1 เดือน ต่อมา
หลี่เฉิน เดินทางเร่รอนขึ้นมาทางตอนเหนือเรื่อย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น กระทั่งมันมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มันคือ ป่าอสูรบรรพกาล ซึ่งถือได้ว่าป่าแห่งนี้นั้น เป็นสถานที่ ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัตย์อสูรดุร้ายมากมาย เหล่าชาวยุทธ เกือบทั้งทวีปเทวะสวรรค์ จะเข้ามาแสวงโชคนะที่แห่งนี้ตลอดทั้งปี
ป่าอสูรบรรถกาล โดยรอบนอกจะเป็นป่าพื้นราบ ที่กินพื้นที่หลายร้อยตารางกิโลเมตร ซึ่งบริเวณป่อรอบนอกแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะมีสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งต่ำสุดอยู่ที่ระดับลมปราณเริ่มต้นและปราณแท้จริง แต่เนื่องจากสัตว์อสูรมีขนาดที่ใหญ่โตและมีผิวหนังที่หนาพิเศษ จึงทำให้ชาวยุทธส่วนใหญ่ ถึงแม้จะมีระดับฝีมือเท่า ๆ กับมัน จะต้องอาศัยจำนวนคนอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป รุมล้อมเพื่อที่จะสังหารมัน
แต่ถึงอย่างไร ก็มีบ้างบางครั้งสัตว์อสูรระดับลมปราณกษัตริย์ที่อยู่บริเวณเขตกลาง จะเดินออกมายังบริเวณรอบนอก แต่ก็มีน้อยมาก
เนื่องจากมีชาวยุทธมากมาย เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นโดยรอบ ๆ บริเวณรอบนอกเขตป่าอสูรบรรพกาลจึงมีพ่อค้าหลายรายเข้ามาจับจองพื้นที่ตั้งร้านน้ำชา รวมไปถึง โรงเตี้ยมขนาดเล็ก อยู่ย่อม ๆ
หลี่เฉิน เมื่อเดินเข้ามาถึงก็มองหาร้านน้ำชาเป็นอันดับแรก เนื่องจากกินผลไม้มาหลายมื้อแล้ว ก็เลยนึกอยากกินอาหารที่ดี ๆ บ้าง ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นย่อมไม่มีปัญหากับมันแต่อย่างใด ด้วยระหว่างทางที่มันเดินทางผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ตัวมันไปหางานทำโดยการรับจ้างแบกสินค้าให้พ่อค้าบ้าง ล้างจานบ้าง เพื่อนำเงินไปซื้อหาอาหาร และก็พอมีเหลือติดตัวบ้าง
"เถ้าแก่ ขอซาลาเปา 3 ลูกกับชาร้อน 1 ถ้วย"
"รอซักครู่นะครับ"
หลี่เฉิน ในยามนี้ได้หายจากความเศร้าเสียใจไปได้สักพักแล้ว ยามนี้ยังคงหลงเหลือแต่ความแค้นเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของคนกลุ่มใด ดังนั้น การหาร่องรอยผู้ที่สังหารมารดาของตนและคนในหมู่บ้านนั้น มันจึงคิดที่จะเริ่มต้นหาจากสถานที่แห่งนี้ เพราะสถานที่นี้เต็มไปด้วยเหล่าชาวยุทธมากมายหลายสำนัก เพราะมันเองได้คาดเดาเอาไว้ว่าการฆ่าล้างหมู่บ้านได้ในชั่วเวลาอันสั้นจะต้องเป็นพวกที่มีวรยุทธอย่างแน่นอน ดังนั้น มันจึงคิดว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
ร้านชาแห่งนี้ เป็นร้านเล็ก ๆ เจ้าของร้านทำเองคนเดียวทุกอย่าง แต่ด้วยลูกค้าก็ไม่ได้มีมากมายเท่าใดนัก หลี่เฉิน จึงไม่ต้องรอคิวนานเท่าไหร่
"ชาร้อน ๆ และซาลาเปา มาแล้วครับ จอมยุทธน้อย"
เถ้าแก่ ที่เห็นว่า หลี่เฉิน เป็นเพียงเด็กหนุ่มแต่สามารถเดินทางมาถึง ป่าอสูรบรรพกาลได้นั้น จะต้องมีวรยุทธพอตัวอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่ามันเองที่พอจะมีวรยุทธอยู่บ้างแต่กลับไม่สามารถสัมผัสพลังปราณของ หลี่เฉิน ได้ก็ตาม เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีชีวิตรอดจากพวกโจรที่ดักปล้อนตามรายทางมาถึงที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
