คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 长沟落月 ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย เล่ม 1 : สี่ การสนทนาครั้งแรก
长沟落月
ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
เล่ม 1
เขียน ฉางโกวลั่วเยวี่ย (长沟落月) , แปล ซิงซือ
หนังสือ 5 เล่มจบ , วางจำหน่ายรูปแบบ E-Book
ลงตัวอย่างทดลองอ่าน 40-50%
สี่
การสนทนาครั้งแรก
[ต้นฉบับยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร อาจพบคำผิดอยู่บ้าง]
เสวี่ยเจียเยว่อาศัยความทรงจำเดิมของนาง
เดินกลับบ้านตามทางที่นางเดินมาก่อนหน้านี้
ในระหว่างทางมีชาวบ้านหลายคนเรียกชื่อเอ้อร์ยา แต่นางกลับไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว
จึงทำได้เพียงยิ้มแย้มกลับไปเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยทักทายอันใด
เมื่อกลับถึงบ้าน
นางใช้พวงกุญแจที่ซุนซิ่งฮวาให้นางก่อนกลับ เปิดประตูลานบ้านและประตูเรือน
และเดินเข้าไป
ตั้งแต่เช้าของวันนี้นางมองห้องทั้งสามอย่างละเอียดไม่ว่าจะด้านนอกหรือด้านใน
หรือแม้แต่หยักไย่ที่ติดอยู่บนมุงกำแพงบ้านนางล้วนสังเกตไปหมดแล้ว
แม้จะสามารถคุ้นชินและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็วแล้ว
แต่เมื่อไตร่ตรองดูในยามนี้
นางกลับไม่อยากคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เลยแม้แต่น้อย
หลังจากวางตะกร้าไม้ไผ่ในมือลง
นางจึงเดินไปลากเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กๆ เก่าๆ มาที่หน้าประตู และค่อยๆ
นั่งลงบนนั้นนิ่งไปอยู่พักหนึ่ง
เป็นเวลาเที่ยงครึ่ง แสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านใบไม้ของต้นท้อที่ปลูกอยู่ในลานบ้าน
สาดกระทบใบหน้าขาวนวลของนาง เสวี่ยเจียเยว่พลันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปเดิม
นางปรายตามองต้นท้อที่ตั้งตระหง่านอยู่มุมกำแพง
นี่เป็นต้นท้อที่สามารถพบได้บ่อยในชนบท
มันไม่ใช้ผลท้อที่หวานฉ่ำอะไรนัก เป็นเพียงต้นท้อป่าที่ออกผลลูกเล็กๆ ได้เท่านั้น
และในตอนนี้ บนต้นไม้นั้นก็เริ่มมีดอกท้อสีขาวผลิบานอยู่เต็มต้น
พร้อมทั้งผึ้งและผีเสื้อกำลังโบยบินไต่ตอมอยู่รอบๆ
เมื่อได้มองภาพนั้นก็ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิได้เลยทีเดียว
เสวี่ยเจียเยว่ทอดตามองดูอยู่ครู่หนึ่ง
และทันใดนั้นนางพลันเอื้อมมือไปตบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ไม้ไผ่
คำว่า “ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์”
นั้นมันขึ้นอยู่ที่ว่าเจ้าเข้าใจมันว่าอย่างไร
สามารถเข้าใจความหมายทางลบได้ว่า “พอใจกับสถานการณ์นี้
เพราะไม่กล้าพอที่จะเปลี่ยนแปลง” แต่ก็สามารถเข้าใจได้อีกอย่างนั่นก็คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
ไม่ว่าจะพบเจอกับสิ่งแวดล้อมแบบใดก็สามารถพึงพอใจกับมันได้ทั้งนั้น
เสวี่ยเจียเยว่ตัดสินใจว่าตนในยามนี้จะต้องลองปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ความหวังนั้นก็ยังพอมี
นางถือกุญแจไปเปิดประตูห้องของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา
เสวี่ยเจียเยว่จึงได้รู้ว่า
ไม่เพียงของใช้ในบ้านที่มีค่าเท่านั้น ของกินต่างๆ
ล้วนอยู่ในห้องของซุนซิ่งฮวาและเสวี่ยหย่งฝู เมื่อซุนซิ่งฮวาออกจากบ้าน
