ไม่ได้ผ่านการตรวจคำถูกคำผิดนะครับ
.....................................................
'ฟุป ฟุป ฟุป ฟุบ'
ภาพเงามายาที่พุ่งผ่าน หยวนจี๋ และ เหล่าผู้อาวุโสของสำนักหงเหิน สาขาที่หนึ่ง เพียงเวลาเสี้ยววินาทีที่พวกเขากะพริบตา หลี่เฉิน ก็ย้ายมายืนอยู่ด้านหลังเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งหกคนก็ต่างกระอักเลือดออกมาคำโต พร้อมกับร่างที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ล่วงลงกองกับพื้นทันที
'ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ'
ศิษย์สำนักหงเหินทุกคน ได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า และเมื่อหลี่เฉินหันหน้ามองมาทางพวกมัน ทุกคนต่างก็ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวดกลัวต่อหลี่เฉิน "พวกเจ้าจำหน้าข้าเอาใว้ให้ดี หากเจอกันครั้งหน้า ข้าจะไม่ใจดีแบบนี้อย่างแน่นอน" หลี่เฉิน กล่าวจบก็หันหลังเดินทางไปขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปทางเมืองฉงชิ่งทันที
หลี่เฉิน เพียงแค่ต้องการประเมินพลังของตัวเองเทียบกับสำนักใหญ่ดูเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดจะสังหารใคร เมื่อเขาสามารถรับรู้ถึงพลังบางส่วนของสำนักใหญ่ได้แล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสู้ต่อไป จึงได้โจมตีจุดสลบของ หยวนจี๋ และบรรดาผู้อาวุโสทั้งหก
"ท่านหัวหน้า ท่านผู้อาวุโส" เสียงร้องเรียกของศิษย์คนหนึ่งที่ได้สติกลับคืนมาหลังจากที่ หลี่เฉิน เดินทางออกไปได้สักพัก จึงทำให้ทุกคนนั้นได้สติกันหมด และต่างก็รีบวิ่งเข้าไปดูอาการทั้งหกคนทันที
....
...
ณ เมืองฉงชิ่ง
หลีฟุ กับ อี้หลิน กำลังนั่งพักในศาลเจ้าในซอยท้ายสุดของเมืองฉงชิ่ง ซึ่งเป็นศาลเจ้าไม่ใหญ่มากนัก ทั้งสองกำลังนั่งกินซาลาเปาด้วยสีหน้าที่กังวลกับความปลอดภัยของหลี่เฉิน ถึงแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่หลี่เฉินนั้นมีให้กับพวกเขา
"ท่านอาฟุค่ะ เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม ?"
"เฮ้อออ....ข้าก็ได้แต่หวังเช่นนั้น ถึงแม้หลี่เฉินจะมีพลังปราณที่ลึกล้ำ แต่ว่าตัวตนอย่างสำนักหงเหินใช่ว่าจะต่อกรได้ง่าย ๆ"
เมื่อหลีฟุกล่าวจบ พวกเขาต่างก็ถอนหายใจยาวพร้อม ๆ กัน และต่างก้มหน้าก้มตากินซาลาเปาต่อไป พวกเขาต่างก็ภาวนาให้หลี่เฉินมีชีวิตรอดปลอดภัยกลับมา
"ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ"
"..." หลีฟุ
"..." อี้หลิน
ทั้งสองหันใบหน้าไปทางต้นเสียงที่ดังมาจากทางเข้าศาลเจ้าแห่งนี้ทันที เพราะเสียงที่พูดเมื่อกี้นั้นเป็นเสียงของคนที่พวกเขากำลังเป็นห่วงอยู่ หลี่เฉิน นั่นเอง เขาก้าวเท้าเข้ามายังศาลเจ้าด้วยท่าทีสบายใจ ถือของกินเต็มสองมือ เมื่อเดินมาใกล้ หลี่เฉิน ก็นั่งลงตรงกลางระหว่าง หลีฟุกับอี้หลินทันที
"อะ...นี่พุธทรา นี่พัดสาย ๆ และก็นี่ปิ่นปักผม แล้วก็ชุดอีกสองสามชุด ข้าให้เจ้า ส่วนท่านอาวุโส ข้าก็มีชุดมาให้ด้วยเหมือนกันครับ"
เมื่อหลี่เฉินจัดแจง แจกของให้ทั้งสองเสร็จ เขาก็หยิบซาลาเปาขึ้นมากินต่อทันที โดยไม่ได้ดูใบหน้าที่สองคนมองเขาเลยด้วยซ้ำ ทั้งสองมองด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อกับการกระทำของเขา แต่ก็ยื่นมือไปหยิบด้วยความระแวงนิด ๆ ปนกับความดีใจที่เขาปลอดภัยกลับมา
