คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 长沟落月 ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย เล่ม 1 : สาม สถานการณ์เลวร้าย
长沟落月
ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
เล่ม 1
เขียน ฉางโกวลั่วเยวี่ย (长沟落月) , แปล ซิงซือ
หนังสือ 5 เล่มจบ , วางจำหน่ายรูปแบบ E-Book
ลงตัวอย่างทดลองอ่าน 40-50%
สาม
สถานการณ์เลวร้าย
[ต้นฉบับยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร อาจพบคำผิดอยู่บ้าง]
เสวี่ยเจียเยว่นำถ้วยชามและตะเกียบไปล้างทำความสะอาดที่ลำธารสายเล็ก
เมื่อเสร็จแล้วจึงนำใส่ตะกร้าให้เรียบร้อย จากนั้นนางก็ยืนนิ่งอยู่ข้างทุ่งนา
ให้นางล้างถ้วยล้างชามยังพอได้
แต่เรื่องดำนาดำกล้าแบบนี้ นางทำไม่ได้จริงๆ
เมื่อก่อนอย่างมากที่สุดนางก็เคยเห็นแค่ในโทรทัศน์เท่านั้น
ดังนั้นนางจึงจับตาดูเสวี่ยหยวนจิ้งว่าทำอย่างไร
หลังจากเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาไปดึงต้นกล้าในทุ่งนาได้ไม่นาน
เสวี่ยหยวนจิ้งก็ม้วนแขนเสื้อและขากางเกงขึ้นก่อนจะลงไปดำกล้าในนาต่อ
ตั้งแต่เขาขึ้นมากินข้าวจนลงไปดำนาต่อนั้น
เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ใบหน้าของเขาก็นิ่งเฉยไร้ความรู้สึก
หากไม่ใช่เพราะหน้าตาที่หล่อเหลาเอาการกว่าใครนั้น เกรงว่าคงไม่มีใครให้ความสนใจเขาสักคนกระมัง
ในขณะนี้ เด็กหนุ่มที่สวมหมวกฟาง
ในมือถือต้นกล้าสีเขียว กำลังก้มตัวดำนาอยู่นั้น แม้จะเป็นชาวนา
แต่นั่นกลับไม่สามารถบดบังความสง่างามในตัวเขาได้ ในทุกการเคลื่อนไหวล้วนงดงามและมีเสน่ห์
ราวกับว่าตอนนี้เขาไม่ได้ดำนาอยู่ในทุ่งนาที่เต็มไปด้วยโคลนตม
แต่เขากำลังนั่งเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียนอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในแบบเดียวกัน
ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำออกมาได้เหมือนๆ กัน
เมื่อทอดตามองต้นกล้าที่เสวี่ยหย่งฝูดึงขึ้นมาเมื่อครู่นี้
มีลักษณะบิดเบี้ยวไม่สวยงาม
แต่เมื่อหันกลับไปดูต้นกล้าที่เสวี่ยหยวนจิ้งดึงขึ้นมาเหล่านั้นอีกครั้ง
กลับดูเป็นระเบียบเสมอกันและตั้งตรงเรียงรายสวยงาม
มันตรงเสียยิ่งกว่าเส้นตรงที่ถูกวาดด้วยไม้บรรทัดเสียอีก
เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้จะต้องเป็นคนย้ำคิดย้ำทำอย่างแน่นอน
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ได้รู้นิสัยของเขาแล้ว
นางจึงลอบสังเกตเสวี่ยหยวนจิ้งว่าดำนาอย่างไรอย่างเงียบๆ
ก่อนจะก้มตัวถอดรองเท้าออกมา
รองเท้าผ้าที่นางสวมใส่คู่นั้นดูเก่ามากแล้ว
ไม่เพียงสกปรกเท่านั้น แต่ตรงนิ้วเท้าด้านขวายังขาดเป็นรูโหว่อีกด้วย
แต่จะทำอย่างไรได้ นี่เป็นรองเท้าคู่เดียวที่นางหาเจอในห้องเมื่อเช้านี้
จึงทำได้เพียงใส่ไปก่อนชั่วคราว
สายตาของนางพลันเหลือบไปเห็นรองเท้าผ้าคู่หนึ่งที่ถอดวางอยู่ด้านข้าง
มันเป็นรองเท้าของเสวี่ยหยวนจิ้งที่ถอดเอาไว้เมื่อสักครู่นี้
มองปราดเดียวก็รู้ว่ารองเท้านี้ทั้งเก่าและชำรุดไม่น้อย
ไม่รู้ว่าเขาใส่มันมานานเท่าไร แต่ที่รู้แน่ๆ
ก็คือมันถูกซักล้างทำความสะอาดมาเป็นอย่างดี
ไม่เพียงถอดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเท่านั้น
แม้แต่ปลายรองเท้ายังเหมือนถูกจัดวางให้อยู่ในเส้นตรงอีกด้วย
เสวี่ยเจียเยว่ “...”
