คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : The beginning of us...
1
ผมก้มมองเงินในกระเป๋าตัวเองอย่างเซ็งๆ ทำไมมันถึงได้เหลือน้อยจนน่าหนักใจอย่างนี้ล่ะเนี่ย นี่พึ่งผ่านไปแค่สองสัปดาห์เองนะ ผมแทบจะกินแกลบอยู่แล้ว โอ้ย~ ลู่หานปวดตับ
“คริส มินซอก แกสองคนคืนเงินฉันมานะเว้ย” ผมหันไปทวงเงินกับเพื่อนสนิททั้งสองคนทันที คริสที่สวมแว่นตาอ่านหนังสืออยู่เหลือบตามองผมเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือหูทวนลมต่อไป ส่วนอีกคน…
“อ้วกอั้นไออืมเอินแอออนไอ๊อ๊ะ” แกมาจากดาวไหนวะมินซอก ทำไมพูดจาไม่รู้เรื่อง ผมละสายตาจากหน้าคริสไปยังมินซอก แล้วก็พบว่ามันกำลังเคี้ยวของกินอย่างเมามันส์
“เคี้ยวให้หมดก่อนสิครับพ่อคุณ” ผมประชดมันอย่างเอือมๆ นับวันมันยิ่งบวมขึ้นเรื่อยๆแล้วนะเนี่ย
“อึก… พวกฉันไปยืมเงินแกตอนไหนวะ” มินซอกจัดการกลืนอาหารคำโตลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามซ้ำประโยคเดิม
“ไม่ได้ยืมก็ช่าง พวกแกชอบชวนฉันไปเที่ยวอยู่เรื่อย” ผมว่าอย่างคับแค้นใจ ใช่ซี่~ พวกแกสองคนมันรวย อยากไปเที่ยวบ่อยแค่ไหนก็ได้ แต่ฉันนี่เซ่! แทบจะกินแขนตัวเองแทนข้าวอยู่แล้วยังจะชวนอยู่ได้!!!
“เอ้า~ แต่แกไม่ปฏิเสธเองนะ” มินซอกว่าน่าตาเฉย ก่อนจะคีบซูชิเข้าปาก
“ใจคอแกจะปล่อยให้ฉันนั่งอยู่บ้านคนเดียวหรอวะ” พวกแกยังเป็นเพื่อนฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย
“ปกติเวลาพวกฉันไม่ชวนเที่ยว แกก็อยู่บ้านคนเดียวได้นิ” …ผมไม่สามารถเถียงสู้มันได้ครับ
“ชิ! ไม่คุยกับแกแล้ว!” ผมสะบัดบ๊อบใส่มินซอกก่อนจะหันไปปรึกษาคริส “เฮ้ย~ คริส ฉันจะทำยังไงดีวะ เดือนนี้ฉันเหลือตังค์ไม่ถึงสี่ร้อย แต่ต้องมีชีวิตอยู่ให้รอดอีกสองอาทิตย์”
“แกก็ไม่ต้องมีชีวิตรอดดิ” ไอ้มินซอกเพื่อนรัก อยู่เงียบๆเป็นมั้ยวะ ของกินในมือน่ะก็ยัดเข้าปากไปสิ
“ไม่ได้ถามแก” ผมหันไปด่ามันทีหนึ่งก่อนจะ กลับไปอ้อนวอนคริสต่อ “คริส~ ช่วยคิดทีดิ น้า~ นะๆ” ผมใช้ท่าไม้ตายสายตาวิ้งๆใส่มัน จนมันต้องยอมถอดแว่นปิดหนังสือมาคุยกับผม อันที่จริงไม่ได้สำเร็จเพราะท่าไม้ตายหรอกครับ มันรำคาญผมมากกว่า
“ไปหางานทำสิ” คำตอบเรียบง่าย ชวนให้ฉุกคิด สไตล์คริสอู๋ (ไรต์เตอร์ : โว้ะ! คล้องจองกันอย่างน่าประหลาด) ทำให้ผมนิ่งคิดไปหน่อยนึง ก่อนจะถามต่อ
“งานอะไรดีวะ” ผมไม่เคยทำงานพิเศษมาก่อนเลยนะ ต้องปรึกษาท่านคริสผู้เจนโลก
“เยอะแยะ หาเอาในเน็ตก็ได้” มินซอกแทรกขึ้นมากย่างไม่มีใครถามอีกเช่นเคย แต่กลับได้รับความเห็นชอบจากคริส บ๊ะ! นี่ไอ้มินซอกคิดได้ แต่ผมคิดไม่ได้หรอเนี่ย
“งื้อ… ไม่มีวิธีหางานที่ง่ายกว่านี้เลยหรอ” ผมเริ่มออกอาการ (ขี้เกียจ) ให้เพื่อนทั้งสองเห็น “พวกแกจ้างฉันไม่ได้หรอ ทำอะไรก็ได้” ผมหันไปยิ้มให้คุณเพื่อนสนิททั้งสอง
“ไม่อ่ะ จ้างแก ทำเองดีกว่า” มินซอกว่าแล้วส่ายหัวไปด้วย ก่อนจะขยับตะเกียบคีบซูชิอีกชิ้นเข้าปาก
“อะไรวะ ฉันทำได้ทุกอย่างเลยนะเว้ย” ผมหันไปฟาดงวงฟาดงาใส่มินซอกอย่างไม่ยอมแพ้ วันนี้ลู่หานคนนี้จะไม่แพ้อีกแล้ว!
