"เอ๋..แปลกจังเลยแฮะ ทำไม่ข้าถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับครั้งก่อนละ "
หลี่เฉิน ลุกมาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ แล้วเริ่มสำรวจร่างกายของตัวเอง ผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ เมื่อไม่พบว่าตนเองมีบาดแผลหรือมีอาการบาดเจ็บภายในแต่อย่างใด ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับแหงนหน้ามองขึ้นไปดูบนปากหลุม จากนั้นตัวของเขาก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจนถึงบริเวณปากหลุมและตัวของเขาก็หยุดยืนตรงจุดที่เขามองเมื่อครู่นี้
"รู้สึกว่าเราสามารถควบคุมและใช้พลังปราณได้ดั่งใจกว่าแต่ก่อนอีก"
หลี่เฉิน รู้สึกแปลกใจกับสภาพของตนเองอยู่มิใช่น้อย แน่นอนว่าผลมาจากการฝึกฝนวรยุทธในความฝันนั้น ที่ตัวเขาได้มีการโคจรลมปราณไปตามท่วงท่าของกระบวนท่าวรยุทธทั้งวิชาฝ่ามือและวิชากระบี่นั้น จิตใต้สำนึกของเขาก็สั่งให้ร่างกายภายนอกโคจรลมปราณตามในความฝันเช่นกัน จึงทำให้อาการบาดเจ็บนั้นหายดี และพลังปราณเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว เส้นชีพจรในร่างกายเต็มไปด้วยกระแสของพลังลมปราณ ซึ่งก่อนหน้านี้นั้น ด้วยเส้นชีพจรที่หนาและใหญ่ของเขา ทำให้พลังปราณที่มีกระจายตัวอยู่อย่างบางเบา ไม่หนาแน่นเช่นในตอนนี้
หลังจากดีใจกับพลังปราณที่เพิ่มขึ้นได้พักนึง หลี่เฉิน ก็ลองแผ่กระแสปราณที่เบาบางกระจายออกรอบ ๆ ตัวของเขา ซึ่งเขาสามารถใช้มันได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คิดกระแสปราณก็แผ่กระจายออกทันทีอย่างรวดเร็ว มันแผ่กระจายออกไปเรื่อย ๆ จากระยะทาง 1 เมตร ก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
ระยะทาง 10 เมตร
ระยะทาง 50 เมตร
ระยะทาง 100 เมตร
.
.
.
.
ระยะทาง 500 เมตร
"......."
หลี่เฉิน ตะลึงกับระยะทางของกระแสปราณที่เขาสามารถส่งกระจายไปสำรวจได้โดยรอบในรัศมีระยะ 500 เมตร เพราะก่อนหน้านี้ เขาสามารถทำได้เพียงระยะทางไม่กี่เมตรเท่านั้น อีกทั้งตัวของเขาเองในยามนี้ ไม่มีความรู้สึกว่าได้ใช้พลังปราณอะไรมากมายเลย หากเป็นเมื่อก่อนคงจะทำให้เขาหน้ามืดไปแล้วก็เป็นได้เพราะการขาดหายของพลังปราณนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวเขาอดแปลกใจไม่ได้ แต่ก็เพียงแค่พักเดียวเท่านั้น เขาก็กลับมามีสติดั่งเดิมอย่างรวดเร็ว และด้วยความสามารถในการสำรวจหรือตรวจสัมผัสด้วยกระแสปราณได้ในระยะที่ไกล หลี่เฉิน จึงคิดที่จะเข้าไปยังใจกลางของป่าอสูรบรรพกาล ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ ทันที เพื่อเสาะหาที่พัก สำหรับฝึกฝนวรยุทธ เพราะหากเข้าไปยังเขตในได้แล้ว คงแทบไม่มีชาวยุทธคนใดที่จะผ่านมาเห็นการฝึกฝนของเขาได้
หลี่เฉิน เดินทางตลอดทั้งคืนผ่านเขตกลางของป่าด้วยความสะบายใจ เนื่องจากตอนนี้เขาสามารถรับรู้ถึงการคงอยู่ของสัตว์อสูรในป่าเขตนี้ได้ในระยะทางที่ไกลมากจึงทำให้สามารถหลีกเลี่ยงไปทางอื่นที่ไม่มีสัตว์อสูร ตลอดทั้งคืน เขาจึงเดินทางผ่านด้วยความราบรื่น แม้จะต้องเดินอ้อมไปมาบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าเสียเวลาไปกับการปะทะกับสัตว์อสูร แม้เขาจะสามารถจัดการมันได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายจนเกินไปบางทีอาจเป็นการเรียกสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ที่อยู่ ใกล้ ๆ ให้เข้ามาเพิ่มอีกก็เป็นได้
