ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : เครื่องประหารสมัยโบราณ
Dismemberment แปล ว่าแล่หรือถูกตัด หรือง่ายๆ คือ “แยกร่าง” นั้นเองครับ เป็นวิธีที่พบเห็นในทั่วโลกสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย, บราซิล, แคนาดา, เอกวาเดอร์, อียิปต์, จีน, ญี่ปุ่น, มองโกเลีย, โปแลนด์, ไต้หวัน, ตองกา, ตุรกี, ปากีสถาน เรียกได้ว่าทุกทวีป ทุกมุมโลก สาเหตุของโทษประหารนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับทรยศชาติไม่ก็ฆ่าบุคคลสำคัญของ ประเทศนั้น ซึ่งวิธีประหารนี้ไม่โหดให้มันรู้ไป คือนำนักโทษประหารที่ยังมีชีวิตนำมามัดพันธการเพื่อไม่ให้ดิ้นไปไหน จากนั้นก็ใช้มีดใหญ่ๆ หรือของมีคมตัด, ฉีก หรือลากเพื่อเอาแขนขาของนักโทษประหารแยกออกจากกันในขณะมีชีวิตอยู่ และนักโทษจะตายอย่างทรมานแสนสาหัสจากการเสียเลือดมาก
บุคคลในประวัติศาสตร์ที่โดนประหารวิธีนี้ที่ดังๆ ก็เช่น ทูปัก อามารูที่สอง (Túpac Amaru II)นัก ต่อสู้เพื่อคนพื้นเมืองในเปรูที่สู้กับสเปนในปี 1780 แต่โดนจับได้และโดนผ่าม้าแยกร่าง ภาพประหารที่แรก) .ฟรองซัวส์ ราไวแย็ค (François Ravaillac) นักฆ่าที่ปลงประชนม์พระเจ้าอองลีที่ 4 ของฝรั่งเศส ในปี 1610, โรเบิร์ต(Robert-Francois Damiens) พยายามลอบปลงพระชนม์พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ใน ค.ศ.1757 ใน ฝรั่งเศสแต่ไม่สำเร็จ จึงถูกประหารอย่างสุดทรมานด้วยการเผามือที่ถืออาวุธจะฆ่าพระเจ้าหลุยส์ และเอามีดกรีดทั่วทั้งร่าง เอาตะกั่วหลอมเหลวเดือดๆ ราดลงไปบนแผล จากนั้นก็ใช้ม้า 4 ตัว วิ่งไปคนละทางฉีกร่างออกเป็นส่วน ๆ และเอาเศษอวัยวะ (ถ้ายังมีเหลือ) มาเผา, ผู้หญิงก็ไม่เว้นเมื่อ ควีน Brunhilda แห่ง of ออสตราเซียโดนโทษประหารด้วยการเอาการใช้ม้าแยกร่างเช่นเดียวกัน
อันดับ 9 Disembowelment
ควักไส้ เป็นการประหารโดยการล้วงอวัยวะสำคัญจำพวกเครื่องในออกจากท้อง เป็นการประหารที่โหดร้ายที่เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ ใน ขณะที่นักโทษมีชีวิตอยู่จะทำการประหารโดยใช้มีดกรีดที่ห้องแล้วลวงเอาอวัยวะ เครื่องในจำพวกหัวใจและปอดออกมา ซึ่งวิธีนี้กินเวลายาวนานมากและผู้ถูกประหารจะเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
ใน ประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม มีการมัดเหยื่อที่แขนและขาผูกกับม้าและท้องจะถูกหั่นที่ท้องบางๆ จนกระทั้งตายอย่างช้าๆ วิธีการนี้ใช้เฉพาะนักโทษประหารที่มีข้อหาลอบปลงพระชนม์กษัตริย์
ใน ประเทศที่ลึกลับอย่างประเทศญี่ปุ่นมีการประหารนี้เช่นกัน โดยจะอยู่ในข่าย “การฆ่าตัวตายโดยการจำยอม” เรียกว่าพิธีเช็ปปุกุ หรือ ฮาราคีรี โดย ปฏิบัตืโดยซามูไรที่ต้องฆ่าตัวตายเมื่อพบว่าขาดความจงรักภักดี ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้ไดเมียวหรือโชกุนไม่ต้องเสียเกียรติในการที่จะต้อง ฆ่าผู้ติดตามด้วยตนเอง ที่ปฏิบัติกันโดยเฉพาะในยุคเอะโดะที่เห็นได้จากตัวอย่างในกรณีของ อาซาโนะ นางาโนริ (Asano Naganori) โดย ใช้มีดสั้นแทงที่หน้าท้องใต้เอวขวา แล้วกรีดมาทางซ้ายแล้ว ดึงมีดขึ้นข้างบน ซึ่งเป็นการเปิดเยื่อบุช่องท้องแล้วตัดลำไส้ให้ขาด การตายด้วยวิธีนี้ เชื่อว่าเป็นการตายอย่างมีเกียรติแล้ว เพราะแสดงความกล้าหาญและพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการบังคับจิตใจของตน เอง
เราขอเตือนว่าอย่าพิมพ์คำว่า “Disembowelment” ลงในกูเกิลเพื่อหารูปเด็ดขาดไม่งั้นคนจะเห็นภาพสยดสยองและฝันร้ายอย่างแน่นอน
อันดับ 8 Drawing and Quartering
“ลาก และแบ่งเป็นสี่ส่วน” เป็นวิธีประหารที่คล้ายๆ กับการควักไส้ ในประเทศอังกฤษสมัยก่อน มี โดยใช้กับพวกกบฏและนักบวชคาทอลิก โดยบุคคลสำคัญที่โดนวิธีประหารนี้ เช่น Edmund Campion
การประหารนอยู่ในพระราชบัญญัติกบฏ 1814 ซึ่งนักโทษประหารที่ได้รับโทษนี้จะถูกลงโทษโดย
-ลากให้ขึ้นบนขื่อไม้(จนเป็นที่มาของความหมายว่าลาก)
-ทำให้ขาดอากาศหายใจโดยการแขวนคอ โดยไม่ให้นักโทษตาย แต่จุดประสงค์ให้นักโทษใกล้หมดลมหายใจ