นิสัยของเสวี่ยหยวนจิ้งทั้งรักความสะอาดและเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสียเหลือเกิน
นางพร่ำบ่นเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในใจ
จากนั้นก็ม้วนขากางเกงขึ้น ก่อนจะลงไปในทุ่งนา
ทุ่งนาแห่งนี้เป็นทุ่งนาน้ำ ด้านบนจะเป็นน้ำ
ด้านล่างจะเป็นโคลนที่ทั้งแฉะและเหนียว เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ระวังตั้งแต่แรก
เมื่อเท้าเหยียบลงไปในโคลน นางต้องใช้แรงมหาศาลถึงจะดึงเท้าออกจากโคลนได้
หลังจากนั้นนางจึงเดินอยู่ในโคลนด้วยน้ำหนักเท้าข้างหนึ่งหนักอีกข้างหนึ่งเบา
ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความแปลกใหม่อีกด้วย
ต้นกล้าสีเขียวขจีที่ถูกดึงขึ้นมาเป็นมัดเล็กๆ
ถูกโยนไปที่น้ำอย่างสะเปะสะปะ เสวี่ยเจียเยว่จึงเลียนแบบท่าทางของเสวี่ยหยวนจิ้ง
นางคว้าต้นกล้ามัดเล็กนั้นขึ้นมา ก่อนจะแกะฟางข้าวที่มัดต้นกล้านั้นออกแล้วโยนทิ้ง
หลังจากแบ่งต้นกล้าสองสามต้นออกมาแล้วก็โน้มตัวปักต้นกล้าลงไปในโคลน
มองดูเสวี่ยหยวนจิ้งทำนั้นมันช่างง่ายดาย
แต่พอมาถึงคราวที่นางต้องทำกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
หากใช้แรงปักต้นกล้าลงโคลนเบาเกินไป ต้นกล้าต้นนั้นก็จะลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำ
แต่ถ้าหากใช้แรงหนักเกินไป ต้นกล้าต้นนั้นก็จะหัก
สุดท้ายแล้วการปักต้นกล้าต้นหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรต้นกล้าก็ยังเอียงไปเอียงมาไม่มั่นคงอยู่ดี
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก
นางหยัดกายลุกขึ้นยืน หันกลับไปมองอีกครั้ง
จึงเห็นว่าในยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งปักต้นกล้าในมือเสร็จพอดี
เขากำลังคว้าต้นกล้ามัดเล็กขึ้นมาจากน้ำ แววของเขาเหลือบมองนางด้วยสายตาที่เย็นชา
เมื่อเห็นนางหันกลับมามองเขา เขาจึงก้มหน้าลงอย่างไม่แยแส
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้
เจ้าของร่างเดิมไม่เป็นที่ต้องการของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เกรงว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคนคงผูกอาฆาตกันไปไม่น้อยแล้ว อีกอย่าง
ตามที่ป้าโจวกล่าวมาก่อนหน้า ว่าเมื่อไม่นานมานี้ซุนซิ่งฮวาเพิ่งจะขายน้องสาวของพระเอกออกไป
พระเอกที่ใจเย็นและเงียบขรึมมาโดยตลอด
จึงเอ่ยถามเรื่องที่โหดเหี้ยมทารุณนี้กับซุนซิ่งฮวาว่านางเอาน้องสองของเขาไปขายที่ไหน
เพราะเขาอยากจะพาตัวน้องสาวกลับมา หลังจากการยุยงของซุนซิ่งฮวาผู้เป็นมารดา
จึงทำให้เสวี่ยหย่งฝูใช้ไม้ตะบองทุบตีพระเอกอย่างทารุณจนต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงหลายวัน
ตามที่ป้าโจวกล่าวมาว่า “เด็กผู้นั้นช่างดวงแข็งเสียจริง
ตอนนั้นเห็นสีหน้าไม่มีเลือดฝาดเลยสักนิด
ข้ายังนึกว่าเขาจะไม่รอดจนต้องไปพบหน้ามารดาผู้ที่ตายไปแล้วของเขาเสียอีก
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่วันเขากลับหายดีจนลุกขึ้นมาจากเตียงได้”
แต่หลังจากนั้นมาก็เหมือนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะพูดน้อยลงทุกวัน
ยิ่งเห็นก็ยิ่งเย็นชาขึ้นทุกที
เสวี่ยเจียเยว่คิดถึงบทบาทตัวละครของน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงของพระเอกที่เพื่อนร่วมห้องพูดให้นางฟังอย่างมีความสุขในเวลานั้น
ว่าชะตากรรมของนางจะถูกลงโทษด้วยการประหารตัดแขนตัดขา
ในหัวของนางในตอนนี้คิดเพียงอย่างเดียวว่า
หากนางเริ่มแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสวี่ยหยวนจิ้งตั้งแต่ตอนนี้มันจะยังทันเวลาอยู่หรือไม่?
เพราะนางไม่อยากถูกหั่นเป็นท่อนๆ
ในขณะที่นางกำลังคิดจนตกอยู่ในภวังค์นั้น
อยู่ๆ ความรู้สึกเจ็บแปลบๆ ก็แล่นอยู่บนน่องขาของนาง เมื่อยกขาขึ้นมาดู
ร่างเล็กของนางถึงกับแข็งทื่อไปทั้งตัว
นางเห็นสัตว์ตัวอ่อนนิ่มสีเทาแกมเขียวตัวหนึ่งกำลังไต่ขึ้นมาบนน่องขาอันขาวเนียนของนาง
เจ้านี่ก็คือปลิงน้ำในนิยายนั่นเอง
หรือเรียกกันทั่วไปว่าปลิงดูดเลือด
แต่ไหนแต่ไรมาเสวี่ยเจียเยว่ก็กลัวสัตว์ไร้กระดูกเป็นทุนเดิม
เมื่อจู่ๆ ก็เห็นว่าน่องขาของตนมีปลิงตัวหนึ่งกำลังไต่ขึ้นมานั้น
นางจึงตกใจจนวิ่งกลับขึ้นไปบนทุ่งนาอย่างรวดเร็ว
ทั้งยังไม่สนโคลนตมที่สาดกระเซ็นโดนใบหน้าและร่างกายของตนแม้แต่น้อย
เมื่อถึงข้างทุ่งนางแล้ว นางจึงก้มหน้าลงมองอีกครั้ง
กลับพบว่าเจ้านั่นยังเกาะแน่นอยู่บนน่องขาของนาง ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยเลยสักนิด
นางเองก็ไม่กล้ายื่นมือไปดึงมันออกมา
เมื่อคิดไตร่ตรองคู่หนึ่ง นางจึงคว้ากิ่งไม้ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา
และใช้กิ่งไม้นั้นเขี่ยมันออกด้วยมือที่สั่นเทา ทั้งยังต้องออกแรงเขี่ยมันถึงจะยอมหลุดออกไป
เพราะเจ้าสิ่งนี้เมื่อมันกัดแล้วก็กัดจนแน่น อีกอย่างพอเขี่ยออกมา
บริเวณที่นางถูกกัดก็เริ่มมีเลือดไหลซึม
เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่กล้าไปล้างแผลที่คูน้ำข้างๆ
เพราะนางกลัวว่าจะมีปลิงอยู่ในน้ำอีก ดังนั้นจึงเด็ดใบหญ้ามาใบหนึ่ง ก่อนจะกดไปที่แผลของนางอย่างลวกๆ
เมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว นางจึงหันกลับไปมอง
ก็เห็นปลิงที่นางเขี่ยออกไปเมื่อครู่นี้กำลังไต่มาทางตัวของนาง
