คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 长沟落月 ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย เล่ม 1 : สอง การปรากฏตัวของพระเอก
长沟落月
ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
เล่ม 1
เขียน ฉางโกวลั่วเยวี่ย (长沟落月) , แปล ซิงซือ
หนังสือ 5 เล่มจบ , วางจำหน่ายรูปแบบ E-Book
ลงตัวอย่างทดลองอ่าน 40-50%
สอง
การปรากฏตัวของพระเอก
[ต้นฉบับยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร อาจพบคำผิดอยู่บ้าง]
เมื่อผ่านการรวบรวมข้อมูลมาสองวัน
เสวี่ยเจียเยว่จึงได้รู้ว่าหมู่บ้านชนบทเล็กๆ แห่งนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านซิ่วเฟิง
บริเวณรอบๆ รายล้อมไปด้วยภูเขา
ภายในหมู่บ้านมีถนนเพียงสายเดียวที่สามารถเดินทางออกไปด้านนอกได้
สามารถเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่ตัดขาดจากโลกภายนอกได้เลยทีเดียว
เสวี่ยเจียเยว่แอบก่นด่าเพื่อนร่วมห้องของตนผู้นั้นอยู่ในใจประโยคหนึ่ง
‘เวรเอ๊ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย’ จากนั้นก็เดินตามซุนซิ่งฮวาต่อไปอย่างเงียบๆ
พวกนางอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน
ส่วนทุ่งนาจะอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ระยะทางที่ต้องเดินไปนับว่าไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ
ระหว่างทางพบสตรีผู้หนึ่งที่แบกจอบเอาไว้บนไหล่
นางกำลังสนทนากับซุนซิ่งฮวา
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเนื้อหาที่พวกนางสองคนพูดคุยกันนั้น
จึงได้รู้ข้อมูลมาอีกสามเรื่อง
ข้อมูลแรกก็คือ
ซุนซิ่งฮวาเป็นคนในหมู่บ้านข้างๆ ชายคนแรกที่นางแต่งงานด้วยคือคนในหมู่บ้านเดียวกันกับนาง
ภายหลังสามีของนางก็ตายจากไป
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานางจึงได้มาแต่งงานในหมู่บ้านแห่งนี้
กลายเป็นภรรยาของเสวี่ยหย่งฝูโดยมีแม่สื่อเป็นตัวกลางเจรจาให้ ข้อมูลที่สองก็คือ
เจ้าของร่างเดิมมีชื่อว่าเอ้อร์ยา ส่วนข้อมูลที่สามก็คือ
เสวี่ยหย่งฝูเดิมทีมีลูกชายหนึ่งคนกับลูกสาวอีกหนึ่งคน
ลูกชายของเขาปีนี้ก็อายุสิบสี่ปีแล้ว ส่วนลูกสาวเพิ่งจะอายุได้สามขวบ
ทว่าหลังจากซุนซิ่งฮวาแต่งเข้ามาได้ไม่เกินหนึ่งเดือน
ก็บอกว่าไม่สามารถเลี้ยงดูชีวิตคนได้มากมายเช่นนี้ นางโยนหม้อโยนกะละมังวุ่นวายเสียจนเสวี่ยหย่งฝูต้องส่งลูกสาวให้แก่คนอื่นเลี้ยงดู
ทว่าตามวาจาหยอกล้ออันคลุมเครือของสตรีที่มีนามว่าป้าโจวผู้นี้นั้น
เกรงว่าลูกสาวคนนั้นของเสวี่ยหย่งฝูมิได้ส่งไปให้คนอื่นเลี้ยงดู
หากแต่เป็นซุนซิ่งฮวาขายออกไปเสียมากกว่า
มุมปากของเสวี่ยเจียเยว่พลันกระตุกขึ้นมาเบาๆ
นางเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมพระเอกถึงได้เปลี่ยนเป็นคนเลวร้ายได้ขนาดนั้น
