คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : -- คิดหนัก -- -- ห่วงใย(แอบหวาน) --
-- คิดหนัก -- -- ห่วงใย(แอบหวาน) --
WAYONG : SAYS
ท่ามกลางบรรยากาศในห้องเรียนที่อื้ออึง เสียงพูดคุยของเหล่านักเรียนชายหญิงต่างคุยกันเสียงดังเหมือนกับว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาราวปีกว่า ทั้งๆที่เมื่อวานทุกคนก็ยังมาโรงเรียนและนั่งคุยกันตามปกติอย่างร่าเริง แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกร่าเริงบ้างเลยนะ กลับกันมันรู้สึกเหงาจัง มันเหมือนกับว่าขาดอะไรบางอย่างไป ใช่แล้ว... ที่นั่งข้างๆฉันไงมันว่างเปล่ามาได้5วันแล้ว... นับตั้งแต่วันจันทร์
ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา นับตั้งแต่วันที่ประชุมกันคราวนั้น ต่อจากนั้นอีกวันพีรินก็หายหน้าไปหรือจะพูดให้ถูกพยายามหลบหน้าพวกเรา แม้แต่กระทั่งการเรียนมันก็ยังทิ้ง เจ้เฟชรก็หงุดหงิดขึ้นทุกวันๆ คิมเองก็งานยุ่งขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเนริ ยิ่งลางสังหรณ์ของพวกเราบอกว่าจะเปิดศึกเร็วขึ้นเมื่อไหร่เนริก็ยิ่งมีอาการมากขึ้นจากที่เคยร่าเริงหัวเราะบ้าๆบอๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่านิ่งสุขุมจนน่ากลัว นั่นยังไม่นับพฤติกรรมที่มันไปคอยแอบมองพวกไซเรนกับตากลมที่โรงเรียนของพวกนั้นอีก คงจะเป็นห่วงพวกนั้นสินะ ตอนนี้พวกเราเป็นอะไรกันไปหมด มันเหมือนกับว่าค่อยๆมีช่องว่างเกิดขึ้นระหว่างเราทั้ง13คน ทั้งๆที่ยังกินข้าวด้วยกันอยู่บ้านเดียวกันคุยกันเล่นเหมือนเดิมก็ดูเหมือนว่าทุกๆคนห่างไกลกันออกไปทุกที ไม่ใช่แค่จับความเปลี่ยนแปลงของคนอื่นได้ฉันเองก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวฉันเองเช่นกันจากที่เคยคุยเล่นหัว ทะลึ่งทะเล้น แต่หลายวันมานี้ฉันซึมลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่นัทเองยังรู้สึกถึงเรื่องนี้จึงพยายามเข้ามาคลอเคลียฉันมากกว่าปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันทำใจคุยกับพวกเคนเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว คงมีใครซักคนในกลุ่มพวกเราบอกคุณแล้วใช่มั้ยว่าพวกเราเป็นพวกมีซิกเซนต์ หรือลางสังหรณ์ที่แม่นยำ และลางสังหรณ์ของพวกฉันมันบอกว่าพวกเคนเกี่ยวของกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยล่ะ ถึงอยากจะโกหกตัวเองขนาดไหนแต่เรื่องนี้มันรู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจทำยังไงมันก็ทำไม่ได้จริงๆ
“เวย์ เป็นอะไรไปหรอ บอกนัทได้น้า...”เสียงนัทที่คอยคลอเคลียอยู่แถวๆหัวไหล่ฉันดังขึ้น ฉันหันไปยิ้มบางๆให้นัทก่อนจะตอบ
“ไม่มีอะไรหรอกเพียงแต่ช่วงนี้มีปัญหาครอบครัวนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรมากไม่ต้องเป็นห่วง”ฉันไม่ได้พูดโกหกนะ พวกคิมเป็นครอบครัวจริงๆ ถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตาม นัทได้ฟังก็ทำตาโตก่อนจะถามขึ้นมา
“ทำไมงั้นอ่ะ ครอบครัวที่เกาหลีมีปัญหาอะไรหรอO๐O”หวังว่าท่านจะยังคงไม่ลืมว่าฉันเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนนะ
“ก็นิดหน่อยอ่ะ ไม่มีอะไรมากหรอกไม่ต้องเป็นห่วง”ฉันตอบพลางส่งยิ้มบางๆไปให้
นัทไม่ได้ติดใจอะไรเพียงแต่ส่งคำถามต่อไปมาให้ ซึ่งเป็นคำถามที่ฉันต้องสะอึก
“ว่าแต่พีรินไปไหนหรอ เราไม่เห็นตั้งหลายวันแล้ว” หึ ฉันแค่นหัวเราะในใจ ไม่ใช่แค่นายหรอกนัท ฉันเองยังไม่รู้เลยว่ามันไปไหน นั่นคือคำตอบในใจฉันแต่ที่พูดออกไป...