ลำตัวของปลิงตัวนี้กลมกลิ้งเป็นพิเศษ
เมื่อครู่นี้มันคงดูดเลือดของนางไปไม่น้อย เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น
นางจึงกวาดสายตามองไปรอบๆ และเห็นก้อนหินขนาดปานกลางก้อนหนึ่ง
จึงรีบเดินเข้าไปเก็บมันขึ้นมา แล้วทุบไปที่ปลิงตัวนั้นทันที
แต่ว่าเจ้าสิ่งนี้มันตายยากจริงๆ
ไม่ว่าจะทุบมันไปกี่ครั้ง มันก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างเคย
จนสุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงยอมแพ้โยนก้อนหินนั้นทิ้งไป
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา
ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองมาที่นาง
อีกทั้งยังมองเห็นการเย้ยหยันอยู่บนใบหน้าของเขาด้วย
คิดไปคิดมาก็เป็นเช่นนั้น
เด็กในชนบทจะมีสักกี่คนที่กลัวปลิงกัน?
สิ่งที่นางเพิ่งทำไปเมื่อสักครู่นี้ล้วนอยู่ในสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งทั้งหมด
เกรงว่าเขาคงคิดว่านางกำลังเสแสร้งแกล้งทำอยู่กระมัง
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สนใจแล้วว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะมองนางเช่นไร
และไม่ว่าจะพูดอะไรนางก็ไม่ยอมลงไปดำกล้าอีก
ดังนั้นนางจึงยืนอยู่ข้างทุ่งนาใต้ร่มเงาของต้นไม้
ก่อนจะเหลือบกลับไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งโดยไม่หลบสายตา
สายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งที่มองมาที่นางก็ยังเย็นชาเช่นเคย
ก่อนจะก้มตัวลงปักต้นกล้าในมือของตนอย่างช้าๆ
และทันใดนั้นเขาก็หยุดลงพร้อมกับยกขาขวาขึ้นมา
เสวี่ยเจียเยว่เห็นที่น่องขาของเขาก็มีปลิงสีเทาแกมเขียวเกาะอยู่ตัวหนึ่งเช่นกัน
นางยังไม่ทันได้สะใจกับโชคร้ายของเขา
ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้าขึ้นมามองนางด้วยสายตาเย็นชาเสียก่อน
ก่อนจะก้มหน้าลงเอื้อมมือไปดึงปลิงที่เกาะอยู่บนขาของตนออกมาอย่างช้าๆ
จากนั้นก็เดินมาทางที่นางยืนอยู่
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้จริงๆ
ว่าเขาต้องการจะทำอะไร จากนั้นก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งหยิบกิ่งไม้ที่อยู่ตรงหน้านางขึ้นมา
ก่อนจะใช้กิ่งไม้กิ่งนั้นนำปลิงตันนี้ออกไปไว้ข้างนอก
และหยิบก้อนหินที่นางเพิ่งจะโยนทิ้งไปเมื่อครู่นี้ขึ้นมา
และกดลงไปที่หัวของปลิงตัวนั้นก่อนจะนำไปตากแดด
เมื่อทำเช่นนี้ปลิงตัวนั้นก็ตายได้แล้ว
อีกอย่างยังเป็นการตายที่ทรมานไม่น้อยเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะเป็นชนิดเดียวกับผีดูดเลือดที่ไม่สามารถโดนแสงแดดได้
เมื่อตากแดดเอาไว้ ไม่นานมันก็จะตาย?