แน่นอนว่าห้องนี้ก็จะถูกปิดไปด้วย เมื่อปะติดปะต่อกับคำเตือนของซุนซิ่งฮวาเมื่อไม่นานมานี้
เอ้อร์ยาเจ้าของร่างเดิมในอดีตผู้นั้นจะต้องแอบกินอยู่บ่อยครั้งแน่นอน
เมื่อไขกุญแจห้องแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่จึงผลักประตูเข้าไป และพบเตียงนอนแกะสลักเก่าๆ วางอยู่ในห้อง
ผิวสีแดงของเตียงนอนหลังนั้นได้ล่อนหลุดออกมาไม่น้อยแล้ว และยังมีสีของตู้เสื้อผ้าและหีบเก็บเสื้อผ้าก็ล่อนหลุดออกมาไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อเดินไปด้านหลังห้อง ก็จะพบกระสอบธัญพืชจำนวนหนึ่งวางกองเอาไว
และยังมีโอ่งขนาดใหญ่วางอยู่ด้วยหลายใบ เมื่อเปิดฝาโอ่งดูด้านในนั้นจะมีข้าวสาร
แป้งข้าวสาลีและข้าวฟ่างจำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่นับว่ามากมายอะไรขนาดนั้น
เพราะตอนนี้คือช่วงฤดูกาลที่ชาวนากำลังขาดแคลนอาหาร
เสวี่ยเจียเยว่ตักข้าวฟ่างออกมาจำนวนหนึ่ง
และสอดส่องสายตามองไปรอบๆ ห้อง
ก่อนจะพบไข่ไก่ไม่มากเท่าไรนักวางอยู่ในถังน้ำใบหนึ่ง
เมื่อนับแล้วมีเพียงเก้าฟองเท่านั้น นางหยิบมันออกมาเพียงสามฟอง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
และปิดประตูใส่กลอนไว้เหมือนเดิม ก่อนจะนำพวงกุญแจไปวางไว้บนโต๊ะในห้องโถง
เมื่อนำข้าวฟ่างแช่น้ำในถังแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่จึงหยุดคิดไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะตักน้ำใส่หม้อแล้วก่อไฟต้มน้ำ
เจ้าของร่างเดิมช่างเป็นคนสกปรกมอมแมมเสียจริง
ตามซอกเล็บก็มีแต่ดินโคลน ส่วนเส้นผมก็ไม่รู้ว่าไม่ได้สระมากี่วันแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่นางจับเส้นผมของตนมันก็ยุ่งเหยิงไปหมด
อีกทั้งยังรู้สึกคันเนื้อคันตัวเป็นอย่างมาก
ร่างนี้จะต้องไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้วแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่นับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ซุนซิ่งฮวาสอนนางก่อไฟอย่างไร ตอนนี้นางก็สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว
ฟางข้าวติดไฟง่าย
ไฟในท้องเตาก็ติดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานน้ำในหม้อก็เริ่มเดือด
เมื่อครู่ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามานางได้ปิดประตูลานบ้านเอาไว้แล้ว
แต่เพื่อความปลอดภัยในตอนนี้ นางจึงวิ่งไปปิดประตูห้องโถงพร้อมกับลงกลอนด้วย
จากนั้นนางก็หาถังไม้ใบใหญ่ออกมา เมื่อล้างทำความสะอาดถังแล้วสามรอบ
จึงตักน้ำร้อนใส่ลงไปในถังไม้ใบนั้น พร้อมกับผสมน้ำเย็นลงไปด้วย
และลงไปนั่งอาบน้ำอยู่ภายในถังใบนั้น
ถังน้ำใบใหญ่ใช้อาบน้ำที่เคยเห็นในโทรทัศน์ล้วนไม่มีอยู่ในที่แห่งนี้
อีกอย่างถึงแม้จะมี ก็คงจะเป็นของตระกูลร่ำรวยเท่านั้นถึงจะมีใช้กัน
ที่นี่หากจะต้มน้ำถังใหญ่ขนาดนั้นจำเป็นต้องใช้ฟืนเท่าไร? มันเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยเกินไป
เสวี่ยเจียเยว่กลัวว่าเสวี่ยหย่งฝูและคนอื่นๆ
จะกลับมา ดังนั้นการอาบน้ำในครั้งนี้จึงเป็นการอาบที่รวดเร็วที่สุด
แม้มันจะเป็นการอาบน้ำที่รวดเร็ว
แต่ก็สามารถสลัดโคลนที่ไม่ต่ำกว่าสองกิโลออกมาจากร่างกายได้ เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว
จึงสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสบายตัวขึ้นมาเป็นอย่างมาก
จากนั้นนางก็เริ่มสระผมที่ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบของตน ไม่มีน้ำยาสระผมก็ไม่เป็นไร
ขอแค่มีสบู่ใช้ซักผ้าและพอให้เอามาขยี้ใส่หัวก็พอแล้ว
โชคดีที่สามารถทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่บนหัวออกจนหมดได้
เมื่อสระผมเสร็จแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้สึกเหมือนตัวเองได้เกิดอีกใหม่
ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเกิดขึ้นมาในหัวใจของนางทันที
ไม่ว่าจะเจอกับสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่เพียงใดนางก็สามารถรับมือกับมันได้แล้ว
หลังจากทำกิจส่วนตัวเสร็จแล้วจึงเปิดประตูเรือนออกทั้งสองบาน
พร้อมกับนำน้ำในถังไม้สาดออกไปนอกเรือนอย่างยากลำบาก
ในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่ถือถังไม้กลับมา นางก็ยังไม่ลืมที่จะปิดประตูใส่กลอน
เมื่อมาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
ระมัดระวังเสียหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร
จากนั้นนางจึงหยัดกายลุกขึ้น
และนำผ้ามาเช็ดผมให้แห้ง พลางสอดส่องสายตามองไปรอบๆ เรือน
ด้านในเรือนนี้ยังคงเหมือนตอนเช้าที่นางเห็น พื้นดินเว้านูนไม่ราบเรียบ
ด้านมุมเรือนมีไก่ตัวผู้และไก่ตัวเมียกำลังก้มจิกกินอาหารอยู่ในกองฟางที่กองสะเปะสะปะเอาไว้อยู่
นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
และสุดท้ายนางก็ไม่สามารถอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นของตนได้
นางเดินเข้าไปผลักประตูเรือนที่อยู่ด้านนอกอีกหลัง
เรือนที่มุมด้วยหญ้านี้ เดิมทีก็ใช้เพื่อเก็บฟืน
แต่หลังจากซุนซิ่งฮวาแต่งเข้ามาพร้อมกับพาเสวี่ยเจียเยว่มาด้วย ก็บอกว่าเรือนนี้มีเพียงไม่กี่ห้อง
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่และเสวี่ยหยวนจิ้งอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว
อีกทั้งไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ ทั้งสองคนจึงไม่สามารถอยู่ห้องเดียวกันได้ จึงทำให้ห้องเดิมของเสวี่ยหยวนจิ้งกลายเป็นห้องของเสวี่ยเจียเยว่ไปโดยปริยาย
ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็ย้ายเข้าไปนอนในห้องเก็บฟืนที่ใช่ว่าจะมีฟืนเพียงเล็กน้อย
แต่เป็นฟืนที่มีอยู่เกือบครึ่งห้อง
ครึ่งห้องที่เหลือพอจัดระเบียบเล็กน้อยก็พอให้คนเข้าไปอยู่ได้
ดังนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งจึงเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องเก็บฟืนห้องนี้
ก็หมายความว่าตนได้ยึดห้องเดิมของเสวี่ยหยวนจิ้งมาครอบครองอย่างนั้นสินะ
เสวี่ยเจียเยว่คิดเช่นนี้ในใจ พร้อมกับเอื้อมมือดึงประตูห้องเก็บฟืนออกมา
ถึงแม้รอบด้านจะเป็นภูเขา
แต่ชาวบ้านในชนบทแห่งนี้ต่างก็นำฟางข้าวที่แห้งแล้วมาใช้ในการก่อไฟเป็นหลัก
ส่วนพวกกิ่งไม้และท่อนฟืนต่างๆ ก็ใช้กันในฤดูหนาว
ดังนั้นสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่เห็นก็คือมัดฟางข้าวที่วางเต็มครึ่งห้อง
ส่วนด้านข้างของห้องครึ่งแรกก็มีตั่งวางอยู่สองหลัง
