คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : I'm Demon's Queen
สายฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้าซึ่งเป็นสีเทาขมุกขมัวอยู่เป็นเวลานานมาแล้วอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงดังที่เกิดขึ้นจากหยดฝนกระทบกับบานหน้าต่างเรียกให้คนที่กำลังนั่งหลับตาพริ้มอย่างสบายใจอยู่บนเก้าอี้นวมข้างๆเตาผิงอันอบอุ่นขยับตัวเล็กน้อย นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างปรือขึ้นด้วยความง่วงงุน คนที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการพักผ่อนระหว่างวันเบือนหน้าออกไปมองนอกห้องแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความรำคาญใจ
“ฝนตก
อีกแล้วสินะ” เสียงนุ่มละมุนกระซิบกับตนเอง หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนที่จะก้าวเดินอย่างช้าๆไปยังหน้าต่าง มือบางยกขึ้นทาบกับกระจกที่เย็นเฉียบครู่หนึ่งแล้วจึงลดลงแนบข้างกายเช่นเดิม
“ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยนะ แย่จริงๆ
”
เธอบ่นพึมพำกับตัวเองขณะหยิบผ้าคลุมยาวเรี่ยพื้นสีดำสนิทผืนหนึ่งออกมาห่มคลุมร่างเอาไว้ ตะเกียงที่ถูกจุดเอาไว้ด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าซีดลอยมาอยู่ในมือของเธอด้วยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น หญิงสาวกวาดสายตามองสภาพภายในห้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถือตะเกียงเวทย์ออกไปเพียงลำพัง
หญิงสาวก้าวเดินยาวๆผ่านห้องโถงกว้างที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย แสงจันทร์สลัวเพราะเมฆครึ้มที่ส่องผ่านกระจกใสบนโดมเหนือห้องโถงกระทบกับเส้นผมสีเงินยวงเป็นประกายสดใสผิดแผกกับบรรยากาศอันมืดมนโดยรอบอย่างสิ้นเชิง ชายเสื้อคลุมยาวที่แทบจะลากไปกับพื้นสะบัดน้อยๆตามหลังเรียกให้เหล่าผู้อาศัยอยู่ในปราสาทค่อยๆตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล ไอหมอกสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าของเธอก่อนที่จะก่อตัวเป็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยติดจะเย็นชาในชุดสูทพ่อบ้านคนหนึ่ง
“จะออกไปข้างนอกหรือครับท่านเรวิน” เขาเอ่ยถามนายหญิงที่ตนรับใช้อย่างนอบน้อม ถึงแม้ว่าในเสียงนั้นจะเย็นชาจนเหมือนกำลังเทียบชั้นอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม แต่สำหรับเธอที่คุ้นชินกับการกระทำของพ่อบ้านประจำปราสาทนี้มานานแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องเก็บกลับมาใส่ใจ
“อื้อ” เจ้าของชื่อ เรวิน พยักหน้ารับ “พอดีว่าฝนตกน่ะ คิดว่าคงจะถึงเวลาที่ดาซีฟในแปลงชายป่าทมิฬของข้าจะบานซะที”
ดาซีฟคือชื่อของดอกไม้ชนิดหนึ่ง ดอกไม้ชนิดนี้มีความพิเศษอยู่ที่มันจะเจริญเติบโตในที่ที่มีไอพลังมืดเข้มข้น แต่กลับมีกลีบดอกสีขาวผิดกับชาติกำเนิดลิบลับ อีกทั้งดอกไม้ชนิดนี้ถ้าหากนำรากมาบดเป็นกระสายยาแล้วก็จะได้สสารชนิดหนึ่งที่ประจุธาตุสว่างเอาไว้อย่างเข้มข้น ชนิดที่ว่าถ้าหากนำมาทาดาบราคาถูกแล้วเอาออกไปฟาดฟันปีศาจได้สบายปรื๋อเหมือนดาบวิเศษได้เลยทีเดียว
ถามว่าจะไปเอาของที่อันตรายกับตัวเองเพื่ออะไรน่ะหรือ?