-จาก นั้นก็ลากนักโทษไปวางบนเขียงต่อหน้าประชาชน และทำการชำแหละควักไส้ตับไตไส้พุงและองคชาติออกมา(ในกรณีที่นักโทษเป็นชาย) ให้นักโทษที่ตอนนั้นยังมีชีวิตและสติลืมเลือนอยู่ได้ดูเครื่องในตัวเอง จากนั้นก็มีการจุดไฟเผาเครื่องในเหล่านั้น
-และสุดท้ายก็ทำการตัดหัวและร่างกายถูกแบ่งเป็นสี่สวน(จนเป็นที่มาของความหมายว่า “แบ่งเป็นสี่ส่วน”)เป็นอันจบสิ้นการประหารวิธีนี้
โดย ปกติแล้วร่างกายทั้งห้าส่วนนั้น(สี่ร่างกายและหนึ่งศีรษะ) จะถูกลากแห่ประจานไปจุดต่างๆ ของเมืองเพื่อให้ประชาชนได้ดู นอกเหนือจากประเทศอังกฤษแล้วยังมีหลายประเทศที่มีการประหารชนิดนี้ เช่นฝรั่งเศสจะมีบทลงโทษอันนี้ฐานลอบปลงพระชนม์กษัตริย์(ไม่ว่าจะพยายามหรือ ทำสำเร็จ) จะแตกต่างนิดหน่อยตรงที่ร่างกายจะถูกเผาไหม้ด้วยกำมะถัน, เหล็กหลอมละลาย, ขี้ผึ้ง และน้ำมันเดือด ก่อนที่จะใช้ห้าม้าแยกร่างนักโทษให้ขาดสะบัด(โปรดดูอันดับ 10 อีกครั้ง)
อันดับ 7 Death by boiling
“ตาย ด้วยต้ม” เป็นการประหารโดยนำนักโทษมาแช่ของเหลวจำพวกน้ำ, น้ำมัน, ไขของสัตว์ ที่เดือดจัดในหม้อน้ำขนาดใหญ่หรือกระทะ การลงโทษนี้จะใช้เวลานานและทรมานมาก นักโทษจะถูกบังคับให้ไปแช่(หรือทอด)ของเหลวในหม้อใบนั้นและทรมานแสนสาหัสส่ง เสียงโหยหวนเพราะความร้อนจัด แต่บางครั้งผู้คุมใจดีอาจช่วยเร่งการตายของนักโทษให้เร็วขึ้นโดนการใช้ตะบวย ตักน้ำขนาดใหญ่เอาของเหลวเดือนที่อยู่ข้างใต้หม้อน้ำมาราดตัวนักโทษให้ตาย เร็วขึ้น
การ ประหารโดยการต้มนี้ ดูเหมือนจะแพร่หลายไปทั่วยุโรปและเอเชียมากและหลายคนที่จบวิธีการประหารชนิด นี้ก็มีมาก ในสกอตแลนด์ ขุนนางที่ชื่อ William de Soulis มีชื่อเสียงมากในการใช้วิธีการต้มลงโทษผู้เช่าหากส่วยที่ได้รับทำให้เขาไม่พอใจ, ในอังกฤษมีระบุที่มาตรา 22 โดยแฮรี่ที่ VIII ในปี 1531, ในเอเซียพบวิธีประหารนี้ในประเทศจีน, อินเดีย และชนชาติมองโกเลียใช้วิธีนี้ลงโทษศัตรูในยามสงคราม ในมาดากัสการ์ สมเด็จพระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ (Ranavalona I of Madagascar)ชื่นชอบวิธีการประหารนี้อย่างมาก จนพระนางทรงได้รับการกล่าวขานจากตะวันตกว่าทรงเป็น จักรพรรดินีวาเลเรีย แมสซาลินายุคใหม่,แมรี่บ้าเลือดแห่งมาดากัสการ์,ราชินีผู้บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศา
สตร์,ราชินีรานาวาโลนาผู้ชั่วร้าย,ราชินี บ้าคลั่งแห่งมาดากัสการ์และภาคสตรีของคาลิกูลา เนื่องจากพระนางทรงเกลียดชังชาวตะวันตกและทรงสั่งถอนรากถอนโคนผู้นับถือ ศาสนาคริสต์ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาวมาดากัสการ์หรือชาวตะวันตก และทุกคนต่างโดนทรมานและประหารชีวิตตามพระบัญชาของพระนาง
อันดับ 6 Flaying
“การ ถลกหนัง” เป็นการประหารโดยการใช้ใช้มีดที่คมกริบค่อยๆเลาะหนังออกมาอย่างบรรจงโดยที่ หนังนั้นจะติดเป็นผืนเดียวกัน นักโทษนั้นก็จะค่อยๆจายอย่างช้าจากภาวะน้ำในร่างกายไม่เพียงพอหรืออาจจะติด เชื้อ(นักโทษยังมีชีวิตอยู่และเจ็บปวดแสนสาหัสมาก) จนขาดใจตาย แล้วหนังนั้นก็จะถูกนำไปแขวนไว้กับผนังประจานไว้เพื่อแสดงถึงใครที่คิดแข็ง ข้อต่ออำนาจทางการเมือง
การ ถลกหนังมีมาตั้งแต่ช้านาน ไม่ว่าจะเป็นในตำนานหรือเรื่องจริงจนบัดนี้ปัจจุบันยังมีการประหารนี้อยู่ ในตำนานเทพนิยายกรีกกล่าวว่าครั้งหนึ่งมีนักเป่าฟลุตชื่อมาร์ไซอัส (Marsyas) มา ได้ยินกิตติศัพท์ของเทพอพอลโลที่เก่งนักเก่งหนาเรื่องดนตรี เขาจึงขอท้าประลองกับเทพ ซึ่งอพอลโลก็ได้รับคำถ้า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่พอใจว่ามีคนอาจหาญท้าประลองกับเทพ จึงหลอกล่อในเรื่องรางวัลของการแข่งขัน อพอลโลโน้มน้าวจนทั้งสองตกลงกันไว้ว่าผู้ชนะจะให้ผู้แพ้ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ มาร์ไซอัสท้าเทพอโลโพในเรื่องการเล่นดนตรี มาร์ไซอัสใช้ฟลุตส่วนเทพพอลโลใช้พิณ ผลการการแข่งขันเต็มไปด้วยความดุเดือนจนกินกันไม่ลง หากตนสุดท้ายเทพอพอลโลใช้กลอุบายจนสามารถเอาชนะมาร์ไซอัส ซึ่งสิ่งอพอลโลต้องการหลังชนะการประลองคืออพอลโลก็ได้โอกาสแก้แค้นความบัง อาจของมาร์ไซอัสอพอลโลได้สั่งจับมาร์ไซอัสมัดมือห้อยไว้กับจากต้นไม้ แล้วค่อยๆให้ใช้มีดเฉือนเนื้อทีละชิ้นๆ ช้าๆ จนสิ้นชีวิต!!
