ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุริยัน จันทรา ดารา

    ลำดับตอนที่ #3 : การสูญเสีย2 (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 53



    Chapter 3

     

    งานศพถูกจัดขึ้นในอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา สุสานนั้นอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าใดนักแต่ก็ถือว่า

    ไกลพอดูสำหรับการเดินเท้า แต่ที่นี่ก็เป็นที่ดินของคุณปู่ที่ได้รับตกทอดมาเช่นกัน สุสานของ

    บรรพบุรุษเกือบทุกรุ่นถูกฝังไว้ที่นี่ตามประเพณีโบราณ หลุมศพของคุณปู่ถูกฝังไว้ข้างๆกับภรรยาตาม

    พินัยกรรมราวกับจะสื่อว่า แม้ตัวตายก็ขออยู่เคียงข้างตลอดไป... ความรักที่คุณปู่มีต่อภรรยานั้นเป็น

    ความรักอันลึกซึ้งที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุปัน...

     

    “อึก อึก โฮ....” เสียงร้องไห้ของเด็กสองคนดังระงมไปทั่วบริเวณจัดงานศพ หิมะแรกที่เย็นเยียบพัด

    โปรยปรายลงมาราวกับจะตอกย้ำความเศร้าเสียใจของพวกเธอ


    "นี่จะร้องไห้คร่ำครวญอีกนานไหม น่ารำคาญจริงๆ
    !”
    อาหญิงที่มีศักดิ์เป็นลูกคนแรกของคุณปู่พูดอย่าง

    รำคาญเต็มที่


    "ใช่ๆ มาทำเป็นสะอึกสะอื้นหวังจะให้คนสงสารล่ะสิ ทำเป็นมารยาไปเถอะ ฉันไม่สงสารพวกแกหรอก

    นะเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ คุณพ่อนะคุณพ่ออยู่ดีไม่ว่าดีเก็บเด็กมาเลี้ยงทำไมก็ไม่รู้ ใช่ไหม" คุณอาสองพูด

    เสริมขึ้นอย่างอดไม่ได้ แล้วก็หันหน้าไปหาน้องอีกคนที่เป็นผู้ชายซึ่งก้มหน้าอยู่ทางข้างๆหลุมศพ เป็น

    เชิงขอความเห็น


    "อืม...หนาวแล้วกลับกันเถอะ"เขาพูดเบาๆแบบขอไปทีเหมือนไม่อยากยุ่ง แล้วเดินเลี่ยงออกไป


    "นี่ แล้วอย่าตามมานะ" อาหญิงคนที่สองพูด ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรำคาญจริงอยู่ว่าเด็กไม่ได้ทำอะไร แต่ใคร

    จะรู้ในอนาคตมันอาจแว้งกัดเราก็ได้ เราต้องระวังตัวเข้าไว้ สมัยนี้น่ะไว้ใจใครไม่ได้หรอก...แค่เด็กก็ไว้

    ใจไม่ได้...


    "แล้วแกก็จำไว้ด้วยนะว่าที่โรงแรมนั่นจะไม่ต้อนรับแกในฐานะหลานของคุณพ่ออีกต่อไป ถ้าแกอยาก

    อยู่ต่อก็ต้องทำงานเหมือนคนรับใช้ทั่วๆไป เข้าใจใช่ไหม" ลูกคนแรกหันกลับมาพูดทิ้งท้ายก่อนเดิน

    ออกไปพร้อมกับลูกคนที่สอง



    ไอโอลีและเฟนเดลเลีย ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะด้วยความรู้สึกที่ปนเปอย่างบอกไม่ถูก เสียใจ... เหงา...

    โกรธ...อ้างว้าง...ตอนนี้พวกเธอนั้นรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในใจ ทุกอย่างมันว่างเปล่าไป

    หมด ภาพของหลุมศพคุณปู่ที่เธอเคารพรักสะท้อนอยู่ในดวงตาของพวกเธอตลอดเวลา ลมหนาวพัด

    กระหน่ำราวกับกำลังกรีดร้อง แม้พวกเธอจะจับมือกันอยู่แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มันทำให้รู้แต่เพียง

    ว่ายังมีอีกคนอยู่ข้างๆเท่านั้น...


     

    ในเมื่อคนสำคัญ...ที่เปรียบประดุจดั่งเสาหลักของชีวิตได้จากพวกเราไปแล้วอย่างไม่อาจทวงคืนกลับ

    มา แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อไปดี? ใช้ชีวิตต่อไปยังไง? ใครที่จะคอยสอน คอยชี้ถูกผิด?คอยไต่

    ถาม? ใครที่จะคอยดูแลตอนพวกเราไม่สบาย? ใครที่จะคอยห่วงใยพวกเรา? ใคร...ที่จะคอยเล่านิทาน

    เรื่องเดิมๆด้วยเสียงอันอบอุ่นก่อนนอน?