หลี่เฉิน ผู้ที่เพิ่งจะออกมาท่องยุทธภพครั้งแรก ถึงแม้ไม่ได้ฝึกวรยุทธฝึกแต่พลังลมปราณอย่างเดียว แต่ก็มีไหวพริบดีและการอาศัยทักษะการชกต่อยกับเพื่อน ๆ ตอนวัยเด็กบ่อยครั้ง ทำให้เขาสามารถจะเอาตัวรอดมาได้ เมื่อเจอกับกลุ่มโจรที่รอดักปล้นตามเส้นทาง แต่สำหรับกลุ่มชาวยุทธที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ กลับหัวเราะเยาะและกล่าวตัดบทสนทนาของเถ้าแก่ทันที
"ฮ่า ๆ ๆ เถ้าแก่ เด็กนั่นมันไม่มีได้มีวรยุทธเลยแม้แต่น้อย จะไปเรียกหามันว่าจอมยุทธได้อย่างไร"
"จริงด้วย เจ้าอย่ามัวเสียเวลากับมันเลย รีบ ๆ ไปเอาอาหารมาให้พวกข้าเร็ว ๆ"
"ครับ ๆ จะไปเดี๋ยวนี้แล้วครับ"
หลี่เฉิน ที่นั่งฟังอยู่ก็ไม่คิดจะโกรธเคืองพวกมันแต่อย่างใด หากถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้ว 1 เดือนที่ผ่านมา ตัวมันที่โดนพวกโจรดักปล้นตามรายทาง ล้วนแล้วแต่คิดว่ามันไม่มีวรยุธเช่นกัน แตกต่างจาก หลี่เฉิน ที่สามารถระบุตัวตนของพวกมันได้หมดทุกคนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโจร หรือกลุ่มชาวยุทธโต๊ะด้านใน มันย่อมสามารถสัมผัสได้ว่าแต่ละคน มีการฝึกฝนอยู่ในระดับใด โดยเฉพาะคนที่พูดถากถางและดูถูกตัวมันเมื่อสักครู่นี้ ก็อยู่เพียงแค่ระดับลมปราณ แท้จริง ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับ หลี่เฉิน ส่วนพวกที่เหลือ ยังอยู่ในระดับลมปราณแรกเริ่มทั้งสิ้น
หลี่เฉิน ในยามนี้นั้น ต่างจากเมื่อหนึ่งเดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง ด้วยลมปราณของจิตวิญญาณ เหลาตง และ หมิงเทียน ที่เป็นลมปราณระดับราชันมหาราช ถึงแม้จะมีเพียงสามในสิบส่วนก็ตาม แต่กลับสามารถเทียบได้กับชาวยุทธที่บรรลุระดับลมปราณกษัตริย์อย่างแน่นอน แต่ด้วยขนาดเส้นลมปราณที่ใหญ่โตของ หลี่เฉิน การคงอยู่ของลมปราณจึงกระจายตัวเต็มพื้นที่ของเส้นลมปราณ และด้วยความหนาและยืดหยุ่นของเส้นลมปราณนี้เองที่ทำให้ผู้ที่ฝึกฝนอยู่ระดับที่ต่ำกว่าระดับลมปราณจักรพรรดิจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณของ หลี่เฉิน
เมื่อกินอิ่ม หลี่เฉิน ก็มุ่งหน้าไปหาโรงเตี้ยมเช่าพักทันที ซึ่งก็มีเหลือเฉพาะขนาดกลาง และราคาก็แพงไม่ใช่เล่น ๆ หลี่เฉิน นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเข้าพัก
"พักไปก่อน 5 วัน เงินในถุงเรามีเพียงพอให้พักได้แค่นี้ เดี๋ยวค่อยเข้าป่าอสูร บรรพกาล หาเก็บผลึกวิญญาณสัตว์อสูรมาขายให้พวกชาวยุทธคงพอได้ค่าที่พักหลายเดือน"
เมื่อตัดสินใจได้ หลี่เฉิน ก็จ่ายเงินและเข้าห้องทันที หลี่เฉิน เมื่อเข้ามาภายในห้องได้ก็ล้างหน้าล้างตัวทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ขึ้นไปนั่งบนที่นอนและโคจรลมปราณอย่างเช่นทุกคืนวันที่ผ่านมา เขาทำเช่นนี้มาได้ระยะเวลา 1 เดือนแล้ว ถึงแม้ในตอนแรกที่โยนคัมภีร์เทวะทิ้งไปในกองไฟเพื่อเผาทำลายทิ้ง แต่ตัวมันเองก็มานึกเสียใจทีหลังที่ทำลงไปอย่างนั้น ด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบเดียว แต่ยังดี ที่ตัวมันเองได้ท่องจำไว้หมดแล้ว เพียงแต่ที่มันท่องจำนั้น กลับเป็นเพียงแค่วิถีการฝึกฝนลมปราณเท่านั้น