“คงจะมีธุระอะไรล่ะมั้ง นัทก็รู้นี่รายนั้นน่ะเป็นพวกมีงานมาให้ทำตลอดน่ะ”
“อื้อ”นัทพยักหน้าเชิงเห็นด้วยก่อนจะหันไปสนใจหน้าห้องเมื่ออาจารย์ประจำชั้นเดินเข้ามา
“เฮ้อ...”ฉันถอนหายใจเบาๆ พูดตามตรงถ้าเกิดว่านัทยังคงถามเกี่ยวกับพีรินต่ออีกซัก2-3คำถามล่ะก็ฉันคงได้หลุดปากออกไปแน่ ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราแต่ฉันภาวนาว่ามันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมโดยเร็วที่สุด
ได้โปรดเถอะ พระเจ้า....
KIM : SAYS
“คิม แกรู้เรื่องนั้นแล้วใช่มั้ย”เต๋าที่เพิ่งเอารายงานเข้ามาให้ผมถามขึ้น
“อือ”ผมพยักหน้าเล็กน้อยพลางหยิบเอาแฟ้มรายงานที่เพิ่งได้รับมาเปิดดูรายงานความเสียหายจากการที่พวกGoDลักลอบเข้ามาในองค์กร น่าแปลกทั้งๆที่พวกมันลักลอบเข้ามาหลายต่อหลายครั้งแต่ว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่จะมีของหรือเอกสารหายไป มีเพียงหลักฐานที่บ่งบอกเพียงแค่ว่าพวกมันเข้ามาได้เท่านั้นส่วนที่เหลือไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อยเหมือนกับว่ามันแค่เข้ามาเดินเล่นเฉยๆงั้นแหละ
“แล้วแกจะเอายังไง พลังของเนรินับวันก็ยิ่งแย่ลงไปทุกที เรื่องที่พวกไซเรนโดนจับไปเราปิดไอ้เนริไม่ได้นานหรอกนะ เรื่องภาพลวงตาที่แกสร้างขึ้นมาก็เหมือนกัน”เต๋าถาม ใช่แล้วล่ะ พวกไซเรนหายตัวไปได้3วันแล้ว ภาพที่เนริเห็นพวกนายไซเรนอะไรนั่นก็เป็นภาพลวงตาที่ผมสร้างขึ้น ตอนนี้ยังไงก็ยังให้เนริมันรู้เรื่องนี้ไม่ได้
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง”ผมเงยหน้าขึ้นไปถาม
“ก็ไม่ได้ให้ทำยังไงหรอกแต่แกก็สมควรจะเตรียมตัวรับความเป็นจริงซะบ้างถ้าสมมติไอ้เนริมันเกิดรู้เรื่องนี้ขึ้นมาแกคิดว่าเนริมันจะรับได้มั้ยถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนั้น”
“...”ผมเลือกที่จะให้ความเงียบเป็นคำตอบกับเต๋าแทนที่จะเป็นคำพูดใดๆแทน ถ้าจะให้ตอบจริงๆผมก็คงตอบไม่ได้หรอกจนกว่าจะถึงเวลานั้นผมให้คำตอบอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
“พูดตามตรงนะคิม กูไม่อยากให้เนริกลับไปเป็นเหมือนตอนที่โค้ชตาย”เต๋าเริ่มเปลี่ยนการใช้สรรพนาม
“แล้วมึงคิดว่ากูอยากให้เพื่อนเป็นแบบนั้นอีกงั้นหรอ กูก็ห่วงเพื่อนไม่แพ้มึงหรอก!!!”ผมตะคอก
“คิม... กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น กูขอโทษกูแค่เครียดไปหน่อย”เต๋าพูด
“เอาเหอะ ไม่ใช่แค่มึงหรอกที่เครียด กูก็เหมือนกับมึงนั่นแหละ”ผมว่า
“แล้วเรื่องพีล่ะ จะเอายังไง รายนั้นน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าเนริมันอีก พลังพีมันลดลงมากนะ ถ้าลดลงมากกว่านี้มันอาจถึงตายได้เลยนะ”เต๋าเปลี่ยนประเด็น
