ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lovin'U [Fic ARASHI -JunxAiba- ]

    ลำดับตอนที่ #1 : จุดเริ่มต้น ของการได้เป็นแค่ “เพื่อน”

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 57










     

     

    -1-
    จุดเริ่มต้น ของการได้เป็นแค่ “เพื่อน”

     

    “โครมม!!”

    ผมถูกเพื่อนร่วมชั้นสองคนในห้องผลักอย่างแรงจนผมกระเด็นหงายหลังไปชนกับพวกของทั้งหลายแหล่ที่ตั้งเอาไว้จนมันร่วงลงมากระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด

    ความเจ็บปวดเริ่มแผ่ซ่านไปที่แผ่นหลังของผมทีละนิดๆ จนมันเริ่มเจ็บระบมไปทั่ว คงจะเป็นเพราะพื้นคอนกรีตที่ด้านหลังโรงเรียนมันแข็งมากๆ จึงทำให้ผมไม่สามารถลุกขึ้นมาได้เลย 

    “ช่วยไม่ได้น้า.. ในเมื่อนายมาทำโทรศัพท์ฉันพัง คงจะต้องชดใช้กันหน่อยแล้วมั้งง” หนึ่งในสองคนนั้นเดินเข้ามากระชากคอเสื้อของผมในขณะที่เขาก็นั่งคร่อมตัวผมที่นอนราบกับพื้นไปด้วย 

    “ตะ แต่... แต่พวกนายเข้ามาชนฉันเองนะ” ผมพูดกลับอย่างอย่างกล้าๆกลัวๆด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนจากความปอดแหกของผม ในชั่ววินาทีนั้นสิ่งที่ผมกำลังคิดมีเพียงความช่วยเหลือจากใครสักคนและการหนีเท่านั้น

    “เห๊อะ ไอ้บ้านี่ พูดออกมาได้นะว่าฉันชนเอง มันต้องเจอดีหน่อยนะแล้ว” เขาง้างมือขึ้นเตรียมที่จะเอากำปั้นนั้นอัดเข้าที่ใบหน้าของผม หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะจากความหวาดกลัว ผมหลับตาปี๋รอรับหมัดนั้นอย่างทำใจ เพราะยังไงผมก็ไม่มีทางรอดจากการโดนซ้อมของสองคนนี้ได้แน่นอนเลย

    “ปล่อยเพื่อนฉันนะ!” เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมกระโดดเข้ามาผลักหมอนั่นที่กำลังนั่งคร่อมผมอยู่จนเขากระเด็นออกจากตัวผมไป 

    “อะไรของแกวะ?!” คนที่โดนผลักออกจากตัวผมก็ตะคอกใส่กลับมาหาเด็กที่เพิ่งช่วยผมไปเมื่อตะกี้นี้

    “ฉันถ่ายรูปตอนที่พวกนายกำลังข่มขู่เพื่อนฉันได้พอดี จะเป็นไงน้า..? ถ้าฉันส่งรูปนี้ให้ครูที่ปรึกษาดู ไม่สิ.. ต้องเป็นครูใหญ่น่าจะดีกว่า พวกนายต้องถูกพักการเรียนแน่ๆเลย แถมอาจจะไม่มีสิทธิ์สอบปลายภาคด้วยนะ หรือพอพวกนายประวัติไม่ดีมันอาจจะเชื่อมโยงไปถึงการสอบเข้าม.ปลายด้วยอีกต่างหาก ทีนี้พ่อแม่ของพวกนายก็จะด่าๆๆว่าๆๆ โดนกักบริเวณอีก นั่นมันเร็วร้ายสุดไปเลยย เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่งกับเพื่อนฉันอีก ไม่งั้นพวกนายอยู่ไม่สุขแน่ เข้าใจมั้ย?!!” เด็กที่ช่วยผมไว้ยื่นรูปถ่ายจากโทรศัพท์มือถือให้พวกเขาทั้งสองคนดู จนสองคนนั้นถึงกับหน้าซีดเผือกแล้วรีบวิ่งหนีไปในที่สุด เฮ้อ.. เกือบไปแล้ว

    “ขอบคุณมากนะ ไอบะคุง” ผมชันตัวขึ้นมานั่งแล้วกล่าวขอบคุณกับเพื่อนรักของผม ซึ่งก็คือเด็กผู้ชายคนเมื่อกี้นั่นเอง

    “อื้อ เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ ว่าแต่นายเหอะจุน เป็นอะไรรึเปล่า?” ไอบะคุงหันมายิ้มให้ผมก่อนจะถามกลับมาอย่างเป็นห่วง ผมก็เลยได้แต่ส่ายหัวบอกกลับไปว่าไม่เป็นไร ทั้งๆที่ผมเองก็ยังเจ็บอยู่เล็กๆก็ตามที

    ไอบะคุงเข้ามาประคองตัวให้ผมยืนขึ้น เราช่วยกันปัดเนื้อปัดตัวให้ฝุ่นผงออกจากเสื้อผ้าของผมจนมันคลุ้งไปหมด

    “เจ้าพวกนั้นคิดจะไถ่เงินนายแล้วก็มาซ้อมนายเล่น เลยแกล้งมาเดินชนทำโทรศัพท์ร่วงสินะ”

    “คงงั้นแหล่ะ ฉันฉี่เกือบราดแน่ะ”

    “ฮ่าๆๆๆ กลัวขนาดนั้นเลยเหรอจุน?”

