ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [นิยายแปล] 阁老继妹不好当 ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย (สนพ.Princess )

    ลำดับตอนที่ #4 : 长沟落月 ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย เล่ม 1 : สี่ การสนทนาครั้งแรก

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 64


    长沟落

    ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย เล่ม 1

    เขียน ฉางโกวลั่วเยวี่ย (长沟落) , แปล ซิงซือ

    หนังสือ 5 เล่มจบ , วางจำหน่ายรูปแบบ E-Book

    ลงตัวอย่างทดลองอ่าน 40-50%

     

    สี่

    การสนทนาครั้งแรก

    [ต้นฉบับยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร อาจพบคำผิดอยู่บ้าง]

     

    เสวี่ยเจียเยว่อาศัยความทรงจำเดิมของนาง เดินกลับบ้านตามทางที่นางเดินมาก่อนหน้านี้ ในระหว่างทางมีชาวบ้านหลายคนเรียกชื่อเอ้อร์ยา แต่นางกลับไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว จึงทำได้เพียงยิ้มแย้มกลับไปเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยทักทายอันใด

    เมื่อกลับถึงบ้าน นางใช้พวงกุญแจที่ซุนซิ่งฮวาให้นางก่อนกลับ เปิดประตูลานบ้านและประตูเรือน และเดินเข้าไป

    ตั้งแต่เช้าของวันนี้นางมองห้องทั้งสามอย่างละเอียดไม่ว่าจะด้านนอกหรือด้านใน หรือแม้แต่หยักไย่ที่ติดอยู่บนมุงกำแพงบ้านนางล้วนสังเกตไปหมดแล้ว แม้จะสามารถคุ้นชินและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็วแล้ว แต่เมื่อไตร่ตรองดูในยามนี้ นางกลับไม่อยากคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เลยแม้แต่น้อย

    หลังจากวางตะกร้าไม้ไผ่ในมือลง นางจึงเดินไปลากเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กๆ เก่าๆ มาที่หน้าประตู และค่อยๆ นั่งลงบนนั้นนิ่งไปอยู่พักหนึ่ง

    เป็นเวลาเที่ยงครึ่ง แสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านใบไม้ของต้นท้อที่ปลูกอยู่ในลานบ้าน สาดกระทบใบหน้าขาวนวลของนาง เสวี่ยเจียเยว่พลันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปเดิม

    นางปรายตามองต้นท้อที่ตั้งตระหง่านอยู่มุมกำแพง

    นี่เป็นต้นท้อที่สามารถพบได้บ่อยในชนบท มันไม่ใช้ผลท้อที่หวานฉ่ำอะไรนัก เป็นเพียงต้นท้อป่าที่ออกผลลูกเล็กๆ ได้เท่านั้น และในตอนนี้ บนต้นไม้นั้นก็เริ่มมีดอกท้อสีขาวผลิบานอยู่เต็มต้น พร้อมทั้งผึ้งและผีเสื้อกำลังโบยบินไต่ตอมอยู่รอบๆ เมื่อได้มองภาพนั้นก็ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิได้เลยทีเดียว

    เสวี่ยเจียเยว่ทอดตามองดูอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นนางพลันเอื้อมมือไปตบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ไม้ไผ่

    คำว่าปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้นมันขึ้นอยู่ที่ว่าเจ้าเข้าใจมันว่าอย่างไร สามารถเข้าใจความหมายทางลบได้ว่าพอใจกับสถานการณ์นี้ เพราะไม่กล้าพอที่จะเปลี่ยนแปลงแต่ก็สามารถเข้าใจได้อีกอย่างนั่นก็คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะพบเจอกับสิ่งแวดล้อมแบบใดก็สามารถพึงพอใจกับมันได้ทั้งนั้น เสวี่ยเจียเยว่ตัดสินใจว่าตนในยามนี้จะต้องลองปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ความหวังนั้นก็ยังพอมี

    นางถือกุญแจไปเปิดประตูห้องของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา

    เสวี่ยเจียเยว่จึงได้รู้ว่า ไม่เพียงของใช้ในบ้านที่มีค่าเท่านั้น ของกินต่างๆ ล้วนอยู่ในห้องของซุนซิ่งฮวาและเสวี่ยหย่งฝู เมื่อซุนซิ่งฮวาออกจากบ้าน แน่นอนว่าห้องนี้ก็จะถูกปิดไปด้วย เมื่อปะติดปะต่อกับคำเตือนของซุนซิ่งฮวาเมื่อไม่นานมานี้ เอ้อร์ยาเจ้าของร่างเดิมในอดีตผู้นั้นจะต้องแอบกินอยู่บ่อยครั้งแน่นอน

    เมื่อไขกุญแจห้องแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จึงผลักประตูเข้าไป และพบเตียงนอนแกะสลักเก่าๆ วางอยู่ในห้อง ผิวสีแดงของเตียงนอนหลังนั้นได้ล่อนหลุดออกมาไม่น้อยแล้ว และยังมีสีของตู้เสื้อผ้าและหีบเก็บเสื้อผ้าก็ล่อนหลุดออกมาไม่น้อยเช่นกัน เมื่อเดินไปด้านหลังห้อง ก็จะพบกระสอบธัญพืชจำนวนหนึ่งวางกองเอาไว และยังมีโอ่งขนาดใหญ่วางอยู่ด้วยหลายใบ เมื่อเปิดฝาโอ่งดูด้านในนั้นจะมีข้าวสาร แป้งข้าวสาลีและข้าวฟ่างจำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่นับว่ามากมายอะไรขนาดนั้น เพราะตอนนี้คือช่วงฤดูกาลที่ชาวนากำลังขาดแคลนอาหาร

    เสวี่ยเจียเยว่ตักข้าวฟ่างออกมาจำนวนหนึ่ง และสอดส่องสายตามองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะพบไข่ไก่ไม่มากเท่าไรนักวางอยู่ในถังน้ำใบหนึ่ง เมื่อนับแล้วมีเพียงเก้าฟองเท่านั้น นางหยิบมันออกมาเพียงสามฟอง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป และปิดประตูใส่กลอนไว้เหมือนเดิม ก่อนจะนำพวงกุญแจไปวางไว้บนโต๊ะในห้องโถง

    เมื่อนำข้าวฟ่างแช่น้ำในถังแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จึงหยุดคิดไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะตักน้ำใส่หม้อแล้วก่อไฟต้มน้ำ

    เจ้าของร่างเดิมช่างเป็นคนสกปรกมอมแมมเสียจริง ตามซอกเล็บก็มีแต่ดินโคลน ส่วนเส้นผมก็ไม่รู้ว่าไม่ได้สระมากี่วันแล้ว ก่อนหน้านี้ที่นางจับเส้นผมของตนมันก็ยุ่งเหยิงไปหมด อีกทั้งยังรู้สึกคันเนื้อคันตัวเป็นอย่างมาก ร่างนี้จะต้องไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้วแน่นอน

    เสวี่ยเจียเยว่นับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ซุนซิ่งฮวาสอนนางก่อไฟอย่างไร ตอนนี้นางก็สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว

    ฟางข้าวติดไฟง่าย ไฟในท้องเตาก็ติดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานน้ำในหม้อก็เริ่มเดือด

    เมื่อครู่ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามานางได้ปิดประตูลานบ้านเอาไว้แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยในตอนนี้ นางจึงวิ่งไปปิดประตูห้องโถงพร้อมกับลงกลอนด้วย จากนั้นนางก็หาถังไม้ใบใหญ่ออกมา เมื่อล้างทำความสะอาดถังแล้วสามรอบ จึงตักน้ำร้อนใส่ลงไปในถังไม้ใบนั้น พร้อมกับผสมน้ำเย็นลงไปด้วย และลงไปนั่งอาบน้ำอยู่ภายในถังใบนั้น

    ถังน้ำใบใหญ่ใช้อาบน้ำที่เคยเห็นในโทรทัศน์ล้วนไม่มีอยู่ในที่แห่งนี้ อีกอย่างถึงแม้จะมี ก็คงจะเป็นของตระกูลร่ำรวยเท่านั้นถึงจะมีใช้กัน ที่นี่หากจะต้มน้ำถังใหญ่ขนาดนั้นจำเป็นต้องใช้ฟืนเท่าไร? มันเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยเกินไป

    เสวี่ยเจียเยว่กลัวว่าเสวี่ยหย่งฝูและคนอื่นๆ จะกลับมา ดังนั้นการอาบน้ำในครั้งนี้จึงเป็นการอาบที่รวดเร็วที่สุด

    แม้มันจะเป็นการอาบน้ำที่รวดเร็ว แต่ก็สามารถสลัดโคลนที่ไม่ต่ำกว่าสองกิโลออกมาจากร่างกายได้ เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว จึงสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสบายตัวขึ้นมาเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็เริ่มสระผมที่ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบของตน ไม่มีน้ำยาสระผมก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีสบู่ใช้ซักผ้าและพอให้เอามาขยี้ใส่หัวก็พอแล้ว โชคดีที่สามารถทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่บนหัวออกจนหมดได้

    เมื่อสระผมเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้สึกเหมือนตัวเองได้เกิดอีกใหม่ ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเกิดขึ้นมาในหัวใจของนางทันที ไม่ว่าจะเจอกับสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่เพียงใดนางก็สามารถรับมือกับมันได้แล้ว

    หลังจากทำกิจส่วนตัวเสร็จแล้วจึงเปิดประตูเรือนออกทั้งสองบาน พร้อมกับนำน้ำในถังไม้สาดออกไปนอกเรือนอย่างยากลำบาก ในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่ถือถังไม้กลับมา นางก็ยังไม่ลืมที่จะปิดประตูใส่กลอน

    เมื่อมาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ระมัดระวังเสียหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร

    จากนั้นนางจึงหยัดกายลุกขึ้น และนำผ้ามาเช็ดผมให้แห้ง พลางสอดส่องสายตามองไปรอบๆ เรือน

    ด้านในเรือนนี้ยังคงเหมือนตอนเช้าที่นางเห็น พื้นดินเว้านูนไม่ราบเรียบ ด้านมุมเรือนมีไก่ตัวผู้และไก่ตัวเมียกำลังก้มจิกกินอาหารอยู่ในกองฟางที่กองสะเปะสะปะเอาไว้อยู่

    นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และสุดท้ายนางก็ไม่สามารถอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นของตนได้ นางเดินเข้าไปผลักประตูเรือนที่อยู่ด้านนอกอีกหลัง

    เรือนที่มุมด้วยหญ้านี้ เดิมทีก็ใช้เพื่อเก็บฟืน แต่หลังจากซุนซิ่งฮวาแต่งเข้ามาพร้อมกับพาเสวี่ยเจียเยว่มาด้วย ก็บอกว่าเรือนนี้มีเพียงไม่กี่ห้อง ทว่าเสวี่ยเจียเยว่และเสวี่ยหยวนจิ้งอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว อีกทั้งไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ ทั้งสองคนจึงไม่สามารถอยู่ห้องเดียวกันได้ จึงทำให้ห้องเดิมของเสวี่ยหยวนจิ้งกลายเป็นห้องของเสวี่ยเจียเยว่ไปโดยปริยาย ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็ย้ายเข้าไปนอนในห้องเก็บฟืนที่ใช่ว่าจะมีฟืนเพียงเล็กน้อย แต่เป็นฟืนที่มีอยู่เกือบครึ่งห้อง ครึ่งห้องที่เหลือพอจัดระเบียบเล็กน้อยก็พอให้คนเข้าไปอยู่ได้ ดังนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งจึงเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องเก็บฟืนห้องนี้

    ก็หมายความว่าตนได้ยึดห้องเดิมของเสวี่ยหยวนจิ้งมาครอบครองอย่างนั้นสินะ เสวี่ยเจียเยว่คิดเช่นนี้ในใจ พร้อมกับเอื้อมมือดึงประตูห้องเก็บฟืนออกมา