ส่วนในโลกแห่งความจริงมีบุคคลสำคัญที่โดนประหารนี้มากมายหลายคน จนผมไม่สามารถบรรยายได้หมด เอาที่ดังๆ ละกัน ก็มี ซิเซเนส(Sisamnes)ที่ได้รับโทษประหาร “ถลกหนัง” ในข้อหารับสินบนจากประเทศฝ่ายศัตรู และปัจจบันมีการวาดภาพเขาโดยศิลปิน เจอราร์ด ดาวิด (ภาพที่สอง) ในชื่อ “การแร่ซิซามเนส” (The Flaying of Sisamnes , กฎหมายโบราณของไทย โทษประหารสถาน 2 คือ ถลกหนังศีรษะออก แล้วใช้กรวดทรายหยาบขัดจนกะโหลกศีรษะขาวโพลน, ในสงครามโลกครั้ง 2 มีรายงานจากทหารอเมริกันว่าทหารญี่ปุ่นได้นำนักโทษมาทรมานก่อนที่จะลอกผิว และตัดหัว, ในปี 2000 มีรายงานว่ารัฐบาลทหารพม่าได้ทำการถลกหนังชาวบ้านในหมู่บ้าน Karenni
อันดับ 5 Scaphism
Scaphism เป็นชื่อการประหารของเปอร์เซียโบราณที่ออกแบบเพื่อให้ตายอย่างทรมาน ชื่อนี้มาจากภาษากรีกคือ Skaphe หมายถึง โพรง(scooped) ส่วนวิธีการลงโทษนั้นค่อนข้างแปลกเสียหน่อยคือนำนักโทษอดอาหารจนร่างกายผอม จากนำนักโทษเปลือยกายยัดในโพรงต้นไม้ขนาดใหญ่(จนเป็นที่มาของชื่อการประหาร นี้)และถูกมัดให้แขนขายื่นออกมาข้างนอกโพรงต้นไม้ แล้วจากนั้น ผู้คุมก็จะให้อาหารเพียงนมและน้ำผึ้ง ซึ่งจะทำให้นักโทษท้องเสีย และทาน้ำผึ้งไว้ตามมือและเท้าที่ยื่นออกมา ทำให้เป็นการดึงดูดล่อแมลงเข้ามาตอมและกัดกินหรือวางไข่สร้างรังโดยที่นัก โทษไม่สามารถทำอะไรได้ อีกทั้งผลที่ตามมาของท้องเสียก็คืออุจจาระจะส่งกลิ่นและกระตุ้นให้แมลงยิ่ง เข้ามาอีก บางทีแมลงพวกนี้ก็จะมากินอุจจาระและวางไข่หรือชอนไชเข้าไปในก้นด้วย สุดท้ายนักโทษจะเกิดแผลเน่าเฟะและตายอย่างช้าๆจากการติดเชื้อ หรือไม่ก็ตายเพราะขาอดอาหารและน้ำตาย ซึ่งวิธีนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้นักโทษเกิดความอปยศและเจ็บปวดแสนสาหัสให้ นานที่สุด ซึ่งในประวัติศาสตร์มีบันทึกว่าคนที่โดนประหารนี้ต้องทนทุกข์ทรมานถึง 17 วัน
นอก เหนือเปอร์เซียยังมีโทษประหารที่คล้ายๆ กันนี้ทั่วโลก เช่นประจาน , บาร์เรล และสเปน ที่จะใช้หลุมแทนต้นไม้ หรือบางที่ก็ใช้ถังแทน ในอเมริกันพื้นเมืองก็มีการลงโทษแบบนี้เหมือนกันโดยเอาน้ำผึ้งมาทาตัวแล้ว ให้แมลงมาตอม ไซบีเรียก็มีวิธีนี้เช่นกันโดยเอาตัวมาผูกต้นไม้ให้ผอมและให้ยุง ม้าบิน(แมลงชนิดหนึ่งคล้ายแมลงวัน) หรือแมลงอื่นๆ มาตอม ส่วนในจีนก็ผูกนักโทษให้อยู่กับที่และให้ยุงมาดูดกินเลือด
อันดับ 4 Slow slicing
แล่อย่างช้าๆ หรือภาษาจีนเรียกว่า Lin Chi-ling มีการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เมื่อ AD 900 และ ถูกยกเลิกเมื่อ 1905 โดยนักโทษที่ต้องโทษประหารนี้มีความผิดคือกบฏ และฆ่าพ่อแม่ตัวเอง ซึ่งวิธีการประหารนี้โหดร้ายทำให้นักโทษเจ็บปวดสาหัสและตายอย่างช้าๆ โดย เริ่มจากจับนักโทษมัดอยู่กับที่กับเสาแบบกางเขาออกกางสาธารณะชน(คนดูก็แบบ โรคจิตด้วย) จากนั้นก็นำมีดมาเฉือนแล่เนื้อๆ ทีละชิ้นมีละชิ้นอย่างช้าๆ เริ่ม จากปลายสุดก่อนแล้วไปส่วนอื่นๆซึ่งทำให้นักโทษตายช้าที่สุดแล้วจากนั้นจึง เริ่มสับที่ตัดแขนขา ตัดคอของนักโทษ(ประหารชีวิต) และควักหัวใจออกมา ซึ่งวิธีการนี้ทำให้นักโทษตายอย่างอัปยศอดสูอย่างมาก ส่วนภาพที่อยู่ด้านบนนั้นเป็นภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส Le Monde Illustre ปี 1858 ที่เป็นเรื่องราวการบันทึกโดยมิชชันนารีในประเทศจีนที่เห็นการประหารชีวิต แบบนี้ นอกจากบันทึกที่ถูกบันทึกโดยชาติตะวันตกแล้ว ซึ่งในรางวงค์ซิงมีการพบเห็นการประหารนี้อยู่มาก นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายต่างๆ ในระหว่างปี 1890, 1905 และยังปรากฏในภาพยนต์เกี่ยวกับจีนหลายเรื่องและใครอยากเห็นการประหารชีวิตแบบนี้ แบบจะๆ ของจริงไม่ใช่ภาพวาด ให้พิมพ์คำภาษาจีนคำว่า 凌迟ในกูเกิ้ลเพื่อดูรูปและคุณจะพบภาพสยองขวัญจนคุณนอนไม่ลง