    น้ำตาที่ไหลรินออกมาเป็นสายได้แห้งเหือดไปจนหมด
     
    ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

     
    "นี่กลับบ้านกันเถอะ"  แล้วเฟนเดลเลียก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง



    -ถ้าปู่ไม่อยู่แล้วหลานต้องดูแลตัวเองนะ ในโลกนี้ยังมีเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ อย่าจมกับอดีต ปู่เชื่อ

    ว่าหลานต้องทำได้- เธอนึกถึงคำพูดที่คุณปู่เคยพูด ตอนนั้นเธอไม่เข้าใจแต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว เธอต้อง

    ผ่านมันไปได้ ผ่านช่วงเวลาแสนเศร้านี้ไปพร้อมๆกับเฟนเดลเลีย

     


     
             พื้นหิมะที่เริ่มหนา ต้นไม้ทั้งสองข้างทางต่างก็ไร้ซึ่งใบไม้ หิมะที่ตกลงมาเริ่มเกาะตัวตามกิ่งไม้

    หญ้าสีเขียวตามข้างทางโผล่ออกมาให้เห็นเล็กน้อย ทางเดินปูด้วยหินหยาบๆที่ทอดยาวออกไป  ไม่มี

    แม้เสียงนกร้อง ทุกอย่างเงียบงัน เหลือเพียงแต่เสียงฝีเท้าสองเสียงที่เดินย่ำไปตามทางอย่างช้าๆ

     


    "โอ๊ยตายแล้ว
    !! นั่นคุณไอโอลีกับคุณเฟนเดลเลียนี่นา" พนักงานต้อนรับร้องขึ้นเมื่อเห็นเด็กทั้งสอง

    เดินเข้ามาในโรงแรม
     



    บรรยากาศอุ่นๆภายในโรงแรมทำให้เธอสองคนรู้สึกดีขึ้นมาก กลิ่นเก่าๆที่คุ้นเคยทำให้นึกถึงคุณปู่

    อย่างช่วยไม่ได้ กลิ่นขนมปังอ่อนๆและกลิ่นไม้หอม ถึงจะมีแสงสว่างแต่มันกลับทำให้พวกเธอรู้สึกง่วง

    นอน ร่างกายที่ชาด้วยความหนาวเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อย

     


    พนักงานรีบนำผ้าห่มหนาๆไปห่อตัวเด็กทั้งสองพร้อมตะโกนร้องให้คนในโรงแรมมาช่วยกัน  ตอนนั้นก็

    เป็นเวลาดึกพอสมควรแล้วคนที่ลงมาจึงมีไม่มาก มีเพียงพี่เลี้ยงของพวกเธอที่ชื่อ
    คาเรนกับเด็กยก

    กระเป๋าอีก 2-3 คนเท่านั้น พอพี่เลี้ยงพบพวกเธอเข้าก็ถึงกับร้องไห้ด้วยความสงสารแล้วก็พยายามทำ

    ตัวของพวกเธอให้อุ่นที่สุด

     

     รอยหิมะกัดปรากฏให้เห็นทั่วไปหมด ขณะที่พี่เลี้ยงกำลังพาไอโอลีและเฟนเดลเลียขึ้นห้อง 

    คุณอาคนแรกและคนที่สองก็ลงมาดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เมื่อทั้งสองเห็นไอโอลีกับเฟนเดลเลียแล้วก็

    ตรงเข้ามาแกะมือของพี่เลี้ยงออกจากเด็กทันที


    "นี่แกทำอะไรน่ะหา ไม่รู้รึไงว่าตอนนี้มันเป็นแค่คนรับใช้เท่านั้น นังพี่เลี้ยงนี่อยากโดนไล่ออกรึไง

    หา"หนึ่งในนั้นก็ว่าไม่ยั้งพี่เลี้ยงมองพวกเธออย่างโกรธแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ 



    "ทนไม่ไหวแล้วนะ.."เสียงเบาๆดังมาจากปากของไอโอลี เธอเบื่อคนพวกนี้เต็มทนแล้ว

    "ว่าไงนะ เดี๋ยวเถ... "อาคนแรกพูดยังไม่ทันจบประโยคก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นทำให้พูดไม่

    ออกเสียก่อน


         ด้วยความที่เป็นเด็กไอโอลียังคงมีอารมณ์ที่ไม่คงที่อยู่มาก แม้ว่าความจริงเป็นคนใจเย็นแต่พอมี

    เรื่องหลายๆอย่างเข้า เธอก็ย่อมจะทนไม่ไหว ไอโอลีเงยหน้าขึ้นและสบตากับอาหญิงคนแรก ตาสี

    เขียวมรกตเรืองวาบด้วยความโกรธ จิตสังหารถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่รู้ตัว บรรยากาศกดดันที่

    แผ่ออกมานั้นทำให้คุณอาไม่สามารถที่จะทรงตัวได้ไหวเธอทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้นทันที แต่สายตา

    ยังคงจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาสีมรกตราวกับถูกตรึงไว้ ทรงพลัง... ทรงอำนาจ... ราวกับไม่ใช่มนุษย์...