เมื่อต้องเจอกับแม่เลี้ยงใจร้ายเช่นนี้
กระทำการโหดร้ายทารุณต่อเขา เขาไม่เคยปริปากพูดอะไร
แต่เอาน้องสาวของเขาขายให้แก่พ่อค้ามนุษย์อย่างเลือดเย็น
เรื่องนี้ไม่ว่ากับใครก็ล้วนทนไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นบทบาทของพระเอกเป็นคนจิตใจคับแคบและใจดำอำมหิตอีกด้วย
แต่ป้าโจวผู้นี้ก็ดูเหมือนว่าจะแต่งงานใหม่เช่นเดียวกัน
ราวกับไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ซุนซิ่งฮวาทำ ถึงขั้นถามนางว่าพบพ่อค้ามนุษย์ที่ไหน
เพราะในบ้านของนางก็มีลูกสาวที่เกิดจากภรรยาคนก่อนของสามีเช่นกัน
ผลเก็บเกี่ยวในปีนี้ไม่ค่อยจะดีนัก อยู่ในบ้านก็เลี้ยงเสียข้าวสุก
มิสู้ขายออกไปแลกเงินมาใช้สอยจะดีกว่า
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสะเทือนใจต่อทัศนคติเช่นนี้
นางจึงหันไปมองภูเขาอันเขียวขจีที่อยู่ห่างไกลออกไป
จากนั้นก็ได้ยินป้าโจวถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“เอ้อร์ยาบ้านพวกเจ้าเป็นอะไรไปเล่า? เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเห็นตวาดเสียงแปร๋น
พอปริปากพูดก็พูดไม่ยอมหยุด เหตุใดตอนนี้ถึงไม่พูดไม่จาสักคำ
อยู่นี่กันตั้งนานแต่ไม่ได้ยินนางพูดสักประโยค?”
ซุนซิ่งฮวาเหลือบตามองเสวี่ยเจียเยว่ก่อนจะพูดว่า
“ใครจะไปรู้เล่า? หลายวันก่อนนางล้มป่วยไป นอนแข็งทื่อเป็นศพอยู่หลายวัน
เมื่อวานพอฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นคนเหม่อลอยอย่างในตอนนี้แล้ว
ไม่ว่าใครจะพูดด้วยนางก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบโต้ทั้งนั้น”
“ไอหยา คงไม่ได้เป็นใบ้หรอกกระมัง?
หรือว่าสมองถูกพิษไข้ทำลายจนหมดสิ้นแล้ว?” ป้าโจวร้องออกมาอย่างตกใจ “ต้องรีบเชิญหมอมาดูอาการเอ้อร์ยาสักหน่อยแล้วกระมัง”
“ใครจะมีเงินมากมายขนาดนั้นกัน?”
ซุนซิ่งฮวาเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“สามารถมีชีวิตอยู่รอดในปีนี้ได้ก็ถือว่าบุญนักแล้ว
ผู้ใดจะสนว่านางจะเป็นใบ้หรือไร้สติกัน?
ยังกลัวว่าในวันข้างหน้าเมื่อนางเติบใหญ่จะไม่มีผู้ใดต้องการอีกหรือ?”
อยู่ในชนบท
อยากจะขอภรรยาสักคนยังต้องใช้เงินจำนวนมาก
อีกทั้งเมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องทำงานคลอดบุตรให้สามี
จะเป็นใบ้หรือไร้สติก็ไม่มีผู้ใดสนใจ อาจจะเพราะเป็นใบ้หรือไร้สตินั้น
ครอบครัวฝ่ายหญิงจึงเรียกสินสอดน้อยลงมาหน่อย ครอบครัวฝ่ายชายจึงยิ่งชอบใจไปกันใหญ่
จนต้องกรูกันเข้ามาเพื่อสู่ขอนาง
ป้าโจวจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ก็จริง
แล้วเจ้ายังกลัวว่าเอ้อร์ยาจะแต่งไม่ออกอีกหรือ?
พี่หย่งฝูมิใช่มีลูกชายอีกคนที่เกิดจากภรรยาเก่าหรอกหรือ?