อันดับ 3 Burning
“เผา ทั้งเป็น” เป็นวิธีสุดฮิตสมัยโบราณ ที่นำเหยื่อมายังที่สาธารณะแล้วมันอยู่กับที่และรอบๆ ตัวจะมีฟางหรือวัตถุไวไฟก่อให้ถึงน่องของนักโทษเพื่อที่จะสามารถติดไฟได้ คงต้องต้องกล่าวว่าคนที่โดนการประหารนี้จะทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นการเผาไหม้อวัยวะ การสูดพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งจะทำให้คนช็อกตายได้
เผาทั้งเป็นนั้นนิยมใช้ในช่วงเทศกาลล่าแม่มด บุคคลที่ดังๆ ที่โดนการประหารนี้ก็เช่น โยน ออฟ อาร์ก (Joan of Arc) วีรสตรีผู้กอบกู้ประเทศฝรั่งเศสในช่วงสงครามร้อยปีกับอังกฤษ (Hundred Years’ War) ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็น ขณะอายุเพียง 19 ปี หลังจากที่เธอถูกกองทัพอังกฤษจับตัวได้ จากการถูกกล่าวหาว่าเธอเป็นพวกนอกรีตและเป็นแม่มด
ปัจจุบันการเผาทั้งเป็นการยังคงอยู่และมีการดัดแปลงวิธีการให้แปลกๆ อยู่เสมอ ตัวอย่าง เช่น Necklacing (แปลว่าวงแหวน) วิธีนี้ได้รับความนิยมมากทางแอฟริกาในช่วงปี 1980-1990 (เฮติและไนจีเรียมากเป็นพิเศษ) เมื่อ จับคนที่ทำความผิดได้แล้ว ไม่ต้องส่งไปให้ตำรวจ จัดการกันเองมันแขนแล้วก็เอายางรถสวมคอ(หนักมาก) จากนั้นก็พาคนผิดมาวิ่งๆ ไปยังที่จุดประหาร จากนั้นก็ราดน้ำมันที่อกและจุดไฟเผา จนร่างกายเผาไหม้เกรียม
อันดับ 2 ตัดด้วยล้อ(Breaking with the Wheel)
ส่วนมากมักทำในเยอรมันและฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 18 ซึ่งบางครั้งจะใช้ดอกจันทน์เทศแทนล้อ แต่ก็ลงโทษก็คล้ายๆ กันแหละคือ
โดย แบบแรกคือการตรึงนักโทษไว้บนล้อเกวียนจากนั้นก็ทำการหมุน เพียงแต่ว่าตรงพื้นข้างล่างนั้นจะเป็นซี่เหล็กแหลมนับไม่ถ้วนขูดกรีดผิวหนัง และใบหน้าของนักโทษเมื่อผู้คุมหมุนซี่เกวียน และผู้ค้มก็จะปรับระดับลดความสูงลงมาอีก ทำให้ขูดลึกกว่าเดิม และทำเช่นนี้จนกระทั่งนักโทษตาย อีกแบบคือตรึงไว้กับซี่ล้อเกวียนครับ ลากเหยื่อมามัดกับล้อและผูกให้แน่นจากนั้นเพชฌฆาตจะตัดหรือทุบอวัยวะต่างๆ คือข้อมือ, ศอก,ไหล่, ข้อเท้า, เข่า,แขน,ขา และตะโพก เหยื่อจะส่งเสียงร้องกรี๊ดก็อย่าให้สนใจ ทำต่อไปแต่หลีกเลี่ยงไม่ให้เหยื่อตาย จากนั้นก็นำมาแขวงสูงๆ โดยให้เหยื่อนอนอยู่บนล้อแนวนอน เหมือนกับรูปเป็นอันเสร็จพิธี แต่เหยื่อก็ยังพบเหตุการณ์ต่างๆ อีกไม่ว่าจะแสงแดดที่ส่องมาอย่างแรงกล้า แต่ที่ร้ายที่สุดคืออีกาที่ลงมาเพื่อฉีกทึ้งเศษเนื้อของเหยื่อ การจิกลูกตา และความเจ็บปวดที่ยาวนานก่อนที่จะตาย
อันดับ 1 The Saw
การประหารนี้พบในยุโรปตะวันออกกลางและบางส่วนในเอเชียและจักรวรรดิโรมันในสมัยจักรพร
รดิ Caligula ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล( II Samuel 12:31 **)ได้กล่าวถึงเครื่องทรมานชนิดนี้ว่าใช้สำหรับทรมานทั้งผู้ชาย,ผู้หญิง และเด็ก นอกจากนั้นก็มีการใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ในสเปน,อังกฤษ, ฝรั่งเศส ใช้ผู้หญิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด และที่เยอรมันใช้สำหรับปราบพวกชาวนาชาวไร่ที่กล่าวหาว่าเป็นกบฏ ซึ่งดูจากภาพก็ไม่ต้องอธิบายมากก็ได้มั้งว่ารูปร่างมันเหมือนเลื่อยสำหรับ ใช้สองคนเหมือนบ้านเราเพียงแต่เขาจะเปลี่ยนจากเลื่อยไม้มาเลื่อยคนเท่านั้น โดยวิธีใช้ก็จับเหยื่อห้อยหัวและอ้าหว่างขาออกเหมือนภาพ จากนั้นก็ใช้เลื่อยผ่าหว่างขาให้แยกจากนั้นก็เลื่อยไปเลื่อยเหมือนทำกับท่อน ไม้(เหยื่อจะทรมานมากเพราะเลือดไหลย้อยจนแทบหมดสติ) มาจนกระทั้งหยุดที่ส่วนของหน้าอก(หรือจะทำให้เหยื่อตายก็ได้ตามใจ) เพราะจุดประสงค์คือไม่ให้เหยื่อตายทันทีแต่ต้องการให้เหยื่อทรมานตายอย่าง ช้าๆ มากกว่า