    หมับ
    ! แขนของไอโอลีที่กำลังโกรธอย่างมากโดนมือเล็กๆอีกมือจับไว้ ความเย็นจากมือนั้นทำให้เธอ

    ได้สติแล้วหันกลับไปมอง ตาสีม่วงอ่อนนั้นมองเธอราวกับปลอบประโลม “ใจเย็นๆ ไอล์” เสียงของ

    เฟนเดลเลียดังขึ้นเตือนสติที่กำลังขาดหายด้วยโทสะ

     

    คิ้วเล็กๆขมวดเข้าหากันก่อนจะคลายออก เสียงถอนหายใจยาวๆดังออก เกือบไป...โกรธแบบนี้ไม่ดี

    เลย... เฮ้อ... ไอโอลีพยักหน้าเป็นเชิงว่าควบคุมได้แล้ว บรรยากาศกดดันคลายออก ทำให้คนที่อยู่

    ตรงนั้นได้หายใจกันทั่วท้องอีกครั้ง

     

    หลังจากนั้นคาเรนก็พาพวกเธอไปนอนด้วยสีหน้าซีดเผือดและไม่ได้ว่ากล่าวอะไรทั้งสิ้น

    “ขอโทษทีมันทนไม่ได้จริงๆ” ไอโอลีเอ่ยขณะนอนอยู่บนเตียง

    “ไม่หรอก ถ้าเธอไม่ทำฉันว่าฉันก็ต้องทำอยู่ดี ฉันก็เกือบยั้งไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”อีกเสียงเอ่ยตอบใน

    ความมืด

     

    ไม่นานนักเตียงสองเตียงที่อยู่ข้างกันก็มีแต่เสียงลมหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะ ลำพังเด็กอายุเพียงเก้า

    ขวบเจอเรื่องราวมากมายในหนึ่งวันก็สมควรที่จะเหนื่อยอ่อนเป็นธรรมดา พวกเธอจึงหลับไปในเวลา

    ไม่นานโดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีคนคอยมองดูพวกเธออยู่ในอีกฟากของห้องที่มืดสนิท

     

    คนๆนั้นคิดอยู่กับตัวเองเงียบๆคนเดียว

    --นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่พวกเธอสูญเสียคนสำคัญไป แต่พวกเธอกลับยอมรับมันได้อย่างสงบ 

    ความเข้มแข็งที่พวกเธอมี
     ในครั้งนี้ยังมากกว่าผู้ใหญ่หลายๆคนด้วยซ้ำ ความพิเศษนี้คงจะมีแค่เพียง

    พวกเธอเท่านั้นกระมัง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นธิดาแห่งเทพปกปักทั้งสององค์...
     

            ความอิจฉาริษยาหรือความมืดในจิตใจ นั้นมีอยู่ในคนทุกๆคน อยู่ที่ว่าคนๆนั้นจะยอมปล่อยให้

    มันกัดกินหัวใจได้ลึกถึงเพียงไหน ความอิจฉาเหล่านั้นพยายามหาทางที่จะออกมายังโลกภายนอกอยู่

    แล้ว บุคคลที่สูญเสียความเป็นตัวตนของตน ยอมให้ความเลวนั้นมาครอบงำจิตใจ ย่อมไม่รู้ผิดชั่วหาก

    ใครผู้ใดมาขัดขวางก็ย่อมไม่ลังเลที่จะกำจัด ไม่เว้นแม่แต่เด็กตัวเล็กๆที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร มนุษย์...ช่าง

    เป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยกิเลส แปดเปื้อนและแผดเผาตัวตนไม่จบสิ้น ไม่ว่าจะในโลกใดๆก็เหมือนกัน

    ทั้งนั้น...—เสียงทอดถอนใจดังขึ้นในความมืดอย่างเศร้าหมอง 






    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    จบตอนแล้วค่าา ก็ต้องขอโทษด้วยเพราะตอนนี้มันสั้นไปหน่อยอ่ะค่ะ แต่ยังไงๆก็เมนต์ให้ด้วยนะคะ ขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านมากๆๆๆๆ   สวัสดีค่ะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×