ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุริยัน จันทรา ดารา

    ลำดับตอนที่ #4 : ออกจากบ้านหลังเก่าสู่โลกใบใหม่(100%)

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 53


    Chapter 4


              วันรุ่งขึ้น เมื่อแสงอันอบอุ่นของดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน


    ของไอโอลีและเฟนเดลเลีย
     เสียงนกร้องขับขานเจื้อยแจ้วรับวันใหม่ เด็กทั้งสองก็เริ่มรู้สึกตัว ความ


    เหนื่อยอ่อนจากเมื่อวานได้คลายลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ
     เมื่อพวกเธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พากันเดิน


    ลงไปข้างล่าง
     


    "
    อะ...อรุณสวัสดิ์ค่ะ คะ...คุณหนู"พนักงานต้อนรับพูดเสียงสั่น


     


    ไอโอลีก็พอจะรู้สาเหตุที่ทำให้พี่สาวกลัวจึงได้แต่ยิ้มตอบกลับไป
     เธอไม่ได้คาดคิดว่า


    เหตุการณ์เมื่อวานจะทำให้คนอื่นๆกลัวพวกเธอขนาดนี้
      


    "
    โอ...คุณหนูทั้งสอง มาทานข้าวเช้าเถอะค่ะ เมื่อวานคงเหนื่อยมากสินะคะ " พี่เลี้ยงของ


    เธอเดินเข้ามาหาเธออย่างรีบเร่ง พวกเธอค่อนข้างแปลกใจเมื่อเห็นว่าพี่เลี้ยงนั้นไม่ได้


    กลัวพวกเธอ


     


    แต่ก่อนจะเอ่ยปากถาม พี่เลี้ยงกลับเร่งเธอให้เดินเข้าไปในห้องอาหารเสียก่อน
    "เร็วเข้าเถอะ


    ค่ะ"
     พวกเธอก็ได้แต่เดินตามด้วยความงุนงง


    -
    ทำไมป้าคาเรนต้องรีบขนาดนี้นะ-เฟนเดลเลียคิด 


    และระหว่างที่พวกเธอกำลังทานข้าวเช้าอยู่นั่นเอง คาเรนก็ตัดสินใจเอ่ยปากขึ้นอย่างจริงจังว่า


    คุณหนูคะฟังนะคะ หนีเถอะค่ะ!”  


     


    หนี...อะไรคะ เฟนเดลเลียถามอย่าง งงงวย


    คือ...เมื่อวานป้าได้ยินคุณหนูใหญ่ โทรสั่งให้คนมาจับตัวคุณหนูของป้าไปไว้ที่อื่น...


    สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่แสนห่างไกล เขาอ้างว่าคุณหนูไม่มีผู้ปกครองแล้ว... คือหมายความว่านาย


    ท่านไม่อยู่น่ะค่ะ
    คาเรนพูดตอบเสียงเศร้า


     


    สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ห่างไกล ?” เฟนเดลเลียทวนประโยคเสียงสูง


    แล้วถ้า...พวกหนูจะหนีไปจริง จะหนีไปที่ไหนได้ล่ะคะ ไอโอลีถามอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อทั้งชีวิต


    ของเธอก็เติบโตมาในที่แห่งนี้เท่านั้น


    มันช่างประจวบเหมาะเหลือเกินที่มีคุณผู้ชายคนหนึ่ง ต้องการรับเลี้ยงคุณหนู เมื่อเขาทราบข่าวเข้า


    ก็ออกปากทันทีเลยค่ะ ดูท่าทางเขาเป็นคนที่มีฐานะดีคนหนึ่งนะคะ เขาเป็นแขกที่พักอยู่ที่โรงแรม


    เราเองค่ะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามตอนนี้ก็มีแค่ทางเลือกเดียวเท่านั้นค่ะ เรามี่ทางเลือกอื่นแล้วแต่ถ้า


    คุณหนูมีปัญหาอะไรก็กลับมาที่นี่ได้เสมอนะคะ ป้าจะไม่ไปไหน... ออกเดินทางเย็นนี้เลยนะคะเอา


    แค่ของที่จำเป็นเดี๋ยวป้าช่วยจัด”คาเรนอธิบาย


     


    คือ... ระหว่างที่พวกเธออึกอักอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงผู้ชายพูดแทรกเข้ามา


    เดี๋ยวผมพูดกับพวกแกเองครับ เมื่อพวกเธอหันไปมองก็พบผู้ชายที่ดูภูมิฐานยืนอยู่ หน้าทางเข้า


    ห้องอาหาร เขามีผมสีเทาเข้ม สูงรูปร่างสมส่วน สวมแว่นตาดำ อายุประมาณสักสามสิบต้นๆ


     


    ไอโอลีและเฟนเดลเลียก็ไม่รอช้า พวกเธอลงมืออ่านอดีต และอนาคตของผู้ชายคนนี้


    ทันทีเหมือนที่พวกเธอทำเมื่อเจอคนแปลกหน้าทุกครั้ง แต่พวกเธอก็ต้องเบิกตากว้าง


    อย่างตกใจ  พวกเธอหันมามองหน้ากันและเห็นอีกฝ่ายตกใจเช่นเดียวกับตน จึงทำให้รู้


    ว่ามันมาจากสาเหตุเดียวกันแน่นอน คือ พวกเธอไม่สามารถมองเห็นอดีตหรืออนาคตของเขาได้


    เลย
    !!!  