เสียวสันหลังจิงๆๆนะครับขนลุกเลยอิอิ
บุคคลในประวัติศาสตร์ที่โดนประหารวิธีนี้ที่ดังๆ ก็เช่น ทูปัก อามารูที่สอง (Túpac Amaru II)นัก ต่อสู้เพื่อคนพื้นเมืองในเปรูที่สู้กับสเปนในปี 1780 แต่โดนจับได้และโดนผ่าม้าแยกร่าง ภาพประหารที่แรก) .ฟรองซัวส์ ราไวแย็ค (François Ravaillac) นักฆ่าที่ปลงประชนม์พระเจ้าอองลีที่ 4 ของฝรั่งเศส ในปี 1610, โรเบิร์ต(Robert-Francois Damiens) พยายามลอบปลงพระชนม์พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ใน ค.ศ.1757 ใน ฝรั่งเศสแต่ไม่สำเร็จ จึงถูกประหารอย่างสุดทรมานด้วยการเผามือที่ถืออาวุธจะฆ่าพระเจ้าหลุยส์ และเอามีดกรีดทั่วทั้งร่าง เอาตะกั่วหลอมเหลวเดือดๆ ราดลงไปบนแผล จากนั้นก็ใช้ม้า 4 ตัว วิ่งไปคนละทางฉีกร่างออกเป็นส่วน ๆ และเอาเศษอวัยวะ (ถ้ายังมีเหลือ) มาเผา, ผู้หญิงก็ไม่เว้นเมื่อ ควีน Brunhilda แห่ง of ออสตราเซียโดนโทษประหารด้วยการเอาการใช้ม้าแยกร่างเช่นเดียวกัน
อันดับ 9 Disembowelment
ควักไส้ เป็นการประหารโดยการล้วงอวัยวะสำคัญจำพวกเครื่องในออกจากท้อง เป็นการประหารที่โหดร้ายที่เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ ใน ขณะที่นักโทษมีชีวิตอยู่จะทำการประหารโดยใช้มีดกรีดที่ห้องแล้วลวงเอาอวัยวะ เครื่องในจำพวกหัวใจและปอดออกมา ซึ่งวิธีนี้กินเวลายาวนานมากและผู้ถูกประหารจะเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
ใน ประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม มีการมัดเหยื่อที่แขนและขาผูกกับม้าและท้องจะถูกหั่นที่ท้องบางๆ จนกระทั้งตายอย่างช้าๆ วิธีการนี้ใช้เฉพาะนักโทษประหารที่มีข้อหาลอบปลงพระชนม์กษัตริย์
ใน ประเทศที่ลึกลับอย่างประเทศญี่ปุ่นมีการประหารนี้เช่นกัน โดยจะอยู่ในข่าย “การฆ่าตัวตายโดยการจำยอม” เรียกว่าพิธีเช็ปปุกุ หรือ ฮาราคีรี โดย ปฏิบัตืโดยซามูไรที่ต้องฆ่าตัวตายเมื่อพบว่าขาดความจงรักภักดี ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้ไดเมียวหรือโชกุนไม่ต้องเสียเกียรติในการที่จะต้อง ฆ่าผู้ติดตามด้วยตนเอง ที่ปฏิบัติกันโดยเฉพาะในยุคเอะโดะที่เห็นได้จากตัวอย่างในกรณีของ อาซาโนะ นางาโนริ (Asano Naganori) โดย ใช้มีดสั้นแทงที่หน้าท้องใต้เอวขวา แล้วกรีดมาทางซ้ายแล้ว ดึงมีดขึ้นข้างบน ซึ่งเป็นการเปิดเยื่อบุช่องท้องแล้วตัดลำไส้ให้ขาด การตายด้วยวิธีนี้ เชื่อว่าเป็นการตายอย่างมีเกียรติแล้ว เพราะแสดงความกล้าหาญและพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการบังคับจิตใจของตน เอง
เราขอเตือนว่าอย่าพิมพ์คำว่า “Disembowelment” ลงในกูเกิลเพื่อหารูปเด็ดขาดไม่งั้นคนจะเห็นภาพสยดสยองและฝันร้ายอย่างแน่นอน
อันดับ 8 Drawing and Quartering
“ลาก และแบ่งเป็นสี่ส่วน” เป็นวิธีประหารที่คล้ายๆ กับการควักไส้ ในประเทศอังกฤษสมัยก่อน มี โดยใช้กับพวกกบฏและนักบวชคาทอลิก โดยบุคคลสำคัญที่โดนวิธีประหารนี้ เช่น Edmund Campion
การประหารนอยู่ในพระราชบัญญัติกบฏ 1814 ซึ่งนักโทษประหารที่ได้รับโทษนี้จะถูกลงโทษโดย
-ลากให้ขึ้นบนขื่อไม้(จนเป็นที่มาของความหมายว่าลาก)
-ทำให้ขาดอากาศหายใจโดยการแขวนคอ โดยไม่ให้นักโทษตาย แต่จุดประสงค์ให้นักโทษใกล้หมดลมหายใจ
-จาก นั้นก็ลากนักโทษไปวางบนเขียงต่อหน้าประชาชน และทำการชำแหละควักไส้ตับไตไส้พุงและองคชาติออกมา(ในกรณีที่นักโทษเป็นชาย) ให้นักโทษที่ตอนนั้นยังมีชีวิตและสติลืมเลือนอยู่ได้ดูเครื่องในตัวเอง จากนั้นก็มีการจุดไฟเผาเครื่องในเหล่านั้น
-และสุดท้ายก็ทำการตัดหัวและร่างกายถูกแบ่งเป็นสี่สวน(จนเป็นที่มาของความหมายว่า “แบ่งเป็นสี่ส่วน”)เป็นอันจบสิ้นการประหารวิธีนี้
