ตอนที่ 9 : ตอนที่ 9 หัวลูกศร(รีไรท์ 2)(แก้ไขเล็กน้อย)
ข้าไม่อาจสงบใจตนได้ แม้เวลานี้จะกลับมานั่งคุกเข่าข้างหนึ่ง ก้มหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทรงงานตัวใหญ่อีกครั้ง
ความจริงที่รับรู้เรื่องมีดสั้นข้างเอวซึ่งกลายเป็นสิ่งที่บางคนในปราสาทเอามาลือจนเข้าหูเจ้าหญิงน้อย ทำให้ข้าทั้งเชื่อ และไม่เชื่อ พร้อมความกังวล สับสน ไม่เข้าใจ และเหนื่ออื่นใดคือ หวั่นเกรง
เพราะเจ้ามีดสั้นที่ข้าพกติดตัวมานับร้อยปีมันมีความหมายที่ลึกซึ้ง และวุ่นวายกว่าที่ข้าคิดไว้มาก
ซึ่งผู้ตกเป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ่ของเรื่องเมื่อเช้าก็กำลังประทับอยู่เบื้องหน้าข้า ไม่ได้สนใจหรือแยแสถึงปัญหาที่กำลังกวนใจข้าอยู่ และข้าก็ยังไม่กล้าจะเอ่ยถามแม้รับรู้ถึงความตึงแน่นบนหว่างคิ้วตน ขณะก็ไม่วายที่จะลอบปรายตากลัดกลุ้มขึ้นมองวรองค์สูงแกร่งเป็นระยะ
“อยากถามอะไร”
คงเป็นอีกครั้งที่พระองค์จับความผิดปกติของข้าได้ แม้ไม่ได้เงยขึ้นมอง และถึงข้าจะไม่กล้าเปิดประเด็น หากก็นับว่าโชคดีที่ราชาเลจินอฟกระตุ้นให้ข้าตัดสินใจได้เด็ดขาดว่าควรทำอย่างไรกับความวุ่นวายในใจตนตอนนี้
“หม่อมฉัน... ถามเรื่องมีดสั้นได้ไหมฝ่าบาท” ข้าก้มหน้าถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก พร้อมรู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้องกับคำถามของตน และคำตอบที่จะได้รับ
ในห้องทรงงานเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนสุรเสียงทุ้มลึกที่ชวนพิศวงเสมอจะรำพึงขึ้น
“อา...” ราชาเลจินอฟรากเสียงยาวเนิบช้า ฟังใจเย็นจนแทบไม่แยแส ผิดกับอารมณ์ข้าตอนนี้ลิบลับ ขณะหันมาถามข้าด้วยน้ำคำชินชาแต่แอบแฝงรอยหยัน “ถูกอาละวาดใส่มาสินะ”
ไม่รู้ว่าทรงเดาได้เอง หรือมีหน่วยข่าวตนไหนมาทูลให้ฟังกันแน่ ทั้งที่เรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้
“อยากรู้ใช่ไหมว่าจริงรึเปล่า... ข่าวลือนั่น”
ข้าเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เมื่อราชาเลจินอฟหยั่งเชิงเนิบนาบมาด้วยบรรยากาศของปริศนาพร้อมกลิ่นกุหลาบจางๆ ในอากาศก่อนข้าจะได้ตอบ ซ้ำพระองค์ยังเอ่ยเน้นย้ำด้วยประโยคที่ทำให้ตัวข้าชาเหมือนถูกน้ำเย็นจัดสาดใส่ว่า “อยากรู้ว่าเจ้าเป็น ‘คู่หมั่น’ ของข้าจริงรึเปล่าสินะ”