เพราะว่าวันนี้เป็นวันครบรอบที่สำคัญของเธอน่ะสิ
“อ่า
” พ่อบ้านหนุ่มครางเล็กน้อย “แล้วจะให้ข้าตามไปด้วยไหมขอรับ”
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าอยู่ที่ปราสาทนี้เถอะราฟา เผื่อว่ามีเรื่องอะไรจะได้ช่วยจัดการ” เรวินเผยรอยยิ้มบางเฉียบออกมา แล้วจึงหันหลังเดินออกไปทางหน้าประตูปราสาทด้วยความเบิกบาน
หญิงสาวเดินออกไปยังลานกว้างถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยเสาหินแกะสลักที่มีร่องรอยการถูกทำลายจากการต่อสู้อยู่เต็มไปหมด ทันใดนั้นเอง ในอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าของเธอก็ปรากฏร่างนับพันของของปีศาจชั้นล่างกำลังทรุดกายคุกเข่าทำความเคารพด้วยความนอบน้อม มนุษย์หมาป่าผู้นำกองทัพปีศาจในคราวนี้เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของปราสาทแห่งความมืดมิดด้วยความมุ่งมั่น แล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงดังสนั่นชนิดที่ว่าข้าที่ยืนอยู่ข้างหน้านี้แทบปลิวไปติดต้นไม้ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของลานศิลาแห่งนี้เลยทีเดียว
อย่าตะโกนได้มั้ยยะ!!! แค่เจ้านั่งความสูงของเจ้าก็มิดหัวข้าแล้ว ขอร้องอย่าทำให้บารมีในฐานะจอมมารของข้าหดหายไปจะได้มั้ย!!!!! ปีศาจสาวเจ้าของบัลลังค์แห่งความมืดกรีดร้องในใจ
“ท่านจอมมาร!!! ได้โปรดให้พวกข้าเคียงข้างท่านไปออกรบกับพวกมนุษย์ด้วยเถิด!!!”
เอ่อ
ข้าว่าพวกเจ้าเข้าใจอะไรผิดไป
มากโคตรๆเลยทีเดียวนะ เรวินขมวดคิ้วมุ่น
“ถึงแม้ว่าท่านจะทำเพื่อพวกเรา แต่ได้โปรดให้เราได้มีส่วนในการล้างแค้นครั้งนี้ด้วย!!!” อีกเสียงหนึ่งตะโกนออกมาจากกองทัพปีศาจ
“ดะ
เดี๋ยวสิ!!!” เรวินออกปากห้ามปรามก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ “พวกเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกันน่ะ ข้าไม่ได้จะออกไปรบซักหน่อย!!!”
เพล้ง!!! รู้สึกเหมือนมีเสียงแก้วแตกเป็นชุดดังแว่วๆเข้ามาในหูแฮะ แต่เธอไม่ได้แค่เปรยเล่นๆนะ ที่เห็นอยู่นี่ก็คือภาพของปีศาจกองทัพหนึ่งสะดุดล้มพรืดระเนระนาดกันอย่างพร้อมเพรียง อยากเก็บภาพนี้ไปเผยแพร่ให้สาธารณะชนได้ดูจังเลย
“ข้าจะออกไปทำธุระข้างนอกต่างหาก” เรวินพูดพลางกลั้นยิ้มที่เห็นสีหน้าแตกชนิดหมอไม่รับเย็บของลูกน้องใต้บัญชา “อีกอย่างข้าจะออกไปรบกับพวกมนุษย์ทำไมกันเล่า ในเมื่อท่านรุ่นก่อนก็ทำสนธิสัญญาละสงครามแล้วนี่”
เมื่อหลายร้อยปีก่อนที่เรวินจะขึ้นครองตำแหน่ง จอมมารรุ่นที่ 6 ได้ตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึกกับพวกมนุษย์ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้มีการเสียเลือดเนื้อ ซึ่งพวกมนุษย์ก็ตกลงยอมรับเป็นอย่างดี หลังจากนั้นมาดินแดนเดโมนอสของเหล่าปีศาจก็ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับดินแดนเรตาย่าของเหล่ามนุษย์อีกเลยเป็นเวลานานจนถึงปัจจุบันนี้ ว่ากันว่าท่านรุ่นที่หกนี้เป็นปีศาจที่มีสายเลือดมนุษย์อยู่กึ่งหนึ่ง ทำให้ความคิดของท่านค่อนไปทางสันติภาพมากกว่ากระหายสงครามอย่างที่นิสัยพื้นฐานของชาวปีศาจเป็น