    ถึงแม้รอบด้านจะเป็นภูเขา แต่ชาวบ้านในชนบทแห่งนี้ต่างก็นำฟางข้าวที่แห้งแล้วมาใช้ในการก่อไฟเป็นหลัก ส่วนพวกกิ่งไม้และท่อนฟืนต่างๆ ก็ใช้กันในฤดูหนาว ดังนั้นสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่เห็นก็คือมัดฟางข้าวที่วางเต็มครึ่งห้อง ส่วนด้านข้างของห้องครึ่งแรกก็มีตั่งวางอยู่สองหลัง ด้านบนมีแผ่นไม้วางเอาไว้แผ่นหนึ่งและถูกปูด้วยผ้าห่มสีฟ้าผืนเก่าๆ

    นอกจากนั้นด้านข้างก็ยังมีโต๊ะตัวเล็กๆ หนึ่งตัววางเอาไว้ขาข้างหนึ่งของมันหักและใช้อิฐสองสามก้อนมารองเอาไว้ บนโต๊ะนอกจากจะมีถ้วยดินเผาเนื้อหยาบวางเอาไว้ใบหนึ่งแล้ว ยังมีหนังสือที่วางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบอีกหลายเล่ม ถึงแม้จะเป็นห้องเก็บฟืน แต่การเก็บกวาดกลับดูสะอาดสะอ้าน แทบไม่มีฝุ่นอยู่บนโต๊ะแม้แต่เม็ดเดียว ดูสะอาดกว่าห้องอีกครึ่งที่นางอยู่เมื่อครู่นี้เสียด้วยซ้ำ

    แม้เสวี่ยเจียเยว่จะได้เห็นห้องนั้นแล้ว แต่นางก็ไม่คิดจะเดินเข้าไป ในขณะที่กำลังจะออกจากห้อง นางก็ได้ยินเสียงคนกำลังผลักประตูลานบ้านอยู่ด้านนอก

    เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงกระวนกระวายใจยิ่ง กุลีกุจอปิดประตูห้องเก็บฟืนทันที เมื่อเดินมาถึงด้านหลังประตูลานบ้าน นางจึงหรี่ตามองไปด้านนอกโดยผ่านรอยแยกขนาดปานกลางอยู่บนประตู

    จึงพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังยืนอยู่ด้านนอกด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น เหมือนกับไม่เข้าใจว่าทำไมประตูถึงปิด ช่างเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาเสียจริง แม้ตอนนี้เขาจะกำลังขมวดคิ้ว ทว่ากลับดูมีสง่าราศีไม่น้อย ราวกับเทพบุตรลงมาจุติบนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของเขาหล่อเหลาแต่ใจคอโหดเหี้ยมนัก เป็นคนที่ไม่ควรเข้าไปแหย่ให้เกิดโทสะคนหนึ่ง

    เสวี่ยเจียเยว่พูดประโยคนี้ในใจ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปปลดกลอนประตูออก พร้อมกับผลักประตูลานบ้านให้เปิดก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้ง

    เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็ใช้สายตาประหลาดใจมองมาที่นางด้วยเช่นกัน

    เมื่อมองพินิจแม่นางน้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว ดูเหมือนนางจะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาหมาดๆ ปลายผมยังมีหยดน้ำหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งใบหน้าที่เคยสกปรกมอมแมมมากมาก่อนหน้านี้ของนางก็ได้ถูกชะล้างทำความสะอาดออกจนหมดจด ทำให้เผยผิวที่ขาวราวงาช้างออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ลำคอและมือก็เช่นกัน ล้วนถูกล้างจนสะอาดสะอ้าน อีกทั้งดวงตาคู่นั้นของนางก็เหมือนถูกล้างด้วยน้ำสะอาดเช่นกัน รอยยิ้มบางๆ ที่ส่องประกายออกมาราวกับหินอัญมณีระยิบระยับก็ไม่ปาน ทำให้คนที่ได้มองพลันรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและไร้พิษภัยใดๆ

    ถึงจะเป็นคนใจดำขนาดไหน แต่ใบหน้าก็สามารถดูอบอุ่นไร้พิษภัยได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

    เสวี่ยหยวนจิ้งครุ่นคิดอย่างเย็นชาในใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

    สิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่แปลกใจก็คือเหตุใดเขาถึงได้กลับมาคนเดียวอย่างกะทันหันเช่นนี้ หรือว่ากล้าในนาปักเสร็จเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ? เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้าไปในตัวเรือน ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็เดินออกมา แต่ในมือข้างขวาของเขายังถือหม้อมาด้วยใบหนึ่ง ในหม้อใบนั้นยังมีถ้วยดินเผาเนื้อหยาบอีกสองใบ

    เสวี่ยเจียเยว่จึงเข้าใจแล้วว่าที่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อมาเอาน้ำ จะต้องเป็นเสวี่ยหย่งฝูหรือไม่ก็ซุนซิ่งฮวาที่กระหายน้ำ ดังนั้นจึงให้เสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาเอาน้ำไปให้พวกเขา

    หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งได้น้ำแล้วก็เดินตรงออกไปนอกเรือนทันที ไม่มีทีท่าว่าอยากจะพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่านางไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาของเขาอย่างไรอย่างนั้น

    ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กับรู้สึกว่า หากความสัมพันธ์ของนางกับเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังต้องอยู่ใต้ชายคาร่วมกันต่อไป การพบหน้ากันทุกวันจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างการเป็นมิตรกับเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย และนางก็ไม่อยากตกอยู่ในสภาพร่างกายไม่สมประกอบอันน่าเวทนาในอนาคตด้วย

    เพราะเหตุนี้นางจึงเป็นฝ่ายเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งนี่ เจ้ารอก่อน ข้า...เมื่อประโยคนั้นจบลง พลันพบว่าฝีเท้าของเสวี่ยหยวนชะงักลงอย่างกะทันหัน สายตาของเขาทอดมองไปทางห้องเก็บฟืน ทันใดนั้นสายตาของเขาเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนลงทันที

    เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น ในหัวใจของนางก็อดสั่นสะท้านราวกับมีกองตีอยู่ขึ้นมามิได้ พลางเหลือบตามองตามสายตาของเขาไป จึงเห็นว่าที่แห่งนั้นเป็นห้องเก็บฟืน ในขณะเดียวกันนางก็พลางคิดในใจ เสวี่ยหยวนจิ้งน่าจะดูไม่ออกว่านางเพิ่งจะเปิดประตูห้องเก็บฟืนเข้าไปกระมัง? เพราะถึงอย่างไรตอนนางออกมาก็ได้ปิดประห้องเก็บฟืนแล้ว หากดูจากภายนอกแทบจะดูไม่ออกเลยว่าเพิ่งมีคนผลักประตูเข้าไป อย่างน้อยก็นางคนหนึ่งที่ดูไม่ออกเลยสักนิด

    ทว่านางกลับคิดไม่ถึงว่า เสวี่ยหยวนจิ้งจะเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบเช่นนี้ ทุกครั้งที่เขาออกมาจากห้องเก็บฟืน เขามักจะเสียบฟางข้าวเอาไว้ที่รอยแยกของประตู เมื่อเขากลับมาก็จะดูว่าฟางข้าวนั้นยังอยู่ดีหรือไม่ หากว่ายังอยู่ ก็แสดงว่าไม่มีใครเข้าไปในห้องของเขา แต่ถ้าไม่อยู่ล่ะก็ นั่นก็หมายความว่ามีคนเข้าไปในห้องของเขา

    แม้ว่าในห้องของเขาจะไม่มีของมีค่าอะไร แต่สำหรับคนที่มีนิสัยรักความสะอาดย่อมไม่ชอบให้ใครเหยียบย่ำเข้าไปในห้องของตน และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คนผู้นั้นยังเป็นคนที่เขาไม่ชอบ ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นคนที่น่ารังเกียจผู้หนึ่งสำหรับเขาเลยก็ว่าได้

    จากนั้นเขาจึงหันกลับมามองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับมีดที่แหลมคมข้าจะขอเตือนเจ้าอีกครั้ง อย่าเข้าไปในห้องของข้าอีก

     

     

    #ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

    อัปเดตตอนใหม่ วันเว้นวัน เวลา 15.00 น.

    ติดตามข่าวสาร

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×