คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 长沟落月 ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย เล่ม 1 : หนึ่ง
长沟落月
ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
เล่ม 1
เขียน ฉางโกวลั่วเยวี่ย (长沟落月) , แปล ซิงซือ
หนังสือ 5 เล่มจบ , วางจำหน่ายรูปแบบ E-Book
ลงตัวอย่างทดลองอ่าน 40-50%
หนึ่ง
[ต้นฉบับยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร
อาจพบคำผิดอยู่บ้าง]
เสวี่ยเจียเยว่กำลังนั่งรับแสงอรุณอยู่ที่ธรณีประตู
แสงแดดอันอบอุ่นในวสันตฤดูช่วงเดือนสาม
ส่องกระทบร่างกายให้ได้รับความอบอุ่น
แต่กระนั้นหัวใจของเสวี่ยเจียเยว่กลับยังรู้สึกเหน็บหนาวเหลือประมาณ
คืนก่อนเธอยังนั่งเขียนวิทยานิพนธ์จบการศึกษาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
แต่ทันใดนั้นก็ถูกเพื่อนร่วมห้องดึงแขนไปฟังเธอเล่าเค้าโครงนิยายออนไลน์เรื่องใหม่ที่หล่อนร่างมันขึ้นมา
เพื่อนร่วมห้องคนนี้แต่งนิยายอยู่ในเว็บไซต์นิยายซึ่งกำลังได้รับความนิยมในตอนนี้เว็บหนึ่ง
เธอแต่งนิยายแนวรักโรแมนติกขึ้นมาหนึ่งปีเต็ม
และนิยายที่เพื่อนร่วมห้องของเธอแต่งออกมานั้นก็เขียนออกมาได้เลี่ยนจริงๆ ดังนั้นเธอจึงร่างเค้าโครงนิยายออกมาเรื่องหนึ่ง
เธออยากจะเขียนบทให้พระเอกมีฐานะยากจนและมีนิสัยเป็นคนใจดำอำมหิต
และเพื่อเป้าหมายไม่ว่าจะต้องใช้วิธีสกปรกเพียงใดก็ต้องให้ได้มันมา ถึงขั้นใช้ผู้หญิงหน้าตางดงามมายกระดับฐานะของตนให้สูงขึ้น
แม้แต่ชื่อเธอก็คิดมาจนเสร็จสรรพ นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า “หญิงงามสิบสองตำหนัก”
ซึ่งมีความหมายว่าจะต้องรวบรวมหญิงงามให้ครบหนึ่งโหลนั่นเอง
ในเวลานั้นสมองของเสวี่ยเจียเยว่มีเพียงวิทยานิพนธ์ของตน
ที่เธอมีท่าทีสนอกสนใจต่อหน้าเพื่อนร่วมห้องนั้น เธอแค่ฟังให้มันผ่านๆ ไป
บางครั้งก็ส่งเสียงอือออออกมาเพื่อเป็นการแสดงให้รู้ว่าตนได้ฟังแล้ว
ผ่านไปไม่นานเธอก็แทบจะลืมมันไปจนหมดสิ้น ทว่าสิ่งที่เธอคิดไม่ถึงนั่นก็คือ
ในขณะที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งที่เธอเห็นกลับไม่ใช่เพดานสีขาวในห้องนอนของเธอ
แต่กลับเป็นหลังคาที่มุงด้วยหญ้า ทั้งยังมีหยักไย่เกาะติดอยู่บนมุมกำแพง
บนใบหน้ายังมีแมงมุมสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือเกาะอยู่อีกหนึ่งตัวด้วย
ทันทีหลังจากนั้นเธอก็สลบไป หลังจากสลบไปสองวัน
ในที่สุดเธอก็ต้องยอมรับความจริงในข้อนี้อย่างจนใจ นั่นก็คือเธอข้ามภพมาในโครงเรื่องนิยายที่เพื่อนร่วมห้องของเธอร่างขึ้น
ทว่าเนื้อหาในนิยายนั้นยังไม่ทันจะได้แต่งมันออกมา
ถ้าหากเธอเดาไม่ผิด
เธอยังข้ามภพมาเป็นน้องสาวซึ่งเป็นลูกติดแม่เลี้ยงของพระเอกอีกด้วย
ลูกติดแม่เลี้ยงผู้นี้
เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมือไปสัมผัสกับเส้นผมที่ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบของตน
พร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างละเอียด หากนางจำไม่ผิดล่ะก็
ตามเค้าโครงนิยายที่เพื่อนร่วมห้องของเธอร่างขึ้น คนผู้นี้เป็นคนสกปรกมอมแมม
พูดมาก และชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าทว่ากลับขลาดกลัวผู้ที่แข็งแกร่ง แต่จุดที่สำคัญก็คือ
นางชอบฟ้องเรื่องพระเอกต่อหน้ามารดาของนางอยู่บ่อยๆ จนทำให้พระเอกถูกมารดาของนางกักขังให้อดข้าวอดน้ำอยู่บ่อยครั้ง
และในขณะเดียวกันนางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของตน
ต่อหน้ามารดาของนางก็เอาแต่ใส่ร้ายดูถูกพระเอกไม่หยุดหย่อน แต่ในเวลาเดียวกันนั้นนางก็ชอบเข้าไปอยู่ข้างๆ
พระเอก อยากจะใกล้ชิดกับเขาตลอดเวลา
สรุปแล้วตัวละครลูกติดแม่เลี้ยงผู้นี้ไม่ดีเอาเสียเลย
มิได้บอกว่าพระเอกเป็นคนใจคอโหดเหี้ยม
แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้นหรอกหรือ?
เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในตอนสุดท้ายเขาก็ต้องมอบความตายให้แก่แม่เลี้ยงของเขา
ส่วนน้องสาวผู้เป็นลูกติดของแม่เลี้ยงก็ต้องถูกลงโทษที่เคยทำกับเขาเช่นนี้
หากไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนัง
แต่สิ่งที่น่ากลุ้มใจที่สุดก็คือ
ตอนนี้เธอข้ามภพมาเป็นน้องสาวผู้เป็นลูกติดแม่เลี้ยงของพระเอก
เสวี่ยเจียเยว่ก้มลงมองโคลนตมที่ยังไม่ได้ล้างทำความสะอาดภายในซอกเล็บ
จึงรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไรนัก
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น นางจึงเงยหน้าขึ้นมอง
พบว่าเป็นสตรีผู้หนึ่งที่กำลังยื่นมืออันหยาบกระด้างผลักประตูเรือนเข้ามา
ทำให้ทั้งไก่ตัวผู้และตัวเมียที่กำลังจิกกินอาหารอยู่นั้นตื่นตกใจจนกระพือปีกลอยไปทั่วเรือน
มีไก่ตัวผู้ตัวหนึ่งบินลงบนกองฟางที่วางอยู่ตรงมุมเรือน
ทันใดนั้นมันก็เชิดหน้าขึ้นร้อง “โอ้กอิโอ้กโอ้ก” ออกมา
เสวี่ยเจียเยว่ปรายตามองสตรีผู้นั้น
นางสวมอาภรณ์เก่าๆ สีเขียว
และมีผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าโพกศีรษะเอาไว้หนึ่งผืน มีใบหน้าสีเหลืองอมเทาที่ทั้งกลมและแบนราบ
มีดวงตาอันเฉียบคมบนใบหน้า มีโหนกแก้มที่ค่อนข้างสูงมากเป็นพิเศษ
ดูหน้าตาก็รู้ว่าเป็นคนใจดำอำมหิต
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าสตรีซึ่งยืนอยู่ตรงหน้านี้ก็คือมารดาของเจ้าของร่าง
แม่เลี้ยงของพระเอกที่มีนามว่าซุนซิ่งฮวา เมื่อวานตอนที่นางเพิ่งจะข้ามภพมานั้นก็ได้มีอาการไข้และปวดหัว
สตรีผู้นี้หยิบไม้กวาดที่ทำจากดอกหลูเว่ยขึ้นมาทุบตีนางที่กำลังนอนอยู่บนเตียงไม้อันแสนจะเรียบง่าย
ก่นด่านางเป็นการใหญ่เพียงเพราะนางเป็นไข้นอนตัวแข็งทื่อเหมือนศพอยู่บนเตียงสองวัน
ช่วงนี้กำลังเป็นฤดูกาลหว่านข้าวดำนา จึงมีงานที่กองเป็นพะเนินอยู่ในไร่นาที่ยังทำไม่เสร็จ
นางอยากจะนอนแข็งทื่อเป็นศพเมื่อไรกัน?
