ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลังเก็บนิยายตามใจฉัน

    ลำดับตอนที่ #14 : I'm Demon's Queen

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 55








    สายฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้าซึ่งเป็นสีเทาขมุกขมัวอยู่เป็นเวลานานมาแล้วอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย   เสียงดังที่เกิดขึ้นจากหยดฝนกระทบกับบานหน้าต่างเรียกให้คนที่กำลังนั่งหลับตาพริ้มอย่างสบายใจอยู่บนเก้าอี้นวมข้างๆเตาผิงอันอบอุ่นขยับตัวเล็กน้อย   นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างปรือขึ้นด้วยความง่วงงุน   คนที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการพักผ่อนระหว่างวันเบือนหน้าออกไปมองนอกห้องแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความรำคาญใจ

    “ฝนตกอีกแล้วสินะ” เสียงนุ่มละมุนกระซิบกับตนเอง   หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนที่จะก้าวเดินอย่างช้าๆไปยังหน้าต่าง   มือบางยกขึ้นทาบกับกระจกที่เย็นเฉียบครู่หนึ่งแล้วจึงลดลงแนบข้างกายเช่นเดิม

    “ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยนะ   แย่จริงๆ

    เธอบ่นพึมพำกับตัวเองขณะหยิบผ้าคลุมยาวเรี่ยพื้นสีดำสนิทผืนหนึ่งออกมาห่มคลุมร่างเอาไว้   ตะเกียงที่ถูกจุดเอาไว้ด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าซีดลอยมาอยู่ในมือของเธอด้วยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น   หญิงสาวกวาดสายตามองสภาพภายในห้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถือตะเกียงเวทย์ออกไปเพียงลำพัง

    หญิงสาวก้าวเดินยาวๆผ่านห้องโถงกว้างที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย    แสงจันทร์สลัวเพราะเมฆครึ้มที่ส่องผ่านกระจกใสบนโดมเหนือห้องโถงกระทบกับเส้นผมสีเงินยวงเป็นประกายสดใสผิดแผกกับบรรยากาศอันมืดมนโดยรอบอย่างสิ้นเชิง   ชายเสื้อคลุมยาวที่แทบจะลากไปกับพื้นสะบัดน้อยๆตามหลังเรียกให้เหล่าผู้อาศัยอยู่ในปราสาทค่อยๆตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล   ไอหมอกสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าของเธอก่อนที่จะก่อตัวเป็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยติดจะเย็นชาในชุดสูทพ่อบ้านคนหนึ่ง  

    “จะออกไปข้างนอกหรือครับท่านเรวิน” เขาเอ่ยถามนายหญิงที่ตนรับใช้อย่างนอบน้อม   ถึงแม้ว่าในเสียงนั้นจะเย็นชาจนเหมือนกำลังเทียบชั้นอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม   แต่สำหรับเธอที่คุ้นชินกับการกระทำของพ่อบ้านประจำปราสาทนี้มานานแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ   ไม่จำเป็นต้องเก็บกลับมาใส่ใจ

    “อื้อ” เจ้าของชื่อ เรวิน พยักหน้ารับ “พอดีว่าฝนตกน่ะ   คิดว่าคงจะถึงเวลาที่ดาซีฟในแปลงชายป่าทมิฬของข้าจะบานซะที”

    ดาซีฟคือชื่อของดอกไม้ชนิดหนึ่ง   ดอกไม้ชนิดนี้มีความพิเศษอยู่ที่มันจะเจริญเติบโตในที่ที่มีไอพลังมืดเข้มข้น   แต่กลับมีกลีบดอกสีขาวผิดกับชาติกำเนิดลิบลับ   อีกทั้งดอกไม้ชนิดนี้ถ้าหากนำรากมาบดเป็นกระสายยาแล้วก็จะได้สสารชนิดหนึ่งที่ประจุธาตุสว่างเอาไว้อย่างเข้มข้น    ชนิดที่ว่าถ้าหากนำมาทาดาบราคาถูกแล้วเอาออกไปฟาดฟันปีศาจได้สบายปรื๋อเหมือนดาบวิเศษได้เลยทีเดียว

    ถามว่าจะไปเอาของที่อันตรายกับตัวเองเพื่ออะไรน่ะหรือ?