โดย ปกติแล้วร่างกายทั้งห้าส่วนนั้น(สี่ร่างกายและหนึ่งศีรษะ) จะถูกลากแห่ประจานไปจุดต่างๆ ของเมืองเพื่อให้ประชาชนได้ดู นอกเหนือจากประเทศอังกฤษแล้วยังมีหลายประเทศที่มีการประหารชนิดนี้ เช่นฝรั่งเศสจะมีบทลงโทษอันนี้ฐานลอบปลงพระชนม์กษัตริย์(ไม่ว่าจะพยายามหรือ ทำสำเร็จ) จะแตกต่างนิดหน่อยตรงที่ร่างกายจะถูกเผาไหม้ด้วยกำมะถัน, เหล็กหลอมละลาย, ขี้ผึ้ง และน้ำมันเดือด ก่อนที่จะใช้ห้าม้าแยกร่างนักโทษให้ขาดสะบัด(โปรดดูอันดับ 10 อีกครั้ง)
อันดับ 7 Death by boiling
“ตาย ด้วยต้ม” เป็นการประหารโดยนำนักโทษมาแช่ของเหลวจำพวกน้ำ, น้ำมัน, ไขของสัตว์ ที่เดือดจัดในหม้อน้ำขนาดใหญ่หรือกระทะ การลงโทษนี้จะใช้เวลานานและทรมานมาก นักโทษจะถูกบังคับให้ไปแช่(หรือทอด)ของเหลวในหม้อใบนั้นและทรมานแสนสาหัสส่ง เสียงโหยหวนเพราะความร้อนจัด แต่บางครั้งผู้คุมใจดีอาจช่วยเร่งการตายของนักโทษให้เร็วขึ้นโดนการใช้ตะบวย ตักน้ำขนาดใหญ่เอาของเหลวเดือนที่อยู่ข้างใต้หม้อน้ำมาราดตัวนักโทษให้ตาย เร็วขึ้น
การ ประหารโดยการต้มนี้ ดูเหมือนจะแพร่หลายไปทั่วยุโรปและเอเชียมากและหลายคนที่จบวิธีการประหารชนิด นี้ก็มีมาก ในสกอตแลนด์ ขุนนางที่ชื่อ William de Soulis มีชื่อเสียงมากในการใช้วิธีการต้มลงโทษผู้เช่าหากส่วยที่ได้รับทำให้เขาไม่พอใจ, ในอังกฤษมีระบุที่มาตรา 22 โดยแฮรี่ที่ VIII ในปี 1531, ในเอเซียพบวิธีประหารนี้ในประเทศจีน, อินเดีย และชนชาติมองโกเลียใช้วิธีนี้ลงโทษศัตรูในยามสงคราม ในมาดากัสการ์ สมเด็จพระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ (Ranavalona I of Madagascar)ชื่นชอบวิธีการประหารนี้อย่างมาก จนพระนางทรงได้รับการกล่าวขานจากตะวันตกว่าทรงเป็น จักรพรรดินีวาเลเรีย แมสซาลินายุคใหม่,แมรี่บ้าเลือดแห่งมาดากัสการ์,ราชินีผู้บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศา
สตร์,ราชินีรานาวาโลนาผู้ชั่วร้าย,ราชินี บ้าคลั่งแห่งมาดากัสการ์และภาคสตรีของคาลิกูลา เนื่องจากพระนางทรงเกลียดชังชาวตะวันตกและทรงสั่งถอนรากถอนโคนผู้นับถือ ศาสนาคริสต์ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาวมาดากัสการ์หรือชาวตะวันตก และทุกคนต่างโดนทรมานและประหารชีวิตตามพระบัญชาของพระนาง
อันดับ 6 Flaying
“การ ถลกหนัง” เป็นการประหารโดยการใช้ใช้มีดที่คมกริบค่อยๆเลาะหนังออกมาอย่างบรรจงโดยที่ หนังนั้นจะติดเป็นผืนเดียวกัน นักโทษนั้นก็จะค่อยๆจายอย่างช้าจากภาวะน้ำในร่างกายไม่เพียงพอหรืออาจจะติด เชื้อ(นักโทษยังมีชีวิตอยู่และเจ็บปวดแสนสาหัสมาก) จนขาดใจตาย แล้วหนังนั้นก็จะถูกนำไปแขวนไว้กับผนังประจานไว้เพื่อแสดงถึงใครที่คิดแข็ง ข้อต่ออำนาจทางการเมือง
การ ถลกหนังมีมาตั้งแต่ช้านาน ไม่ว่าจะเป็นในตำนานหรือเรื่องจริงจนบัดนี้ปัจจุบันยังมีการประหารนี้อยู่ ในตำนานเทพนิยายกรีกกล่าวว่าครั้งหนึ่งมีนักเป่าฟลุตชื่อมาร์ไซอัส (Marsyas) มา ได้ยินกิตติศัพท์ของเทพอพอลโลที่เก่งนักเก่งหนาเรื่องดนตรี เขาจึงขอท้าประลองกับเทพ ซึ่งอพอลโลก็ได้รับคำถ้า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่พอใจว่ามีคนอาจหาญท้าประลองกับเทพ จึงหลอกล่อในเรื่องรางวัลของการแข่งขัน อพอลโลโน้มน้าวจนทั้งสองตกลงกันไว้ว่าผู้ชนะจะให้ผู้แพ้ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ มาร์ไซอัสท้าเทพอโลโพในเรื่องการเล่นดนตรี มาร์ไซอัสใช้ฟลุตส่วนเทพพอลโลใช้พิณ ผลการการแข่งขันเต็มไปด้วยความดุเดือนจนกินกันไม่ลง หากตนสุดท้ายเทพอพอลโลใช้กลอุบายจนสามารถเอาชนะมาร์ไซอัส ซึ่งสิ่งอพอลโลต้องการหลังชนะการประลองคืออพอลโลก็ได้โอกาสแก้แค้นความบัง อาจของมาร์ไซอัสอพอลโลได้สั่งจับมาร์ไซอัสมัดมือห้อยไว้กับจากต้นไม้ แล้วค่อยๆให้ใช้มีดเฉือนเนื้อทีละชิ้นๆ ช้าๆ จนสิ้นชีวิต!!