ดูเหมือนนางจะปฏิบัติตัวต่อลูกสาวแท้ๆ ของตนเช่นนี้เป็นปกติ
เสวี่ยเจียเยว่คิดเช่นนั้นในใจ
ทันใดนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมองซุนซิ่งฮวาด้วยใบหน้านิ่งสงบ
ในยามนี้เองซุนซิ่งฮวาก็เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่มานั่งอยู่บนพื้นธรณีประตูแล้ว
เดิมทีซุนซิ่งฮวาเป็นคนโมโหร้ายอยู่แล้ว
อีกทั้งในชนบทเล็กๆ ลูกสาวส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นสินค้าที่ขาดทุน
ดังนั้นแม้ว่าตนจะเป็นลูกแท้ๆ ใจลึกๆ ของซุนซิ่งฮวาก็ใช่ว่าจะรักลูกสาวคนนี้ของตนมากนัก
และยิ่งไปกว่านั้นลูกสาวผู้นี้ของนางยังเป็นคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้
ทั้งเกียจคร้านและตะกละตะกลามยิ่ง
“วันนี้เจ้าลุกขึ้นมาจากเตียงได้แล้ว
ไม่นอนแข็งทื่อเป็นศพอยู่บนเตียงอีกแล้วรึ?”
ซุนซิ่งฮวาตรงไปหาเสวี่ยเจียเยว่ด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ
และเดินผ่านนางไปโดยไม่หยุดฝีเท้าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
“ข้านึกว่าเจ้าจะยังนอนอยู่บนเตียง ทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่ ให้ข้าคอยปรนนิบัติรับใช้
ยกข้าวยกน้ำมาให้เจ้าทุกวันเสียอีก”
“ฮึ!”
เสวี่ยเจียเยว่แค่นเสียงเย็นชาออกจากจมูกเบาๆ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา
นางข้ามภพมาได้สองวันแล้ว ไข้ขึ้นสูงทั้งตัวยังร้อนดุจไฟเผา
เห็นซุนซิ่งฮวายกข้าวยกน้ำมาให้นางเมื่อไรกัน? แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่มี
หากเมื่อคืนนี้นางไม่ได้ยินซุนซิ่งฮวาบอกว่าตนคลานออกมาจากไส้กับหูตัวเอง
เสวี่ยเจียเยว่ยังนึกว่าตนเป็นเด็กที่ซุนซิ่งฮวาเก็บมาเลี้ยงจริงๆ เสียอีก
ไม่เคยพบเคยเห็นมารดาเช่นนี้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนบนโลกนี้สมควรจะเป็นพ่อแม่คน
บิดาของนางในชาติภพก่อนก็เป็นคนมีคุณธรรมเช่นนี้
“เจ้ายังจะนิ่งเป็นสากอยู่ตรงนั้นเพื่ออะไร?”
ซุนซิ่งฮวาในยามนี้ก็ตะโกนออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังไม่รีบมาช่วยงานอีก?”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น จึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ
แล้วหมุนกายเดินออกจากห้องไป
เรือนนี้จะตั้งอยู่ทางทิศเหนือและหันไปทางทิศใต้
ผนังทำจากดินสีเหลือง หลังคาที่ทำมาจากหญ้า พื้นบ้านจะสูงต่ำไม่ราบเรียบสลับกัน
บนพื้นดินส่วนใหญ่จะมีหลุมเล็กๆ อยู่จำนวนมาก
ด้านนอกตัวเรือนจะมีสวนขนาดย่อมซึ่งล้อมรอบด้วยอิฐที่ใหญ่เทอะทะ ภายในสวนจะปลูกต้นผีผา[1]
กับต้นท้ออย่างละต้น
ด้านขวามือยังมีเรือนที่มุงด้วยหญ้าคาอีกสองหลังซึ่งเตี้ยกว่าเรือนด้านหน้าเล็กน้อย
เพื่อแยกออกมาทำเล้าไก่และห้องเก็บฟืน แต่จากการสังเกตอย่างเงียบๆ ของเสวี่ยเจียเยว่ในสองวันที่ผ่านมา
พระเอกใช้เรือนเก็บฟืนเรือนนั้นเป็นที่ซุกหัวนอน
และที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันเป็นความต้องการของซุนซิ่งฮวา
ปล่อยให้พระเอกผู้ใจดำอำมหิต
ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ต้องแก้แค้นอาศัยอยู่ในห้องเก็บฟืน เฮ้อ
ซุนซิ่งฮวาผู้นี้มิใช่กำลังรนหาที่ตายอยู่หรอกหรือ?
