มเมืองได้  อลิเชีย อิกเดรซิล   นักร้องโอเปร่าของโรงละครอันดับหนึ่งของเมือง    คนถัดมาคือหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาดูเหมือนหญิงสาวแรกรุ่นผู้มีรอยยิ้มใจดีอยู่บนใบหน้า  คือ ศาสตราจารย์อันเก่งกาจของวงการแพทย์  ท่านหญิงสเวน่า อิกเดรซิล    และคนสุดท้าย  ชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาที่ท่าทางน่าเกรงขามคนนั้น  ดยุคทาเมริค อิกเดรซิล ประธานของบริษัทบลูลีฟว์    บริษัทที่กุมหุ้นส่วนใหญ่ของวงการเดินเรือสมุทรเอาไว้

    และคนสุดท้ายที่ไม่เข้าพวกกับใครทั้งสิ้น  ลีโอลา อิกเดรซิล  เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีซึ่งดูจะเป็นรุ่นเดียวกับเธอ  เส้นผมสีเทาหมอกยาวระบ่า  ผมปอยหนึ่งของเขาผูกมัดเอาไว้ด้วยสร้อยเงินร้อยอัญมณีสีเขียวสดคล้ายกับดวงตาเจ้าตัว  แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ความอ่อนเยาว์ของเขา  ชายหนุ่มคนนี้คือเจ้าของบริษัทผลิตของเล่นเด็กที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร

    มันน่าดีใจไหมเนี่ย  เกิดมาเพิ่งรู้ตัวว่ามีญาติห่างๆเป็นคนรวยเยอะขนาดนี้   รู้สึกว่าตัวเองเป็นรากหญ้าสามัญชนอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็ตอนนี้ล่ะ

    “ขออภัยที่ให้รอนานนะครับทุกท่าน  แขกคนสุดท้ายมาถึงแล้วครับ”

    ทอมเป็นผู้เดินเข้าไปสลายการสนทนาของเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลาย   บรรยากาศที่เคยผ่อนคลายกลับเคร่งเครียดขึ้นเมื่อเธอเดินตามหลังทนายประจำตระกูลเข้ามาในวงสนทนา  ปฏิกิริยาแรกที่เธอได้รับคือสายตาหวาดเกรงทันทีที่เห็นดวงตาสีแดงประหลาดของเธอ

    เฮ้อเอาอีกแล้วสินะ   กะแล้วว่ายังไงก็ต้องหนีไม่พ้น

    “อ้าว! หนูเองก็ได้รับจดหมายเชิญเหมือนกันเหรอจ๊ะ  ฉัน สเวน่า  เรียกว่า ป้าสเวน ก็ได้นะจ๊ะ”

    คนแรกที่เข้ามาทักทายเธอก็คือ หญิงวัยกลางคนเจ้าของเรือนผมสีฟางข้าวหรือแพทย์หญิงผู้เก่งกาจคนนั้นนั่นเอง   รอยยิ้มสดใสของนางทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด   เธอรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ปลอมแปลง  แต่เป็นความรู้สึกที่แท้จริง

    จีเซลโค้งคำนับพลางระบายรอยยิ้มบางให้หญิงกลางคนคนนั้นตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณป้าสเวน่า  หนูชื่อ จีเซล ค่ะ  จีเซลล่า แวนเฮล์ม”

    สีหน้าของหลายๆคนในที่นั้นเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินนามสกุลของเธอ    หญิงกลางคนที่ยืนอยู่กับชายหนุ่มผมทองหน้าตายคนนั้นถึงกับแสยะยิ้มเหยียด

    “ยังเหลืออยู่อีกเหรอ  นึกว่าครอบครัวของไอ้คนนอกคอกคาลอสจะตายในกองไฟไปแล้วซะอีก”

    “พี่วาเลน!!! พูดอย่างนั้นไม่ได้นะคะ” สเวน่าร้องขึ้นมาขณะเอาตัวเองเข้าบังหลานสาวเอาไว้อย่างปกป้อง “ถึงจะออกจากบ้านไปแล้วพี่คาลอสก็ยังเป็นน้องชายของพี่อยู่นะคะ!

    การเกลี้ยกล่อมนั้นไม่เพียงไม่ได้ผลเท่านั้น   แต่ยังเป็นเหมือนการราดน้ำมันเข้ากองไฟ  ยุให้วาเลนเซียยิ่งโกรธจัดขึ้นมากกว่าเดิมเท่านั้น   หญิงกลางคนถลึงตามองน้องสาวร่วมสายเลือดอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

    “ใครใช้ให้เธอมายุ่งกันสเวน่า  นี่มันเรื่องระหว่างฉันกับลูกสาวคาลอสนะ!

    “คาลอสเป็นพี่ชายของฉันเหมือนกันค่ะ!  คาลอสเป็นพ่อของจีเซล  ดังนั้นเด็กคนนี้ก็คือหลานของฉันด้วย  ฉันไม่ยอมให้พี่ทำอะไรกับครอบครัวของคาลอสหรอก!” แพทย์หญิงทุ่มเถียงอย่างไม่ยอมแพ้   เธอเคยเสียพี่ชายที่แสนดีกับน้องสะใภ้คนนั้นไปครั้งหนึ่งแล้ว   คราวนี้เธอจะต้องปกป้องหลานสาวที่เป็นลูกของพี่ชายเอาไว้ให้ได้

    “อ่าทุกๆท่านครับ”

    เสียงเรียกเบาๆเหมือนกับจะเกร็งนิดๆของทอมดังขึ้น   ทุกคนจึงหันไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียงจนเจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง    วาเลนเซียสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์แล้วจึงเดินเข้าไปหาลูกชายที่เป็นรูปปั้นน้ำแข็งของหล่อน

    “ประตูบ้านเปิดแล้วล่ะครับ”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×