คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : แพนโดร่า ฮาร์ท ฉบับทดลองแต่ง
มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีบาปมากที่สุดในโลก
พวกเขาต่างมัวเมาในตัณหา ความละโมบ และความเห็นแก่ตัว
แต่ถึงกระนั้นพวกเราก็ยังชื่มชมพวกเขา อยากมีชีวิตที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเช่นพวกเขา
อยากจะชื่มชมความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขา
ความปรารถนาที่พวกเขายอมแลกซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อได้มันมา
ความปรารถนาที่สิ่งมีชีวิตอย่างเรามิอาจเข้าใจได้
ติง
ติง
ติง
เสียงหยดน้ำกระทบกับผืนน้ำสีดำสนิทไพเราะก้องกังวานไปทั่วทั้งห้วงมิติที่มีแต่ความมืดมิดปกคลุมเป็นจังหวะเชื่องช้า ก่อให้เกิดวงระลอกน้ำแผ่กระจายเป็นรัศมีกว้าง น่าประหลาดที่วงรัศมีบนผิวน้ำนั้นเรืองแสงออกมาจางๆทั้งยังเปล่งแสงสว่างออกมามากกว่าเดิมยามเมื่อเข้าใกล้กับบางสิ่งบางอย่างที่กำลังลอยคว้างอยู่ใต้ผิวน้ำนั้น
เส้นผมสีแดงเพลิงนุ่มสลวยราวกับเส้นไหมแผ่สยายอยู่ใต้ผิวน้ำที่กำลังสั่นไหว สีแดงสดของมันนั้นตัดกับสีดำสนิทของท้องฟ้าและผืนน้ำโดยสิ้นเชิง
ผู้ตื่นจากการหลับใหลกะพริบตาถี่เพื่อปรับการมองเห็นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วจึงค่อยๆเคลื่อนไหวขึ้นมาจากน้ำและลอยตัวสูงไปยังกลางอากาศที่ว่างเปล่า นัยน์ตาสีสว่างกวาดมองสำรวจที่ที่ตนอยู่ด้วยสายตาราบเรียบ
ในอาณาบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของห้วงมิติที่เงียบสงัดซึ่งมองไปยังทางใดๆก็เห็นเพียงความมืดและผืนน้ำกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด สิ่งที่ช่วยเติมแต่งที่นี่ให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในระดับหนึ่งก็มีแค่เพียงเศษซากปรักหักพังของห้องทรงสี่เหลี่ยมและข้าวของต่างๆที่ลอยคว้างไปมาราวกับไร้แรงดึงดูดเท่านั้น นอกเหนือออกไปก็คือความมืดมิด
/ตื่นแล้วล่ะ ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว/
/เธอคนนั้นลืมตาแล้ว ต้องเกิดหายนะแน่!/
/ต้องรีบบอกปณิธานแห่งอาบิส/
/ต้องบอกให้เร็วที่สุด!/
ทันใดนั้นเอง บรรยากาศที่แสนเงียบสงัดในตอนแรกก็พลันถูกทำลายลงด้วยเสียงบอกกล่าวเซ็งแซ่แหลมเล็กและเสียดแทงประสาทหูของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในห้วงมิติสีดำที่เรียกว่า อาบิส แห่งนี้ ในเงามืดของซากปรักหักพังพลันปรากฏดวงตาสีแดงเรืองรองนับสิบนับร้อยคู่สั่นไหวไปมา ผู้ถูกกล่าวถึงในบทสนทนานั้นปรายตามองอย่างเงียบงัน
“
เงียบๆกันหน่อยสิ”
สิ้นเสียงนุ่มนวลที่แฝงเอาไว้ด้วยความน่าหวั่นเกรงนั้น กระแสพลังสีม่วงก็แผ่ออกมาเป็นวงกว้างโดยมีร่างบางนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสของเหล่าเชนชั้นต่ำดังขึ้นลั่นยามเมื่อรัศมีประหลาดนั้นสัมผัมถูกตัวของพวกมัน ไม่นานนักเสียงที่แสนบาดหูนั้นก็เงียบหายไป แล้วความเงียบงันก็กลับเข้ามาแทนที่อีกครั้งหนึ่งเช่นเดิม
จ๋อม! จ๋อม! จ๋อม!