เมื่อวานข้าได้ฟังลูกชายคนโตของบ้านข้าบอกว่าอาจารย์ในห้องเรียนชมเขาไม่หยุดปาก บอกว่าตนนั่งอยู่ในสำนักมาหลายปี
สอนนักเรียนมาก็มากมาย เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนฉลาดมีความสามารถเช่นเขา
ภายภาคหน้าเกรงว่าจะได้เป็นถึงขุนนางเลยกระมัง? อย่างที่เขาว่ากันว่าเรือล่มในหนอง
ทองจะไปไหน เจ้าให้เอ้อร์ยาแต่งงานกับเขา เมื่อถึงตอนที่เขาได้รับตำแหน่งขุนนางแล้ว
อีกทั้งเจ้าก็ยังเป็นทั้งแม่เลี้ยงและแม่ยายของเขา
เขาจะกล้าอกตัญญูต่อเจ้าเชียวหรือ? เจ้าก็รอเสวยสุขได้เลย”
“เขาจะเป็นขุนนางงั้นหรือ?”
สีหน้าของซุนซิ่งฮวาดูเหยียดหยามยิ่ง
“เช่นนั้นหลุมฝังศพของตระกูลเสวี่ยคงไม่มีหญ้าเกิดสักต้นกระมัง”
เมื่อกล่าวจบ นางจึงบอกลาป้าโจว
และมุ่งหน้าไปยังทุ่งนาทางทิศตะวันตก
เสวี่ยเจียเยว่เดินตามหลังอย่างเงียบๆ
ทบทวนวาจาของป้าโจวที่พูดมาเมื่อครู่นี้ ทว่ากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่ง
เมื่อได้ฟังสิ่งที่นางเอ่ยออกมาแล้วเหตุใดถึงเหมือนกับการเลี้ยงต้อยเด็กอย่างไรอย่างนั้น?
ระหว่างทางได้เดินผ่านเนินดินบนหลุมฝังศพหลายแห่งและเทวสถานขนาดเล็ก
ถัดมาก็จะเห็นทุ่งนาที่เต็มไปด้วยน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
มีชาวนาที่กำลังก้มตัวดำนาปักต้นกล้า
บนศีรษะสวมหมวกที่ทำมาจากไม้ไผ่อยู่ในทุ่งนาอยู่เป็นจำนวนมาก
ซุนซิ่งฮวาพาเสวี่ยเจียเยว่ไปข้างๆ
ที่นาที่เป็นของครอบครัวพวกเขา จากนั้นนำหม้อที่ใส่โจ๊กข้าวฟ่างในมือวางลง
ก่อนจะตะโกนเรียน “ท่านพี่ มากินข้าวเจ้าค่ะ”
เสวี่ยเจียเยว่เองก็วางตะกร้าที่ถือไว้ในมือลงเช่นเดียวกัน
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสองคนที่อยู่ในทุ่งนา
แม้ว่านางจะข้ามภพมาได้สองวันแล้ว
ทว่าก็เกิดเป็นไข้ไม่สบายไปเสียก่อน นอนนิ่งอยู่บนเตียงทั้งวันทั้งคืน
นอกจากซุนซิ่งฮวาที่เข้ามาด่าทอนางในห้องเมื่อวานตอนเช้านี้แล้ว
ในเวลาอื่นนางก็ไม่เคยเห็นสมาชิกครอบครัวอีกสองคนเลย
ดังนั้นตอนนี้นางจึงต้องมองสำรวจให้ดีเสียหน่อย
คนผู้หนึ่งที่อยู่ในทุ่งนาเมื่อได้ยินซุนซิ่งฮวาตะโกนเรียกจึงนำต้นกล้าสีเขียวในมือวางไว้ที่ข้างขา
จากนั้นก็เดินลุยน้ำโคลนไปยังบริเวณข้างที่นาด้วยเท้าที่เปล่าเปลือย
เขาสวมอาภรณ์ผ้าป่าน รูปร่างเตี้ยและล่ำสัน
บนศีรษะไม่ได้สวมหมวกบังแดด จึงสามารถมองเห็นผิวที่ดำคล้ำ
และใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฝ้าสีแดงกับจมูกที่แบนราบของเขาได้อย่างชัดเจน
ส่วนผมเผ้าก็ไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันแล้วที่ยังไม่ได้สระล้างทำความสะอาด
ดูเป็นคนสกปรกมอมแมมไม่น้อย
คนผู้นี้ก็คือเสวี่ยหย่งฝู
ส่วนอีกคน เสวี่ยเจียเยว่จึงหันไปมอง
เห็นกำลังลุกขึ้นและมองมาทางนี้พอดี สายตาของเสวี่ยเจียเยว่ก็สบเข้ากับสายตาคู่นั้นของเขาทันที
ทันใดนั้นหัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็พลันสั่นสะท้าน
ในหัวของนางมีเพียงคำพูดประโยคเดียว หน้าตาของเสวี่ยหย่งฝูดูธรรมดา
ทว่าเหตุใดลูกชายที่เขาให้กำเนิดมาถึงได้หล่อเหลาเอาการเช่นนี้ได้?