เสวี่ยเจียเยว่กำลังเดินไปทางห้องครัวอย่างช้าๆ
เรือนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามห้องใหญ่ๆ ตรงกลางคือห้องโถง
ระหว่างห้องปีกซ้ายและห้องปีกขวามีกำแพงดินกั้นเอาไว้ตรงกลาง
ซุนซิ่งฮวากับบิดาของพระเอกอยู่ห้องครึ่งแรกทางด้านซ้ายมือ
ส่วนห้องครึ่งหลังก็ใช้วางสิ่งของต่างๆ อย่างเช่นตู้หรือหีบ ห้องครึ่งแรกทางด้านขวามือก็จะใช้วางสิ่งของเบ็ดเตล็ดต่างๆ
และในขณะเดียวกันด้านในนั้นก็วางเตียงไม้ที่เรียบง่ายเอาไว้อีกหนึ่งหลังด้วย
ห้องนี้ก็คือห้องของเสวี่ยเจียเยว่ ส่วนห้องครึ่งหลังก็จะใช้ทำเป็นห้องครัว
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาในห้องครัวแล้ว
ก็เห็นซุนซิ่งฮวาที่กำลังทำโจ๊กข้าวฟ่างอยู่
ข้าวฟ่างนี้ถูกแช่เอาไว้ในน้ำตั้งแต่เมื่อคืน
ตอนนี้ก็ซาวพวกมันขึ้นมา
และนำน้ำสะอาดมาล้างครู่หนึ่งก่อนจะใส่ลงไปในหม้อพร้อมกับเติมน้ำเข้าไป
และปิดฝาหม้อลง จากนั้นก็เริ่มยัดฟืนเข้าไปภายในเตา
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาแล้ว
ซุนซิ่งฮวาก็ยื่นมือออกไปชี้ผักขึ้นฉ่ายกองใหญ่ที่วางอยู่บนแท่นเตา
พร้อมกับสั่งนางว่า “เอาไปล้าง”
เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรมาก
เข้าไปหยิบขึ้นฉ่าย แล้ววางถังน้ำไว้ข้างๆ จากนั้นก็นั่งลงเริ่มล้างขึ้นฉ่ายทันที
เมื่อล้างเสร็จแล้ว นางก็นำขึ้นฉ่ายไปวางเอาไว้บนแท่นเตาอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าซุนซิ่งฮวากำลังจับจ้องมาที่นาง
ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายราวกับดวงตาของนกฮูกในยามค่ำคืนเมื่อถูกแสงไฟส่องกระทบ
ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกไม่สบายใจยิ่ง
“ล้มป่วยครั้งนี้ถึงกับทำให้เจ้าเป็นใบ้เชียวหรือ
หรือว่าเป็นไข้จนทำให้สมองเจ้าทึ่มไปแล้ว?”