ส่วนในโลกแห่งความจริงมีบุคคลสำคัญที่โดนประหารนี้มากมายหลายคน จนผมไม่สามารถบรรยายได้หมด เอาที่ดังๆ ละกัน ก็มี ซิเซเนส(Sisamnes)ที่ได้รับโทษประหาร “ถลกหนัง” ในข้อหารับสินบนจากประเทศฝ่ายศัตรู และปัจจบันมีการวาดภาพเขาโดยศิลปิน เจอราร์ด ดาวิด (ภาพที่สอง) ในชื่อ “การแร่ซิซามเนส” (The Flaying of Sisamnes , กฎหมายโบราณของไทย โทษประหารสถาน 2 คือ ถลกหนังศีรษะออก แล้วใช้กรวดทรายหยาบขัดจนกะโหลกศีรษะขาวโพลน, ในสงครามโลกครั้ง 2 มีรายงานจากทหารอเมริกันว่าทหารญี่ปุ่นได้นำนักโทษมาทรมานก่อนที่จะลอกผิว และตัดหัว, ในปี 2000 มีรายงานว่ารัฐบาลทหารพม่าได้ทำการถลกหนังชาวบ้านในหมู่บ้าน Karenni
อันดับ 5 Scaphism
Scaphism เป็นชื่อการประหารของเปอร์เซียโบราณที่ออกแบบเพื่อให้ตายอย่างทรมาน ชื่อนี้มาจากภาษากรีกคือ Skaphe หมายถึง โพรง(scooped) ส่วนวิธีการลงโทษนั้นค่อนข้างแปลกเสียหน่อยคือนำนักโทษอดอาหารจนร่างกายผอม จากนำนักโทษเปลือยกายยัดในโพรงต้นไม้ขนาดใหญ่(จนเป็นที่มาของชื่อการประหาร นี้)และถูกมัดให้แขนขายื่นออกมาข้างนอกโพรงต้นไม้ แล้วจากนั้น ผู้คุมก็จะให้อาหารเพียงนมและน้ำผึ้ง ซึ่งจะทำให้นักโทษท้องเสีย และทาน้ำผึ้งไว้ตามมือและเท้าที่ยื่นออกมา ทำให้เป็นการดึงดูดล่อแมลงเข้ามาตอมและกัดกินหรือวางไข่สร้างรังโดยที่นัก โทษไม่สามารถทำอะไรได้ อีกทั้งผลที่ตามมาของท้องเสียก็คืออุจจาระจะส่งกลิ่นและกระตุ้นให้แมลงยิ่ง เข้ามาอีก บางทีแมลงพวกนี้ก็จะมากินอุจจาระและวางไข่หรือชอนไชเข้าไปในก้นด้วย สุดท้ายนักโทษจะเกิดแผลเน่าเฟะและตายอย่างช้าๆจากการติดเชื้อ หรือไม่ก็ตายเพราะขาอดอาหารและน้ำตาย ซึ่งวิธีนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้นักโทษเกิดความอปยศและเจ็บปวดแสนสาหัสให้ นานที่สุด ซึ่งในประวัติศาสตร์มีบันทึกว่าคนที่โดนประหารนี้ต้องทนทุกข์ทรมานถึง 17 วัน
นอก เหนือเปอร์เซียยังมีโทษประหารที่คล้ายๆ กันนี้ทั่วโลก เช่นประจาน , บาร์เรล และสเปน ที่จะใช้หลุมแทนต้นไม้ หรือบางที่ก็ใช้ถังแทน ในอเมริกันพื้นเมืองก็มีการลงโทษแบบนี้เหมือนกันโดยเอาน้ำผึ้งมาทาตัวแล้ว ให้แมลงมาตอม ไซบีเรียก็มีวิธีนี้เช่นกันโดยเอาตัวมาผูกต้นไม้ให้ผอมและให้ยุง ม้าบิน(แมลงชนิดหนึ่งคล้ายแมลงวัน) หรือแมลงอื่นๆ มาตอม ส่วนในจีนก็ผูกนักโทษให้อยู่กับที่และให้ยุงมาดูดกินเลือด
อันดับ 4 Slow slicing
แล่อย่างช้าๆ หรือภาษาจีนเรียกว่า Lin Chi-ling มีการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เมื่อ AD 900 และ ถูกยกเลิกเมื่อ 1905 โดยนักโทษที่ต้องโทษประหารนี้มีความผิดคือกบฏ และฆ่าพ่อแม่ตัวเอง ซึ่งวิธีการประหารนี้โหดร้ายทำให้นักโทษเจ็บปวดสาหัสและตายอย่างช้าๆ โดย เริ่มจากจับนักโทษมัดอยู่กับที่กับเสาแบบกางเขาออกกางสาธารณะชน(คนดูก็แบบ โรคจิตด้วย) จากนั้นก็นำมีดมาเฉือนแล่เนื้อๆ ทีละชิ้นมีละชิ้นอย่างช้าๆ เริ่ม จากปลายสุดก่อนแล้วไปส่วนอื่นๆซึ่งทำให้นักโทษตายช้าที่สุดแล้วจากนั้นจึง เริ่มสับที่ตัดแขนขา ตัดคอของนักโทษ(ประหารชีวิต) และควักหัวใจออกมา ซึ่งวิธีการนี้ทำให้นักโทษตายอย่างอัปยศอดสูอย่างมาก ส่วนภาพที่อยู่ด้านบนนั้นเป็นภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส Le Monde Illustre ปี 1858 ที่เป็นเรื่องราวการบันทึกโดยมิชชันนารีในประเทศจีนที่เห็นการประหารชีวิต แบบนี้ นอกจากบันทึกที่ถูกบันทึกโดยชาติตะวันตกแล้ว ซึ่งในรางวงค์ซิงมีการพบเห็นการประหารนี้อยู่มาก นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายต่างๆ ในระหว่างปี 1890, 1905 และยังปรากฏในภาพยนต์เกี่ยวกับจีนหลายเรื่องและใครอยากเห็นการประหารชีวิตแบบนี้ แบบจะๆ ของจริงไม่ใช่ภาพวาด ให้พิมพ์คำภาษาจีนคำว่า 凌迟ในกูเกิ้ลเพื่อดูรูปและคุณจะพบภาพสยองขวัญจนคุณนอนไม่ลง