ใช่... สิ่งที่ทำให้ข้าแทบอยู่นิ่งไม่ได้ พร้อมมีคำถามมากมายในหัว คือมีบางคนบอกวอร์เรนว่ามีดสั้นของจอมมารที่ให้ข้าไว้คือของหมั้นหมาย ถึงข้าจะไม่รู้ว่าบางคนที่ว่านั่นเป็นใคร แต่รู้แล้วว่านั่นคงเป็นหนึ่งในสาเหตุให้ท่านเคออสไล่ต้อนถึงเหตุผลที่ข้าได้รับมีดสั้นมา ซ้ำดูไม่เชื่อว่าราชาเลจินอฟจะประทานให้ข้าจริงๆ
และแม้ข้าจะไม่เข้าใจเรื่องของหญิงชายมากนัก แต่คิดว่ามันคงทำให้วอร์เรนกังวลกับความหมายของมีดสั้นนี้ไม่น้อยเลย
“เพคะ” ข้ารับคำไปด้วยใจที่ยังเต้นไม่สม่ำเสมอ หากราชาเลจินอฟกลับสวนคำถามกลับมารวดเร็วว่า
“ข้าดูเหมือนไม่มีตัวเลือก จนต้องเลือกมังกรลูกผสม หน้าตาไม่น่าดูมาเป็นคู่หมั่นเลยรึไง”
คำถามพร้อมคำปรามาสตามนิสัยของพระองค์ทำให้ข้าเสียววูบในอก แต่ก็หยุดการเต้นถี่ของหัวใจให้สงบลงมาได้ ก่อนข้าจะตอบกลับไป
“ไม่เพคะ”
“งั้นก็แสดงว่าข่าวลือไม่จริง... แค่นั้น”
ข้าเป่าปากออกมานิดทันที รู้สึกโล่งอกขึ้นหน่อย อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็มีคำยืนยันจากปากพระองค์โดยตรงว่าไม่ได้มีเรื่องยุ่งยากกับมีดสั้นที่ข้างเอวข้าตามข่าวลือนั่น
กระนั้นข้าก็ต้องดึงมีดที่รักษาอย่างดีมาตลอดร้อยกว่าปีออกมา กำแน่นและรู้สึกหวิวโหว่งในช่องท้องยามมองมันเมื่อตัดสินใจบางอย่าง ข้ากลืนน้ำลายในคอที่ฝืดเคืองครั้งสุดท้าย ก่อนยกมันเทินขึ้นเหนือหัว และทูลออกไปอย่างเด็ดขาดแม้จะทำให้เหมือนตนกำลังสูญเสียแขนขาสักข้างไป ทว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
“ถ้างั้น... หม่อมฉันขอถวายคืนเพคะ”
“เจ้าว่าไงนะ”
เสียงเฉียบเย็นตวัดห้วนมาทันใดจนใจข้าร่วงวูบ ก่อนรับรู้ถึงโทสะของวรองค์แกร่งเบื้องหน้าได้เกือบจะทันทีเช่นกัน
และครั้งนี้มันไม่ใช่แค่การแดกดัน หรือหงุดหงิดเล็กๆ แบบที่ผ่านมา หากแต่เป็นความโกรธที่หนาวจับใจ และเป็นความหนาวเยือกจริงๆ ที่ทำให้อุณหภูมิในห้องทรงงานโอ่อ่าลดต่ำลงอย่างรวดเร็วจนขนอ่อนข้าลุกชัน ก่อนที่จะทันสังเกตว่าลมหายใจของตนที่พ่นออกมากลายเป็นควันสีขาวจางๆ ราวอยู่กลางภูเขาหิมะ พร้อมตวัดตาขึ้นพบว่าบนหน้าต่างกระจกในห้องทุกบานขึ้นไอหนาช้าๆ จนกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ขณะพื้นหินอ่อนเหมือนกลายเป็นลานน้ำแข็งเย็นๆ
วินาทีนั้นข้าเพิ่งว่าตนพูดสิ่งไม่สมควรที่สุดออกไปแล้ว แต่ก็จำต้องกล่าวต่อ
“หม่อมฉันไม่สามารถเก็บมันไว้ได้จริงๆ เพคะ”
“ข้าบอกแล้วว่ามันไม่มีความหมาย...”