    “กลัวสิ จริงๆแล้ว... แอบเล็ดไปนิดนึงด้วยล่ะ”

    “ไอ้บ้า! รีบกลับบ้านไปเปลี่ยนเกงในเดี๋ยวนี้เลยนะ! ฮ่าๆๆๆๆๆ”

    หลังจากผ่านเรื่องน่ากลัวๆมาได้ก็กลับกลายมาเป็นเรื่องตลก เราสองคนเดินหัวเราะกันมาตลอดทางกลับบ้าน เหมือนที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เราสองคนคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้เยอะแยะเต็มไปหมด ผมเองก็ยังสงสัยว่าเราคุยอะไรกันได้ตลอดเวลากันนักกันหนา ทำไมเราถึงสนิทกันได้มากขนาดนี้ก็ไม่รู้ 

    ใครๆก็มองว่าผมกับไอบะคุงไม่น่าจะเข้ากันได้ แค่เรื่องความสูงของเราสองคนก็กินขาดแล้ว ไอบะคุงสูงอย่างกับยีราฟ ส่วนผมก็ตัวเล็กอย่างกับมด และก็คงเป็นเพราะลักษณะนิสัยของไอบะคุงแตกต่างจากผมอย่างสิ้นเชิง ไอบะคุงมักจะยืนหัวเราะและยิ้มร่าอย่างมีสีสันอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมห้อง ในขณะที่ผมจะนั่งอยู่เงียบๆไร้ชีวีตชีวาอยู่ณ มุมๆหนึ่งของห้องเรียนเท่านั้น หรือยามว่างทุกคนจะเห็นไอบะคุงไปเล่นเบสบอลอยู่กลางสนาม แต่ผมจะแยกตัวไปนั่งอ่านหนังสืออย่างสงบอยู่ในห้องสมุด  คงจะเป็นเพราะความแตกต่างที่มากเกินไประหว่างเราสองคนแบบนี้ ยิ่งทำให้เรายิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่ ผมกับไอบะคุงสนิทกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนป่านนี้เราทั้งคู่ก็ได้เรียนมัธมยต้นปี 2 แล้วก็ยังสนิทกันไม่เปลี่ยน ถึงขึ้นมัธยมมาเราจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่เวลาไปโรงเรียนในตอนเช้าหรือกลับบ้านในตอนเย็นเราก็ยังไปด้วยกันเสมอ จนผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่คงจะตัดขาดกันไม่ได้ง่ายซะแล้ว

    “นี่จุน แวะกินราเมงกันก่อนกลับดีมั้ย?”

    “อื้อ เอาสิ”

    ผมเดินตามไอบะคุงเข้าร้านราเมงข้างทางอย่างว่าง่าย กลิ่นของน้ำซุปราเมงโชยเข้ามาในรูจมูกทั้งสองข้างของผมทันทีที่เดินเข้าร้าน ท้องที่ไม่ได้มีอะไรตกถึงมาตั้งแต่เที่ยงก็เริ่มส่งเสียงเร่งให้ผมตรงดิ่งเข้าไปสั่งราเมงเดี๋ยวนี้ 

     


     

    เราสองคนนั่งอยู่ตรงโต๊ะเคาน์เตอร์ยาวที่มีเก้าอี้ว่างเรียงรายกันไปตามแนว  เราสองคนรีบสั่งราเมงกับลุงเจ้าของร้านกันคนละชามอย่างอดใจรอไม่ไหว จนเมื่อราเมงนั้นถูกเสิร์ฟตรงข้างหน้าของเราทั้งคู่ ทำเอาเราแทบจะหักตะเกียบกินกันไม่ทันเพราะความหิวที่มี

    “เอ้านี่ ..” ไอบะคุงคีบเนื้อหมูแผ่นจากชามราเมงของตัวเองมาใส่ในชามราเมงของผม ผมอึ้งอยู่เล็กน้อยก่อนจะถามกลับไป 

    “ไอบะคุงไม่ชอบหมูแผ่นเหรอ?”

    “ชอบสิ แต่นายเอาไปกินเหอะ ตัวเล็กๆแบบนาย กินเยอะๆหน่อยจะได้โตทันคนอื่นเขามั่ง” ไอบะคุงพูดจบก็ซัดราเมงในชามตัวเองต่อ ผมมองเขานิ่งๆก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไร้เหตุผล เลยคีบผักจากชามตัวเองไปใส่ไว้ในชามของเขาบ้าง

    “เอานี่ให้ฉันทำไมเนี่ย?!” ไอบะคุงถามผมแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ

    “ก็นายน่ะ กินเนื้อน้อยๆ แล้วกินผักเยอะๆบ้าง จะได้ตัวเล็กๆรอคนอื่นเขาหน่อย คนบ้าอะไรเพิ่งอยู่แค่ม.ต้นปี 2 ก็สูงตั้ง 170 แล้ว”

    “อ่อ... ฉันควรจะชอบคุณสินะ”

    “ฮ่าๆๆ”

    แล้วเสียงหัวเราะของพวกเราทั้งสองคนก็ดังขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางร้านราเมงที่อบอุ่นไปด้วยรอยยิ้มของไอบะคุง ...