“รายนั้นฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกัน นายตำรวจที่พีรู้จักเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ด้วย เป็นธรรมดาสำหรับคนรู้จักที่จะต้องเป็นห่วงถ้าคนที่เราเคารพจะต้องเข้าไปยุ่งกับเรื่องอันตรายแบบนั้น”ผมบอก
“แล้วแกจะเอายังไง”เต๋าถาม
“หมายถึงเรื่องไหน เรื่องเนริ เรื่องพี หรือเรื่องไอ้พวกGoDนั่น”ผมถามพลางเปิดเอกสารเกี่ยวกับประวัติของพวกเคนดูอีกรอบ
“ทั้งหมดนั่นแหละ”
“เรื่องของเนริก็ปิดเท่าที่จะปิดได้ก็แล้วกัน ส่วนเรื่องพีคงต้องให้ริวตามประกบ ส่วนเรื่องGoDนั่นฉันยังไม่กล้าตัดประเด็นคนที่เคยอยู่ร่วมเหตุการณ์เมื่อ3ปีก่อน”ผมสรุปคร่าวๆ เต๋าพยักหน้าเชิงรับรู้
“แล้วแกคิดว่าจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่พวกแม่เล้าที่เราเอาเข้าคุกไป”
“ไม่รู้.. แต่ยังไงก็ไม่อยากจะประมาท เพราะยังไงเรื่องมันเป็นไปได้ทุกอย่างนั่นแหละ”ผมว่า
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้
“เชิญ”ผมพูดก่อนประตูจะเปิดออกมา เจ้เฟชรเดินเข้ามาในห้อง
“เป็นไง ได้เรื่องมั้ยแฟ้มเอกสารที่เจ้ส่งมาให้”เจ้เฟชรทัก เต๋าลุกขึ้นขยับเก้าอี้ให้เจ้ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว
“ไม่ไหวครับเจ้ มันไม่มีอะไรที่พอจะทำให้เดาจุดประสงค์ของพวกนั้นออกเลย เพราะแต่ละครั้งที่พวกมันเข้ามาไม่มีอะไรหายไปเลยเหมือนกับว่าพวกมันเข้ามาเดินเล่นเฉยๆ”เต๋าตอบ
“อือ แล้วคิดถึงประเด็นเมื่อ3ปีก่อนบ้างมั้ยเผื่อว่าจะพอมีอะไรให้เชื่อมโยงกันได้บ้าง”เจ้เสนอ
“คิดแล้วครับแต่นึกไม่ออกเลย เพราะคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นก็ไม่อยู่ในคุกก็โดนประหารไปเรียบร้อยแล้ว”ผมตอบแทน
“แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งวางใจ เพราะเจ้รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ เรื่องพวกที่โดนจับตัวไปก็เหมือนกัน ไม่คิดว่ามันแปลกๆบ้างหรอ”เจ้หยิบประเด็นพวกไซเรนขึ้นมา
“ทำไมหรอฮะ”เต๋าถาม
“ทำไมพวกนั้นถึงเจาะจงจับตัวคนที่เกี่ยวข้องกับพวกเราไปทั้งๆที่พวกนั้นแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกเราเลยยกเว้นเสียแต่ว่า....”เจ้เฟชรลากเสียงพลางมองหน้าพวกเรา
“ต้องการต่อรอง”ผมพูด
“เรื่องนี้เจ้เองก็ยังไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ดูพวกนั้นเองก็ต้องการอะไรจากเราเหมือนกัน คิม เราลองนึกถึงคนที่พวกมันพยายามเข้าใกล้หรืออะไรก็ตามที่สามารถอำนวยความสะดวกให้มันได้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”เจ้เฟชรเสนอ
“เนริ”ผมพึมพำ
“ทำไมถึงคิดว่าเป็นไอ้เนริล่ะ”เต๋าถาม