หลังจากทั้งสามคนกินจนอิ่มเรียบร้อยแล้ว หลีฟุ ก็บอกกับหลี่เฉินว่าตนกับอี้หลินอยากจะตั้งหลักที่เมืองฉงชิ่งสักระยะ ซึ่งหลี่เฉินก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะพวกเขาตกลงกันไว้แล้วว่า หลี่เฉิน มีหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยให้ทั้งสองคนเท่านั้น จากนั้น หลีฟุ กับอี้หลิน ก็เริ่มการฝึกวรยุทธต่อ ส่วน หลี่เฉิน ก็นั่งโคจรลมปราณบริเวณใกล้ ๆ กัน โดยที่ตัวเขาได้สร้างข่ายพลังปราณห่อหุ้มบริเวณโดยรอบในรัศมีหนึ่งเมตร สำหรับการฝึกวรยุทธของตนเอง
เวลาผ่านไปสักพัก หลี่เฉิน ก็เข้าสู่จิตปราณอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากเขาได้บรรลุพลังปราณเทวะ ดังนั้น การสัมผัสรับรู้สรรพสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเขาจึงมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งยวดในระยะหลายกิโลเมตร หลี่เฉิน จึงต้องกางข่ายปราณเพื่อตัดโลกภายนอกออกสิ้นเชิงสำหรับการนั่งโคจรลมปราณ
ส่วนทางด้านหลีฟุกับอี้หลินที่กำลังฝึกฝนอยู่นั้น ต่างก็หยุดมองหลี่เฉินทันที เมื่อจู่ ๆ พวกเขารู้สึกว่าตัวตนของหลี่เฉินหายไปจากจิตสัมผัสของพวกเขา แต่ภาพเบื้องหน้ากลับยังเห็น หลี่เฉิน นั่งโคจรลมปราณอยู่ดังเดิม นี่จึงทำให้พวกเขานั้นรู้สึกตลึงอย่างมาก อยู่ใกล้ขนาดนี้แต่ไม่อาจสัมผัสตัวของหลี่เฉินได้ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันทีหากว่าศัตรูของพวกเขานั้นเป็น หลี่เฉิน
....
....
....
รุ่งเช้า
ณ สำนักหงเหิน
ภายในห้องโถงใหญ่ของสำนัก ที่บัดนี้มีผู้คนจำนวนมากมาย กำลังนั่งสนทนากันอย่างออกรส เรื่องที่ถกเถียงกันคงไม่พ้น จอมยุทธปริศนาที่ปรากฎกายขึ้นในงานประลองยุทธประจำปีและได้ทำร้ายรองเจ้าสำนักกับผู้อาวุโส จนบาดเจ็บสาหัส และมันก็เป็นหัวข้อที่ถูกเจ้าสำนักเรียกประชุมด่วนในวันนี้
เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้น ทุกคนต่างก็เงียบเสียงลง พร้อมกับการเดินเข้ามาของเจ้าสำนักคนปัจจุบัน เหลียวฉี่ฟง "คาราวะทั่นเจ้าสำนัก" ทุกคนภายในห้องต่างลุกขึ้นยืนแสดงการคาราวะอย่างพร้อมเพรียงกัน "ทุกท่าน เชิญนั่ง"
"ทุกท่านคงจะทราบดีในการเรียกประชุมในวันนี้ เกี่ยวกับจอมยุทธลึกลับที่ทำร้ายผู้อาวุโสของสำนักเรา"
"แต่ก่อนจะหารือเรื่องการแก้แค้น ข้าอยากให้ทุกท่าน ฟังข้อมูลของจอมยุทธลึกลับดังกล่าวก่อนที่จะให้ช่วยกันตัดสินใจอีกทีนึง"
"หยวนจี๋ เจ้าจงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ทุกคนในที่นี้ได้รับรู้หน่อย"
"ครับ ท่านเจ้าสำนัก" หยวนจี๋ กล่าวรับคำพร้อมกับลุกขึ้นยืนและเล่าเหตุการณ์ที่ได้พบเจอเมื่อวาน
"บุคคลดังกล่าว เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าการฝึกฝนนั้นอยู่ในระดับราชันมหาราชและเท่าที่พวกเราได้ประมือ คาดว่าน่าจะอยู่ในระดับขึ้นสูงสุดอีกด้วย"
"โหวววว" ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง ตัวตนราชันในวัยเด็ก มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่งจนไม่อาจทำใจเชื่อได้โดยง่าย หากนี่ไม่ใช่เรื่องราวที่ออกมาจากปากของ หยวนจี๋ คงไม่มีใครทำใจเชื่อได้อย่างแน่นอน