ด้านบนมีแผ่นไม้วางเอาไว้แผ่นหนึ่งและถูกปูด้วยผ้าห่มสีฟ้าผืนเก่าๆ
นอกจากนั้นด้านข้างก็ยังมีโต๊ะตัวเล็กๆ
หนึ่งตัววางเอาไว้ขาข้างหนึ่งของมันหักและใช้อิฐสองสามก้อนมารองเอาไว้
บนโต๊ะนอกจากจะมีถ้วยดินเผาเนื้อหยาบวางเอาไว้ใบหนึ่งแล้ว
ยังมีหนังสือที่วางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบอีกหลายเล่ม ถึงแม้จะเป็นห้องเก็บฟืน
แต่การเก็บกวาดกลับดูสะอาดสะอ้าน แทบไม่มีฝุ่นอยู่บนโต๊ะแม้แต่เม็ดเดียว
ดูสะอาดกว่าห้องอีกครึ่งที่นางอยู่เมื่อครู่นี้เสียด้วยซ้ำ
แม้เสวี่ยเจียเยว่จะได้เห็นห้องนั้นแล้ว
แต่นางก็ไม่คิดจะเดินเข้าไป ในขณะที่กำลังจะออกจากห้อง
นางก็ได้ยินเสียงคนกำลังผลักประตูลานบ้านอยู่ด้านนอก
เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงกระวนกระวายใจยิ่ง
กุลีกุจอปิดประตูห้องเก็บฟืนทันที เมื่อเดินมาถึงด้านหลังประตูลานบ้าน
นางจึงหรี่ตามองไปด้านนอกโดยผ่านรอยแยกขนาดปานกลางอยู่บนประตู
จึงพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังยืนอยู่ด้านนอกด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
เหมือนกับไม่เข้าใจว่าทำไมประตูถึงปิด ช่างเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาเสียจริง
แม้ตอนนี้เขาจะกำลังขมวดคิ้ว ทว่ากลับดูมีสง่าราศีไม่น้อย
ราวกับเทพบุตรลงมาจุติบนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน
แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของเขาหล่อเหลาแต่ใจคอโหดเหี้ยมนัก
เป็นคนที่ไม่ควรเข้าไปแหย่ให้เกิดโทสะคนหนึ่ง
เสวี่ยเจียเยว่พูดประโยคนี้ในใจ
จากนั้นจึงเอื้อมมือไปปลดกลอนประตูออก
พร้อมกับผลักประตูลานบ้านให้เปิดก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็ใช้สายตาประหลาดใจมองมาที่นางด้วยเช่นกัน
เมื่อมองพินิจแม่นางน้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว
ดูเหมือนนางจะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาหมาดๆ ปลายผมยังมีหยดน้ำหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งใบหน้าที่เคยสกปรกมอมแมมมากมาก่อนหน้านี้ของนางก็ได้ถูกชะล้างทำความสะอาดออกจนหมดจด
ทำให้เผยผิวที่ขาวราวงาช้างออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ลำคอและมือก็เช่นกัน
ล้วนถูกล้างจนสะอาดสะอ้าน อีกทั้งดวงตาคู่นั้นของนางก็เหมือนถูกล้างด้วยน้ำสะอาดเช่นกัน
รอยยิ้มบางๆ ที่ส่องประกายออกมาราวกับหินอัญมณีระยิบระยับก็ไม่ปาน
ทำให้คนที่ได้มองพลันรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและไร้พิษภัยใดๆ
ถึงจะเป็นคนใจดำขนาดไหน
แต่ใบหน้าก็สามารถดูอบอุ่นไร้พิษภัยได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
เสวี่ยหยวนจิ้งครุ่นคิดอย่างเย็นชาในใจ
ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
สิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่แปลกใจก็คือเหตุใดเขาถึงได้กลับมาคนเดียวอย่างกะทันหันเช่นนี้
หรือว่ากล้าในนาปักเสร็จเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ? เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้าไปในตัวเรือน
ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็เดินออกมา แต่ในมือข้างขวาของเขายังถือหม้อมาด้วยใบหนึ่ง