“แกจำตอนที่ปะทะกันที่โกดังได้มั้ย ตอนนั้นยูกิบอกว่าพลังของคนที่ชื่อGoDนั่นคือความว่างเปล่า พลังของมันถูกส่งผ่านออกมาตามส่วนต่างๆของร่างกายสามารถสมผัสได้แต่ไม่สามารถมองเห็น ว่ากันว่าพลังชนิดนี้ไม่ใช่ว่าใครจะมีได้ง่ายๆ ถ้าพลังของพวกเราคือ1ใน1,000,000 พลังของมันก็คือ 1ใน100,000,000แล้วพลังที่จะเข้ากับพลังประเภทนี้ได้มากที่สุดคือพลังที่มีความลื่นไหลได้มากนั่นก็คือพลังน้ำที่เนริมี หรือแกจะเถียงว่าในพวกเรานอกจากไอ้เนริแล้วมีใครที่มีพลังธาตุน้ำอีกยกเว้นอาคิซึ่งเป็นผู้ชาย”ผมอธิบายยาว ในเรื่องของความเป็นไปได้ผมว่าเรื่องนี้เปอร์เซ็นต์ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
“อืม เป็นไปได้นะ แต่ถ้าเป็นอย่างที่แกพูดจริงๆฉันว่างานนี้เนริอันตรายแน่แต่ฉัยนังสงสัยว่าทำไมถึงตัดอาคิออกไปในเมื่ออาคิก็เป็นพลังธาตุน้ำเหมือนกัน”ก่อนที่เต๋าจะพูดจบเจ้เฟชรก็แทรกขึ้นมาก่อน
“เพราะหลักการหยินหยางไง ในเมื่อตัวGoDเองเปรียบเสมือนพลังหยางแล้วพวกมันจะต้องการพลังหยางไปอีกทำไมในเมื่อมันมีแล้ว ส่วนเรื่องของเนริ ตามที่เจ้คิดเนริจะไม่มีอันตรายหรอกเพราะตราบใดที่เนริยังมีประโยชน์กับพวกมันอยู่พี่ว่าเนริไม่เป็นอะไรแน่นอน แต่ที่ต้องมานั่งคิดคือประเด็นที่ว่าจะทำยังไงต่อไปกับเพราะอะไรพวกมันถึงเข้ามาที่ตึกนี่มากกว่า...”
“นั่นแหละครับที่พวกผมกำลังคิดหนัก มันออกจะแปลกไปหน่อยสำหรับการเข้ามาหลายๆครั้งแล้วกลับไปมือเปล่าเหมือนมาเดินเล่นอะไรเทือกนั้น”เต๋าบอก
“แต่ครั้งที่1,2,3มีร่องรอยการรื้อค้นถึงจะแค่เล็กน้อย....”ผมชะงักไปช่วงหนึ่ง รื้อค้น ครั้งที่1,2,3หลังจากนั้นก็แค่เข้ามาเดินเล่นงั้นหรอ...
“มี’ไรหรอ”เต๋าทักเมื่อเห็นผมเงียบไป
“มี อย่างที่แกพูดการที่มันเข้ามาครั้ง1-3มีร่องรอยการรื้อค้นของอยู่ แสดงว่านอกจากมันจะต้องการตัวเนริแล้วมันยังต้องการอะไรก็ตามที่อยู่ในมือของพวกเราอีก การที่ครั้งหลังๆมาพวกมันไม่รื้อค้นของอีกเลยนั่นก็เพราะว่ามันรู้แล้วว่าของที่มันตามหาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วที่แกบอกว่าเหมือนพวกมันเข้ามาเดินเล่นเฉยๆฉันน่ามันอาจจะไม่ได้แค่เหมือน แต่มันเข้ามาเดินเล่นเลยต่างหากล่ะ”ผมบอกข้อสันนิฐานของผมให้เต๋ากับเจ้ฟัง
“แล้วคิดว่ามันทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร”เจ้ถามกลับทันที
“พูดตามตรง ไม่มีใครที่ไหนที่ลักลอบเข้ามาหลายสิบครั้งแล้วไม่มีอะไรหายไปเลยหรอกนะฮะ ตามรูปการผมว่าพวกมันมั่นใจแน่นอนแล้วว่าของที่พวกมันหาไม่ได้อยู่ที่เราแต่เหตุผลที่พวกมันยังเข้ามาอีกเนี่ยผมยังเดาจุดประสงค์ไม่ออก”ผมบอกตามความคิด