    เพราะว่าวันนี้เป็นวันครบรอบที่สำคัญของเธอน่ะสิ

    “อ่า” พ่อบ้านหนุ่มครางเล็กน้อย “แล้วจะให้ข้าตามไปด้วยไหมขอรับ”

    “ไม่เป็นไรหรอก   เจ้าอยู่ที่ปราสาทนี้เถอะราฟา   เผื่อว่ามีเรื่องอะไรจะได้ช่วยจัดการ” เรวินเผยรอยยิ้มบางเฉียบออกมา   แล้วจึงหันหลังเดินออกไปทางหน้าประตูปราสาทด้วยความเบิกบาน

    หญิงสาวเดินออกไปยังลานกว้างถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยเสาหินแกะสลักที่มีร่องรอยการถูกทำลายจากการต่อสู้อยู่เต็มไปหมด   ทันใดนั้นเอง   ในอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าของเธอก็ปรากฏร่างนับพันของของปีศาจชั้นล่างกำลังทรุดกายคุกเข่าทำความเคารพด้วยความนอบน้อม    มนุษย์หมาป่าผู้นำกองทัพปีศาจในคราวนี้เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของปราสาทแห่งความมืดมิดด้วยความมุ่งมั่น  แล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงดังสนั่นชนิดที่ว่าข้าที่ยืนอยู่ข้างหน้านี้แทบปลิวไปติดต้นไม้ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของลานศิลาแห่งนี้เลยทีเดียว

    อย่าตะโกนได้มั้ยยะ!!!  แค่เจ้านั่งความสูงของเจ้าก็มิดหัวข้าแล้ว   ขอร้องอย่าทำให้บารมีในฐานะจอมมารของข้าหดหายไปจะได้มั้ย!!!!!  ปีศาจสาวเจ้าของบัลลังค์แห่งความมืดกรีดร้องในใจ

    “ท่านจอมมาร!!!  ได้โปรดให้พวกข้าเคียงข้างท่านไปออกรบกับพวกมนุษย์ด้วยเถิด!!!

    เอ่อข้าว่าพวกเจ้าเข้าใจอะไรผิดไปมากโคตรๆเลยทีเดียวนะ   เรวินขมวดคิ้วมุ่น

    “ถึงแม้ว่าท่านจะทำเพื่อพวกเรา   แต่ได้โปรดให้เราได้มีส่วนในการล้างแค้นครั้งนี้ด้วย!!!” อีกเสียงหนึ่งตะโกนออกมาจากกองทัพปีศาจ

    “ดะเดี๋ยวสิ!!!” เรวินออกปากห้ามปรามก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ “พวกเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกันน่ะ    ข้าไม่ได้จะออกไปรบซักหน่อย!!!

    เพล้ง!!!   รู้สึกเหมือนมีเสียงแก้วแตกเป็นชุดดังแว่วๆเข้ามาในหูแฮะ   แต่เธอไม่ได้แค่เปรยเล่นๆนะ   ที่เห็นอยู่นี่ก็คือภาพของปีศาจกองทัพหนึ่งสะดุดล้มพรืดระเนระนาดกันอย่างพร้อมเพรียง   อยากเก็บภาพนี้ไปเผยแพร่ให้สาธารณะชนได้ดูจังเลย

    “ข้าจะออกไปทำธุระข้างนอกต่างหาก” เรวินพูดพลางกลั้นยิ้มที่เห็นสีหน้าแตกชนิดหมอไม่รับเย็บของลูกน้องใต้บัญชา “อีกอย่างข้าจะออกไปรบกับพวกมนุษย์ทำไมกันเล่า   ในเมื่อท่านรุ่นก่อนก็ทำสนธิสัญญาละสงครามแล้วนี่”

    เมื่อหลายร้อยปีก่อนที่เรวินจะขึ้นครองตำแหน่ง   จอมมารรุ่นที่ 6 ได้ตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึกกับพวกมนุษย์ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้มีการเสียเลือดเนื้อ   ซึ่งพวกมนุษย์ก็ตกลงยอมรับเป็นอย่างดี    หลังจากนั้นมาดินแดนเดโมนอสของเหล่าปีศาจก็ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับดินแดนเรตาย่าของเหล่ามนุษย์อีกเลยเป็นเวลานานจนถึงปัจจุบันนี้    ว่ากันว่าท่านรุ่นที่หกนี้เป็นปีศาจที่มีสายเลือดมนุษย์อยู่กึ่งหนึ่ง   ทำให้ความคิดของท่านค่อนไปทางสันติภาพมากกว่ากระหายสงครามอย่างที่นิสัยพื้นฐานของชาวปีศาจเป็น

