คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำและตำนาน 1 rewrite
บทนำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ในขณะที่โลกคือศูนย์กลางของทุกๆสิ่ง...ในขณะที่ดวงดาวยังไม่แตกสลาย ยามราตรียังคงมีดวงจันทร์ลอยเด่นเคียงคู่กับดวงดาว แสงสีเงินยามค่ำคืนอาบไล้โลกให้สว่างไสวได้ไม่แพ้แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามกลางวัน
เทพแห่งดวงดาว... บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีม่วง ดวงตาคู่นั้นมักคอยเฝ้ามองไปที่ดวงจันทร์อย่างอ่อนโยนเสมอ ผมสีน้ำเงินเข้มเงางามดุจท้องฟ้ายามราตรียาวถึงกลางหลังและมัดรวบที่ปลายผม ใบหน้าที่ดูเหมือนจะมีเชื้อยุโรปนิดๆทำให้ยิ่งดูน่าหลงใหลดั่งรูปสลักที่งดงาม รอยยิ้มที่คอยแต่งแต้มใบหน้างามนั้นจะเห็นได้เฉพาะเวลาที่อยู่กับเทพแห่งดวงจันทร์เท่านั้น หน้าที่ของเขาคือการทำให้ดวงดาวเปล่งแสงและเคลื่อนที่ไปรอบโลกเพื่อทำให้เกิดเวลากลางคืน
เทพแห่งดวงจันทร์หรือเทพแห่งจันทรา...สตรีผู้มีรูปโฉมงดงามอย่างหาใครเทียบไม่ได้ นัยน์ตาสีเขียวมรกตฉายแววเมตตาต่อทุกๆสิ่งอยู่เป็นนิจ ใบหน้ารูปไข่ผุดผ่อง จมูกที่รับกับดวงตากลมโตอย่างไม่มีขาดหรือเกิน ริมฝีปากสีแดงระเรื่อที่ยามแย้มยิ้มแล้วทุกๆคนต้องหยุดมองด้วยความหลงใหลไม่ว่าชายหรือหญิง เรือนผมสีทองที่นุ่มและพลิ้วไหวเสมือนแพรไหมชั้นดียาวจรดข้อเท้า รูปร่างอรชรบอบบางน่าถะนุถนอม หน้าที่ของเธอคือ เธอต้องดูแลดวงจันทร์ให้ส่องสว่างและหมุนวนไปรอบๆโลก
เทพแห่งดวงอาทิตย์...บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีส้มโชนแสงแรงกล้า ดวงหน้าคมคายแลดูอาจหาญ ผมสีแดงยาวจรดเอวเคลื่อนไหวดุจดั่งเปลวไฟที่มีชีวิต รูปร่างสูงแลดูกำยำแข็งแรงและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง เขามีหน้าที่ทำให้ดวงอาทิตย์ที่อยู่ใต้อำนาจของตนมีไฟลุกโชติช่วงเพื่อส่องสว่างให้โลกในยามกลางวัน
พวกเขาทั้งสามผู้เป็นเสมือนเทพแห่งชีวิตผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง ความร้อนของดวงอาทิตย์ ความเย็นของดวงจันทร์และดวงดาว เป็นดั่งแรงฉุดดึงที่ทำให้เหล่ามนุษย์และภูตผู้โง่เขลาได้คิดค้นสิ่งต่างๆในการดำรงชีวิตซึ่งเป็นจุดกำเนิดของวัฒนธรรมและอารธรรม
เทพทั้งสามองค์นั้นได้ดูแลดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์มาเป็นเวลานานแสนนานโดยไม่ได้หยุดพัก แม้จะอยู่บนฟากฟ้าเดียวกันแต่เทพแห่งดวงดาวและเทพแห่งดวงจันทร์กลับไม่เคยพบเทพแห่งดวงอาทิตย์แม้แต่ครั้งเดียว ต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงกัน...แต่ก็ไม่ก้าวก่าย เพราะรักในความสงบเงียบหรือเพราะความหยิ่งทระนงในศักดิ์ของตน สุดท้ายแล้วต่างฝ่ายต่างเลือกที่จะไม่สนใจเนื่องจากมีหน้าที่ต้องทำ