“ทำให้ไขว้เขว...”ผมกับเจ้หันมองหน้าไอ้เต๋าทันที ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้แกวเลยรีบอธิบายเป็นการใหญ่
“ก็ ถ้าสมมติว่าพวกเราเข้าใจว่าพวกมันต้องการของที่อยู่กับพวกเราจริงๆ ทางเราก็ต้องระดมกันสืบหาของชิ้นนั้นแน่นอน ไม่เพียงแค่เป็นการทำให้แตกตื่นมันยังทำให้พวกเราเข้าใจจุดประสงค์ของมันผิดด้วย ซึ่งเวลาที่พวกเราตื่นตัวกันเรื่องนี้ก็คงจะใช้เวลานั้นจัดการหรือทำอะไรบางอย่างแน่นอน”เต๋าร่ายยาว
“ก็เป็นไปได้.. แต่เรื่องที่มันจะทำระหว่างนั้นล่ะเรื่องอะไร”เจ้ถามบ้าง เต๋ายกมือขึ้นอย่างจนปัญญา แต่ผมพอจะนึกออกนะว่าพวกมันจะทำอะไร
“เนริไงพี่ พอถึงตอนนั้นเราก็ไม่ทันระวังตัวหรอก เผลอๆอาจจะลืมไปเลยว่าพวกมันก็หมายตาเนริอยู่”ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปอย่างรวดเร็ว
“อืม อ๊ะ..”เจ้ทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่เสียงโทรศัพท์ของเจ้เป็นระฆังช่วยชีวิตผมไว้ได้ทันท่วงที พดตามตรงถึงผมจะเอาตัวรอดในคำถามแรกกับคำถามที่สองมาได้แต่คำถามต่อไปพวกผมอาจจะเป็นฝ่ายพลาดท่าก็เป็นได้ แหงล่ะเจ้เข้าเนี้ยบขนาดไหน ใครๆก็รู้
“อือ.. เข้าใจแล้ว.. จะไปเดี๋ยวนี้แหละ
ติ๊ด.”เจ้ละความสนใจหันไปคุยโทรศัพท์แป๊บนึงพวกผมมองหน้ากันอย่างขอบคุณพระเจ้า เจ้จะแล้ว เย้!!! แต่เพียงพริบตาเดียวทันทีที่เจ้ปรายตามองพวกผมก็สามารถปรับสีหน้าให้เป้นหน้าดำค่ำเครียดได้อย่างแนบเนียน
“”เจ้คงต้องไปก่อนล่ะนะ ส่วนคิมก็จัดการตามอย่างที่พูดไปให้เรียบร้อยก็แล้วกัน แล้วเจ้จะกลับมาเช็คความเรียบร้อย ไปล่ะ Bye หนุ่มๆ”เจ้สั่งเสียยาวเหยียดรวดเดียวก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ปัง
เสียงประตูปิดลงพร้อมกบเสียงถอนหายใจของพวกผม2คน
“จะทำไงต่อไปล่ะเนี่ย”ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเป็นคนแรก
“อ้าว ก็ทำตามที่เจ้บอกเมื่อกี๊ไง มึงก็ได้ยินไม่ใช่หรอ”เต๋าพูดแบบกวนTeen
“มึงไม่ต้องมากวน ไอ้บ้านี่ จะไปไหนก็ไปเลย มึงอ่ะ”ผมด่าพลางเรียกกริชไฟออกมาจากกำไลข้อมือข้อมือโบราณทำท่าจะเขวี้ยงใส่มันไอ้เต๋าเหมือนจะรู้ตัววิ่งพริบตาเดียวไปโผล่อยู่หลังประตูเรียบร้อยแต่ยังมิวายโผล่หัวมายิ้มทะเล้นซะอย่างนั้น
“แค่นี้ต้องเล่นของสูงเลยนะมึง”
“ไอ้....”ผมสบถคำหยาบออกมาเป็นชุดแถมด้วยกริชไฟอีกเล่มนึงทำเอาไอ้เต๋ารีบปิดประตูชิ่งแทบไม่ทัน เฮ้อ ดีนะเนี่ยประตูห้องผมกันไฟไม่อย่างนั้นองค์กรเราคงได้เปลี่ยนประตูวันละหลายๆรอบแน่
..........................................................
.............................................
................................
.....................
........
..