     


    “งั้น
    ป้าออกไปก่อนนะคะ คุยกับเขาดีๆล่ะ”คาเรนก็เดินเลี่ยงออกไปจากห้อง


    แต่คำพูดพวกนั้นแทบจะไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของทั้งสองเลย เพราะตอนนี้ในหัวมี


    แต่คำว่าทำไม...ทำไมกันถึงมองไม่เห็น... ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเลยที่จะมองไม่เห็น แม้แต่


    อนาคตของพวกเธอเอง แม้แต่จะเป็นภาพเบลอๆซึ่งแทบไม่เห็นอะไรแต่ก็ถือว่าเห็น


    แต่นี่...ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆเหมือนกับว่าพลังของพวกเธอได้หายไปโดยสิ้นเชิง มันว่างปล่าว


     


    ผู้ชายคนนั้นเริ่มพูดกับเด็กทั้งสองคนแบบยิ้มๆ


    “พวกเธอคงสงสัยล่ะสิว่าทำไม”เขาหยุดหายใจก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า


    “ถึงมองอดีตกับอนาคตของฉันไม่เห็น...” ทันทีที่เขาพูดจบ พวกเธอก็เหมือนจะพูดอะไรไม่ออก


    ทำไมคนๆนี้ถึงรู้ความลับนี้ได้ หรือว่าคุณปู่จะบอกให้เขาฟัง?


     


    แล้วเขาก็ก้าวเดินมาข้างหน้าเด็กทั้งสองคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะอาหารทางด้านข้างของห้องอาหาร


    ไอโอลีและเฟนเดลเลียไม่ได้คิดที่จะวิ่งหนีหรือหวาดกลัวแต่อย่างไรเพราะคนตรงหน้านั้นมีแต่


    บรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตรแผ่ออกมาอยู่ตลอดเวลา เขามาหยุดตรงหน้าของเด็กทั้งสองและย่อ


    ตัวลงเพื่อให้ระดับสายตานั้นเท่ากัน ก่อนที่จะค่อยๆถอดแว่นดำออกเผยให้เห็นดวงตาสีเทาหมอกดู


    อบอุ่นคู่หนึ่ง เมื่อถอดแว่นแล้วก็เห็นได้ว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาดีมากคนนึง ผมสีเทาเข้มไม่เป็นทรงของเขาก็ทำให้เขาดดีอย่างไน่เชื่อ


    เขามีดวงหน้าเกลี้ยงเกลา
    คมเข้มดุจชายชาตรีที่อยู่ในชนชั้นสูง แม้จะมีริ้วรอยบ้างแต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาดูแย่ลงแต่อย่างใดกลับ


    เพิ่มเสน่ห์ของเขาเสียอีก


     


    ตาสีเทาหมอก?? ตั้งแต่เธออยู่ที่นี่มา มีคนต่างชาติมาพักก็หลายคนแต่ไม่มีใครตาสีเทาหมอก


    เหมือนกับตาของเฟนเดลเลียที่เป็นสีม่วงอ่อนเป็นสีนัยน์ตาที่ไม่เหมือนใคร และอีกอย่างที่เธอสนใจ


    ก็คือดวงตาคู่นั้นมันเปล่งประกาย เจิดจ้า ทรงพลัง เมื่อใครได้สบตาก็ต้องหลบตา...เหมือนเธอ...

     (ต่อแล้วค่ะ)

    “พวกหนูเคยได้ยินไหมที่ว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ นี่ไงล่ะหน้าต่างบานสำคัญของ

    ฉัน เพราะฉะนั้น...กลับบ้านเถิด...คุณหนูทั้งสอง ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับพวกหนูหรอกนะ พวกหนูคงรู้ตัว

    ดีว่าพวกหนูนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป... แต่สำหรับฉันแล้วไม่เลย...เราเหมือนกันและมาจากที่

    เดียวกัน บ้านเกิดที่แท้จริงที่มีเพียงแห่งเดียว ”

     

     มันเป็นเรื่องที่ยากไม่ใช่เล่นเลยที่เด็กอายุเพียงเก้าขวบต้องมารับรู้และตัดสินใจอะไรแบบนี้

     แต่เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น เสียงเล็กๆสองเสียงกลับเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างแผ่วเบา “ค่ะ...”