    และเพราะว่ามีสนธิสัญญานั้น   เรวินถึงได้เป็นจอมมารได้อย่างสบายไร้กังวลได้อยู่นี่ยังไงล่ะ   ไม่ต้องห่วงว่าผู้กล้าจะมาเยือนถึงปราสาทนี่เมื่อไหร่   ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายของพวกทหารปีศาจด้วย   คอยแต่ไปเก็บเกี่ยวพวกพืชปีศาจแล้วส่งไปขายให้กับดินแดนของพวกมนุษย์    หรือถ้าใครอยากมาฝึกวิชาก็เปิดป่าทมิฬบางส่วนให้เป็นค่ายฝึกแบบนอนคอนโทรล  ใครก็ฝึกก็ฝึกไป  ไอ้พวกไร้น้ำยาก็เป็นของเล่นให้ปีศาจในป่าได้เคี้ยวเล่นไป   เห็นมั้ยล่ะ   ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเลย   พวกมนุษย์ถ้าเก่งจริงก็ได้วิชาใหม่ๆกลับไป   ส่วนทางฝ่ายปีศาจก็ได้เรียนรู้วิชาของพวกมนุษย์ด้วย   อีกอย่างปราสาทก็เก็บค่าเข้าทีหลังด้วยถ้าใครสามารถผ่านออกไปได้   เงินงามเห็นๆ

    “เอ่อทำหน้าแบบนั้นคิดอะไรอยู่ใช่มั้ยครับ” พ่อบ้านราฟาที่ตามออกมาทีหลังเมื่อได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังล้มจนพื้นสะเทือนเอ่ยขึ้นด้วยความหวั่นๆเมื่อเห็นสีหน้าประดับรอยยิ้มลึกลับของนายหญิง   หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะปรับสีหน้าให้เหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว

    “ช่างข้าเถอะน่า” เรวินบอกปัดอย่างไม่ไยดีแล้วจึงสะบัดกายใช้เวทข้ามมิติหายตัวไปจากลานกว้างที่เปียกไปด้วยฝนอย่างรวดเร็ว

     

     

    ปลายทางที่จอมมารสาวมาปรากฏตัวนั้นก็คือทุ่งดอกไม้สีขาวสะอาดที่เรืองแสงสีทองสว่างสดใสท่ามกลางความมืดที่น่าอึดอัดของแนวป่าโดยรอบ   เท้าทั้งสองที่เปลือยเปล่าลดระดับลงแตะพื้นผิวที่เย็นเฉียบของก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งดอกไม้อันงดงามนั้น   ทั้งสองอย่างดูตัดกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ดูกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด   เรวินกวาดสายตามองทุ่งดอกดาซีฟที่กำลังแย้มกลีบบานอย่างเต็มที่ด้วยสายตาพิจารณา

    มือบางยกขึ้นกลางอากาศ   พลันปรากฏสายพลังสีดำจางสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปยังดอกไม้แล้วตัดดอกของมันออกส่วนหนึ่งก่อนที่จะลอยสู่มือของเธออย่างง่ายดาย

    เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว   หญิงสาวก็ถีบตัวข้ามไปยังด้านนอกของแปลงดอกไม้อย่างนุ่มนวลพร้อมกับช่อดอกดาซีฟสีขาวที่ยังเปล่งแสงออกมาจางๆดุจแสงจันทร์ไม่มีเปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่าจะถูกพรากออกมาจากต้นแล้วก็ตามที

    ร่างบางก้าวย่างไปตามเส้นทางซึ่งทอดลึกเข้าไปในป่าอย่างไม่เกรงกลัวต่อสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา   แต่ถึงจะมีกลิ่นอายที่เย้ายวนต่อสัญชาตญาณแค่ไหน   ทุกชีวิตในป่าต่างรู้ดีว่าถ้าหากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวนางนั้นคงจะมีจุดจบที่ไม่สวยเป็นแน่   ไม่เพียงแต่ร่างกาย   แต่วิญญาณก็คงจะถูกสลายทิ้งตามไปด้วย   แม้ว่าคนที่กำลังอยู่ในสายตาของพวกเขานี้คือจอมมารหญิงคนแรกของปราสาทแห่งความมืดมิดและเป็นจอมมารที่เมตตาที่สุดในหมู่จอมมารทั้งหมดก็ตาม   