PIRIN : SAYS
“เฮ้อ”เสียงถอนหายใจดังลอดริมฝีปากฉันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ รู้แค่ว่ามันมากกว่า20ครั้งแล้ว ตั้งแต่วันที่เจ้เจอหน้าฉันครั้งล่าสุด ฉันก็สุดคำสั่งพักงานแบบไม่มีกำหนดทันที ทั้งยังสั่งให้เก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนด้วย นับๆไปมันก็เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วสินะที่ไม่ได้เจอกับพวกเนริน่ะ ทุกๆเวลาอาหารเช้าริวจะเป้นคนเอาอาหารเข้ามาให้ฉันที่ห้องตามคำสั่งของเจ้เฟชร ส่วนพวกเนริฉันคาดว่าคงยังไม่รู้หรอกมั้งว่าฉันโดนคำสั่งพักงานอยู่ เรื่องที่เจ้สั่งพักงานฉันน่ะไม่ค่อยติดใจหรอก แต่เรื่องเนรินี่สิ ทั้งๆที่พลังของมันก็อ่อนแอลงตั้งเยอะแต่ทำไมเจ้ถึงยังให้ทำงานอยู่อีกทั้งๆที่มันก็อยู่ในระยะอันตรายเหมือนกับฉัน
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น อ๊ะ ฉันนี่คงจะนั่งเหม่อเพลินสินะลืมดูเวลาเลยว่ามันเป็นเลลาอาหารเย็นแล้ว
คาริวเปิดประตูห้องเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยพูดตามตรงบางครั้งฉันก็เดาอารมณ์เขาไม่ออกเหมือนกันถึงเราจะเป็นแฟนกันแล้วก็เหอะ เหมือนอย่างเช่นคราวนี้ แต่มีเพียงความรู้สึกเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
“คิดอะไรอยู่หรอ”ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันถามออกไปแบบนั้น
“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”คาริวเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางพูด
“ไม่รู้สิแต่บางครั้งก็ยอมรับนะว่าเดาความคิดของนายไม่ถูก แต่คราวนี้มันรู้สึกพิกลยังไงก็ไม่รู้สิ”ฉันพูดตามตรง
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมากเลย”ริววางถาดอาหารลงบนโต๊ะพลางเดินเข้ามาสวมกอดฉันเบาๆ บางทีสถานะฉันตอนนี้อาจจะเป็นแค่มนุษย์ผู้หญิงคนนึงที่ไม่มีสายเลือดของแวมไพร์แล้วล่ะมั้ง
“อย่าคิดแบบนั้นสิ”เสียงของริวดังที่ข้างหู คงไม่ผิดอย่างที่ฉันคิด ริวสามารถอ่านใจฉันได้โดยตรงทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ถึงทุกคนจะรู้ว่าเหล่าอัยการสามารถมีจิตเชื่อต่อถึงกันได้ตลอดเวลาแต่ทุกคนก็คงไม่คิดว่ามันจะเป็นตลอดเวลาขนาดนั้นเลยใช่มั้ย เพราะพวกฉันจะมีบางเวลาที่เราคิดแล้วผู้อื่นไม่สามรถเข้าถึงได้ ในกรณีนี้ก็เช่นกันพลังของฉันอ่อนแอลงไปมาก จนไม่สามารถปิดกั้นความคิดตัวเองจากพวกริวได้ ถ้าไม่มีพลังฉันก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา
“อย่าโทษตัวเอง”เสียงริวดังข้างหูเพียงเสียงกระซิบอย่างอ่อนโยน
“ขอโทษ.. ขอโทษจริงๆ”จากนั้นฉันก็พร่ำบอกคำขอโทษคำนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งหลับไปในอ้อมแขนของคาริว เอ่อ นั่นใช่มั้ยที่คุณต้องการให้ฉันทำ แต่ขอโทษทีค่ะ ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น ความจริงคือ...
เมื่อ5นาทีก่อน
“ขอโทษ.. ขอโทษจระ..”