อันดับ 3 Burning
“เผา ทั้งเป็น” เป็นวิธีสุดฮิตสมัยโบราณ ที่นำเหยื่อมายังที่สาธารณะแล้วมันอยู่กับที่และรอบๆ ตัวจะมีฟางหรือวัตถุไวไฟก่อให้ถึงน่องของนักโทษเพื่อที่จะสามารถติดไฟได้ คงต้องต้องกล่าวว่าคนที่โดนการประหารนี้จะทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นการเผาไหม้อวัยวะ การสูดพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งจะทำให้คนช็อกตายได้
เผาทั้งเป็นนั้นนิยมใช้ในช่วงเทศกาลล่าแม่มด บุคคลที่ดังๆ ที่โดนการประหารนี้ก็เช่น โยน ออฟ อาร์ก (Joan of Arc) วีรสตรีผู้กอบกู้ประเทศฝรั่งเศสในช่วงสงครามร้อยปีกับอังกฤษ (Hundred Years’ War) ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็น ขณะอายุเพียง 19 ปี หลังจากที่เธอถูกกองทัพอังกฤษจับตัวได้ จากการถูกกล่าวหาว่าเธอเป็นพวกนอกรีตและเป็นแม่มด
ปัจจุบันการเผาทั้งเป็นการยังคงอยู่และมีการดัดแปลงวิธีการให้แปลกๆ อยู่เสมอ ตัวอย่าง เช่น Necklacing (แปลว่าวงแหวน) วิธีนี้ได้รับความนิยมมากทางแอฟริกาในช่วงปี 1980-1990 (เฮติและไนจีเรียมากเป็นพิเศษ) เมื่อ จับคนที่ทำความผิดได้แล้ว ไม่ต้องส่งไปให้ตำรวจ จัดการกันเองมันแขนแล้วก็เอายางรถสวมคอ(หนักมาก) จากนั้นก็พาคนผิดมาวิ่งๆ ไปยังที่จุดประหาร จากนั้นก็ราดน้ำมันที่อกและจุดไฟเผา จนร่างกายเผาไหม้เกรียม
อันดับ 2 ตัดด้วยล้อ(Breaking with the Wheel)
ส่วนมากมักทำในเยอรมันและฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 18 ซึ่งบางครั้งจะใช้ดอกจันทน์เทศแทนล้อ แต่ก็ลงโทษก็คล้ายๆ กันแหละคือ
โดย แบบแรกคือการตรึงนักโทษไว้บนล้อเกวียนจากนั้นก็ทำการหมุน เพียงแต่ว่าตรงพื้นข้างล่างนั้นจะเป็นซี่เหล็กแหลมนับไม่ถ้วนขูดกรีดผิวหนัง และใบหน้าของนักโทษเมื่อผู้คุมหมุนซี่เกวียน และผู้ค้มก็จะปรับระดับลดความสูงลงมาอีก ทำให้ขูดลึกกว่าเดิม และทำเช่นนี้จนกระทั่งนักโทษตาย อีกแบบคือตรึงไว้กับซี่ล้อเกวียนครับ ลากเหยื่อมามัดกับล้อและผูกให้แน่นจากนั้นเพชฌฆาตจะตัดหรือทุบอวัยวะต่างๆ คือข้อมือ, ศอก,ไหล่, ข้อเท้า, เข่า,แขน,ขา และตะโพก เหยื่อจะส่งเสียงร้องกรี๊ดก็อย่าให้สนใจ ทำต่อไปแต่หลีกเลี่ยงไม่ให้เหยื่อตาย จากนั้นก็นำมาแขวงสูงๆ โดยให้เหยื่อนอนอยู่บนล้อแนวนอน เหมือนกับรูปเป็นอันเสร็จพิธี แต่เหยื่อก็ยังพบเหตุการณ์ต่างๆ อีกไม่ว่าจะแสงแดดที่ส่องมาอย่างแรงกล้า แต่ที่ร้ายที่สุดคืออีกาที่ลงมาเพื่อฉีกทึ้งเศษเนื้อของเหยื่อ การจิกลูกตา และความเจ็บปวดที่ยาวนานก่อนที่จะตาย
อันดับ 1 The Saw
การประหารนี้พบในยุโรปตะวันออกกลางและบางส่วนในเอเชียและจักรวรรดิโรมันในสมัยจักรพร
รดิ Caligula ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล( II Samuel 12:31 **)ได้กล่าวถึงเครื่องทรมานชนิดนี้ว่าใช้สำหรับทรมานทั้งผู้ชาย,ผู้หญิง และเด็ก นอกจากนั้นก็มีการใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ในสเปน,อังกฤษ, ฝรั่งเศส ใช้ผู้หญิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด และที่เยอรมันใช้สำหรับปราบพวกชาวนาชาวไร่ที่กล่าวหาว่าเป็นกบฏ ซึ่งดูจากภาพก็ไม่ต้องอธิบายมากก็ได้มั้งว่ารูปร่างมันเหมือนเลื่อยสำหรับ ใช้สองคนเหมือนบ้านเราเพียงแต่เขาจะเปลี่ยนจากเลื่อยไม้มาเลื่อยคนเท่านั้น โดยวิธีใช้ก็จับเหยื่อห้อยหัวและอ้าหว่างขาออกเหมือนภาพ จากนั้นก็ใช้เลื่อยผ่าหว่างขาให้แยกจากนั้นก็เลื่อยไปเลื่อยเหมือนทำกับท่อน ไม้(เหยื่อจะทรมานมากเพราะเลือดไหลย้อยจนแทบหมดสติ) มาจนกระทั้งหยุดที่ส่วนของหน้าอก(หรือจะทำให้เหยื่อตายก็ได้ตามใจ) เพราะจุดประสงค์คือไม่ให้เหยื่อตายทันทีแต่ต้องการให้เหยื่อทรมานตายอย่าง ช้าๆ มากกว่า
เสียวสันหลังจิงๆๆนะครับขนลุกเลยอิอิ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น