“หม่อมฉันไม่สามารถเก็บอาวุธที่สามารถจะฆ่าฝ่าบาทไว้กับตัวได้จริงๆ เพคะ”
สิ้นคำนั้นในห้องทรงงานตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากราชาเลจินอฟจนภายในห้องทรงงานเย็นเฉียบเหมือนอยู่กลางพายุหิมะพลันหยุดชะงัก และไม่นานไอเย็นที่เคยเกาะหน้าต่างกระจกก็ค่อยๆ จางไป พร้อมอุณหภูมิรอบตัวข้าที่ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ก่อนสุรเสียงทุ้มลึกที่ความน่าขนลุกดูเบาลงไปมากจะถามขึ้นใหม่
“ใครบอกเจ้า” พระองค์ทรงหรี่ดวงเนตรครุ่นคิด และงึมงำหาคำตอบให้ตนเองโดยไม่รอข้าว่า “เคออส”
ข้ายิ่งต้องก้มหน้าลงกว่าเดิม โดยยังยกมีดสั้นเหนือศีรษะตนหวังให้พระองค์รับมันคืนไปเช่นเดิม เมื่อนอกจากได้รู้ข่าวลื่อเรื่องมีดสั้นลายเถากุหลาบว่ามันเป็นของหมั้นหมายของจอมมารแล้ว ข้ายังได้รู้ความจริงที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่า และหวาดหวั่นมากกว่าของมันด้วย...
‘มันเคยมีข่าวลือในอดีตว่าการที่จอมมารมอบของมีค่าส่วนพระองค์ให้กับหญิงสาวคนไหน นั้นหมายถึงการหมั้นหมาย เพราะมีอดดีตจอมมารบางรุ่นทำแบบนั้น ดังนั้นก็ไม่แปลกที่จะมีบางคนตีความว่ามีดสั้นที่เจ้าได้รับมาจากจอมมารก็เป็นแบบนั้นด้วย... ปัญหาคือใครเป็นคนเอาเรื่องนี้มาพูดมากกว่า’ นั่นคือคำอธิบายแรกที่มาพร้อมน้ำเสียงขุ่นเคืองในเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับมีดสั้นลายเถากุหลาบจากท่านเคออส ซึ่งยังติดแน่นในสมองข้าตั้งแต่เมื่อเช้านี้
‘... ข้าไม่ทราบค่ะ และวอร์เรน… ก็ยังไม่ได้บอกว่าใครบอกนาง...’ ข้าตอบผู้บัญชาการทหารตรงหน้าได้เพียงเท่านั้น เมื่อนึกย้อนถึงร่างเล็กๆ ของวอร์เรนที่นั่งร้องไห้โหเหมือนเด็กเล็กๆ ก่อนจะรีบตั้งคำถามต่อ ‘งั้นมีดสั้นนั่นก็ไม่ได้มีความหมายตามที่มีใครบางคนบอกวอร์เรนใช่ไหมคะ... เป็นของหมั้น?’
ข้าเกือบโล่งใจตอนที่รอคำตอบ แต่แค่ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเมื่อเสียงแข็งกระด้างตอบชัดว่า
‘ข้าไม่รู้’ ท่านเคออสถอนหายใจหนักหลังจบคำ แล้วว่าต่อ ‘ไม่มีใครอ่านความคิดจอมมารแต่ละรุ่นออกหรอก'
งั้นก็ชัดเจนว่าข้าต้องไปหาคำตอบจากเจ้าของมีดเองสินะ...
‘แต่กระนั้นก็ถอะ ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วใช่ไหมว่า จอมมารไม่มีวันประทานของส่วนพระองค์ให้ใคร นี่มันไม่ใช่แค่ของประดับ หรือของแสดงฐานะ หรืออาวุธป้องกันตัว มันมีความหมายที่หนักหนากว่านั้นมาก ในหลายๆ ด้านเลยด้วยซ้ำ... เจ้าจำได้ใช่ไหม’ คำถามของท่านเคออสส่งมาอย่างเข้มข้นใหม่ และมันฉุดข้าออกจากความตั้งใจในหัวให้กลับมาที่ทางเดินในปราสาทอีกครั้ง และพยักหน้าตอบ
‘ค่ะ’
‘แล้วรู้ไหมว่าทำไม’’
‘เพราะมันเป็นสิ่งของสำคัญที่สุดสำหรับพระองค์’ ข้าตอบไปตามความเข้าใจ
‘เปล่า’ ท่านเคออสปฏิเสธชัด และย้ำเน้นหนักว่า ‘แต่เพราะมันเป็นสิ่งที่ฆ่าจอมมารได้’
‘ฆ่า?!’ ข้าต้องมุ่นหัวคิ้วตนอย่างฉงนผสมตระหนกในสิ่งที่ได้ยิน