    พวกเธอเห็นความคล้ายคลึงบางอย่างในตัวเขาคนนี้ เขามีบรรยากาศที่ไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่ได้น่า

    กลัว แต่ก็ไม่ธรรมดา...ปลอดภัย...คุ้นเคย...

     

    “คุณรู้จักกับคุณปู่ใช่ไหมท่านบอกคุณเรื่องพวกหนูและมาช่วยใช่ไหม? แล้วพ่อกับแม่หนูล่ะ?  ท่าน

    เป็นใคร? หนูจะได้เจอพวกท่านไหม?”ไอโอลีถามอย่างมีความหวัง เขาส่ายหน้า “ฉันไม่รู้จักปู่ของ

    เธอหรอกนะ เรื่องพ่อแม่พวกหนูน่ะ นั่นเป็นคำถามที่พวกหนูต้องค้นหาคำตอบด้วยตนเอง”

     

    “หมายความว่ายังไงคะคำถาม...ให้ตนเอง?” เฟนเดลเลียทวนคำอย่างไม่ค่อยเข้าใจ อาจเป็นเพราะ

    เธอยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจศัพท์ยากๆ แต่ในเวลาต่อมาเธอก็เข้าใจมันอย่างแจ่มแจ้ง

     

    เขาส่ายหน้าเป็นทำนองว่าไม่พูดเรื่องนี้ต่อ ก่อนริมฝีปากของชายตรงหน้าคลี่ยิ้มอันอบอุ่นออกมา

    ก่อนแนะนำตัวเอง “เมอดาส เซเรย์ ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้ง จากนี้ไป..จะเป็นชีวิตที่

    พวกเธอสมควรมีมาตั้งแต่ต้นเสียที”

     

    เมื่อพูดจบเมอดาสก็กำลังหันหลังกลับออกไป ก่อนจะพูดอย่างนึกขึ้นได้“อ้อ! เจอกันอีกทีตอนเย็น

    นะ ทำสิ่งที่ต้องทำที่นี่ให้เรียบร้อยเพราะพวกเธออาจไม่ได้กลับมาอีกแล้วก็ได้” เขายิ้มบางๆก่อน

    เดินออกไปและทิ้งให้ไอโอลีกับเฟนเดลเลียอยู่ในห้องอาหารตามลำพัง ไม่นานนักพี่เลี้ยงก็วิ่งเข้า

    มาในห้องอาหารอย่างเร่งรีบ

     

    “คุณหนูไม่เป็นไรนะคะ? เห็นว่าตอบตกลงแล้ว? รีบขึ้นห้องเถอะค่ะป้าจะไปเตรียมของ ระวังอย่าให้

    พวกคุณหนูใหญ่เขาเห็นตัวล่ะเดี๋ยวก็ได้เรื่องอีกพอดี”ป้าคาเรนดุแกมกำชับ แล้วก็พาพวกเธอขึ้น

    ห้องไป

     

     พวกเธอไปที่หลุมศพคุณปู่อีกครั้งและในครั้งนี้เฟนเดลเลียเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า

    “คุณปู่คะ...หนูต้องไปแล้วนะคะ ขอให้คุณปู่อวยพรให้หนูด้วยนะคะ แล้วหนูจะกลับมาเยี่ยมค่ะ”

    “ลาก่อนค่ะ...คุณปู่...”เสียงเล็กๆที่อยูข้างๆบอกคำลา ก่อนที่ทั้งสองจะก้มลงวางดอกไม้สีขาวไว้

    ตรงหน้าหลุมศพ

     

    หนึ่งวันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจริงสำหรับเมอดาส เขาไม่นึกเลยว่าเด็กทั้งสองคนจะมี

    ความเข้มแข็งขนาดนี้ เวลาที่เขารอคอยมาแสนนานก็อาจจะใกล้เข้ามาแล้ว อนาคตที่เต็ม

    ไปด้วยอุปสรรคของพวกเธอก็คงยากลำบากไม่น้อย ตัวเขาเองได้รับคำสั่งจากหัวหน้าตระกูล

    ใหญ่ทั้งสองให้มาพาตัวเด็กทั้งสองกลับไปบ้าน เขารอข่าวนี้มานาน...แต่อย่างไรเสียหน้าที่นี้มันต้อง

    เป็นของเขาอยู่แล้ว... เป็นมาตั้งแต่ต้น... หลังจากนี้ชาวบ้านคงลือกันให้ทั่ว ว่าเป็นความผิดพลาด

    ครั้งใหญ่ของสองตระกูลหลังจากที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ตระกูลที่ไม่ถูกกันอย่างนี้