"คราแรกที่พวกเราได้รู้ว่ามันเป็นคน ๆ เดียวที่ทำร้ายท่านรองเจ้าสำนักและผุ้อาวุโส ข้ากับอาวุโสของสาขาอีกห้าคนก็ช่วยกันรุมจัดตัวหวังจะนำตัวมันมารับโทษอย่างสาสม แม้จะได้ยินว่าเป็นคนที่มีฝีมือขึ้นทำร้ายตัวตนระดับราชันทั้งสองลงได้ แต่พวกข้าก็คิดว่า ด้วยฝีมือระดับราชันถึงหกคน คงไม่ยากเย็นนักในการจับกุมตัว แต่แล้ว......" หยวนจี๋ หยุดพูดไปชั่วขณะ เมื่อเขานึกถึงช่วงที่ หลี่เฉิน ลงมือจู่โจมจุดสลบของตน ทำให้เข้าหวาดกลัวขึ้นมาทันที
"แต่ว่าอะไร ท่านหยวนจี๋ รีบๆ กล่าวมาสักที" เสียงของคนที่กำลังฟังที่เห็นว่าเขาเงียบไป จึงได้เอ่ยเรียกสติกลับมา หยวนจี๋ ค่อย ๆ หันไปมองทางต้นเสียงอย่างช้า ๆ พร้อมกับกล่าวต่อ "แต่ว่า...เพียงการลงมือครั้งเดียว กลับโจมพวกเราทั้งหกคนจนสลบทันที"
"โอวววว" หลายคนที่ได้ยินก็อุทานออกมาอย่างตื่นตลึงกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเมื่อครู่นี้
เมื่อเล่าเรื่องจบ หยวนจี๋ ก็นั่งลงด้วยอาการยังหวาดผวาอยู่เล็กน้อยกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อเห็นดังนั้น เหลียวฉี่ฟง ก็พูดต่อทันที
"ทุกท่าน โปรดอยู่ในความสงบก่อน เรื่องนี้ พวกท่านทั้งหลาย คิดเห็นเป็นเช่นไรเชิญกล่าวออกมาได้เลย"
หลังจากนั้น หลายคนต่างก็กล่าวออกความคิดเห็นกันอย่างเคร่งเครียด เพราะหากว่าเป็นสำนักใหญ่เช่นเดียวกับสำนักหงเหิน พวกเขาต่างก็มีฝีมือพอ ๆ กัน ไม่มีได้เปรียบเสียเปรียบมากนัก การต่อสู้ตัวต่อตัว อาจจะตกตายด้วยกันทั้งสองฝายด้วยซ้ำ แต่สำหรับจอมยุทธลึกลับที่ปรากฏตัวมากระทันหันนั้น กลับสามารถทำร้ายตัวตันระดับราชันระดับสูงของสำนักหงเหินจนบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งสามารถทำร้ายราชันทั้งหกคนได้ภายในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น นี่จึงเป็นหัวข้อที่หลายถกเถียงกันอย่างออกรส
...
...
...
ส่วนฝั่งทางด้านศาลเจ้า ซึ่งเป็นที่พวกหลี่เฉินพักอาศัย บัดนี้ หลีฟุ กับ อี้หลิน กำลังยืนจ้องมอง หลี่เฉิน ที่ยังนั่งโคจรลมปราณตลอดทั้งคืน แม้พวกเขาจะพยามจะเข้าใกล้เพื่อจะเรียกหา แต่ก็เข้าไปได้แค่ระยะ หนึ่เมตรเท่านั้น ก็โดนอัดกระเด็นออกไปทันที พวกเขาจึงได้แต่ยืนจ้องมองอย่างเดียวเพื่อรอให้หลี่เฉินรู้สึกตัวเอง กระทั่งเวลาผ่านไปสามถึงสี่ชั่วโมง
"อี้หลิน เจ้าอยู่เฝ้าเด็กนี่ก็แล้วกัน ข้าจะออกไปหาของกินก่อน"
"ค่ะ ท่านอาฟุ"
หลังจากนั้น หลีฟุ ก็ออกไปเดินยังตลาดในเมืองเพื่อหาเสบียง ส่วนหลี่เฉินนั้น ตอนนี้กำลังโคจรลมปราณอย่างลืมตัว เนื่องจากการสัมผัสรับรู้มีความไวพิเศษ จึงเป็นเรื่องง่ายดายที่ตัวหลี่เฉินจะสามารถรับรู้ถึงเส้นลมปราณของตนเอง กระทั่งกระแสลมปราณก็ปรากฏชัดและสัมผัสได้อย่างชัดเจน จุดชีพจรทั้งห้าสิบสี่จุด เขากำลังเพ่งจิตตามประแสปราณที่เข้าชักนำให้ไหลผ่านจุดชีพจรต่างๆ อย่างใจจดใจจ่อ โดยไม่ได้รับรู้โลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย
.................................
จบตอน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย