คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เรียนและรู้ 1 (100)
Chapter 5
“อืม...ฮ้าว...ง่วงจังวันนี้ตื่นก่อนเฟนเหรอเนี่ย”ไอโอลีพึมพำเบาๆเมื่อตื่นขึ้น เมื่อเธอลืมตาขึ้นก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ห้องนอนนี้ใหญ่มากขนาดของมันยังใหญ่กว่าห้องที่ดีที่สุดของโรงแรมเธอตั้งเท่าตัว ภายในห้องตกแต่งประดับประดาอย่างงดงาม หรูหรา ทั้งม่านสีครีมอ่อน ผนังสีเนื้อ เตียงขนาดใหญ่ที่มีหัวเตียงกับเสาสี่ด้านแกะสลักลวดลายอ่อนช้อย โคมไฟระย้าอันใหญ่ถูกแขวนไว้บนดานสูงที่ถูกวาดเป็นรูปท้องฟ้ายามค่ำคืนและของตกแต่งทั้งภาพวาดหรือแจกันทรงแปลกตา พรมสีเลือดหมู ทุกๆอย่างต้องแพงมากแน่ๆ เหตุการณ์เมื่อวานย้อนกลับเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็ว
จริงสิเรานั่งรถอยู่นี่ อ๊ะ! แล้วเฟนเดลเลียล่ะ? เธอรีบลุกออกจากเตียง แล้วเดินไปที่ประตูบานใหญ่เธอเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแต่ยังไม่ทันจะได้บิด มันก็หมุนได้เอง เธอถอยออกมาอย่างหวาดผวา ประตูค่อยๆเปิดออกพร้อมๆกับเสียงพูด
“ขอโทษค่ะมีใครอยู่ไหมคะ?” ไอลีจำเสียงนั้นได้โดยทันทีและเรียกด้วยความดีใจ “เฟนเดลเลีย?”
“ไอโอลี”ประตูเปิดกว้างออกทำให้เห็นเฟนเดลเลียได้อย่างชัดเจนเธอปล่อยผมลงและใส่เสื้อนอนสีขาวจีบระบายลูกไม้น่ารัก เธอวิ่งเข้ามาหาไอโอลีและพูดเสียงเครือๆ “ไอล์ที่นี่ใหญ่มากเดินตั้งนานแล้วไม่เจอใครเลยสักคน” หัวไอโอลีเริ่มแล่น เท่าที่จำได้ก็...ลุงเมอร์ดาส!!! ที่นี่ที่ไหน?
ไอโอลีก็วิ่งหน้าตั้งไปที่หน้าต่างและแหวกม่านออกอย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือ สวนหลังบ้านที่มีทั้งดอกไม้ต้นไม้นานาพันธุ์ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามดูรื่นรมย์ทางเดินที่โรยด้วยกรวดสีขาวทอดยาวและคดเคี้ยวไปมาดูวกวน นาฬิกาแดดขนาดใหญ่ตั้งวางไว้กลางสวน แปดโมง....
“เฟนเธอเดินมาจากไหนน่ะ?” ไอโอลีเริ่มถาม
“ก็เดินมาเรื่อยๆน่ะทางยาวมากแล้วมีห้องเต็มไปหมด ไม่มีคนอยู่เลย”เฟนเดลเลียตอบ
“งั้น เราไปเดินหาใครสักคนแถวนี้กันเถอะ” ไอโอลีแนะนำ
ไอโอลีกับเฟนเดลเลียก็พากันจูงมือออกจากห้องไป เธอเห็นทางเดินยาวเหยียดที่ไม่รู้จะจบตรงไหน ขณะที่พวกเธอกำลังเดินกันอยู่นั่นเอง ประตูที่อยู่ห่างจากพวกเธอไม่ไกลนักก็เปิดออก ร่างสูงร่างหนึ่งเดินออกมา
“ลุงเมอร์ดาส!!!”พวกเธอร้องออกมาพร้อมกัน
เมอร์ดาสหันมามองอย่างแปลกใจแล้วอุทานว่า “อ้าว! ลุงกำลังจะไปปลุกพอดี นึกว่ายังไม่ตื่นกัน หิวรึยังไปทานข้าวเช้ากันก่อนแล้วกัน ตามลุงมาเลย”
ซ้าย...ขวา...ขวา...ซ้ายอีกสองทีแล้วก็ขวา...แล้วซ้าย...ขวา...โอ๊ยจำไม่ได้แล้ว ไอโอลีพยายามจำทางแต่ก็ล้มเหลว เมื่อถึงห้องอาหารเธอก็ลืมเรื่องทางไปเสียสนิทเพราะของตรงหน้านั้น น่าสนใจกว่ามาก โต๊ะอาหารใหญ่โตที่นั่งได้ 20 คน ปูด้วยผ้าสีขาวอย่างดีปักดิ้นสีเงินและขลิบทองอย่างหรูหรา เก้าอี้สไตล์ยุโรปที่บ่งบอกถึงรสนิยมไม่ธรรมดา โคมไฟระย้าที่สวยกว่าห้องนอนของเธอ ที่สำคัญที่สุดคือ อาหารตรงหน้า แพนเค้กราดน้ำเชื่อมกองโต นมสีขาวนวลที่อยู่ในเหยือก ครัวซองค์สีน้ำตาลอ่อนดูนุ่มนิ่ม โถน้ำผึ้งสีใส ซีเรียลทุกแบบที่นึกออกถูกเทใส่ถ้วยใบใหญ่ แซนวิชพร้อมแฮม แยมหลากสี ขนมปังปิ้งร้อนๆและผลไม้มากมาย เด็กทั้งสองตะลึงกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
“ลุงไม่รูว่าพวกหนูชอบทานอะไรเลยให้เตรียมไว้ทุกอย่าง เอาล่ะ! ทานข้าวกันเถอะ”เมอร์ดาสเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ระหว่างรับประทานอาหารไอโอลีก็ถามขึ้นว่า “นี่บ้านลุงเหรอคะ?”
เมอร์ดาสเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่บ้าน นี่ คฤหาสน์ลุงเองล่ะ นานๆมาที”
ไม่ใช่บ้านแต่เป็นคฤหาสน์! ไอโอลีอุทานในใจ
หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จแล้วลุงเมอร์ดาสก็พาพวกเธอไปห้องรับแขก ห้องนี้จำไม่ยากเพราะเดินออกห้องอาหารก็เป็นห้องรับแขกเลย ตรงกลางมีบันไดไม้ที่ทอดมาจากทั้งสองฝั่ง ตรงกลางมีรูปคนใบใหญ่แขวนไว้ ไม่ใช่ลุงเมอดาสเพราะคนๆนี้ดูแก่กว่ามาก แต่ตาเป็นสีหมอกเหมือนกัน ทอประกายเจิดจ้าเหมือนกับลุงเมอดาสราวกับเป็นคนๆเดียวกัน เธอจึงอดถามไม่ได้ว่า “ใครหรอคะ?” เมอดาสยิ้มเล็กๆแล้วบอกว่าเป็นต้นตระกูล
เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ลุงเมอร์ดาสก็เอ่ยปากขึ้นว่า“เอาล่ะ พวกหนูฟังลุงนะ เราเหลือเวลาน้อยมาก เพราะงั้นแล้ว ลุงจะเล่าอะไรให้ฟังเพื่อความเข้าใจ” เขาสูดหายใจลึกก่อนเริ่มเล่า
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ในขณะที่ดวงดาวยังไม่แตกสลาย ยามราตรียังคงมีดวงจันทร์
อยู่เคียงคู่กับดวงดาว แสงสีเงินอาบไล้โลกให้สว่างไสวได้ไม่แพ้แสงสีทองของดวงอาทิตย์
ยามกลางวัน เทพแห่งดวงดาว... บุรุษผู้มีดวงตาสีม่วงอ่อน ซึ่งดวงตาคู่นั้นมักคอยเฝ้ามองไปที่
ดวงจันทร์อย่างอ่อนโยนเสมอ”
“เดี๋ยวค่ะเรื่องนี้พวกเราเคยฟังแล้ว คุณปู่เล่าให้ฟังบ่อยๆ...”เฟนเดลเลียพูดขัดขึ้น
“อา...ใช่สิๆ คุณปู่เธอเล่าให้ฟังแล้ว จากหนังสือเล่มสีดำใช่ไหม? งั้นคงง่ายหน่อย”เมอร์ดาสทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้
“คุณลุงรู้ได้ไงคะว่าหนังสือสีดำ?” ไอโอลีถาม
“นิทานเล่มนี้มีหน้าปกอยู่สีเดียวนั่นล่ะ”เมอร์ดาสตอบยิ้มๆก่อนเล่าต่อ
“งั้นลุงเล่าต่อเลยนะ สามตระกูลใหญ่ที่เรืองอำนาจขึ้นมาในตอนหลังของกลียุคนั้นได้แก่ ตระกูลสุริยัน ตระกูลจันทราและตระกูลดารา แต่ละตระกูลก็ได้พลังจากเทพสามองค์สืบต่อมาทางสายเลือดทำให้ทั้งสามตระกูลมีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ เหมือนเป็นของขวัญตอบแทนที่พวกเขาได้ช่วยเหลือในตอนเกิดสงคราม ตระกูลสุริยันจะมองเห็นความจริงทั้งหมด ตระกูลจันทราจะมองเห็นอนาคตและตระกูลดาราจะมองเห็นอดีต แต่แล้วด้วยความยิ่งใหญ่เกินตัวของตระกูลสุริยัน ตระกูลจันทราและตระกูลดาราจึงร่วมมือกันโค่นตระกูลสุริยัน ทำให้ปัจจุบันเหลือเพียงสองตระกูล เหตุที่ตระกูลสุริยันถูกโค่นล้มก็เพราะดวงตา... มนุษย์บนโลกนั้นจะมีสิ่งที่ติดตัวมาเรียกว่าเวทมนต์ และสิ่งที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของเวทมนต์คือดวงตา ดวงตายิ่งเจิดจรัสเท่าใดก็ยิ่งมีเวทมนต์แข็งแกร่งเท่านั้น ตระกูลสุริยันมีดวงตาที่สว่าง...และมันสว่างจนเกินไป ตระกูลสุริยันถึงเป็นตระกูลใหญ่แต่จำนวนคนกลับมีน้อยเพียงหยิบมือ ตระกูลจันทราและตระกูลดาราจึงใช้หลัก เอาน้ำมากเข้าราดกองไฟ ทำให้ตระกูลพ่ายแพ้และสาบสูญไปไม่มีคนรู้ว่ายังเหลืออีกหรือไม่ ถึงกระนั้นตระกูลจันทราและตระกูลดาราก็แย่งชิงอำนาจปกครองเพื่อปกครองเพียงฝ่ายเดียว แต่ก็ไม่มีใครชนะจึงแตกหักกันจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้จะมีคนเคยพยายามประสานรอยร้าวอันยิ่งใหญ่นี้เท่าใดแต่ก็ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ...”สิ้นเสียงลุงเมอร์ดาส ความเงียบก็เข้าปกคลุมคนทั้งสาม
ไอโอลีเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาว่า “แบบนี้ก็หมายความว่า หนูเป็นคนตระกูลจันทรา...ส่วนเฟนเป็นคนตระกูลดาราหรือคะ?”
“ใช่แล้ว นึกแล้วว่าต้องเข้าใจอะไรๆง่ายๆ และพวกหนูยังเป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งสองตระกูลอีกด้วย”เมอร์ดาสตอบอย่างช้าๆ
เฟนเดลเลียเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “งั้นพวกหนูก็มี เวทมนต์ใช่ไหมคะ?” เธอไม่รู้หรอกว่านี่จะเป็นเรื่องหลอกกันเล่นรึปล่าวแต่เธอชอบมัน ถ้าจริงก็ดีสิ
“ใช่”คำตอบสั้นๆจากปากเมอร์ดาสทำเอา ทั้งไอโอลีและเฟนเดลเลียยิ้มอย่างดีใจ
“เหมือนฝันเลยค่ะ! พวกเราฝันว่าอยากมีเวทมนต์มาตลอด คุณลุงทำให้ดูหน่อยสิคะ เวทมนต์น่ะ”
ไอโอลีเอ่ยด้วยความดีใจ
“ใช่ค่ะหนูก็อยากเห็น อะไรก็ได้ที่เป็นเวทมนต์ นะคะๆ แล้วหนูจะเชื่อทุกอย่างเลย!”
เฟนเดลเลียเอ่ยตาเป็นประกาย
เด็กหนอเด็ก...ไม่คิดอะไรลึกซึ้ง...เอาเถอะดีเหมือนกัน
“ช่วยไม่ได้ งั้นลุงจะทำให้ดู ดูดีๆนะ”เมอร์ดาสพูดจบเขาก็พึมพำบางอย่างแล้วยื่นมือไปข้างหน้าสองข้างประกบเข้าด้วยกัน และแบมือออก เผยให้เห็นดอกกุหลาบที่ทำจากน้ำแข็งมีการเจียระไนกลีบดอกอย่างสวยงาม อีกทั้งใจกลางยังมีลูกไฟสีฟ้าเล็กลุกโชติช่วงอยู่อีกต่างหาก เหลี่ยมมุมที่น้ำแข็งนั้นหยอกล้อกับไฟเกิดความแวววาวอย่างน่าประทับใจ
“ว้าว!”เสียงร้องอย่างตื่นเต้นดังขึ้นด้วยความพร้อมเพรียง และอีกอึดใจต่อมาเสียงใสๆพูดออกมาเกือบจะเป็นเสียงตะโกนพร้อมกันว่า “สอนหนูนะคะ!!!”
เมอร์ดาสยิ้มรับราวกับได้คำนวณไว้แล้ว “ได้เลย! แล้วห้ามบ่นนะ”
ฮืออออออ TOT ต้องขอโทษจริงๆค่ะ เพิ่งได้คอมใหม่มา จะลงให้มากขึ้นค่ะ
ความคิดเห็น