กระทั่งตัวของ หลี่เฉิน ได้เดินทางมาถึงแม่น้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า โดยมีอีกฟากฝั่ง เป็นพื้นที่ของป่าอสูรบรรพกาลเขตใน ซึ่งมีสัตว์อสูรระดับปราณมหาราช อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ในทวีปเทวะสวรรค์แห่งนี้นั้น มีเพียงผู้ที่มีการฝึกฝนอยู่ในระดับขั้นลมปราณมหาราชเท่าขึ้นไป ที่เข้ามาถึง แต่ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ค่อยจะเข้ามาบ่อยนัก นอกเสียจากจะมาคอยดูแลความปลอดภัยของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ของสำนักตนเอง ที่ทางสำนักส่งเข้ามาฝึกฝน ทุก ๆ ปี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่การช่วยเหลือนั้น มีกฎที่ว่า จะต้องมีภัยอันตรายถึงขึ้นต้องเสียชีวิตเท่านั้น ถึงจะได้รับการช่วยเหลือ
และด้วยเหตุที่ห้วงเวลาการฝึกฝนของเหล่าสำนักใหญ่ ๆ ที่จะส่งบรรดาศิษย์เข้ามาฝึกฝนนั้น ยังเหลือเวลาอีก 6 เดือนกว่าจะถึง ในช่วงนี้จึงไม่มีใครที่เข้ามาอยู่ในบริเวณป่าอสูรบรรพกาลเขตกลาง ทำให้การเดินทางของ หลี่เฉิน นั้นเป็นไปด้วยความราบรื่น
หลี่เฉิน ส่งกระแสปราณเข้าไปสำรวจพื้นที่ฝั่งตรงข้ามจนแน่ใจว่าบริเวณโดยรอบในรัศมี 500 เมตร ของฝั่งตรงข้ามนั้นปลอดภัยจากเหล่าสัตว์อสูร เขาก็รุดหน้าไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยกระบวนท่า เงาเทวะสังหาร ทันทีด้วยความไม่ประมาทเพื่อหลบเลี่ยงการพบเจอของใครก็ตามที่อาจอยู่แถวนี้และรอดพ้นจากการตรวจพบของเขา แม้กระทั่งสัตว์อสูรที่อ่าจผ่านมาพอดีกับจังหวะที่เข้าเข้ามาถึงบริเวณป่าฝั่งตรงข้าม ก็อาจจะเป็นไปได้
-พรึบ-
หลี่เฉิน มาปรากฎตัวขึ้นตรงจุดที่ห่างไกลจากบริเวณริมแม่น้ำฝั่งเขตในของป่าอสูรบรรพกาลลึกเข้ามาประมาณ 1 กิโลเมตร ก็เจอกับภูเขาที่สูงชันขวางกันตรงหน้า
"มองไกล ๆ นึกว่าจะขึ้นไปได้ง่าย แต่พอมาเห็นกับตา รู้สึกว่าอาจจะขึ้นลำบากกว่าที่คิดไว้ซะอีกนะเนี่ยะ"
เมื่อบ่นกับตัวเองจบ หลี่เฉิน ก็ทะยานขึ้นไปเขาลูกใหญ่ลูกนี้ด้วยกระบวนท่า มังการเวหา อย่างรวดเร็ว จนเวลาผ่านไปสักพัก ก็มาถึงครึ่งทาง เขาได้พบกับแนวหน้าผาที่มีพื้นที่โล่งกว้างพอประมาณ เขาหยุดลงบริเวณนี้ และเดินสำรวจแถว ๆ ขอบหน้าผา และทันทีที่ตัวเขาได้ทอดสายตามองออกไปยังเบื้องหน้า ก็ทำให้เขานั้นรู้สึกตื่นเต้นกับภาพที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้าของตนเองยิ่งนัก ภายใต้แสงจันทร์ในยามใกล้จะรุ่งสาง ภาพเงาของแนวสันเขาที่ทอดยาวสุดสายตา ท่ามกลางความมืดสลัวที่มีเสียงของสัตว์อสูรดังเป็นระยะ ๆ สร้างความน่าหวาดกลัวให้กับผู้คนยิ่งนัก แต่กลับทำให้ หลี่เฉิน ปลอดภัยจากโลกภายนอกอย่างมาก
"ข้าจะสร้างที่พัก เพื่อฝึกวรยุทธตรงนี้แหละ"
"ซู๊ดดดดด อ่าาาา !! สดชื่นจริง ๆ"
หลี่เฉิน นอนลงที่ใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ กับหน้าผา ดื่มด่ำกับบรรยากาศจนเผลอหลับไปในที่สุด
...................