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือ “เสวี่ยหยวนจิ้ง”
พระเอกในนิยาย (หญิงงามสิบสองตำหนัก)
ที่เพื่อนร่วมห้องของนางร่างโครงเรื่องนิยายออกมา
และคือพี่ชายลูกติดพ่อเลี้ยงของเอ้อร์ยาเจ้าของร่างเดิมที่นางสิงอยู่
เสวี่ยหย่งฝูนั่งลงบนพื้นเรียบร้อยแล้ว
ซุนซิ่งฮวาจึงตักโจ๊กใส่ถ้วยดินเผาเนื้อหยาบใบหนึ่ง และส่งโจ๊กถ้วยใหญ่ที่เข้มข้นเป็นพิเศษให้แก่เขา
พร้อมกับบอกให้เสวี่ยเจียเยว่เอาตะเกียบให้เขาด้วย
ในยามนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงได้สติขึ้นมา
และหยิบตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมาจากตะกร้าไม้ไผ่แล้วส่งให้แก่เขา
เสวี่ยหย่งฝูรับตะเกียบคู่นั้นมาพร้อมกับมองเสวี่ยเจียเยว่
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถามซุนซิ่งฮวา “อาการป่วยของเอ้อร์ยาดีขึ้นแล้วรึ?”
แต่กระนั้นเมื่อได้ฟังแล้วกลับไม่มีความห่วงใยอยู่ในประโยคเลยแม้แต่น้อย
ซุนซิ่งฮวาส่งหมั่นโถวธัญพืชให้แก่เขาพร้อมกับตอบว่า
“ดีขึ้นแล้ว แต่ไม่รู้ว่านางเป็นใบ้หรือไร้สติกันแน่ วันนี้ข้าก็ไม่ได้ยินนางปริปากพูดออกมาสักประโยค”
เสวี่ยหย่งฝูได้ยินดังนั้นแล้ว
ก็หันหน้าไปเรียกเสวี่ยเจียเยว่
ก่อนจะหยิบเอาหมั่นโถวธัญพืชพร้อมกับพูดเย้าแหย่นางว่า “เอ้อร์ยา หากเรียกพ่อ
พ่อจะเอาหมั่นโถวลูกนี้ให้เจ้ากิน”
น้ำเสียงฟังดูสนุกสนาน
เหมือนกับกำลังหยอกหมาหยอกแมวอย่างไรอย่างนั้น
เอ้อร์ยาในอดีตเป็นคนตะกละตะกลามยิ่ง
เพียงแค่เอาของกินมาล่อนาง ไม่ว่าจะให้นางทำอะไรนางก็ทำ
เสวี่ยเจียเยว่มองเขาด้วยใบหน้านิ่งเรียบไร้ความรู้สึก
ทั้งยังไม่พูดสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
“ดูเหมือนนางจะเป็นใบ้จริงๆ
แต่ว่าบอกให้นางทำอะไรนางก็ไปทำอย่างเชื่อฟัง เช่นนั้นก็คงมิได้ไร้สติหรอก” เสวี่ยหย่งฝูพูดประโยคนั้นพร้อมกับรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก
จากนั้นก็เอาหมั่นโถวในมือยัดเข้าปากไปก่อนจะดื่มโจ๊กข้าวฟ่างคำใหญ่จนเกิดเสียงดัง
“ซูด” ตามลงไป
หลังจากนั้นก็พูดกับซุนซิ่งฮวาด้วยเสียงที่งึมงำว่าต้นกล้าในตอนนี้ไม่พอ พอกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วต้องไปดึงต้นกล้าในนามาเพิ่ม
และในตอนนี้เองซุนซิ่งฮวาก็ตักโจ๊กข้าวฟ่างใส่ถ้วยแล้วส่งให้แก่เสวี่ยเจียเยว่
ทว่านางกลับไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนกับเสวี่ยหย่งฝู