    กลับมีทายาทสายตรงที่หายสาบสูญไปเหมือนกันทั้งคู่ แถมเมื่อตรวจสอบพบแล้วยังมาอาศัยอยู่

    ด้วยกันอีก พวกเขาไม่รู้หรอกว่าของที่ยิ่งต่างกันมากเท่าใดก็จะยิ่งดึงดูดเข้าหากันมากขึ้นเท่านั้น

     

    แต่กระนั้นเขาก็ยังหวังว่าความบาดหมาดหมางของทั้งสองตระกูลที่เสมือนแก้วที่ร้าวทั้งใบอาจถูก

    หล่อหลอมขึ้นใหม่ โดยธิดาแห่งความหวังทั้งสองก็เป็นได้...เมื่อถึงเวลาที่ฟันเฟืองแห่งโชคชะตา

    ของโลกถูกผลักดันให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอีกครั้ง...เมื่อถึงเวลานั้น..หน้าที่ของเราก็จะเสร็จสมบูรณ์

             

    แอ๊ด... ท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก ประตูหลังของโรงแรมก็เปิดออกอย่างเงียบๆ ร่างเล็กๆสอง

    ร่างกับร่างท้วมอีกหนึ่งร่างรีบก้าวออกมาแล้วยืนรออยู่หน้าประตู ลมจากหิมะนั้นทำเอาร่างเล็กสั่น

    สะท้าน เสื้อฮูดสีฟ้าของพวกเธอปลิวไสวตามแรงลม สักพักหนี่งก็มีรถสีดำราคาแพงคันหนึ่งมาจอด

    เทียบอยู่ใกล้ๆ แก๊ก...ประตูรถเปิดออก คนที่ออกมาไม่ใช่ใครอื่นเมอดาสนั่นเอง เขายังคงสวมแว่น

    ดำเหมือนเดิม เขารีบเดินมาหาเด็กทั้งสองและพาพวกเธอเข้าไปในรถ ในรถนั้นเป็นเบาะหนังนุ่มลื่น

    และอากาศในนี้ก็อุ่นกว่าข้างนอกมากเพราะเครื่องฮีทเตอร์

     

    “คุณหนูคะ โชคดีนะคะ” พี่เลี้ยงพูดเบาๆก่อนจูบลาที่หน้าผากมนของทั้งสอง เสียงปิดประตูรถดังขึ้น

    ก่อนที่รถจะแล่นออกไปและทิ้งรอยล้อไว้ตามทางเป็นรอยยาว หิมะที่ตกลงมาก็ค่อยๆปิดรอยล้อรถ

    และเลือนหายไปในไม่ช้า ผู้ที่เฝ้ามองก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างเศร้าโศก หวังว่าที่ฉันทำลงไป จะ

    เป็นสิ่งที่ถูกต้องนะ...

     

              เมื่อพวกเธอขึ้นรถมาเท่านั้นก็ได้กลิ่นหอมแปลกๆโชยมาติดจมูก เมอดาสเริ่มออกรถไปอย่าง

    ช้าๆ บ้านที่เคยเป็นบ้านของพวกเธอ...ในตอนนี้เธอต้องจากมันไปและไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่

    บ้านที่เติบโตมาพร้อมกับคนที่รักและห่วงใย ถึงจะต้องจากไปแต่ความทรงจำทั้งหมดจะไม่เลือน

    หายไป -ถึงกายจะจากไปแต่จิตวิญญาณยังคงอยู่กับเราเสมอ หากเรายังคงจดจำ...เขาคน

    นั้นจะยังคงมีตัวตนอยู่ตราบนานเท่านาน...- นั่นคือคำสอนที่คุณปู่สอนเสมอ และคุณปู่จะยังคงมี

    ตัวตนอยู่ตลอดไปในหัวใจของพวกเธออย่างแน่นอน

     

    “การเดินทางครั้งนี้ยังอีกยาวไกลนัก หลับไปเสียก่อนเถิด คุณหนู” เมอดาสหันมาพูดกับพวกเธอที่

    นั่งอยู่เบาะหลัง ไอโอลีเอียงคออย่างไม่ค่อยเข้าใจภาษาที่ใช้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ง่วงอย่างนี้

    เมื่อหันไป เฟนเดลเลียก็หลับไปซะแล้ว อาจเป็นเพราะเราใช้พลังมากไป อาจเป็นเพราะกลิ่นหอม

    อ่อนๆนี่ อาจเป็นเพราะอากาศอุ่นๆ อาจเป็นเพราะ... แล้วเธอก็ผล็อยหลับไปบนเบาะรถนุ่มๆที่แล่น

    ผ่าอากาศไปด้วยความเร็วสูง

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------


    ขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านนะคะที่ติดตาม

    ปล.อย่าลืมเมนต์ด้วยน้าาา ^0^



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×