เช้าวันต่อมา
....
....
....
เมืองลิขิตฟ้า
สำนักพยัคฆ์ขาว
ณ ห้องโถงใหญ่ของสำนัก ที่บัดนี้มีบุคคลมากมายของสำนักเข้ามานั่งเต็มทั้งสองฝั่งของห้องโถง อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยมีผู้อาวุโสที่อยู่แถวหน้าสุด 10 คน และพวกเขาเป็นตัวตนที่เหล่าบรรดาศิษย์ในสำนักต่างก็เคารพนับถือพร้อม ๆ กับหวั่นเกรงอีกด้วย
10 ผู้อาวุโสของสำนักพยัคฆ์ขาว คือ ตัวตนที่มีการฝึกฝนในระดับขั้น ลมปราณมหาราช และถือได้ว่าพวกเขาเป็นขุมกำลังอันสำคัญที่คงอยู่ในสำนักแห่งนี้ซึ่งสามารถทำให้ สำนักพยัคฆ์ขาว กลายเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งแห่งเมืองลิขิตฟ้า เนื่องจากสำนักอื่น ๆ แต่ละสำนักนั้น ถึงแม้จะเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสของสำนักที่มีระดับการฝึกฝนขั้นลมปราณมหาราชก็ตามแต่เมื่อนับจำนวนบุคคลที่สามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้นั้นมีเพียงแค่สำนักละไม่เกิน 5 คน จึงทำให้ไม่มีสำนักไหน กล้าหาญต่อกรกับสำนักพยัคฆ์ขาวได้
"ท่านเจ้าสำนักมาถึงแล้ว !!!! "
ผู้คนในห้องโถงที่กำลังคุยกันอย่างออกรสชาติต่างกลับมาอยู่ในท่าทีที่เงียบสงบทันที่ เมื่อได้ยินเพียงตะโกนของคนเฝ้าประตูนอกห้องโถง
-ตุบ ตุบ ตุบ ๆ ๆ.....- เสียบฝีเท้าคนเดินค่อย ๆ ดังเข้ามาจนผ่านบรรดาเหล่าหัวหน้าของสำนักจนมาถึงเบื้องหน้าผู้อาวุโสทั้งสิบ
"ข้าน้อย เตียวหยุน คำนับผู้อาวุโสทั้งสิบ"
"อืมมม...."
เตียวหยุน เมื่อคำนับทักทายเหล่าผู้อาวุโสเรียบร้อยแล้ว ตัวมันก็นั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง และเริ่มกล่าวเปิดการประชุมของสำนักทันที
"ทุกท่าน คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในอีก 6 เดือนข้างหน้า จะมีการส่งศิษย์ของสำนักเข้าสำรวจในป่าอสูรบรรพกาล ดังนั้น เพื่อลดการสูญเสียของลูกศิษย์สำนักเราและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขายขึ้หน้ากับชาวยุทธ ทางสำนักจึงได้จัดให้มีการคัดเลือกตัวแทนแต่ละฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ศิษย์ของหัวหน้าฝ่ายขวา ฝ่ายซ้าย และฝ่ายหัวหน้าคุมกฎ ให้ส่งตัวแทนฝ่ายละ 10 คน รวมแล้วก็จะเป็น 30 คนเพื่อคัดเลือกให้เหลือเพียง 10 คนที่จะได้เข้าไปยังป่าอสูรบรรพกาลในอีก 6 เดือนข้างหน้า และกำหนดการที่จะทำการคัดเลือกคือ 3 เดือน หลังจากวันนี้ เพราะฉะนั้น ให้ทุกท่านเร่งฝึกฝนให้กับบรรดาศิษย์ทุกคนให้แข็งแกร่งโดยเร็ว มีใครจะกล่าวเพิ่มเต็มหรือไม่......"