เทพแห่งดวงดาวนั้นได้เพียรพยายามบอกถึงความรักที่ตนมีกับเทพแห่งดวงจันทร์ ตั้งแต่แรกพบ... ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เกิดมาอยู่เคียงคู่กัน...เขาก็หลงรักเทพจันทราอย่างมิอาจถอนตัว... เขานั้นทั้งห่วงใยและได้แต่คิดคำนึงถึงเทพแห่งจันทราทุกลมหายใจ
แต่เทพแห่งดวงจันทร์ไม่สามารถตอบรับความรักอันบริสุทธิ์ใจของเทพแห่งดวงดาวได้ ใช่ว่าไม่ห่วงใย... ใช่ว่าไม่คะนึงหา... เพียงแต่มิได้รัก...มิได้คิดคำนึงหาทุกช่วงเวลา... ทุกลมหายใจเข้าออก... ด้วยเหตุนี้เธอจึงตอบปฏิเสธไปเสมอ
เมื่อเวลาผันผ่านไปหลายร้อยหลายพันปี ยามที่ดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์จะมาบรรจบกันก็ได้มาถึงนั่นคือเวลาที่ “สุริยคราส” ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ได้ซ้อนทับกันอย่างสนิท โลกทั้งใบก็พลันดับแสงลง เทพแห่งดวงจันทร์และเทพแห่งดวงอาทิตย์ได้พบกันเป็นครั้งแรก ต่างก็ตกหลุมรักกันและกันทันที
คนๆนี้ทำให้ทุกลมหายใจเข้าออกของเธอมีเพียงเขา ยามที่สายตาสองคู่ได้มาบรรจบกันความผูกพันก็ก่อเกิดขึ้นทันที นี่แหละ...ความรักอันลึกซึ้งดื่มด่ำและมิอาจถอนใจจากไปไหนได้...
เนื่องจากเทพแห่งจันทราไม่สามารถที่จะข้ามไปหาเทพแห่งดวงอาทิตย์ได้เนื่องจากไฟอันร้อนระอุ เทพแห่งดวงอาทิตย์จึงได้เป็นฝ่ายข้ามไปหาเทพแห่งดวงจันทร์เอง เมื่อทั้งสองได้พูดคุยกัน ความรักที่มีอยู่ก็เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองเมื่ออยู่ด้วยกันจึงลืมสิ้นทุกอย่างทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบ ทำให้สุริยะคราสในครั้งนั้นยาวนานถึง 7 วัน 7 คืน ก่อนจะจากกันเทพแห่งดวงอาทิตย์ก็ได้ทำพันธสัญญาว่า แต่นี้ต่อไปเปลวไฟที่อยู่ภายใต้การดูแลของเทพแห่งดวงอาทิตย์จะไม่มีวันทำร้ายเทพแห่งจันทราได้ เมื่อดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เลื่อนออกจากกันแสงสว่างก็สาดส่องโลกอีกครั้ง
เพราะคะนึงหาทุกช่วงลมหายใจเข้าออก...แม้นมิได้เจอกันเพียงหนึ่งนาที ก็ราวกับว่ามิได้เจอกันหนึ่งชั่วโมง หากไม่ได้เจอกันอีกหลายร้อยปีเล่า เธอจะอยู่ได้อย่างไร? ห่างกันเพียงหนึ่งวันใจเธอก็ปวดร้าวด้วยความคิดถึง เขาจะเป็นอย่างไร? สบายดีไหม? หัวใจที่บีบคั้นนั้นทำให้เธอทรมานอย่างแสนสาหัส ร่างกายเริ่มซูบผอมและซีดเซียว
เวลาผ่านไปไม่นานนักเทพแห่งดวงดาวก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของหญิงผู้เป็นที่รัก จึงได้เข้าไปไต่ถาม ทำให้ได้ทราบว่าเป็นเพราะความคิดถึงเทพแห่งดวงอาทิตย์ เทพแห่งดวงดาวโกรธมากเมื่อได้ยินเช่นนั้นเพราะความหึงหวงจึงได้ใช้เวทมนต์ลบล้างความทรงจำของเทพแห่งดวงจันทร์ที่มีเกี่ยวกับเทพแห่งดวงอาทิตย์ไปจนหมดสิ้น เมื่อจำไม่ได้ก็ไม่เจ็บปวด...เมื่อจำไม่ได้ก็ไม่คิดถึงคะนึงหาทุดลมหายใจ ถึงแม้ในลมหายใจนั้นไม่มีตัวเขาอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่ก็อย่ามีผู้อื่นอยู่ในนั้นก็เพียงพอ...