‘จอมมารเป็นเผ่าพันธ์ที่ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ยักษ์’ ที่มีความหมายว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด เกือบเรียกได้ว่าพระองค์แทบเป็นอมตะ ไม่มีอาวุธอะไรทำลายยักษ์ได้ ฟันแทงไม่เข้า หรือต่อใช้ธาตุศักดิ์สิทธิ์อย่างมากก็แค่ทำให้เกิดรอยบาด แต่แผลก็จะสมานและหายทันที มีแค่คาถาอาคมหรือเวทมนต์ชั้นสูงระดับจอมเวทย์เท่านั้นที่พอจะทำให้จอมมารบาดเจ็บได้ แต่ก็ไม่ตายอยู่ดี... ไม่เคยมีจอมมารคนไหนตายเพราะถูกสังหารมาก่อน ส่วนใหญ่คือสละวิญญาณตนเองเมื่อถึงเวลาหนึ่งเท่านั้น จะเรียกว่าตายยังไม่ได้ด้วยซ้ำ’
สิ่งที่ได้ยินทำให้ข้านึกถึงเรื่องที่ตนสู้กับพระองค์ที่หอคอย และไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแม้ถูกข้าต่อย ทำร้าย หรือพ่นไฟใส่ พระองค์ก็แทบไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ และหัวใจข้าคล้ายจะเต้นเร็วขึ้นเมื่อเสียงห้าวแข็งกระด้างเล่าต่อ
‘แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีอะไรในโลกเป็นอมตะ แม้แต่ยักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อมีเกิดย่อมมีตาย มีเมื่อจุดแข็ง ย่อมมีจุดอ่อน... เพราะแบบนั้นจึงมีของที่ยังสามารถฆ่าจอมมารได้อยู่ และของที่ว่าก็ติดตัวพระองค์เสมอ และถูกสืบทอดให้รุ่นต่อรุ่นมาตลอด นั่นคือดาบข้างบั้นพระเอว... และมีดสั้นลายเถากุหลาบที่เจ้าเก็บไว้’
‘ข้า...’ ข้ารำพึงได้แค่นั้นแล้วต้องเลือนมือขึ้นสัมผัสอาวุธที่ว่าข้างเอวตนด้วยมือที่เย็นเฉียบทันที
‘ไม่มีใครรู้ว่ามันสร้างจากอะไร แต่มีบางคนรู้ดีว่ามันล้างเผ่าพันธุ์ของยักษ์ได้แน่นอน เพราะแบบนั้นรอยบาดที่คอของราชาเลจินอฟที่เจ้าทำไว้มันถึงหายช้า... มันไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่อยากรักษาตัวเอง แต่พระองค์ไม่อาจรักษามันได้... เจ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองเก็บของอันตรายขนาดไหนไว้กับตัว’
ข้ารับรู้ถึงมือของตนที่กำด้ามโลหะแน่นขึ้น ขณะท่านเคออสก็ก้มมามองข้าด้วยนัยน์ตาสีทองวาวเคร่งเครียด พร้อมถามด้วยน้ำคำกดลึก
‘ที่นี้เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าเคยบอกว่าให้คืนมันไปตั้งแต่แรกรึยัง แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าเหมาะสมกับมันไหม’
เป็นหลายวินาทีที่ข้าจ้องนิ่งยังนัยน์ตาดุดัน ก่อนเป็นฝ่ายก้มหน้าหนีสายตาจริงจังนั่น และจำใจตอบแผ่ว
‘... ไม่ค่ะ’
‘งั้นก็เอามันไปคืนซะ มันเป็นของที่หนักเกินมือเจ้า’
นั่นคือคำสั่งเฉียบขาดจากท่านเคออส ก่อนร่างใหญ่โตนั่นจะหมุนตัวออกไป ใช้แผ่นหลังกว้างเป็นการย้ำคำสั่งของตน
และเหมือนกับว่าที่ท่านเคออสมาหาข้าถึงตำหนึกทิวาก็เพื่อพูดคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะ ดูเหมือนแม่ทัพใหญ่จะหาโอกาสหลายครั้งแล้ว แต่เพิ่งมีวันนี้ที่เขาว่างมากพอมาเจอข้าในเวลาที่ไม่มีราชาเลจินอฟอยู่
ข้ายังคงคุกเข่านิ่ง ยกมีดสั้นเหนือหัว เมื่อราชาเลจินอฟเข้าใจแล้วว่าทำไมข้าถึงต้องถวายมันคืนพระองค์
ตอนสู้กันที่หอคอยข้าเกือบใช้มีดนี้ปาดคอพระองค์ เพียงนิดเดียวความเป็นความตายของราชาเลจินอฟอยู่ในมือข้า หากเพียงข้าไม่หยุดมืออะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ข้ายังไม่กล้าคิด แค่แผลบนคอพระองค์ที่ยังไม่หายสนิททั้งที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์ก็ทำให้ข้ากลัวเกินกว่าจะเก็บมันไว้แล้ว... ถูกของท่านเคออส มันเป็นอะไรที่หนักเกินกว่าที่ข้าจะถือไหว...