“เสียแต่ซุ่มซ่ามไปหน่อยแค่นั้นเอง” เสียงเข้มๆของไอ้คริสดังขึ้นอีกฝั่ง มันทำให้ผมอ้าปากค้าง ก่อนที่มินซอกจะรีบยื่นมือไปไฮไฟว์กับคริสอย่างกระดี๊กระด๊า
“ไอ้คริส!!” ผมหันไปแว้ดทันทีอีกรอบ นี่ไม่มีใครเข้าข้างผมเลยงั้นสิ ชิ! ไอ้เพื่อนเลว
“หือ?” คริสยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน โอ้ย~ ไอ้หล่อ ฉันอยากจะต่อยแกจริงๆ
“หือ เหอ อะไรเล่า โว้ย! ไม่คุยกับพวกแกแล้ว!!” ผมเชิดหน้าหันไปอีกทาง คนยิ่งซีเรียสอยู่ ทำป็นเล่นไปได้ เชอะ!
“โอ๋ๆ เสี่ยวลู่ อย่างอนนะ แค่ล้อเล่นเอง” นั่นแหล่ะครับ แล้วไอ้มินซอกก็มาง้อผม ประจำ! คนอย่างไอ้คริสไม่เคยง้อใครหร๊อก
“…” ผมยังคงนิ่ง ไม่ยอมเปิดปากพูด
“เสี่ยวลู่~” มินซอกยังพยามต่อไป
“…”
“โว้ะ! ครั้งนี้มันโกรธจริงว่ะ คริส แกทำอะไรสักอย่างสิ” มินซอกที่ง้อไปได้แค่สองครั้ง เริ่มหมดปัญญา มินซอก… ทำไมความพยายามแกมันน้อยนิดอย่างนี้เนี่ย
“…ฉันจ้างแกก็ได้” สิ้นเสียงอนาคตท่านประทานบริษัทใหญ่ ผมก็แทบกระโดดเข้าไปกอดมัน ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อน!!
“จริงอ่ะ”
“อยากให้ล้อเล่นมั้ยล่ะ” ทันทีที่มันถาม ผมก็ส่ายหน้ารัวทันที “แกเห็นผู้ชายคนนั้นมั้ย” คริสชี้นิ้วไปยังลานกิจกรรมที่มีนักศึกษาคนอื่นนั่งคุยกันอยู่
“คนไหนวะ” ผมพยายามชะเง้อหน้ามอง แต่มันมีผู้ชายนั่งอยู่กันตั้งเยอะนี่หว่า ใครจะไปรู้ล่ะวะว่าคนนั้นที่มันมองกับคนนั้นที่ผมมองมันคนเดียวกัน
“คนที่ใส่หูฟัง ดูดชานมไข่มุก นั่งอยู่ข้างๆผู้ชายผิวคล้ำๆน่ะ” คราวนี้มันบอกละเอียดครับ ผมเลยเห็นชัดเลย
“ทำไมวะ” ผมถามพลางใช้สายตาสแกนด์เป้าหมาย
“หมอนั่นเป็นลูกชายคู่แข่งการค้าบริษัทฉัน ไปสืบข้อมูลที่เกี่ยวกับหมอนั่นมา” สิ้นเสียงท่านคริส อู๋ ลู่หานคนนี้ก็นิ่งอึ้งไปห้านาทีเต็ม ย้ำ! ห้านาทีเต็มเชียวนะ!!!