แอ๊ด เสียงเปิดประตูแบบไม่ทันตั้งตัวของป้าช้อยทำเอาฉันกับริวโดดแยกออกจากกันแทบไม่ทัน
“อุ้ย.. ป้าขอโทษค่ะ คุณหนู ถือว่าป้าไม่เป็นก็แล้วกันนะคะ ป้าไปล่ะ”ป้าช้อยพูดละล่ำละลักก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความเร็วพอที่ร่างตุ้ยนุ้ยของป้าจะทำได้พร้อมกับปิดประตูแล้วลงกลอนให้อย่างเรียบร้อย
-\\\- นี่คือหน้าของฉัน
=\\\\\=และนี่คือหน้าของริว
สรุป แดงพอกัน
“เอ่อ.../เอ่อ...”ฉันกับริวพูดขึ้นมาพร้อมกันแล้วก็เข้าอีหรอบเดิม แดงทั้งคู่
“กินข้าวก่อนมั้ย คือ.. ตอนนี้มันคงจะเย็นแล้ว หรือว่าจะให้ผมลงไปอุ่นให้ใหม่ก็ได้นะ”เมื่อริวเห้นว่าฉันคงจะไม่ใชข่ฝ่ายเปิดปากพูดคนแรก เขาจึงพูดขึ้นมาซะเอง
“ไม่ต้องหรอก กินได้อยู่แล้ว แค่นี้เองมากกว่านี้ยังเคยเลย”ฉันว่าโดยพูดประโยคสุดท้ายเบาๆเหมือนกับพูดกับตัวเองก่อนจะเดินไปหยิบถาดข้าวดูว่ามีอะไรน่ากินบ้าง อืม ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ เหอะๆของโปรดเลย
ฉันคิดพลางหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวคำแรกและคำต่อๆไปลงคอโดยมีคาริวยืนดูเป็นแบร็คกราวด์
“มองทำไม”ฉันอดใจถามออกไปไม่ได้เมื่อคิดว่าคนตรงหน้ามองหน้าฉันนานไปแล้ว ใช่สิ มันยืนดูฉันตั้งแต่ข้าวคำแรกจนนี่มันหมดไปครึ่งจานแล้วพี่แกยังไม่ละสายตาไปจากฉันเลยเนี่ย
“อึดอัดบ้างมั้ย”ริวถาม ก็แค่นั้นแหละถามออกมาซะก็สิ้นเรื่อง ฉันวางจานเข้าลงพลางหยิบแก้วน้ำมาดื่มปิดท้ายก่อนจะหันหน้ามาคุยกับเจ้าตัวอย่างจริงๆจังๆ
“ทำไมต้องอึดอัดล่ะ อยู่ในห้องนี่ก็ดีแล้วไม่เล็กไปไม่กว้างไป ไม่มีโทรศัพท์ก็ดีไปอย่างไม่มีคนกวน หนังสือก็มีให้อ่าน เพลงก็มีให้ฟัง ถึงจะไม่มีวิทยุก็เหอะ”ฉันบอกอย่างสบายๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีอิสระมากเท่าเมื่อก่อนแต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัดนะ เพราะฉันก็พอเข้าใจจุดประสงค์ของเจ้เพราะฉะนั้นโทษเจ้ก็ไม่ได้อีกอ่ะแหละ
“อืม”คาริวครางรับพลางเริ่มเดินสำรวจห้องนอนฉันเป็นรอบที่3ของวัน (มันสำรวจทุกครั้งที่เข้ามานั่นแหละ)
“แล้วทำไมถึงถามแบบนี้”ฉันถามกลับ มันชักจะแปลกๆแล้วนะตานี่ อยู่มาตั้งเกือบอาทิตย์ไม่ถาม ดันมาถามวันนี้
“ก็ไม่มีอะไรนี่ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าพีจะมาเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องอย่างนี้ได้ ว่าแต่เดินหมากกันหน่อยมั้ย”ริวเปลี่ยนเรื่อง แต่เรื่องอะไรฉันจะยอมให้เปลี่ยน
“มีอะไรปิดบังพีอยู่รึเปล่า”ฉันถามตรงประเด็นทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งเฮือกเลย
“ไม่มีอะไรนี่ ว่าไงเดินหมากกันหน่อยมั้ย”คาริวบ่ายเบี่ยงพลางถามย้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉันจับน้ำเสียงได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม ดูร้อนรนขึ้น
“ริว”ฉันเรียกชื่อ