ซุนซิ่งฮวาเอาเหล็กคีบถ่านไฟในมือเคาะเข้าไปภายในเตา แค่นเสียง ‘ฮึ!’ เย็นชาออกมาพร้อมกับพูดว่า
“ตั้งแต่ข้ากลับมาจนถึงตอนนี้แม้แต่ผายลมข้าก็ยังไม่เห็นเจ้าทำ”
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงทำหน้านิ่งต่อ
และไม่พูดไม่จาเช่นเคย
นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าของร่างเดิมเลยแม้แต่น้อย
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นคนอย่างไร
ทั้งในยามปกตินางปฏิบัติตัวอย่างไรกับซุนซิ่งฮวา
ด้วยความคิดที่ว่ายิ่งพูดก็จะยิ่งผิดพลาดไปกันใหญ่
นางจึงยอมทำตัวเป็นคนใบ้ไปก่อนชั่วคราว ถูกคนอื่นคิดว่าไร้สติ
ยังดีกว่าการที่คนอื่นเห็นว่าจู่ๆ นางก็นิสัยเปลี่ยนไปขนานใหญ่
หรือถูกผู้คนคิดว่านางถูกผีสิงไปเลยยิ่งดี
ตามที่ซุนซิ่งฮวามีท่าทีเย็นชาต่อนาง
คาดการณ์เอาไว้ได้เลยว่าถ้าหากคนอื่นบอกว่านางถูกผีเข้าและต้องฆ่านางให้ตาย
ซุนซิ่งฮวาจะต้องตอบอย่างไม่มีการลังเลแน่นอน
ซุนซิ่งฮวาก็ใช่ว่าจะห่วงใยนางอย่างแท้จริง
เป็นใบ้หรือไร้สติก็ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับนาง ขอเพียงทำงานต่อไปได้ก็พอ
ดังนั้นเมื่อกล่าวประโยคนี้จบ ซุนซิ่งฮวาจึงโยนเหล็กคีบถ่านในมือทิ้งไป
ก่อนจะเรียกนาง “มาก่อไฟ”
ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นไปเปิดตู้กับข้าวก่อนจะหยิบหมั่นโถวธัญพืชออกมาจากตู้หลายลูกแล้วใส่ลงไปในหม้ออีกใบ
จากนั้นก็หยิบมีดหั่นผักกับเขียงมาหั่นขึ้นฉ่ายที่เสวี่ยเจียเยว่ล้างทำความสะอาดแล้วเมื่อครู่นี้
ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ที่กำลังหักไม้ไผ่ใส่เตาอยู่บนเก้าอี้
เรียนรู้ท่าทางการคีบฟางยัดเข้าไปภายในเตาของซุนซิ่งฮวาเมื่อครู่นี้
แต่ก็ยังไม่วายถูกซุนซิ่งฮวาก่นด่าเช่นเดิม
“เจ้าอยากตายหรือไง? แม้แต่ก่อไฟก็ทำไม่เป็นงั้นหรือ?”
ความจริงแล้วเรื่องนี้เสวี่ยเจียเยว่ทำไม่เป็นจริงๆ
ทั้งที่เมื่อครู่นี้ตอนที่นางดูซุนซิ่งฮวาทำก็ออกจะเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดาย
เพียงใช้เหล็กคีบถ่านมาคีบฟางแล้วยัดเข้าไปในเตาก็พอแล้ว
แต่เมื่อนางยัดเข้าไปแล้วกลับไม่มีเปลวไฟ ที่ออกมามีแต่ควันล้วนๆ ทั่วทั้งห้องครัวในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยกลุ่มควันสีดำแล้ว
คนที่ฉุนจนแสบจมูกจึงไอออกมาอย่างอดไม่ได้
ซุนซิ่งฮวาโยนขึ้นฉ่ายในมือทิ้งทันที
รีบวิ่งกระวีกระวาดเข้ามาพร้อมกับก่นด่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่หยุดหย่อน
จากนั้นก็เข้ามาดึงเหล็กคีบถ่านในมือของเสวี่ยเจียเยว่ไปทันที
นางยื่นมือเข้าไปในเตาก่อนจะขุดหลุมนำเถ้าของฟางที่อยู่ด้านในออกมา
จากนั้นนางก็ทิ้งเหล็กคีบถ่านทิ้งไปทันที พร้อมกับด่าเสวี่ยเจียเยว่
“การก่อไฟไม่ได้ทำเช่นนี้ จะต้องขุดหลุมเอาไว้ด้านใน นี่เจ้าลืมหมดเลยงั้นหรือ?”