“จะบ้าหรอ!! เดี๋ยวก็โดนจับเข้าคุกหรอก” ใครจะไปยอมเสี่ยงกันวะ
“ก็อย่าให้เขาจับได้ดิ” มินซอกออกความเห็น เออ! พูดง่ายนะเอ็ง แล้วตอนทำล่ะวะ แค่เดินไปใกล้ๆนี่มันคงรู้ตัวแล้วมั้ง
“ถ้ามันทำง่ายอย่านั้นก็ดีสิ คุณเพื่อน” ผมส่ายหัวก่อนทำหน้าเซ็ง
“ค่าตอบแทน…ทุกอย่างที่แกต้องจ่ายในชีวิตประจำวัน ต่อจากวันที่ทำงานเสร็จจนถึงสิ้นเดือนนี้ ฉันจะจ่ายให้” แม่เจ้า!! ลู่ หานคนนี้ยอมพลีชีพเลยครับ!
“โอเค เดี๋ยวฉันจัดให้” ไอ้หนูชานมเอ๋ย นายเสร็จฉันแน่!!
ตอนนี้ผมมาสถิตอยู่ที่หอประชุมใหญ่ของมหาลัย ไม่ใช่เพราะอยากมาหรืออะไรหรอกฮะ แต่วันนี้เป้าหมายของผมมีคิวซ้อมละครคณะที่นี่ ผมเลือกทำเลที่นั่งในมุมมืดสักหน่อย หมอนั่นจะได้ไม่สังเกตเห็น ตอนนี้ผมเริ่มเก็บข้อมูลของหมอนั้นมาได้บางส่วนแล้ว เขาชื่อ โอ เซฮุน ลูกชายคนเดียวของบริษัทส่งออกเกลือรายใหญ่ของเกาหลี (ไรต์เตอร์ : ฮ่าๆ บ้านขายเกลือหรอลูก) เรียนอยู่ปีหนึ่งคณะเศรษฐศาสตร์ ชอบกินชานมไข่มุก ป๊อบมากในหมู่สาวๆของมหาลัย และที่สำคัญ …รูปถ่ายของหมอนี่เป็นที่ต้องการมากในเว็บแฟนเพจ…ขายได้ใบละร้อยเชียวล่ะ หึ หึ หึ แล้วผมก็ลงทุนไปยืมกล้องไอ้คริสมาเรียบร้อย รวยละทีนี้!
“เซฮุน นายต้องไปยืนตรงนู้นนะ เดี๋ยวพอให้สัญญาณแล้วนายก็กระโดดออกมาเลย” ชายคนหนึ่งตะโกนบอกเซฮุนที่ยืนอยู่บนแท่นข้างเวที ระหว่างนั้นนิ้วผมก็กำลังรัวชัตเตอร์อย่างเมามันส์
“สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!” เสียงสัญญาณดังขึ้น เซฮุนที่ยืนรออยู่ก็กระโดดจากแท่นลงมายังกองลังที่ถูกวางสุมรออยู่ข้างล่างทันที
ตุบ!!
“ดีมาก ให้ได้อย่างนี้เลยนะวันจริง… นายเป็นอะไรน่ะ!” สิ้นเสียงตะโกนผมก็ยืนขึ้นมองไปยังจุดเกิดเหตุทันที คิ้วเข้มของเซฮุนขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะยกแขนที่อาบไปด้วยโลหิตสีแดงฉานขึ้นช้าๆ แขนขวาของเขาถูกกรีดเป็นทางยาวตั้งแต่ท้องแขนจนถึงข้อศอก ภาพนั้นทำเอาผมเบิกตากว้าง
“เฮ้ย! ทำไมมีแท่งเหล็กวางอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ ฝ่ายสถานที่ทำไมไม่เช็ค”
“เรียกรถพยาบาลเร็วเข้า แผลเขาใหญ่มากเลย”
“รีบโทรเร็วๆ!”