“อือ นึกขึ้นได้ว่ามีงานต้องทำต่อนะ บะ...”ริวหาทางชิ่งแต่รเองอะไรฉันจะให้ไป ก่อนความคิดมือฉันยื่นออกไปคว้าหมับที่แขนของคนตัวโตซะก่อน
“ปกตินายไม่ขี้ลืมนี่นายิ่งเฉพาะกับเรื่องงาน แล้วเสียงก็ไม่ร้อนรนแบบนี้ด้วย มีอะไรบอกมาซะดีดี”ฉันเริ่มขู่ริวมองหน้าฉันตอบพลางยกมือขึ้นมาในท่าทางที่ฉันคุ้นตา ร่ายมนต์วาร์ป
เปาะ สิ้นเสียงดีดนิ้ว ร่างของคาริวก็อันตธานหายไปราวกับว่าไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อวินาทีก่อนเลย ฉันคว้าอะไรไว้ไม่ได้เลยแม้แต่เสื้อคลุมของเขา แต่เมื่อฉันก้มลงมองที่พื้นโทรศัพท์เครื่องน้อยแสนคุ้นตากำลังนอนเล่นอยู่บนพื้น โทรศัพท์ของฉันเอง ไวเท่าความคิดฉันรีบก้มลงเก็บโทรศัพท์เครื่องน้อยนั่นมาไว้ในมือ แล้วเช็คดูซิม และเมมโมรี่การ์ด อยู่ครบ ถึงจะได้โทรศัพท์มาไว้ในมือแต่ฉันก็ไม่คิดที่จะโทรหาใคร เพราะในชีวิตฉันนอกจากพวกริวแล้วฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะโทรหาใครเลย แต่โทรศัพท์เครื่องนี้จะไม่มีความจำเป็นอะไรกับฉันเลยถ้าฉันไม่บังเอิญกดเข้าโปรแกรมข้อความขาเข้าขึ้นมาด้วยความเคยชิน ข้อความเต็มไปหมดเลย ปกติฉันไม่ใช่คนชอบเก็บข้อความโทรศัพท์นะอ่านเสร็จแล้วก็ลบทุกทีนั่นแหละ และก็อีกนั่นแหละข้อความพวกนี้จะไม่สะดุดตาเลยหากว่ามันเป็นข้อความโฆษณาทั้งหมด จริงๆแล้วข้อความที่เข้ามามีทั้งหมดเกือบ20ข้อความ แต่ว่าข้อความที่เป็นโฆษณามีแค่4-5ข้อความเท่านั้น ที่เหลือ ข้อความของพี่วินหมดเลย
พี่วิน08X-XXXXXXX (1)
พีหรอ มาหาพี่หน่อยได้มั้ย
พี่วิน08X-XXXXXXX (8)
ได้โปรดพี พี่ไม่รู้ว่าจะพึ่งใครอีกแล้ว
พี่วิน08X-XXXXXXX (14)
แม้แต่พีก็ทิ้งพี่ไปหรอ
ฉันสุ่มเปิดข้อความขึ้นมา3ข้อความ แต่ละข้อความมันทำให้ฉันกังวลทั้งนั้นเลย มันเกิดอะไรขึ้นจากพี่วินกันเนี่ย ใครทิ้งใคร ความกังวลของฉันยังไม่หายไปจนกระทั่งเปิดอ่านข้อความทั้ง14ฉบับของพี่วินอ่านทั้งหมด และเมื่อมาถึงข้อความล่าสุดที่ถูกส่งเข้ามาในเครื่องต่อจากข้อความที่14ของพี่วิน ทำให้ฉันต้องตกตะลึง
ข้อความที่ถูกส่งมานี้เป็นข้อความภาพ ภาพนั้นเป็นภาพที่คิดว่าคงจะถ่ายจากมือถือ เป็นภาพผู้หญิงคนนึงโดนกระสอบผ้าคลุมหัวพร้อมทั้งมีผู้ชายใส่กางเกงขายาวสีดำถอดเสื้ออีก5-6คนยืนอยู่ข้างๆ ผู้หญิงคนนั้นเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยช้ำโดนมัดติดกับเสาต้นหนึ่งและข้างหลังเป็นกระจกเงา แต่ฉันจะไม่เครียดเลยซักนิดถ้าเงาที่สะท้อนในกระจกมันไม่ใช่ไอ้พวกGoDนั่น!!!!
สมองของฉันเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว
พวกGoD พี่วิน พี่แก้ว ภารกิจ ข่มขืน ผู้ชาย กางเกงขายาวสีดำ เครื่องแบบ ทิ้ง...........
“พี่วิน!!”ฉันร้องลั่น ทั้งข้อความของพี่วิน ข้อความปริศนานั่น มันประจวบเหมาะเกินไปรึเปล่าถ้าข้อความทั้งหมดจะถูกส่งมาในเวลาไล่ ตามความคิดฉันผู้หญิงในรูปจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก... พี่แก้ว!!!
RaiN BloOd สายฝนสีเลือด
ความคิดเห็น