“เชสเซอร์ชอบคุณก็ตรงนี้ล่ะ ที่คุณมักจะลงมือเด็ดขาดแบบนี้เสมอๆเลย”
เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เรียกให้คนที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำหันไปมองผู้มาเยือนรายใหม่อย่างประหลาดใจ ก่อนที่รอยยิ้มอ่อนโยนบางๆจะฉาบใบหน้าขาวติดซีดของเด็กสาวให้ดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
ผู้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วลดระดับลงยืนอยู่บนผิวน้ำเดียวกับชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีแดงสดเพียงข้างเดียวและมีมือทั้งสองข้างเป็นกรงเล็บคมกริบ เห็นได้ชัดว่าในดวงตาสีฟ้าอมเขียวสว่างนั้นเต็มไปด้วยรอยแห่งความอ่อนโยนผิดกับในตอนแรกโดยสิ้นเชิง บ่งบอกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นคนสำคัญคนหนึ่งของเธอ
“นานมากๆ
อลิซกำลังรอคุณอยู่เลย ตามเชสเซอร์มาสิ”
พูดแล้วชายหนุ่มก็ออกเดินนำหน้าไป แต่เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงสดดุจเปลวเพลิงกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไปไหน
“ฉันไปหาเธอคนนั้นตอนนี้ไม่ได้
เชสเซอร์ ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากก่อนที่จะพบกับเธอ” เธอเอ่ยเสียงเศร้าพร้อมกับก้าวถอยหลังออกห่างไป
“แต่ว่าอลิซรอคุณมาตลอดเลยนะ
” เขาตัดพ้อเสียงอ่อน เด็กสาวผมแดงส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับยิ้มบางที่มุมปาก
“ฝากบอกเธอทีว่าฉันขอโทษ
สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนี้”
ในขณะที่พูดนั้นเอง ห้วงมิติสีดำเบื้องหลังของเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีเพลิงยาวระเรี่ยเอวก็พลันบิดเบี้ยวก่อเกิดเป็นรอยแยกสีขาวที่มีแสงสว่างเจิดจ้าลอดออกมา ร่างบางที่ยืนส่งรอยยิ้มเศร้ามาให้เชสเซอร์นั้นค่อยๆถูกแสงสว่างกลืนหายไปท่ามกลางสายตาตกตะลึงของแมวหนุ่มผู้รับใช้ของปณิธานแห่งอาบิสที่ได้แต่จ้องมองเฉยๆและปล่อยให้คนตรงหน้าหนีหายไป
“ว้า
จับไม่ทันอีกแล้ว แย่จังเลยนะเชสเซอร์”
เด็กสาวร่างบอบบางเจ้าของเรือนผมสีขาวพิสุทธ์ในชุดสีเดียวกันเจ้าของน้ำเสียงหวานที่ปรากฏตัวขึ้นในพริบตาด้านหลังของชายหนุ่มก้าวมายังจุดที่ผู้ถูกจองจำในมิติของตนได้หลบหนีหายไปแล้วก็แค่นรอยยิ้มบางๆราวกับจะสมเพชตัวเอง
“อลิซ
” เชสเซอร์ทำหูลู่อย่างรู้สึกผิด เด็กสาวสีขาวบริสุทธิ์ยิ้มบางแล้วเดินเข้ามาโอบกอดคนตัวสูงกว่าอย่างปลอบโยน
“อย่าเสียใจไปเลยเชสเซอร์
นั่นคือสิ่งที่เดรนาซจำเป็นต้องทำ เราเพียงต้องรอคอยเธอคนนั้นเท่านั้น”
สายฝนตกลงมากระทบพื้นดินอย่างไม่หยุดหย่อนยังภายนอกปราสาทซึ่งถูกเมฆสีดำทะมึนปกคลุม ร่างบางของเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีทองดัดเป็นลอนน้อยๆยาวถึงกลางหลังผู้มีแมวสีขาวและดำสองตัวเดินตามหลังก้าวย่างไปตามระเบียงทางเดินที่มืดมิดอย่างเชื่องช้า แล้วจึงไปหยุดยังบานหน้าต่างที่แสดงภาพทิวทัศน์มืดครึ้มของคืนที่มีพายุเข้า นัยน์ตาสีเขียวสดดุจมรกตเนื้อดีฉายแววกังวลขึ้นมาครู่หนึ่ง
“ฝนตกหนักจังเลย”
ครืน!!! เปรี้ยง!!!
ทันใดนั้นเอง บนท้องฟ้าที่มืดมิดก็เกิดสายฟ้าสว่างวาบขึ้นพร้อมกับมีเสียงดังสนั่นครั้งใหญ่ตามมา เด็กสาวในชุดนักเรียนสีขาวเพียงเบิกตากว้างอย่างตกใจในขณะที่ทำได้แต่ยืนขาแข็งอยู่ตรงนั้น
เมื่อแสงสว่างพลันดับวูบลง บนพื้นเบื้องหน้าของเธอก็ปรากฏร่างสูงโปร่งนอนนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น เส้นผมสีแดงดุจเปลวเพลิงนั้นแผ่สยายรอบตัวราวกับไฟที่ลุกไหม้ป่า ตามแขนขาของบุคคลนิรนามนี้เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยบอบช้ำมากมาย อีกทั้งชุดที่ใส่นั้นยังเป็นผ้าบางแนบเนื้อที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประเทศนี้อีกด้วย
เมื่อได้สติขึ้นมา เด็กสาวผมทองก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่งอยู่อย่างกล้าๆกลัวๆ และเมื่อวางใจว่าคนคนนี้จะไม่ทำอันตรายกับเธอแล้วก็เอื้อมมือไปปลุกเบาๆ
“เธอ
เธอเป็นอะไรรึเปล่า” เด็กสาวผมทองเอ่ยถามเสียงเบา
ทันใดนั้นเอง มือบางขาวซีดที่เย็นเฉียบราวกับศพก็ค่อยๆขยับและกำเข้าหากัน เปลือกตาเผยอขึ้นเผยให้เห็นแก้วตาสีเขียวน้ำทะเลใสกระจ่างบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนคู่หนึ่ง ร่างที่นอนอยู่ค่อยๆหยัดกายขึ้นจากพื้นแล้วเหลือบสายตามองเด็กสาวร่างบางในชุดสีขาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสายตางุนงงเล็กน้อย
“
เธอ
ที่นี่
” นัยน์ตาสีสวยกวาดสายตามองโถงทางเดินยาวของปราสาทอย่างงุนงง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาอัพให้แล้วนะคะ
ความคิดเห็น