เมื่อเสร็จแล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งจึงเงยหน้าขึ้นมามองนางอย่างเย็นชา
ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปดำกล้าต่อ
ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาสักประโยค
แต่สามารถทำเรื่องที่เรียกได้ว่าโหดร้ายป่าเถื่อนนี้ได้อย่างไม่แยแสสิ่งใด
ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ในยามนี้ก็ได้แต่รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
เสวี่ยหยวนจิ้งต้องจงใจแกล้งนางอย่างแน่นอน
เขาจงใจทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าของนาง ไม่อย่างนั้นการเคลื่อนไหวของเขาจะช้าขนาดนั้นเชียวหรือ
เรียกได้ว่าเอื่อยเฉื่อยได้เลยทีเดียว
ราวกับอยากให้นางเห็นทุกขั้นตอนของเขาให้ชัดเจน
เสวี่ยเจียเยว่คิดเช่นนี้อยู่ในใจ
เป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
ทว่าเจ้าของร่างเดิมของตนก็จงใจทำให้คนโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นี้ไม่พอใจ...
นางคิดว่าแม้นางจะเริ่มทำดีกับเสวี่ยหยวนจิ้งในตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด
คนใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้ และยังจงใจทำเช่นนี้กับนาง
หากอยากจะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของเขาเกรงว่าจะยากเสียยิ่งกว่าการบินไปบนฟ้าเสียอีก
กระทั่งเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวาแบกต้นกล้าขึ้นมาจากนาสองหาบ
เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ได้สติกลับมา
นางยังคงยืนงงงวยกับสถานการณ์โชคร้ายที่ตัวเองเพิ่งได้พบเจออยู่ใต้เงาของต้นไม้
ซุนซิ่งฮวาเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังอู้งานจึงทนดูไม่ได้
เพราะตอนที่ให้กำเนิดเสวี่ยเจียเยว่ นางก็ถูกแม่ของสามีที่ตายไปแล้วก่นด่านางอยู่หลายวันเพราะนางให้กำเนิดบุตรสาว
ไม่ใช่บุตรชาย ซุนซิ่งฮวารู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจมาโดยตลอด
จึงอยากจะเอาชนะลูกสาวของตนอยู่เสมอมา
เพราะเหตุนี้เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่อยู่ใต้เงาของต้นไม้
นางจึงวางของที่อยู่บนไหล่ลงก่อนจะเริ่มด่านางยกใหญ่ “เจ้ามายืนโง่อยู่ตรงนี้ทำไม? ยังไม่ลงนาไปดำกล้าอีก?”
ก่อนที่นางและเสวี่ยหย่งฝูจะออกไปเมื่อสักครู่นี้ก็ได้สั่งเอาไว้
ว่าให้เสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่นำต้นกล้าที่เหลือไปดำให้หมด
ทว่าเมื่อกลับมา กลับเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ได้ดำต้นกล้าสักต้น ดังนั้นนางจึงอดโมโหเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้
เสวี่ยเจียเยว่ยืนนิ่งอย่างนั้นไม่ขยับ
สายตายังคงมองแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้ง
มองเพียงแผ่นหลังก็รู้ว่าเขาเป็นคนมีสง่าราศีมากผู้หนึ่ง
เขาทำเรื่องแบบนั้นด้วยใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อยได้อย่างไรกัน
ส่วนซุนซิ่งฮวาเดิมทีก็เป็นคนโมโหร้ายอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กล้าไม่แยแสนาง เสวี่ยหย่งฝูยืนดูอยู่ด้านข้าง
ซุนซิ่งฮวาเอื้อมมือไปยกมัดกล้าขึ้นมาก่อนจะฟาดไปที่หลังของเสวี่ยเจียเยว่อย่างเต็มแรง
“เจ้าไม่มีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?” นางตบตีไปพลางก่นด่าไป “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดกับเจ้าหรืออย่างไร?”
ในยามนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
ก่อนจะหันกลับไปมองซุนซิ่งฮวาด้วยสายตาไม่พอใจนัก
เมื่อซุนซิ่งฮวาเห็นดังนั้น
จึงยิ่งโมโหมากกว่าเดิม นางฟาดมัดกล้าอย่างเต็มแรงอีกครั้ง “เจ้ากล้าจ้องข้าหรือ? แม่ตบตีลูกสาวแล้วจะอย่างไร? ต่อให้ตีจนเจ้าตาย
ต่อให้ไปพบยมบาลเจ้าก็ไม่สนใจอยู่แล้ว”
เมื่อกล่าวจบ ในขณะที่กำลังจะฟาดลงไปอีกครั้ง
กลับมีคนจับมือนางเอาไว้
คนผู้นั้นก็คือเสวี่ยหย่งฝูนั่นเอง
“เอ้อร์ยาเพิ่งจะหายป่วย
นางไม่อยากลงนาก็ช่างนางเถอะ ถึงอย่างไรก็เหลืออีกไม่มาก ในเวลาสามวันนี้พวกเราก็ต้องดำต้นกล้าพวกนี้ให้เสร็จอยู่ดี”
เมื่อเขากล่าวจบก็หันกลับไปมองเสวี่ยเจียเยว่ ทั้งยังเอื้อมมือไปลูบหลังนางเบาๆ
เขาหัวเราะขึ้นมาก่อนจะกล่าว “อีกอย่างเอ้อร์ยาก็ยังไม่ออกเรือน ทั้งบอบบางขนาดนี้
หากเจ้าตบตีนาง หัวใจคนเป็นพ่ออย่างข้าก็เจ็บปวดนัก”
คำพูดเช่นนี้ฟังดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
เสวี่ยเจียเยว่รีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
เพื่อเลี่ยงไม่เสวี่ยหย่งฝูสัมผัสกับแผ่นหลังของนางอีก
ซุนซิ่งฮวาได้ฟังดังนั้น
จึงจ้องมาที่นางตาเขม็งก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อพ่อเจ้าพูดแทนเจ้าแล้ว
วันนี้เจ้าก็ไม่ต้องลงนาไปดำกล้า”
ทั้งยังสั่งนางอีกว่า
“ตอนนี้เจ้าก็เอาตะกร้ากลับบ้าน พอถึงบ้านก็ห้ามพัก ทำความสะอาดทั้งในและนอกบ้าน
ให้อาหารไก่ แล้วไปทำข้าวเย็น ในตู้กับข้าวยังมีหมั่นโถวธัญพืชอยู่สองสามลูก
เจ้าก็เอาออกมาอุ่น แล้วค่อยเอาโจ๊กข้าวฟ่างมาอุ่น
พอเสร็จแล้วก็เอาไข่ไก่สามฟองออกมาเจียวให้เรียบร้อย”
เมื่อกล่าวจบ
นางจึงส่งกุญแจพวงหนึ่งที่เหน็บอยู่บนเอวของนางก่อนจะส่งให้เสวี่ยเจียเยว่
และไม่ลืมเตือนนาง “ห้ามขโมยกินล่ะ ไข่กับหมั่นโถวในบ้านข้านับเอาไว้แล้ว
หากว่าข้ากลับไปแล้วเห็นมันขาดไปแม้แต่ชิ้นเดียว ข้าจะถลกหนังเจ้าออกมาเลยคอยดู”
เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมือไปรับกุญแจจากนาง
จากนั้นจึงเดินไปอีกด้านอย่างเงียบๆ
ก่อนจะหิ้วตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมาแล้วหันหลังเดินจากไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว
นางก็หันกลับมามองคนทั้งสามที่กำลังก้มตัวดำกล้าอยู่ในนาข้าว
เมื่อพ่อเลี้ยงที่น่ารังเกียจผู้นั้น
ห้ามไม่ให้แม่ของนางทำร้ายหรือดุด่านาง
ส่วนพี่ชายลูกติดของพ่อเลี้ยงที่ใจคอโหดเหี้ยมผู้นั้นก็ได้เกลียดชังนางไปแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่พลันรับรู้ได้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายในตอนนี้ของตนเสียแล้ว
#ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
อัปเดตตอนใหม่ วันเว้นวัน เวลา 15.00
น.
ติดตามข่าวสาร
ความคิดเห็น