มีโจ๊กเพียงครึ่งถ้วยที่พอจะให้คนเห็นว่าเป็นโจ๊กได้เท่านั้น หมั่นโถวก็ไม่ให้นางกิน
ด้วยคำพูดของซุนซิ่งฮวาที่ว่า “เพิ่งจะหายไข้
จะกินหมั่นโถวทำไมกัน? มันไม่ย่อย กินโจ๊กไปก่อนสักสองสามวันค่อยมาว่ากันอีกที”
แล้วเสวี่ยเจียเยว่ทำอะไรได้อีกเล่า?
นางไม่สามารถลุกขึ้นแล้วเอาถ้วยโจ๊กคว่ำใส่หัวของซุนซิ่งฮวาตรงๆ ได้
เพราะคือคนที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
จึงทำได้เพียงก้มหน้าก้มยกถ้วยโจ๊กขึ้นดื่มเท่านั้น
หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งที่อยู่ในทุ่งนาและกำลังเดินมาทางนี้
ชายหนุ่มมีรูปร่างที่ซูบผอม
ราวกับต้นไผ่เขียวต้นหนึ่งก็ไม่ปาน เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ดูหลวมโคร่งไม่พอดีตัว อีกทั้งผิวพรรณก็มิได้ดำคล้ำเหมือนกับเสวี่ยหย่งฝูบิดาของเขา
ผิวของเขาขาวผ่องเป็นยองใย
เมื่อถูกแสงอาทิตย์ส่องกระทบก็ราวกับกระจกบานหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ขาวจนสามารถส่องประกายออกมาได้เลยทีเดียว
ขาวมากจนทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉา
เสวี่ยเจียเยว่พูดประโยคนี้ขึ้นมาในใจพร้อมกับปรายตามองเสวี่ยหยวนจิ้งที่เดินมาถึงข้างทุ่งนาแล้ว
เขากำลังนั่งล้างมือล้างเท้าอยู่ข้างๆ ลำธารเล็กสายหนึ่ง
คนดำนา
สิ่งที่เท้าต้องเหยียบย่ำตลอดเวลาก็คือโคลนตม
ทั้งยังต้องถือต้นกล้าที่ทั้งเปียกชื้นและเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลน
ไม่ว่าจะเป็นมือหรือเท้า แม้แต่แขนและน่องก็ยังต้องมีโคลนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อครู่นี้เสวี่ยหย่งฝูไม่ได้สนใจโคลนตมที่เลอะอยู่บนมือของตนแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงข้างที่นาก็ตรงเข้ามากินข้าวเที่ยงโดยที่ยังไม่ได้ล้างมือ
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งในตอนนี้กลับกำลังใช้มือล้างเท้าอย่างพิถีพิถัน ล้างแขนและน่องขาของตนอย่างละเอียดลออ
แม้แต่แขนเสื้อที่ถูกม้วนขึ้นมาถึงข้อศอกกับขากางเกงที่ถูกพับขึ้นมาถึงน่องก็ยังไม่ปล่อยมันผ่านไป
ล้างดินโคลนที่เลอะอยู่ด้านในออกให้สะอาดอย่างละเมียดละไม
จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อกับขากางเกงลงมาปกปิดแขนและน่องของตน ก่อนจะเดินเข้ามากินข้าว