    แต่ลืมตาบอกไปว่าเมตตาที่สุดน่ะ   ทรมานศัตรูที่เคยมาลอบสังหารติดกันถึงสี่วันสี่คืน   จนกระทั่งเจ้าคนที่บังอาจกล้าคนนั้นถึงกับตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

    นี่ถือว่ายังน้อยที่สุดนะถ้าเทียบกับจอมมารรุ่นอื่นๆ   เคยมีจอมมารรุ่นหนึ่งมีรสนิยมชอบจับผู้กล้ามาทรมานแล้วปล่อยกลับไปโดยฝากของขวัญเล็กๆน้อยๆกลับไปด้วยให้ผู้กล้าอายประชาชีเล่นๆ   ตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุได้ไม่กี่สิบปีเอง   เห็นว่าผู้กล้านั่นถึงกับเป็นโรคชอบที่แคบขึ้นมาทันที   ตามข่าวที่ได้รู้ก็ซุกตัวอยู่ในบ้านแบบไม่เคยออกมาให้ใครเห็นหน้าอีกเลย

    และจอมมารที่ทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างเบิกบานใจก็คือจอมมารรุ่นที่ห้า   ก่อนหน้ารุ่นปัจจุบันแค่สองรุ่นเอง   ตอนนี้ก็คงยังใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสบายอารมณ์อยู่ไม่รู้ที่ไหนของโลกล่ะมั้ง

    หนึ่งในปีศาจที่จับตามองนายเหนือหัวผู้เป็นเจ้าชีวิตของตัวเองแล้วก็ลอบถอนหายใจยาวโดยไม่ให้พวกพ้องของมันรู้

    นี่ล่ะจอมมาร   แต่ละรุ่นสร้างวีรกรรมไว้ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่คนเดียว   มิน่าล่ะพวกมนุษย์ถึงได้อยากจะปราบจอมมารกันนัก

    รุ่นแรกคือรุ่นบุกเบิก   สร้างเรื่องกระฉ่อนเอาไว้ด้วยการก่อสงครามกับพวกมนุษย์ได้ปีไม่เว้นปี   อยู่ดีไม่ว่าดีเกิดบ้าดีเดือดกระโจนเข้าไปในวงเวทที่ผู้กล้าสร้างขึ้นมาระหว่างร่ายมหาเวทแห่งแสงสว่าง   และหายไปโดยที่ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากดาบเซฟิรอทให้เป็นสมบัติสืบต่อกันมาของจอมมารรุ่นต่อจากนั้น

    รุ่นที่สองและสามก็ไม่ค่อยมีเรื่องให้ลือซักเท่าไหร่   แต่รุ่นที่สี่นั้นก็มีชื่อกระฉ่อนไม่แพ้รุ่นแรกเลยทีเดียว   ถึงกับบ้าบิ่นบุกไปถึงบ้านของผู้กล้าและขอนั่งกินข้าวเย็นกับผู้กล้าและภรรยาผู้กล้าด้วยก่อนจะกลับไปท่ามกลางความงงเต๊กของชาวบ้านและทุกคนในเมืองนั้น   ต่อจากนั้นในเมืองแห่งนั้นก็ต้องต้อนรับการมาเยือนของจอมมารเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว

    ต่อมาคือจอมมารรุ่นที่ห้า   ก็อย่างที่เกริ่นๆไปในตอนแรกนั่นล่ะ   ขี้เกียจเล่าย้อนกลับงั้นไปต่อเลยก็แล้วกัน

    รุ่นที่มีเรื่องในทางบวกก็คือจอมมารรุ่นที่หก  แคลเรส  ดีที่สุดในหมู่รุ่นที่ผ่านมาแล้วล่ะนะ   ก็คือจอมมารรุ่นเดียวที่ยอมลงสนธิสัญญาสงบศึกกับพวกมนุษย์ (เพราะรุ่นที่ผ่านมามีแต่หาเรื่องกับมนุษย์ทั้งนั้น)   สร้างสันติสุขแก่ทั้งดินแดนเดโมนอสและเรตาย่าเป็นเวลาผ่านมากว่าหลายร้อยปี