ในหม้อใบนั้นยังมีถ้วยดินเผาเนื้อหยาบอีกสองใบ
เสวี่ยเจียเยว่จึงเข้าใจแล้วว่าที่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อมาเอาน้ำ
จะต้องเป็นเสวี่ยหย่งฝูหรือไม่ก็ซุนซิ่งฮวาที่กระหายน้ำ
ดังนั้นจึงให้เสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาเอาน้ำไปให้พวกเขา
หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งได้น้ำแล้วก็เดินตรงออกไปนอกเรือนทันที
ไม่มีทีท่าว่าอยากจะพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่เลยแม้แต่น้อย
ราวกับว่านางไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาของเขาอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กับรู้สึกว่า
หากความสัมพันธ์ของนางกับเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก
เพราะถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังต้องอยู่ใต้ชายคาร่วมกันต่อไป
การพบหน้ากันทุกวันจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
อีกอย่างการเป็นมิตรกับเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
และนางก็ไม่อยากตกอยู่ในสภาพร่างกายไม่สมประกอบอันน่าเวทนาในอนาคตด้วย
เพราะเหตุนี้นางจึงเป็นฝ่ายเรียกเสวี่ยหยวนจิ้ง “นี่ เจ้ารอก่อน ข้า...” เมื่อประโยคนั้นจบลง
พลันพบว่าฝีเท้าของเสวี่ยหยวนชะงักลงอย่างกะทันหัน
สายตาของเขาทอดมองไปทางห้องเก็บฟืน
ทันใดนั้นสายตาของเขาเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนลงทันที
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น
ในหัวใจของนางก็อดสั่นสะท้านราวกับมีกองตีอยู่ขึ้นมามิได้
พลางเหลือบตามองตามสายตาของเขาไป จึงเห็นว่าที่แห่งนั้นเป็นห้องเก็บฟืน
ในขณะเดียวกันนางก็พลางคิดในใจ
เสวี่ยหยวนจิ้งน่าจะดูไม่ออกว่านางเพิ่งจะเปิดประตูห้องเก็บฟืนเข้าไปกระมัง? เพราะถึงอย่างไรตอนนางออกมาก็ได้ปิดประห้องเก็บฟืนแล้ว
หากดูจากภายนอกแทบจะดูไม่ออกเลยว่าเพิ่งมีคนผลักประตูเข้าไป
อย่างน้อยก็นางคนหนึ่งที่ดูไม่ออกเลยสักนิด
ทว่านางกลับคิดไม่ถึงว่า
เสวี่ยหยวนจิ้งจะเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบเช่นนี้ ทุกครั้งที่เขาออกมาจากห้องเก็บฟืน
เขามักจะเสียบฟางข้าวเอาไว้ที่รอยแยกของประตู
เมื่อเขากลับมาก็จะดูว่าฟางข้าวนั้นยังอยู่ดีหรือไม่ หากว่ายังอยู่
ก็แสดงว่าไม่มีใครเข้าไปในห้องของเขา แต่ถ้าไม่อยู่ล่ะก็
นั่นก็หมายความว่ามีคนเข้าไปในห้องของเขา
แม้ว่าในห้องของเขาจะไม่มีของมีค่าอะไร
แต่สำหรับคนที่มีนิสัยรักความสะอาดย่อมไม่ชอบให้ใครเหยียบย่ำเข้าไปในห้องของตน
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คนผู้นั้นยังเป็นคนที่เขาไม่ชอบ
ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นคนที่น่ารังเกียจผู้หนึ่งสำหรับเขาเลยก็ว่าได้
จากนั้นเขาจึงหันกลับมามองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาเยือกเย็น
ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับมีดที่แหลมคม “ข้าจะขอเตือนเจ้าอีกครั้ง
อย่าเข้าไปในห้องของข้าอีก”
#ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
อัปเดตตอนใหม่ วันเว้นวัน เวลา 15.00
น.
ติดตามข่าวสาร
ความคิดเห็น