คาดว่าชายผู้นี้มีนิสัยที่รักความสะอาดไม่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่ได้ข้อสรุปหนึ่งข้อเกี่ยวกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
จากนั้นนางก็หันกลับไปดื่มโจ๊กของตนต่อ
ซุนซิ่งฮวาตักโจ๊กให้เขาด้วยสีหน้ารังเกียจ
เมื่อคิดๆ ดูแล้ว ก็กลัวว่าคนในหมู่บ้านเดียวกันที่อยู่ข้างๆ จะเห็นแล้วนำไปนินทาเอาได้
จึงหยิบหมั่นโถวธัญพืชลูกหนึ่งออกมาจากตะกร้าก่อนจะบิออกเป็นครึ่งเล็กๆ
ก่อนจะส่งให้แก่เสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยเจียเยว่จับตามองดูอยู่
จึงเห็นโจ๊กถ้วยนั้นของเสวี่ยหยวนจิ้งน้อยกว่าโจ๊กถ้วยนี้ของตนเสียอีก
ในถ้วยนี้เกรงว่าคงมีเม็ดข้าวฟ่างอยู่เพียงสองสามเม็ดเท่านั้นกระมัง
เรียกมันว่าน้ำข้าวต้มยังจะดูเหมาะสมกว่าเลย
นางจึงแอบปรายตามองเสวี่ยหยวนจิ้ง
ใบหน้าของเขากลับดูเรียบนิ่งเช่นเคย
เพียงจับถ้วยขึ้นมาก่อนจะหรี่ตาลงแล้วดื่มโจ๊กกับกินหมั่นโถวอย่างช้าๆ
ดูไม่ออกเลยว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่พอคิดไปคิดมาก็ถูกแล้วที่เป็นเช่นนั้น
คนผู้นี้ในตอนสุดท้ายจะกลายเป็นขุนนางผู้อาวุโสในราชสำนัก
จะไม่ปิดบังความรู้สึกของตนได้อย่างไร? และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าใบหน้าอันนิ่งขรึมของเขาจะเป็นสิ่งปกติที่เขาแสดงออกมา
เสวี่ยเจียเยว่จึงถอนสายตาของตนกลับคืนก่อนจะก้มหน้าก้มตาดื่มโจ๊กในถ้วยของตน
เมื่อนางกินโจ๊กเสร็จแล้ว
โจ๊กและหมั่นโถวของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็หมดพอดี
ซุนซิ่งฮวานำถ้วยใส่ลงไปในตะกร้าไม้ไผ่ พร้อมกับสั่งเสวี่ยเจียเยว่ว่า
“ข้ากับพ่อของเจ้าจะไปดึงต้นกล้าในนา ตอนบ่ายก็ต้องลงนาดำต้นกล้า
เจ้าเอาถ้วยตะเกียบกับหม้อไปล้างให้สะอาด
แล้วเอาต้นกล้าที่เหลืออยู่มาปักลงนากับพี่ชายเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่หันกลับไปมองพี่ชายที่จะทำร้ายนางในอนาคตตามเค้าโครงเรื่องของตัวละคร
ก็เห็นว่าพี่ชายของนางกำลังหรี่ตามองหญ้าสีเขียวขจีที่อยู่บนพื้นดินข้างที่นาด้วยใบหน้าอันเย็นชา
ราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่ซุนซิ่งฮวาพูดอย่างไรอย่างนั้น
ให้นางอยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้งตามลำพัง...
มันน่าอึดอัดเกินไปแล้ว
#ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
อัปเดตตอนใหม่ วันเว้นวัน เวลา 15.00
น.
ติดตามข่าวสาร
ความคิดเห็น