และเพราะว่ามีสนธิสัญญานั้น เรวินถึงได้เป็นจอมมารได้อย่างสบายไร้กังวลได้อยู่นี่ยังไงล่ะ ไม่ต้องห่วงว่าผู้กล้าจะมาเยือนถึงปราสาทนี่เมื่อไหร่ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายของพวกทหารปีศาจด้วย คอยแต่ไปเก็บเกี่ยวพวกพืชปีศาจแล้วส่งไปขายให้กับดินแดนของพวกมนุษย์ หรือถ้าใครอยากมาฝึกวิชาก็เปิดป่าทมิฬบางส่วนให้เป็นค่ายฝึกแบบนอนคอนโทรล ใครก็ฝึกก็ฝึกไป ไอ้พวกไร้น้ำยาก็เป็นของเล่นให้ปีศาจในป่าได้เคี้ยวเล่นไป เห็นมั้ยล่ะ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเลย พวกมนุษย์ถ้าเก่งจริงก็ได้วิชาใหม่ๆกลับไป ส่วนทางฝ่ายปีศาจก็ได้เรียนรู้วิชาของพวกมนุษย์ด้วย อีกอย่างปราสาทก็เก็บค่าเข้าทีหลังด้วยถ้าใครสามารถผ่านออกไปได้ เงินงามเห็นๆ
“เอ่อ
ทำหน้าแบบนั้นคิดอะไรอยู่ใช่มั้ยครับ” พ่อบ้านราฟาที่ตามออกมาทีหลังเมื่อได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังล้มจนพื้นสะเทือนเอ่ยขึ้นด้วยความหวั่นๆเมื่อเห็นสีหน้าประดับรอยยิ้มลึกลับของนายหญิง หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะปรับสีหน้าให้เหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
“ช่างข้าเถอะน่า” เรวินบอกปัดอย่างไม่ไยดีแล้วจึงสะบัดกายใช้เวทข้ามมิติหายตัวไปจากลานกว้างที่เปียกไปด้วยฝนอย่างรวดเร็ว
ปลายทางที่จอมมารสาวมาปรากฏตัวนั้นก็คือทุ่งดอกไม้สีขาวสะอาดที่เรืองแสงสีทองสว่างสดใสท่ามกลางความมืดที่น่าอึดอัดของแนวป่าโดยรอบ เท้าทั้งสองที่เปลือยเปล่าลดระดับลงแตะพื้นผิวที่เย็นเฉียบของก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งดอกไม้อันงดงามนั้น ทั้งสองอย่างดูตัดกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ดูกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด เรวินกวาดสายตามองทุ่งดอกดาซีฟที่กำลังแย้มกลีบบานอย่างเต็มที่ด้วยสายตาพิจารณา
มือบางยกขึ้นกลางอากาศ พลันปรากฏสายพลังสีดำจางสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปยังดอกไม้แล้วตัดดอกของมันออกส่วนหนึ่งก่อนที่จะลอยสู่มือของเธออย่างง่ายดาย
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว หญิงสาวก็ถีบตัวข้ามไปยังด้านนอกของแปลงดอกไม้อย่างนุ่มนวลพร้อมกับช่อดอกดาซีฟสีขาวที่ยังเปล่งแสงออกมาจางๆดุจแสงจันทร์ไม่มีเปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่าจะถูกพรากออกมาจากต้นแล้วก็ตามที
ร่างบางก้าวย่างไปตามเส้นทางซึ่งทอดลึกเข้าไปในป่าอย่างไม่เกรงกลัวต่อสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา แต่ถึงจะมีกลิ่นอายที่เย้ายวนต่อสัญชาตญาณแค่ไหน ทุกชีวิตในป่าต่างรู้ดีว่าถ้าหากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวนางนั้นคงจะมีจุดจบที่ไม่สวยเป็นแน่ ไม่เพียงแต่ร่างกาย แต่วิญญาณก็คงจะถูกสลายทิ้งตามไปด้วย แม้ว่าคนที่กำลังอยู่ในสายตาของพวกเขานี้คือจอมมารหญิงคนแรกของปราสาทแห่งความมืดมิดและเป็นจอมมารที่เมตตาที่สุดในหมู่จอมมารทั้งหมดก็ตาม
