หลี่เฉิน ลอยค้างอยู่กลางอากาศบนปุยเมฆเมื่อสิ้นสุดพลังงานที่มันได้กระโดดขึ้นมา แม้จะเป็นเวลาเพียแค่เสี้ยววินาทีเดียว ที่มันได้มองเห็นแสงของดวงอาทิตย์สาดกระทบกับเหล่าก้อนเมฆจนเกิดเป็นสีทอง ก่อให้เกิดความสวยงานอย่างที่ตัวมันไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ความหวาดกลัวเมื่อสักครู่นี้ พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น แต่ความรู้สึกนี้ ก็คงอยู่ได้ไม่นาน
!! ฟู่ฟฟฟ !!
"เหวอออ.....ช่วยข้าด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที!!!"
หลี่เฉิน ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกใบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะตะโกนสุดเสียง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชาวบ้านได้ยินเสียงของมันอย่างชัดเจน ชาวบ้านแถวนั้นกลับได้ยินเหมือนเสียงฟ้าคะนองซะมากกว่า จึงไม่มีใครคิดจะสนใจหันไปมองทางเสียงที่ดังขึ้นมา
.....!! ตุบ ...
"อั๊ก "
"เอ๋ ? ทำไมเราถึงไม่เป็นอะไรเลยละ"
หลี่เฉิน ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม เมื่อตัวมันที่ตกลงมาจากที่สูงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด และในขณะที่ตัวมันกำลังสับสนอยู่นั้น จู่ ๆ ภายในห้องก็เกิดแสงสว่างจ้าจนมันต้องหลับตาลง ไม่นานนัก เมื่อมันลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามีบุรุษวัยกลางคนทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้า
"เจ้าไม่ต้องตกใจหรือแปลกใจ" เหลาตง กล่าว
"หนุ่มน้อย เจ้าชื่อว่า หลี่เฉิน ใช่ไหมก่อนที่พวกข้าจะบอกกล่าวอะไรให้เจ้าได้รับรู้ เจ้าจะต้องรับปากกับพวกข้า ว่าเรื่องราวในวันนี้ เจ้าจะไม่บอกกล่าวต่อผู้ใดเป็นอันขาด แม้กระทั่งมารดาของเจ้าเอง ไม่อย่างนั้นความวุ่นวายต่าง ๆ จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้าเอง"
หมิงเทียน กล่าวเสริมต่อ
หลี่เฉิน เป็นคนที่มีไหวพริบดีอยู่แล้ว ก็พอจะเดาออกถึงเรื่องดังกล่าวจึงตอบตกลง
"ข้าเข้าใจดีครับ ข้าให้สัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร"
"ดี" เหลาตง กล่าว
"ข้ามีนามว่า เหลาตง ส่วนคนนี้มีนามว่า หมิงเทียน พวกเราสองคนเป็นจิตวิญญาณที่ปิดผนึกอยู่คัมภีร์เล่มหนึ่ง"
"หรือว่า......" หลี่เฉิน อุทานออกมาอย่างลืมตัว
"ถูกต้อง คัมภีร์เทวะ มันเป็นคัมภีร์ที่พวกเราทั้งสองสร้างขึ้นมาเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน"
"หนึ่งหมื่นปี" หลี่เฉิน อ้าปากค้างไม่สามารถกล่าวคำใดออกมาได้อีก
เหลาตง เหลือบมองด้วยหางตา ก่อนจะหันหลังกลับมามองจ้องใบหน้าหลี่เฉินตรงๆ พร้อมกับกล่าวต่อไปว่า
"คัมภีร์เทวะ ถูกสร้างขึ้นด้วยความที่พวกเราไม่อยากให้วรยุทธที่คิดค้นขึ้นมาอย่างยากลำบากต้องหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้พร้อมกับพวกเรา" เหลาตง หยุดนิ่งไปสักพัก หมิงเทียน จึงได้กล่าวเสริมต่อทันที
"ยามนั้นหลังจากที่เกิดสงครามระหว่างฝ่ายมารกับฝ่ายเทพจนทำให้เกิดความสูญเสียเป็นวงกว้างพวกเราทั้งสองพลันเกิดความละอายแก่ใจ เนื่องจากสาเหตุของสงครามที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากพวกเรานั่นเอง ดังนั้นพวกเราจึงตกลงกันนัดประลองยุทธเพื่อตัดสินสงครามในครั้งนี้"