"ถ้าไม่มี เรื่องต่อไปคือ หลังจากการเข้าสำรวจป่าอสูรบรรพกาลครั้งนี้ สำนักราชันกระบี่ จะจัดให้มีการประลองยุทธของศิษย์รุ่นเยาว์ทั่วทวีปเทวะสรรค์ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จะมีการเชิญทุกสำนักทั้งในเมือง เทวะสวรรค์ และ เมืองลิขิตฟ้า เข้าร่วมการประลองยุทธในครั้งนี้"
"..โหหหหห.."
เสียงดังอื้ออึงขึ้นมาในทันทีที่ เตียวหยุน กล่าวจบ เพราะหลาย ๆ สำนักต่างก็รู้ดีว่า สำนักราชันกระบี่ นั้นมีผู้ฝึกฝนอยู่ในระดับลมปราณ มหาราช ร่วม 30 คน ส่วนบรรดาเหล่าลูกศิษย์ก็ล้วนอยู่ในระดับขั้นลมปราณจักรพรรดิเกือบครึ่งสำนัก อีกทั้งสำนักใหญ่ ๆ ในเมืองเทวะสวรรค์ ก็แทบจะไม่แตกต่างจากสำนักราชันกระบี่แต่อย่างใด แตกต่างกันก็เพียงจำนวนผู้ที่บรรลุขึ้นลมปราณมหาราชเท่านั้นที่มีจำนวนมากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับบรรดาลูกศิษย์ล้วนมีการฝึกฝนในขั้นลมปราณจักรพรรดิซะส่วนใหญ่
หากเปรียบเทียบกับ สำนักพยัคฆ์ขาว ที่นอกจากสิบผู้อาวุโส นอกนั้นก็มีเพียงเหล่าหัวหน้าฝ่าย 3 คนเท่านั้นที่บรรลุขึ้นลมปราณจักรพรรดิ ที่เหลือนั้นอยู่ในระดับขั้นลมปราณกษัตริย์ครึ่งหนึ่งของสำนัก ที่เหลือก็ลดหลั่นลงไป
ในเมื่อยุทธภพต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่พวกเขากลับเชื้อเชิญให้เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ ซึ่งก็เหมือนกับการหยามพวกเขาในทางอ้อมนั่นเองหากศิษย์พวกเขานั้นพ่ายแพ้ แต่หากไม่รับคำเชิญ ก็จะกลายเป็นการสร้างความโกรธเคืองให้กับพวกเขา ดังนั้น จึงจำเป็นที่เหล่าสำนักต่างๆ ก็ต้องตอบรับคำเชิญและส่งตัวแทนเข้าร่วมการประลอง
"เงียบก่อน ๆ " เตียวหยุน กล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนนั้นกลับมาอยู่ในความสงบ
"ข้ารู้ว่าพวกท่านคิดอย่างไร แต่จะอย่างไร สำนักเราก็ต้องส่งตัวแทนไปเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ คาดว่าพวกท่านคงจะเข้าใจ ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ศิษย์ทั้งสิบที่เข้าสำรวจในป่าอสูรบรรพกาลเสร็จสิ้น เหล่าบรรดาผู้อาวุโสทั้งสิบ ที่คอยติดตามเฝ้าดูการสำรวจในป่า จะเป็นผู้ลงความเห็นเสนอชื่อ 5 คน เพื่อส่งเข้าร่วมการประลอง และสำหรับ 5 คนที่ถูกคัดเลือก จะได้รับ ผลึกวิญญาณอสูรขั้นจักรพรรดิ คนละ 1 ก้อน เพื่อดูดซับพลังและได้รับการฝึกฝนโดยตรงจากเหล่าผู้อาวุโส จนกว่าจะถึงวันงาน"
หลังจาก เตียวหยุน กล่าวจบทุกคนก็มีการคุยหารือกันอีกเล็กน้อยในเรื่องของภายในสำนัก ทั้งเรื่องธุรการต่าง ๆ และข่าวสารความคืบหน้าของสายข่าวของสำนักที่ส่งไปหาข่าว ทั้งในเมืองลิขิตฟ้าและเมืองเทวะสวรรค์ จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับ
........