เสียงของนักศึกษาคนอื่นร้องประสานกันวุ่นวาย แต่ไม่มีใครสนใจคนเจ็บที่นั่งอยู่เลย สมองผมไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น กล้องในมือถูกโยนลงบนเบาะนั่ง ก่อนจะออกวิ่งลงไปยังเวที
“นี่พวกนายทำอะไรกันอยู่ จะรอให้เขาเลือดไหลหมดตัวตายไปก่อนหรือไง!!” ผมตะโกนลั่น ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปบนเวที มือล้วงกระเป๋าเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาก่อนจะกดห้ามเลือดลงที่แขนของร่างสูงที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง “นายไม่เป็นไรใช่มั้ย ถ้าจะเป็นลมก็บอกเลยนะ” ผมถามอย่างเป็นห่วง ซึ่งคนตรงหน้าก็พยักหน้าน้อยๆอย่างรับรู้ “โทรเรียกรถพยาบาลมาหรือยัง” ผมตะโกนถามอีกครั้ง ซึ่งกลุ่มคนข้างล่างก็พยักหน้าอย่างตื่นตระหนก ชิ! ให้มันได้อย่างนี้สิ แค่วันแรกผมก็ต้องเผยตัวต่อหน้าโอ เซฮุนแล้วหรอเนี่ย แล้วอย่างนี้ผมทำงานนี้สำเร็จหรือเปล่าล่ะ โธ่~
(อะไรนะ! ยังไม่ทันสามวันเลย แกก็ได้เจอหน้ากับโอ เซฮุนแล้วหรอ!! โอ้ย~ เสี่ยว ลู่หาน) เสียงพร่ำบ่นโหยหวนดังมาจากอีกฟากของโทรศัพท์ ผมที่นั่งกินมาม่าอยู่ถึงกับต้องทำหน้าเอือม... คิดถูกมั้ยเนี่ยที่โทรหาไอ้มินซอกเนี่ย
“ก็มันเจอไปแล้ว จะให้ทำไงเล่า” ผมบ่นอุบอิบ ใครจะอยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี่กันล่ะ
(อย่าให้เรื่องนี้ถึงหูไอ้คริสแล้วกัน ไม่งั้นแกโดนเชือดแน่) มินซอก... แกพูดซะเห็นภาพเลยนะ โฮ~ความหวังที่จะมีชิวิตรอด (อีกสองอาทิตย์) ของผมลอยออกไปแล้ววว~
“แล้วฉันจะทำไงดีวะ” ว่าแล้วก็คีบมาม่าเข้าปากแก้เครียด (ไรต์เตอร์ : เริ่มทำตัวเหมือนอาเปาเข้าไปทุกวัน)
(แกต้องโชว์ผลงาน... ไปสืบหาข้อมูลสำคัญๆมา) มินซอกพูกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“...ข้อมูลสำคัญ? เช่น?” ผมนิ่งคิด... ข้อมูลอะไรหว่าที่สำคัญ ชื่อพ่อ ประวัติแม่ ผลการสอบครั้งล่าสุด ข้อมูลบัตรเครดิตครั้งสุดท้าย สัตว์เลี้ยงที่ชอบ... อันหลังเหมือนจะไม่ได้สำคัญอะไรนะ
(เร็วๆนี้ บริษัทของเซฮุนจะร่วมหุ้นกับบริษัทรายใหญ่รายหนึ่ง... ไปสืบมาดิ) โห~ ไอ้ที่คิดมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ใกล้คำว่าสำคัญเลยดิเนี่ย
“...ฟังดูยากจังอ่ะ ไม่มีอะไรที่ง่ายกว่านี้หรอ” ผมไม่ได้จบเอกนักสืบนะ จะได้สืบได้ลึกล้ำขนาดนั้น แค่รับปากว่าจะสืบให้เนี่ยก็สุดจะฝืนความสามารถแล้ว
(เลือกเอาแล้วกัน ...ว่าจะยอมโดนไอ้คริสเชือดแล้วอดตายทั้งเดือน หรือจะยอมเสี่ยงนิหน่อย แล้วสบายไปเลย) แงะ! ผมไม่อยากอดตายอ่ะ ไม่อยากโดนคริสเชือดด้วย แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน.... เอาไงดีนะ
“แกว่าฉันจะทำได้มั้ยอ่ะ” ผมถามมินซอกอย่างไม่มั่นใจ
(ถ้าแกคิดว่าได้ มันก็ต้องได้สิ)
“... อือ งั้น... ฉันจะลองดู” เสี่ยวลู่ สู้ตาย
ผมเดินย้ำบนพรมแดงภายในห้องโถงหรูหราของโรงแรมอย่างอยู่ไม่สุข ผมจะทำยังไงดีเนี่ย เดี๋ยวก็จะถึงเวลาให้สัมภาษณ์แล้ว ถ้าโอ เซฮุนจำผมได้ล่ะก็ จบเห่แน่
“เฮ้! นายน่ะ เข้าห้องประชุมได้แล้ว” ช่างกล้องที่ทำงานคู่กับผมวันนี้ร้องเรียกก่อนจะเดินกลับเข้าห้องประชุมไป ผมหยิบแว่นกันแดดอันใหญ่ขึ้นสวม อืม วันนี้ผมคือนักข่าวจากสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่เข้าร่วมสัมภาษณ์เจ้าของธุรกิจใหญ่ โอ จินยอง ไม่ใช่เสี่ยว ลู่หานอย่างในตอนปกติอีกแล้ว
“ฟู่~ เย็นไว้เสี่ยวลู่” ผมสงบสติอารมณ์ครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้าวเข้าห้องประชุมไป…
แชะ แชะ!
ทันทีที่โอ จินยองก้าวเข้ามานั่งที่โต๊ะสัมภาษณ์พร้อมกับลูกชาย เหล่าบรรดาสื่อมวลชนที่มารออยู่ก็ระดมกดชัตเตอร์ทันที ร่างของชายวัยสี่สิบต้นๆ นั่งสงบอยู่อย่างใจเย็น ต่างจากชายหนุ่มอีกคนที่ยังคงหลงเหลือความประหม่าให้เห็นอยู่บ้าง และเมื่อแสงแฟลชจากกล้องทุกตัวหยุดลง เหล่านักข่าวก็ยิงคำถามรัวทันที
“ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่าคะ ที่ทางบริษัทจะขยายสาขาไปที่ต่างประเทศ”
“จริงหรือเปล่าครับ ที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่มาเซ็นสัญญาร่วมหุ้น”
“ทางบริษัทจะมีการ…บลาๆ” และอีกมากมายหลายคำถามที่ทำให้ลู่หานไม่ต้องเปลืองแรงถามเอง แต่มันก็เยอะมากจนคนตัวเล็กที่ก้มจกอยู่ไม่มีช่องว่างเงยหน้าขึ้นมามองเหมือนกัน
“แล้วทางคุณโอ เซฮุนล่ะคะ ไม่ทราบว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องรับช่วงต่อกิจการในอนาคตคะ” คราวนี้คำถามถูกยิงไปยังลูกชายที่นั่งข้างๆบ้าง โอ เซฮุนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรวบรวมสติมาตอบคำถาม
“ก็รู้สึก…”สายตาคมของคนถูกถามแส่มองไปซ้ายทีขวาที่พลางเรียบเรียงคำตอบ ก่อนจะเลียริมฝีปากตัวเอง แล้วเอ่ยตอบ
“…ตื่นเต้นครับ แล้วก็รู้สึกกลัวอยู่หน่อยๆ แต่ช่วงนี้ก็พยามเรียนรู้งานที่บริษัทเพื่อกำจัดความรู้สึกเหล่านี้อยู่ครับ” โอ เซฮุนยกยิ้มน้อยๆอย่างพอใจในคำตอบของตัวเอง แต่เพียงแค่นั้นก็ทำเอาบรรดานักข่าวสาวๆใจสั่นกันเป็นแถว
“ครับ ขอบคุณสำหรับการให้สัมภาษณ์ครับ” เหล่านักข่าวต่างก็โค้งและกล่าวขอบคุณ ตามด้วยโอ จินยองที่ลุกขึ้นโค้งน้อยๆอย่างไว้มาด เซฮุนเองก็ทำตาม แต่ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังก้มหัวให้บรรดาสื่อมวลชนอยู่นั้น ตาคมก็เหลือบไปเห็นร่างของคนที่เขาพึ่งเคยเจอแค่ครั้งเดียว แต่ก็จำได้อย่างแม่นยำ แต่ดูเหมือนคนๆนั้นจะยุ่งๆอยู่กับกระดาษในมือจนไม่ทันสังเกตเห็นเขาที่มองอยู่
“อือ ตรงนี้คือคำถามที่ต่อจากตรงนี้…” ผมพึมพำกับตัวเองพลางใช้ความคิด ไอ้ที่จดๆมาก็ทับกันมัวไปหมด บางอันก็เป็นคำตอบที่ไม่ตรงกับคำถามข้างบน จนไม่แน่ใจว่าใช่อันเดียวกันหรือเปล่า …เอาให้คริสทั้งๆอย่างนี้เลยได้มั้ยนะ ระหว่างที่ผมกำลังตัดสินใจอยู่นั้น ก็มีแรงสะกิดที่ใหล่ทำให้ต้องหันไปมอง “นาย…”
“พี่จำผมได้ใช่มั้ยฮะ” ร่างสูงตรงหน้าผมคือ โอ เซฮุน คนที่ผมพึ่งจะไปจดบทสัมภาษณ์ของพ่อเขามาไงครับ จำผมได้ไงเนี่ย!?! นี่ใส่แวนตาทับแล้วนะ
“อะ…เอ่อ จำได้สิ” ในเมื่อเขาจำเราได้ เราจะแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ก็คงจะไม่ใช่วิธีเอาตัวรอดที่ดีนัก ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบไปตามความจริง
“พี่ก็เป็นนักข่าวหรอฮะ” โอ เซฮุนยังคงถามต่อ ตาคมๆนั่นก็จ้องมาที่กระดาษในมือกับป้ายที่คอผมผม
“อืม” ถามมาแค่ไหน ผมก็ตอบแค่นั้นแหล่ะครับ จะให้ผมมาสนิมชิดเชื้อกับเขามากไม่ได้หรอกครับ ในเมื่อต้องแอบสืบข้อมูลเขาอีกตั้งเกือบสองสัปดาห์
“อยากได้ข้อมูลที่มากกว่านี้มั้ยฮะ” ใบหน้าขาวเนียนอาบไปด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างที่คนอื่นมาเห็นต้องละลายกันเป็นแถบ… แต่ผมว่ามันดูเจ้าเล่ห์แปลกๆนะ
“ก็ต้องอยากได้สิ” ผมตอบไปพลางคิดว่า ‘มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว’ เด็กนี่จะถามไปทำไมเนี่ย หรือว่าถูกจ้างมาให้สืบข้อมูลผมเหมือนกัน? แต่จะสืบไปเพื่ออะไรล่ะ บ้านผมไม่ได้ทำธุรกิจอะไรซะหน่อย
“งั้นพี่ตามผมมาสิ แล้วผมจะตอบคำถามให้” โอ เซฮุนทำท่าจะเดินไปที่ประตูห้องประชุม ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นผมไม่ตามไป …ให้ตามไป แล้วจะบอก? นี่มันง่ายไปหน่อยนะ
“แล้วทำไมฉันต้องทำตามที่นายบอก?” ผมหันไปถามนิ่งๆ แต่นั่นกลับทำให้โอ เซฮุนยิ้มน้อยๆ
“เพื่อแลกกับข้อมูลที่พี่อยากได้” ร่างสูงที่อ่อนวัยกว่าพูดอย่างเหนือชั้น ผมเม้มปากเป็นเส้นตรง… ข้อมูลที่อยากได้? แลกกับการไปกับเขาที่ผมไม่รู้ว่าจะเจออะไร… มันค่อนข้างเสี่ยง แต่ผมก็ต้องทำมันสินะ
“แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไง ว่านายจะทำตามที่บอก” เซฮุนไม่ตอบ แต่ล้วงบางอย่างออกมาจากเสื้อสูทชั้นดี แล้วยื่นให้ผม
“นี่เป็นนามบัตรที่มีลายเซ็นของผมอยู่ ไม่ได้หากันง่ายๆหรอกนะ ถ้าผมทำอะไรพี่ ก็เอาไอ้นี่ไปยื่นแจ้งความ…แค่นี่ก็น่าจะพอแล้วนะ” ผมยืนชั่งใจอยู่นานก่อนจะยื่นมือไปปรับนามบัตรใบนั้นมา “ที่นี่เราไปกันได้หรือยังฮะ?” ร่างสูงยิ้มบางก่อนจะก้าวนำหน้าผมไป เฮ้อ~ ทำงานครั้งนี้มันจะคุ้มกับค่าจ้างจริงมั้ยเนี่ย
ความคิดเห็น