"แต่ระหว่างที่พวกเราต่อสู้จนถึงขึ้นใกล้จะตายกันทั้งสองฝ่าย พวกเราก็นึกเสียดายวรยุทธที่คิดค้นขึ้นมา จึงได้ตกลงกันผนึกจิตวิญญาณรวมกันไว้ในตาราเปล่าเล่มหนึ่งหลังจากนั้นพวกเราก็ส่งกระแสจิตรังสรรค์ตัวษรบนตำราว่า คัมภีร์เทวะ พุ่งหายเข้าไปก้อนเมฆทันที ปล่อยให้ร่างกายที่ไร้วิญญาณของพวกเราหล่นอยู่กลางกองทัพของทั้งสองนับแสนคน" หมิงเทียน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายกับการตัดสินใจในครั้งนั้นแต่อย่างใด
"หลังจากที่พวกเราพุ่งหายขึ้นไปยังบนก้อนเมฑ ก็ตัดสินใจลอยไปอยู่ในเมืองลิขิตฟ้าแห่งนี้ เนื่องจากเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่โตมากนัก เพื่อป้องกันการแก่งแย่งกันของทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุการต่าง ๆ ย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาของเหล่าชาวยุทธที่ฝึกฝนบรรลุขั้นลมปราณมหาราชอย่างแน่นอน"
"ถ้าอย่างนั้น ทำไมมันถึงยังไม่มีใครได้ครอบครองมานานนับหมื่นปีละครับผู้อาวุโส" หลี่เฉิน พอจะเข้าใจความตั้งใจของทั้งสองท่านแต่ก็ยังไม่เข้าใจในบางเรื่องตรงที่ว่า คัมภีร์ดังกล่าวยังคงรอดพ้นจากเหล่าชาวยุทธมานับหมื่นปี
"ฮ่า ๆ ๆ เจ้าดูถูกพวกเรามากไปแล้วเจ้าหนู" เหลาตง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ห้าวหาญอย่างภาคภูมิใจในตัวเองอย่างที่สุด
"จริงอยู่ว่า ทั้งสองฝ่ายจักต้องออกตามหามันอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถครอบครองได้หรอกนะ เพราะว่าผู้ที่จะได้ครอบครอง จะต้องเป็นบุคคลที่พวกเราทั้งสองนั้นเห็นพ้องต้องกันเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองมันได้"
"ดังนั้นคือ....." หลี่เฉิน อุทานออกมาอย่างแผ่วเบา
หมิงเทียน เมื่อเห็นว่า หลี่เฉิน พอจะเข้าใจเรื่องราวก็กล่าวเสริมอีกว่า
" ถูกต้อง พวกเราสามารถไปมาที่ไหนก็ได้ตามแต่ที่พวกเราต้องการ ดังนั้นที่ผ่านมาจึงไม่มีใครได้พบเจอพวกเรา จนเวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องราวคัมภีร์เทวะ จึงได้เลือนหายไปจากยุทธภพตามกาลเวลานั่นเอง"
"อ่อ ..."
"เอาละทีนี้ ถึงทีของเจ้าแล้วละ หนุ่มน้อย" เหลาตง กล่าวขึ้นพร้อมมองด้วยสายตาเฉียบคมไปยังใบหน้าของ หลี่เฉิน ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในการหวาดกลัว
"ร่างกายเจ้าตอนนี้ มีพลังลมปราณของพวกเราทั้งสองเพียงแค่ 3 ใน 10 ส่วนเท่านั้น ฉะนั้น หลังจากนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วละนะ ว่าจะเพิ่มพูนพลังได้มากน้อยเพียงใด พวกเราทั้งสองคงต้องไปแล้วละ"
"ผู้อาวุโส พวกท่านจะไปยังที่แห่งใดกัน"
"พวกเรามอบพลังที่เหลือให้กับเจ้าไปหมดแล้ว อีกไม่นานจิตวิญญาณก็คงดับสลายไป อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ค่อย ๆ ศึกวิชาในคัมภีร์ให้ดีก็แล้วกัน"
เมื่อกล่าวจบประโยค จิตวิญญาณทั้งสองก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ หลี่เฉิน นั่งสับสนอยู่พักใหญ่
"แล้วข้าจะฝึกวรยุทธยังไงท่านผู้อาวุโส ข้าไม่เคยฝึกมาก่อนเลยนะ" หลี่เฉิน นั่งบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหยิบ คัมภีร์เทวะ ที่หล่นอยู่ข้าง ๆ แล้วลุกเดินออกไปนอนกบ้าน เพื่อรอรับมารดาที่จะกลับออกมาจากในเมืองลิขิตฟ้า