ดังนั้น ในยามนี้ตัวมันจึงไร้ซึ่งกระบวนท่ายุทธ
เวลาผ่านไป 1 ชั่วยาม หลี่เฉิน ก็โคจรลมปราณครบหลายพันรอบ จึงยุธติการฝึกฝน และหันมานอนหลับพักผ่อนต่อทันที ถึงแม้ตัวของมันในยามนี้ จะสามารถอยู่แบบไม่ต้องหลับนอนได้ต่อเนื่องหลายวันก็ตาม แต่ตัวมันเองกลับยังไม่รู้เพราะเหตุที่ไม่เคยมีใครบอกกล่าวต่อมัน และตัวมันก็ไม่ได้สนใจจะถามไถ่ผู้รู้คนใด
ที่ผ่านมาระหว่างที่ถูกโจรดักปล้นชิง หลี่เฉิน อาศัยทักษะจากการชกต่อยกับเพื่อนในหมู่บ้านที่เข้าไปฝึกวรยุทธในเมืองลิขิตฟ้า รังแกอยู่บ่อยครั้งระหว่างที่ตัวมันเข้าไปส่งผักยังตลาดในเมือง ซึ่งแรก ๆ มันเป็นฝ่ายถูกซ้อมฝ่ายเดียว จนหลัง ๆ ก็สามารถรับป้องกันได้ และพัฒนาจนถึงขั้นต่อยเตะสวนกลับไป แต่ก็ไม่สามารถทำให้พวกนั้นบาดเจ็บอันใดได้เลย เนื่องจากตัวมันนั้นไร้ซึ่งลมปราณ น้ำหนักหมัดกับเท้าเลยกลายเป็นดั่งหมัดที่สวมใส่นวมที่นุ่ม ๆ
แต่เมื่อมันใช้ในยามนี้ช่างแตกต่างจากครั้งก่อนมากมายนัก เพราะเพียงหมัดเดียว สามารถทำให้หัวหน้าโจรที่มีการฝึกฝนในระดับลมปราณแท้จริง สลบ กองลงกับพื้นได้ทันที
.....
รุ่งเช้าวันใหม่ หลี่เฉิน ตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืด หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังป่าบรรพกาลทันที เขาอ้อมมาเข้าทางด้านข้าง ๆ ที่ห่างไกลจากกลุ่มชาวยุทธคนอื่น ๆ ซึ่งบริเวณนี้ส่วนก็มีชาวยุทธเดินทางผ่านบ้าง แต่ก็น้อยมาก
"เจ้าหนู ไม่อยากมีชีวิตอีกแล้วหรือไง ถึงมาเดินเล่นแถวนี้ "
"ข้าแค่จะหาเก็บสมุนไพรรอบนอกเท่านั้นเองท่านจอมยุทธ คงไม่เป็นอันตรายอะไรกระมัง"
"ซะที่ไหนละ เจ้าโง่ แถบนี้ สัตว์อสูรมันออกมาหากินอยู่เรื่อย ๆ ไม่รู้เลยรึไง เข้าไปลึกกว่านี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย ไปหาที่อื่นดีกว่า"
"จริง ๆ หรือนี่ ถ้างั้นข้าจะรีบเก็บแล้วรีบกลับ"
"ตามใจเจ้า ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้วกัน เกิดเหตุอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าไม่ใจดีเข้าไปช่วยเจ้าหรอกนะ"
"ขอบคุณที่เป็นห่วง"
"ชิ !! ..."
เมื่อเห็นว่า หลี่เฉิน ยังดึงดันจะเข้าไป ในป่าแห่งนี้ จอมยุทธคนดังกล่าวก็รีบพุ่งทะยานหายไปในป่าอสูรบรรพกาลอย่างรวดเร็ว
"ระดับลมปราณกษัตริย์ ฮึ!! ..ช่างแตกต่างจากระดับลมปราณแท้จริงราวฟ้ากับดินจริง ๆ เราจะต้องฝึกฝนให้หนักเท่าใดกันจึงจะก้าวผ่านไปถึง .."
"ฟู่!! "
หลี่เฉิน ถอนหายใจแล้วจึงเดินเข้าป่าไป เพียงแต่เขาเลี้ยวไปคนละทางกับจอมยุทธเมื่อสักครู่นี้
"เอ๋ !! แล้วถ้าเราเจอสัตว์อสูรจะต้องทำไงละที่นี้ เราไม่มีวรยุทธเลยด้วยซ้ำ"
!! กริ๊ก ๆ ๆ...!!
ไม่ทันจะจบคำของหลี่เฉิน ก็มีเสียงขู่คำรามจากทางด้านหน้าของเขาทันที เมื่อหลี่เฉิน สังเกตุเห็นก็ต้องตะลึงกับขนาดของมัน เพราะนี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ตัวมันเองได้พบเจอกับสัตว์อสูร
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
พระเอกเรายังโล่ได้อีก เขวี้ยงคัมภีร์ลงในกองเพลิงเอาสมองส่วนไหนคิด คัมถีร์ไม่ได้ผิดรัยมาคิดเสียใจตอนนี้ก็สายแล้ว แม้จะจำเคล็ดวิชาฝึกลมปราณได้ แต่กระบวนท่ายุทธไม่มีเพราะความใจเร็ว สมน้ำหน้าได้ของดีมาก็ทิ้งขว้าง