    และสุดท้าย   จอมมารรุ่นที่เจ็ด  เรวิเนีย  ราเอเซีย ดิ แกรนด์โฟล  จอมมารหญิงคนแรกของปราสาท   มารับตำแหน่งแค่คืนแรกก็สร้างเรื่องกระฉ่อนในหมู่ปีศาจเสียแล้ว   นางผู้นั้นจับมือสังหารที่ลอบเข้ามาในปราสาทเพื่อที่จะสังหารเพราะเข้าใจผิดว่านางเป็นรุ่นก่อนที่ลงนามในสนธิสัญญาได้   และจากนั้นก็จับไปทรมานเพื่อเค้นข้อมูลเกี่ยวกับผู้ว่าจ้างในงานนี้ด้วยตัวเองถึงสี่วันสี่คืนจนคนโดนทรมานทนไม่ไหวและตายในที่สุด   กลายเป็นหัวข้อนินทาข้อใหญ่ในเวลาต่อมา

    เฮ้อเป็นลูกน้องจอมมารที่มีนิสัยไม่ซ้ำกันเลยซักคนแบบนี้ก็น่าปวดหัวเหมือนกันแฮะ

     

     

    “ฮัดชิ้ว!

    เรวินที่กำลังเดินอยู่จามออกมาทีหนึ่ง   ที่ที่เธอเดินมาถึงนั้นคือขอบหน้าผาที่ทอดดิ่งลงไปสู่ป่าสีเขียวขจีอันอุดมสมบูรณ์เบื้องล่างเป็นความสูงหลายสิบเมตร    ตรงสุดปลายของผาที่ยื่นออกไปอย่างน่าหวาดเสียวนั้นคือที่ตั้งของต้นไม้ต้นหนึ่ง   ลำต้นของมันบิดเป็นเกลียวหลวมๆราวกับว่ามันไม่ได้เกิดจากต้นไม้เพียงต้นเดียว   เหนือขึ้นไปคือกิ่งก้านที่แผ่ใบสีเขียวชะอุ่มให้ร่มเงาแก่สิ่งปลูกสร้างที่แปลกแยกบริเวณผืนดินใกล้กับโคนต้นของมัน

    หญิงสาวทรุดลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าของแผ่นศิลาสีดำสนิทที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นวาเลนเซีย   ดวงตาสีฟ้ากระจ่างทอดสายตามองชื่อที่ถูกแกะสลักอยู่บนแผ่นศิลานั้นอย่างเศร้าสร้อย

    “สิบปีแล้วสินะคะอาจารย์โจเซฟ”

    อาจารย์โจเซฟเป็นลูกครึ่งปีศาจกับเทพที่ถูกอัปเปหิมาจากดินแดนซัลลาเซียร์ซึ่งเป็นดินแดนของเผ่าเทพเพราะสายเลือดผสมที่ถือว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับพวกเผ่าพันธุ์ที่ชอบยกตัวเองให้สูงเหนือคนอื่นนั่น    เธอเองก็ไม่ค่อยชอบพวกเทพซักเท่าไหร่   เวลาลงมาตรวจการณ์ดูที่ปราสาททีไรก็มีแต่หาเรื่องให้ตลอด   ถ้าไม่ใช่เพราะไม่อยากขัดสนธิสัญญาสงบศึกของท่านรุ่นก่อน   ป่านนี้เธอคงถอดรองเท้าออกมาตบหน้าเจ้าพวกบ้าจอมจุ้นไม่เข้าเรื่องนั่นไปนานแล้ว

    “เสียดายจริงๆนะคะที่อาจารย์ไม่ได้อยู่ดูข้าขึ้นครองตำแหน่งจอมมาร   อยากรู้จริงๆว่าท่านจะรู้สึกยังไงเมื่อเห็นข้านั่งอยู่บนบัลลังค์น่ะ” เรวินอดที่จะหัวเราะคิกออกมาเบาๆไม่ได้

    ก็ในเมื่อเธอแทบไม่ค่อยได้ขึ้นนั่งบัลลังค์ซักเท่าไหร่เลยนี่นา   จำได้คร่าวๆก็สามครั้งน่ะนะ   ครั้งแรกก็คือตอนที่ขึ้นรับตำแหน่ง   ส่วนครั้งที่สองและสามก็คือตอนที่พวกเทพมาตรวจการณ์เมืองนั่นล่ะ   รู้สึกว่าคราวนั้นจะวุ่นวายได้โล่ทีเดียว

    สายลมที่พัดเข้ามากระทบร่างราวกับเป็นคำตอบรับจากบุคคลซึ่งล่วงลับไปแล้วเรียกให้หญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นถึงเจ้าแห่งความมืดคลี่รอยยิ้มสดใสออกมา

    “คงจะดีใจนะคะอาจารย์   ถ้างั้นข้าขอตัวกลับแล้วนะคะ”

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×