จากนั้นก็ตบไปที่ศีรษะของนางอีกหนึ่งทีพร้อมดุด่าอีกว่า
“ข้าว่าที่เจ้าป่วยครั้งนี้มันทำให้เจ้าไร้สติเสียแล้ว
แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ล้วนลืมมันไปหมดสิ้น”
คนที่เคยชินกับชีวิตการทำนา
น้ำหนักการลงมือมีหรือจะเบา? เสวี่ยเจียเยว่ที่ถูกฝ่ามือของซุนซิ่งฮวาตบอย่างกะทันหันจนหัวเอียงไปอีกด้านหนึ่งกลับไม่ปริปากพูดสิ่งใดออกมาสักคำ
ตอนนี้นางสามารถเอ่ยสิ่งใดออกไปได้บ้าง?
ลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำกับซุนซิ่งฮวาอย่างนั้นหรือ?
การคาดเดาของนางในยามนี้คือเจ้าของร่างเดิมก็เพิ่งจะอายุเจ็ดขวบแปดขวบ
เพราะรูปร่างที่ดูเหมือนกับเด็ก ทั้งยังซูบผอมจากการขาดสารอาหาร
หากจะต้องต่อปากต่อคำกับซุนซิ่งฮวาจริงๆ ดีไม่ดีอาจจะถูกนางทุบตีเอาได้
ดังนั้นก็ช่างเถอะ ยังต้องอดทนเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว
โชคดีที่โจ๊กในหม้อตอนนี้เริ่มเดือดแล้ว
ซุนซิ่งฮวาจึงไม่สนใจนางอีก จากนั้นก็รีบวิ่งไปเปิดฝาหม้อออกก่อนจะหยิบไม้พายขึ้นมาคนให้เข้ากัน
ต่อจากนั้นก็หยิบหม้อขนาดใหญ่มากใบหนึ่งออกมาจากตู้ถ้วยชาม
แล้วตักโจ๊กทั้งหมดใส่หม้อใบนั้นพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดชามเช็ดรอบๆ หม้อก่อนจะหยดน้ำมันคาโนลาลงไปสองหยด
หลังจากนั้นก็ใส่ขึ้นฉ่ายลงไปผัดต่อ
เมื่อขึ้นฉ่ายในหม้อสุกได้ที่แล้ว
หมั่นโถวธัญพืชอีกหม้อหนึ่งก็ร้อนพอดี
ซุนซิ่งฮวาจึงนำตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งขึ้นมาก่อนจะนำหมั่นโถวและผักขึ้นฉ่ายวางลงไปในตะกร้าไม้ไผ่
และนำหม้อผิวหยาบกับตะเกียบอีกหลายคู่ใส่ตามเข้าไป
จากนั้นก็ใช้ผ้าหยาบสีขาวปิดตะกร้าเอาไว้ก่อนจะเรียกเสวี่ยเจียเยว่ “มาถือตะกร้าแล้วไปนากับข้า”
สิ้นเดือนมีนาต้นเดือนเมษาคือฤดูที่ครอบครัวเกษตรกรกำลังยุ่งกับการทำนา
การปลูกแตงปลูกถั่ว ดำนาหว่านกล้าคืองานกองหนึ่งที่ต้องทำ
จะเอาเวลาไหนมาพักผ่อนกัน? ดังนั้นซุนซิ่งฮวาจึงกลับมาทำกับข้าวโดยเฉพาะ
เมื่อทำเสร็จแล้วก็ต้องส่งข้าวให้แก่สามีตนที่กำลังดำกล้าอยู่ในทุ่ง
ทำเช่นนี้จะเป็นการประหยัดเวลาลงไปมาก
และแน่นอนว่าในทุ่งนาไม่ได้มีเพียงสามีของซุนซิ่งฮวาคนเดียว
ยังมีพระเอกในตำนานของเรื่องนี้ด้วย
เสวี่ยเจียเยว่เดินตามหลังซุนซิ่งฮวาพร้อมกับถือตะกร้าไม้ไผ่
มองดูนางกำลังคล้องโซ่ปิดประตู จากนั้นทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปที่ทุ่งนา
#ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
อัปเดตตอนใหม่
วันเว้นวัน เวลา 15.00 น.
ติดตามข่าวสาร
ความคิดเห็น