"หาววววว..."
"นี่ข้าหลับไปนายแค่ไหนกันละเนี่ยะ"
หลี่เฉิน ที่หลับสนิทเมื่อตอนใกล้จะรุ่งสาง ก็รู้สึกตัวตื่นอีกทีเมื่องแสงอาทิตสาดส่องผ่านร่มเงาของต้นไม้ลงมากระทบกับใบหน้าของเขา และก็เป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะเที่ยงตรงแล้วนั่นเอง
ระหว่างที่กำลังยืดเส้นยืดสายนั่นเอง หลี่เฉิน ก็สังเกตุไปเห็นปากถ้ำที่มีขนาใหย่กว่าตัวเขาสองเท่าตัว ด้านหลังต้นไม้ที่ตัวเขาหลับนอน
"เอ๋ มีถ้ำอยู่ตรงนั้นด้วยแฮะ ลองเข้าไปสำรวจดูก่อนดีว่า เผื่อจะให้เป็นที่พักได้"
จากนั้น การสำรวจก็เริ่มขึ้น ซึ่งภายในถ้ำนั้น มีขนาดกว้างพอที่จะสามารถจุคนได้เป็นร้อยคน ถึงแม้ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับตัวของ หลี่เฉิน ที่จะพักอยู่คนเดียว และด้วยเหตุที่มีขนาดเล็ก และถ้ำไม่ลึก มีแสงแดดส่งเข้าถึง ทำให้ไม่มีสัตว์อสูรเจ้าถิ่นมาอาศัยอยู่ อีกทั้งภายในถ้ำยังมีบ่อน้ำเล็ก ๆ ตรงกลางถ้ำ ที่มีตาน้ำอยู่ ทำให้มีน้ำอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแห้ง จึงเป็นสถานที่เหมะสมที่สุดแล้วที่หลี่เฉินจะอาศัยพักฝึกวิชา
"เอาล่ะ ข้าจะพักที่นี่แหละ ข้างนอกเองก็เป็นลานฝึกได้เป็นอย่างดี ช่างเป็นที่ ๆ เหมะเจาะยิ่งนัก หึ ๆ ๆ"
"ทีนี้ก็คงได้เวลาเริ่มฝึกแล้วสินะ..."
หลี่เฉิน เริ่มต้นด้วยการร่ายรำกระบวนที่ฝ่ามือพร้อมกันกับการโคจรลมปราณผสานกับกระบวนท่า ต่อจากนั้นก็ฝึกต่อด้วยวิชากระบี่ ซึ่งตัวหลี่เฉินเองก็ใช้กิ่งไม้แทนกระบี่ เขาใช้วิธีการส่งลมปราณบีบอัดไว้รอบ ๆ ตัวกิ่งไม้ก่อนที่จะผสานมันลงไปในเนื้อไม้ ทำให้กิ่งไม้ที่ หลี่เฉิน ถืออยู่นั้น กลายเป็นอาวุธที่ร้ายกาจเทียบเท่ากับกระบี่ทันที
ถึงแม้การกระทำของหลี่เฉินจะดูเหมือนว่าง่าย แต่หากผู้ที่ใช้เทคนิคนี้ไม่มีลมปราณที่มากพอและการใช้เทคนิคบีบอัดลมปราณให้หนาแน่นพอแล้วละก็ มันไม่ต่างอะไรจากกิ่งไม้ธรรมดา ๆ นั่นเอง
แตกต่างจาก หลี่เฉิน ที่เขาใช้เทคนิคการบีบอัดด้วยกระบวนท่าที่สามของวิชากระบี่ในคัมภีร์เทวะนั่นก็คือ เงาเทวะสังหาร นั่นเอง
................
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
สนุกมาก
รอตอนต่อไป