แต่ลืมตาบอกไปว่าเมตตาที่สุดน่ะ ทรมานศัตรูที่เคยมาลอบสังหารติดกันถึงสี่วันสี่คืน จนกระทั่งเจ้าคนที่บังอาจกล้าคนนั้นถึงกับตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
นี่ถือว่ายังน้อยที่สุดนะถ้าเทียบกับจอมมารรุ่นอื่นๆ เคยมีจอมมารรุ่นหนึ่งมีรสนิยมชอบจับผู้กล้ามาทรมานแล้วปล่อยกลับไปโดยฝากของขวัญเล็กๆน้อยๆกลับไปด้วยให้ผู้กล้าอายประชาชีเล่นๆ ตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุได้ไม่กี่สิบปีเอง เห็นว่าผู้กล้านั่นถึงกับเป็นโรคชอบที่แคบขึ้นมาทันที ตามข่าวที่ได้รู้ก็ซุกตัวอยู่ในบ้านแบบไม่เคยออกมาให้ใครเห็นหน้าอีกเลย
และจอมมารที่ทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างเบิกบานใจก็คือจอมมารรุ่นที่ห้า ก่อนหน้ารุ่นปัจจุบันแค่สองรุ่นเอง ตอนนี้ก็คงยังใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสบายอารมณ์อยู่ไม่รู้ที่ไหนของโลกล่ะมั้ง
หนึ่งในปีศาจที่จับตามองนายเหนือหัวผู้เป็นเจ้าชีวิตของตัวเองแล้วก็ลอบถอนหายใจยาวโดยไม่ให้พวกพ้องของมันรู้
นี่ล่ะ
จอมมาร แต่ละรุ่นสร้างวีรกรรมไว้ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่คนเดียว มิน่าล่ะพวกมนุษย์ถึงได้อยากจะปราบจอมมารกันนัก
รุ่นแรกคือรุ่นบุกเบิก สร้างเรื่องกระฉ่อนเอาไว้ด้วยการก่อสงครามกับพวกมนุษย์ได้ปีไม่เว้นปี อยู่ดีไม่ว่าดีเกิดบ้าดีเดือดกระโจนเข้าไปในวงเวทที่ผู้กล้าสร้างขึ้นมาระหว่างร่ายมหาเวทแห่งแสงสว่าง และหายไปโดยที่ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากดาบเซฟิรอทให้เป็นสมบัติสืบต่อกันมาของจอมมารรุ่นต่อจากนั้น
รุ่นที่สองและสามก็ไม่ค่อยมีเรื่องให้ลือซักเท่าไหร่ แต่รุ่นที่สี่นั้นก็มีชื่อกระฉ่อนไม่แพ้รุ่นแรกเลยทีเดียว ถึงกับบ้าบิ่นบุกไปถึงบ้านของผู้กล้า
และขอนั่งกินข้าวเย็นกับผู้กล้าและภรรยาผู้กล้าด้วยก่อนจะกลับไปท่ามกลางความงงเต๊กของชาวบ้านและทุกคนในเมืองนั้น ต่อจากนั้นในเมืองแห่งนั้นก็ต้องต้อนรับการมาเยือนของจอมมารเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว
ต่อมาคือจอมมารรุ่นที่ห้า ก็อย่างที่เกริ่นๆไปในตอนแรกนั่นล่ะ ขี้เกียจเล่าย้อนกลับงั้นไปต่อเลยก็แล้วกัน
รุ่นที่มีเรื่องในทางบวกก็คือจอมมารรุ่นที่หก แคลเรส ดีที่สุดในหมู่รุ่นที่ผ่านมาแล้วล่ะนะ ก็คือจอมมารรุ่นเดียวที่ยอมลงสนธิสัญญาสงบศึกกับพวกมนุษย์ (เพราะรุ่นที่ผ่านมามีแต่หาเรื่องกับมนุษย์ทั้งนั้น) สร้างสันติสุขแก่ทั้งดินแดนเดโมนอสและเรตาย่าเป็นเวลาผ่านมากว่าหลายร้อยปี
และสุดท้าย จอมมารรุ่นที่เจ็ด เรวิเนีย ราเอเซีย ดิ แกรนด์โฟล จอมมารหญิงคนแรกของปราสาท มารับตำแหน่งแค่คืนแรกก็สร้างเรื่องกระฉ่อนในหมู่ปีศาจเสียแล้ว นางผู้นั้นจับมือสังหารที่ลอบเข้ามาในปราสาทเพื่อที่จะสังหารเพราะเข้าใจผิดว่านางเป็นรุ่นก่อนที่ลงนามในสนธิสัญญาได้ และจากนั้นก็จับไปทรมานเพื่อเค้นข้อมูลเกี่ยวกับผู้ว่าจ้างในงานนี้ด้วยตัวเองถึงสี่วันสี่คืนจนคนโดนทรมานทนไม่ไหวและตายในที่สุด กลายเป็นหัวข้อนินทาข้อใหญ่ในเวลาต่อมา
เฮ้อ
เป็นลูกน้องจอมมารที่มีนิสัยไม่ซ้ำกันเลยซักคนแบบนี้ก็น่าปวดหัวเหมือนกันแฮะ
“ฮัดชิ้ว!”