    ...ผมรักมันที่สุดเลยรอยยิ้มที่สดใสของเขา...

    ...ผมรักมันทุกอย่างที่เป็นเขา...

    ....

    ...ไอบะคุง ถึงแม้จะไม่เคยได้พูดมันออกมา...

    ...แต่ว่า...

    .

    .

    .

    “ฉันรักนายมาตลอดเลยนะ..”

     


     

    เมื่อเราออกมาจากร้านราเมง เราก็เดินกลับบ้านกันต่อไป ขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีดำของค่ำคืน ถึงแม้จะยังไม่ค่ำมากก็ตาม แต่เพราะเป็นฤดูหนาวฟ้าจึงมืดเร็วกว่าปกติ ยิ่งทำให้ความหนาวนั้นยิ่งทวีคูณเข้าไปใหญ่

    “จุน ฉันอยากไปนั่งเล่นบนนู้นอะ” ไอบะคุงชี้ไปยังของเล่นขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งในสวนสาธารณะ มันเป็นของเล่นรูปทรงกระบอก แต่มีช่องสี่เหลี่ยมหลายช่องให้ปีนป่ายได้ ยังไม่ทันที่ไอบะคุงจะรอคำตอบจากผม เขาก็วิ่งไปยังของเล่นชิ้นนั้นอย่างรวดเร็ว

    “ไอบะคุง รอเดี๋ยวสิ!” ผมรีบวิ่งตามไอบะไป แล้วปีนขึ้นไปหาเขาบนของเล่นชิ้นนี้ซึ่งไอบะคุงได้ปีนป่ายไปถึงก่อนผมแล้ว 

    เราทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยเมื่อได้ขึ้นมานั่งข้างบนนี้ ความเงียบเริ่มปกคลุมเราทั้งสอง เสียงเสียดสีกันของใบไม้ มันทำให้ผมรู้สึกสงบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรกันแต่เราก็เหม่อมองฟ้าที่มืดสนิทด้วยกันทั้งคู่ ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้บางทีมันก็ชวนให้น้ำตาไหลได้ง่ายๆเหมือนกัน

    “จุน .. นายวาดความฝันในอนาคตไว้ยังไงบ้างเหรอ?” เขาถามผมในขณะที่เราสองคนก็ยังคงเงยหน้ามองหาดวงดาวจากฟ้าที่มืดมิด

    “อนาคตเหรอ?.. อืม... ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลยแฮะ ก็คงจะ... ทำงานในที่ดีๆ ได้เจอกับคนดีๆ ได้แต่งงาน แล้วก็มีลูกล่ะมั้ง? แล้วนายล่ะไอบะคุง?”

    “ฉันเหรอ? ฉันเองก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลยเหมือนกันนะ ..  รู้แค่ว่าหลังจากนี้ไปไม่ว่าจะอีกกี่สิบปี ฉันก็ยังอยากจะเป็นเพื่อนรักกับนายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะดีไม่น้อยเลยเนอะ” 

    “... อื้ม ดีไม่น้อยเลยล่ะ”

    น่าแปลกใจนะ ทั้งๆที่สิ่งที่ไอบะคุงคิดมันเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยม แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆขึ้นมาในหัวใจซะงั้น ไอบะคุงพูดมันออกมาแล้ว กำแพงของคำว่า “เพื่อน” ได้ถูกสร้างขึ้นมาระหว่างผมกับเขาแล้ว แม้จะเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิด แต่มันก็ได้กลายเป็นคำสัญญาของผมที่จะต้องให้กับเขาไปตลอดชีวิตคือคำว่า “เพื่อน” ไม่มีทางที่มันจะกลายเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้อีกแล้ว...

     

     

    “...คำว่า “เพื่อน” ที่จะกลายเป็น “คนรัก” น่ะ...”

    ....

    ...

    ..

    .

     

     

    ...และนั่นก็คืออุปสรรคความรักของผมอย่างหนึ่งมาตลอดเหมือนกัน...

     

    ~To be Continued~
     

    ---------------------------------------------

    สวัสดีค่าา>w<  ฟิคเรื่องแรกของเรา เดี๋ยวตอนต่อจากนี้ไปก็คงจะมีรูปประกอบเข้ามาแทรกในฟิคเรื่อยๆ ทรงผมในแต่ละทรงอาจจะไม่เหมือนกันของในแต่ละรูป แต่จะเพิ่มอัถรสของเนื้อเรื่องจากลักษณะการกระทำในรูปเอาก็แล้วกันนะคะ ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกันนะคะ Yoroshikune~ >[]<///

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×