ในขณะเดียวกันเทพแห่งดวงอาทิตย์ทนคิดถึงเทพแห่งจันทราไม่ไหวจึงได้ละทิ้งดวงอาทิตย์ไปชั่วคราวเพื่อเดินทางไปหาเทพแห่งดวงจันทร์คนรักของตน
ทว่าเมื่อไปถึงกลับพบว่าเทพแห่งจันทราได้นอนสลบอยู่ข้างๆเทพแห่งดวงดาว ด้วยโทสะที่รุนแรงเทพแห่งดวงอาทิตย์จึงใช้พลังทำลายดวงดาว ดวงดาวที่แตกออก กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ทั่วฟากฟ้า เทพแห่งดวงดาวเห็นเช่นนั้นจึงเข้าต่อสู้กับเทพแห่งดวงอาทิตย์ทันที ดวงดาวหรือจะสู้ดวงอาทิตย์ที่เป็นดั่งไฟที่เผาผลาญสิ้นทุกสิ่ง
ด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้นที่สั่งสมมานานทำให้เทพแห่งดวงดาวใช้พลังที่เหลือทั้งหมดในตอนนั้นสาปเทพแห่งดวงอาทิตย์และเทพแห่งจันทราว่าจะไม่สามารถออกไปจากสถานที่ที่ตนดูแลอยู่ได้แม้สักก้าวเดียว กล่าวคือทั้งคู่จะไม่สามารถเดินทางไปหากันและกันได้นั่นเอง ถือว่าเป็นคำสาปที่ร้ายแรงเหลือทนสำหรับเทพแห่งดวงอาทิตย์
เทพแห่งดวงอาทิตย์จึงสาปคำสาปเดียวกันแก่เทพแห่งดวงดาวแต่กลับกักขังอยู่ในเศษของดวงดาวที่อยู่ทางทิศเหนือไกลจากดวงจันทร์ อีกทั้งทำร้ายเทพแห่งดวงดาวจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนคำสาปจะออกฤทธิ์เทพแห่งจันทราก็ได้ฟื้นคืนสติ
เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวก็เศร้าโศกเป็นอย่างมากเทพแห่งดวงอาทิตย์เห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปปลอบโยน แต่เทพแห่งจันทรากลับจำเทพแห่งดวงอาทิตย์ไม่ได้ เทพแห่งดวงอาทิตย์รู้ว่าเกิดจากอะไรจึงรีบถอนมนตราให้ แต่เมื่อถอนเสร็จแล้วคำสาปก็ออกฤทธิ์ เทพทั้งสองไม่ได้แม้แต่บอกลากัน เทพแห่งดวงอาทิตย์ถูกอำนาจของคำสาปดึงตัวไปอย่างรวดเร็ว ถ้าต้องจากกันอย่างนี้จำไม่ได้เสียเลยจะดีกว่าไหม?
แต่ในเวลาที่แสงมืดดับไปนั้นบนโลกได้เกิดจลาจลครั้งใหญ่ที่สุด เผ่าแห่งความมืดได้ยึดครองโลกอย่างสมบูรณ์แบบ กลียุค...นรกบนดินที่ซึ่งไร้แสงอาทิตย์ แสงจันทร์และแสงดาว มนุษย์และภูตบ้างก็อ้อนวอนต่อเทพเจ้า บ้างก็สาปแช่งด่าทอ เทพทั้งสามรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนมากแต่ก็จนใจไม่รู้ว่าจะทำเช่นใด เพื่อเป็นการชดใช้เทพทั้งสามจึงได้ส่งส่วนหนึ่งของตนลงมายังโลกเพื่อเป็นทางหนึ่งในการช่วยเหลือ โดยมอบพลังให้แก่มนุษย์คนแรกที่แตะมัน
ชิ้นที่หนึ่งคือ เศษเสี้ยวธุลีของดวงดาวที่แตกระเบิดออกตอนเทพแห่งดวงอาทิตย์ทำลาย
ชิ้นที่สองคือ น้ำตาของเทพจันทราที่เสียใจอย่างหนักหลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป
ชิ้นที่สามคือ เศษหินของพระอาทิตย์ที่ศูนย์เสียการควบคุมจึงได้มีบางส่วนหลุดออกมา
เมื่อมนุษย์ได้ของทั้งสามสิ่งแล้วจึงได้ใช้พลังนั้นทำลายฝ่ายมืดจนหมดสิ้นและผนึกความมืดมิดนั้นไว้ตลอดกาล...นี่คือต้นกำเนิดของตระกูลใหญ่ทั้งสามที่เรืองอำนาจสืบมา...
"อา... เอาล่ะนิทานจบแล้ว หลานปู่ถึงเวลานอนแล้ว"
ความคิดเห็น