เรวินที่กำลังเดินอยู่จามออกมาทีหนึ่ง ที่ที่เธอเดินมาถึงนั้นคือขอบหน้าผาที่ทอดดิ่งลงไปสู่ป่าสีเขียวขจีอันอุดมสมบูรณ์เบื้องล่างเป็นความสูงหลายสิบเมตร ตรงสุดปลายของผาที่ยื่นออกไปอย่างน่าหวาดเสียวนั้นคือที่ตั้งของต้นไม้ต้นหนึ่ง ลำต้นของมันบิดเป็นเกลียวหลวมๆราวกับว่ามันไม่ได้เกิดจากต้นไม้เพียงต้นเดียว เหนือขึ้นไปคือกิ่งก้านที่แผ่ใบสีเขียวชะอุ่มให้ร่มเงาแก่สิ่งปลูกสร้างที่แปลกแยกบริเวณผืนดินใกล้กับโคนต้นของมัน
หญิงสาวทรุดลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าของแผ่นศิลาสีดำสนิทที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นวาเลนเซีย ดวงตาสีฟ้ากระจ่างทอดสายตามองชื่อที่ถูกแกะสลักอยู่บนแผ่นศิลานั้นอย่างเศร้าสร้อย
“สิบปีแล้วสินะคะ
อาจารย์โจเซฟ”
อาจารย์โจเซฟเป็นลูกครึ่งปีศาจกับเทพที่ถูกอัปเปหิมาจากดินแดนซัลลาเซียร์ซึ่งเป็นดินแดนของเผ่าเทพเพราะสายเลือดผสมที่ถือว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับพวกเผ่าพันธุ์ที่ชอบยกตัวเองให้สูงเหนือคนอื่นนั่น เธอเองก็ไม่ค่อยชอบพวกเทพซักเท่าไหร่ เวลาลงมาตรวจการณ์ดูที่ปราสาททีไรก็มีแต่หาเรื่องให้ตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะไม่อยากขัดสนธิสัญญาสงบศึกของท่านรุ่นก่อน ป่านนี้เธอคงถอดรองเท้าออกมาตบหน้าเจ้าพวกบ้าจอมจุ้นไม่เข้าเรื่องนั่นไปนานแล้ว
“เสียดายจริงๆนะคะที่อาจารย์ไม่ได้อยู่ดูข้าขึ้นครองตำแหน่งจอมมาร อยากรู้จริงๆว่าท่านจะรู้สึกยังไงเมื่อเห็นข้านั่งอยู่บนบัลลังค์น่ะ” เรวินอดที่จะหัวเราะคิกออกมาเบาๆไม่ได้
ก็ในเมื่อเธอแทบไม่ค่อยได้ขึ้นนั่งบัลลังค์ซักเท่าไหร่เลยนี่นา จำได้คร่าวๆก็สามครั้งน่ะนะ ครั้งแรกก็คือตอนที่ขึ้นรับตำแหน่ง ส่วนครั้งที่สองและสามก็คือตอนที่พวกเทพมาตรวจการณ์เมืองนั่นล่ะ รู้สึกว่าคราวนั้นจะวุ่นวายได้โล่ทีเดียว
สายลมที่พัดเข้ามากระทบร่างราวกับเป็นคำตอบรับจากบุคคลซึ่งล่วงลับไปแล้วเรียกให้หญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นถึงเจ้าแห่งความมืดคลี่รอยยิ้มสดใสออกมา
“คงจะดีใจนะคะอาจารย์ ถ้างั้นข้าขอตัวกลับแล้วนะคะ”
ความคิดเห็น