หลี่เฉิน นั่งบนแคร่หน้าบ้าน คิดทบทวนคำพูดของผู้อาวุโสทั้งสองท่าน จนมาหยุดตรงที่ว่าในตัวของเขาเองในตอนนี้ มีพลังลมปราณ 3 ใน 10 ส่วนของผู้อาวุโสทั้งสอง
"นี่แค่ 3 ใน 10 ส่วนเองนะ ยังร้ายกาจขนาดนี้ แล้วถ้าพลังเต็ม 10 ส่วนจะขนาดไหน"
หลี่เฉิน หยิบคัมภีร์เทวะ ออกมาเปิดอ่านไปพราง ระหว่างรอมารดาของตนเองกลับมาจนเวลาล่วงเลยไปครึ่งชั่วยาม หลี่เฉิน ก็เข้าใจวิธีการก่อกำเนิดพลังลมปราณในร่างกายและการชักนำให้พลังลมปราณโคจรผ่านจุดชีพจรต่างๆ ในร่ายกาย
"เอาละ เข้าใจหมดแล้ว ต่อไปก็เป็นการลองปฏิบัติ ไม่รู้จะได้ผลไหม"
หลี่เฉิน นั่งทำสมาธิและเริ่มกำหนดจิตเพื่อสัมผัสพลังลมปราณในร่างกาย เนื่องจากว่ามีลมปราณของผู้อาวุโสทั้งสองอยู่แล้ว ทำให้เขาสามารถสัมผัสได้โดยง่าย
"สัมผัสได้แล้ว ต่อไปก็ชักนำให้โคจรผ่านจุดชีพจรทั้ง 108 จุด ตามอย่างในคัมภีร์เทวะ"
หลี่เฉิน คิดในใจและทำตามอย่างที่คิดไปพร้อม ๆ กัน เขาค่อย ๆ ใช้จิตเพ่งตรงพลังลมปราณที่สัมผัสได้และค่อยชักนำให้เคลื่อนที่ไปตามเส้นลมปราณในร่างกาย ตามที่คัมภีร์เทวะ ได้บอกไว้ การกระทำดังกล่าว เป็นไปอย่างช้า ๆ เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้ฝึกโคจรลมปราณ จนเมื่อเขาชักนำลมปราณไปได้ครบ 108 จุด เขาก็ชักนำไปอยู่ตรงจุดแรกที่เขาสัมผัสพลังลมปราณได้ในครั้งแรก หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
"สำเร็จ ข้าทำได้แล้ว" หลี่เฉิน รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่สามารถฝึกวรยุทธได้อย่างที่เขาฝันเอาไว้ หลังจากที่เพื่อน ๆ หลายคนได้เข้าไปฝึกวรยุทธในสำนักต่าง ๆ ในเมืองลิขิตฟ้า แต่เนื่องจากตัวมันเองเป็นห่วงบิดากับมารดา จึงอยากอยู่ช่วยทำงานกับพวกท่านทั้งสองเลยตัดสินใจไม่ไปฝึกตามอย่างที่พวกเพื่อน ๆ ของมันได้ทำกัน
หลี่เฉิน ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับระดับลมปราณหรือโลกของวรยุทธ เขาเพิ่งจะได้สัมผัสกับพลังลมปราณ เป็นครั้งแรก ตัวของมันในยามนี้ ไม่ได้รู้เลยว่า ทั่วทั้งทวีปเทวะสวรรค์แห่งนี้ มีมันเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทะลวงจุดชีพจรครบ 108 จุด
เพราะชาวยุทธส่วนใหญ่ จะสามารถทะลวงจุดชีพจรต่าง ๆ ได้เพียง 54 จุดเท่านั้น
ส่วนยอดยุทธที่สามารถทะลวงได้มากกว่านี้ ก็จะเป็นตัวตนที่สามารถครอบครองระดับลมปราณจักรพรรดิขึ้นไป ซึ่งหาได้ยากยิ่งในทวีปเทวะสวรรค์ในปัจจุบัน
แต่ถึงอย่างไร หลี่เฉิน เองก็เพียงบรรลุระดับลมปราณแรกแท้จริงเท่านั้น จะแตกต่างจากคนอื่นก็ตรงที่ จิตวิญญาณของ เหลาตง และ หมิงเทียน ช่วยกันชัดนำลมปราณโคจรทะลวงชีพจรทั้ง 108 จุดให้กับตัวมันตลอดทั้งคืนจากช้าและเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เส้นลมปราณของ หลี่เฉิน ในยามนี้ได้ขยายกว้างกว่าคนทั่วไปถึง 10 เท่า และมีความแข็งแรงยืดหยุ่นสามารถรองรับระดับลมปราณราชันมหาราช เหมือนอย่างที่ เหลาตง และ หมิงเทียนนั้นเคยบรรลุถึง ซึ่งถือได้ว่าในรอบหนึ่งหมื่นปี มีเพียงสองท่านนี้เท่านั้นที่ก้าวข้ามระดับลมปราณมาถึงระดับนี้ได้
..............................................................................................................................
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ยาวดีขอบคุณครัช