“แล้วยังไง”
ข้าต้องสะอึกนิ่งไปนิด เมื่อองค์ราชากลับหยั่งเชิงมาอย่างไม่ใส่ใจปัญหานี้นัก
“มันอันตรายเกินไปที่หม่อมฉันจะถือเพคะ”
“เจ้าหวังจะสังหารข้าอยู่งั้นเหรอ”
ครั้งนี้ข้าต้องรีบสั่นศีรษะทันที พร้อมทูลตอบอย่างตระหนกกับคำถาม “มะ... ไม่ใช่ ไม่มีทางเพคะ”
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องคืน” สิ่งที่ถูกถามทำให้ข้าต้องนิ่งงันไปอีก ก้มหน้ามองพื้นอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ ก่อนค่อยๆ หาข้ออ้างอื่นอย่างลังเล
“... ถ้า... ถ้ามีคนอื่น... ได้มัน...”
“เจ้าจะยอมให้ของที่ข้าให้ ถูกคนอื่นขโมยไปง่ายๆ งั้นรึ” ราชาเลจินอฟแทรกถามกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่คิดรอให้ข้าจบข้ออ้าง จนข้าต้องปฏิเสธชัดเจน
“ไม่เพคะ”
“งั้นก็หมดเหตุผลที่ข้าจะต้องรับมันคืน” พระองค์ตัดสิน และทุกอย่างในห้องทรงงานก็เงียบไป เหมือนราชาเลจินอฟใช้ความเงียบนั่นเป็นคำสั่งให้ข้าเก็บมีดสั้นในมือนั้นลงข้างเอวตนซะ
ข้าจำต้องลอบระบายลมหายใจ รู้สึกว่าครั้งนี้มีดเล่มเล็กที่พกติดตัวมาตลอดร้อยปีหนักกว่าครั้งไหนๆ ทว่าก็ค่อยๆ เก็บมันลงข้างเอวที่เดิม เมื่อไร้ข้ออ้างจะคืนมันให้เจ้าของเก่า...
“เจ้าจำไม่ได้ว่าทำไมถึงได้มีดนั่น”
ข้าหยุดนิ่งไปครู่ทันทีกับคำเปรยจากเสียงทุ้มลึกที่แทรกความเงียบขึ้นอย่างกะทันหัน ประเด็นเรื่องมีดสั้นที่คิดว่าราชาเลจินอฟคงไม่สนใจแล้วกลับยังถูกยกมาพูดต่อ และข้าไม่แน่ใจว่าพระองค์ต้องการให้ข้าตอบหรือนั่นเป็นแค่การพูดลอยๆ ของพระองค์เองเท่านั้น
“เรื่องเมื่อร้อยปีก่อน เจ้าจำไม่ได้... ใช่ไหม” ข้ายังไม่ทันตัดสินใจว่าจะตอบดีหรือไม่ผู้เป็นจอมมารก็กล่าวราบเรียบอีกครั้ง และครั้งนี้ข้ามั่นใจว่าเป็นคำถามแน่นอน
ข้าต้องพยายามคิดถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องเมื่อร้อยปีที่แล้ว ในวันที่คิดว่าได้มีดสั้นเล่มนี้มา และความทรงจำรางๆ ทำให้ข้าเห็นแค่ม่านดำที่ปักด้วยดิ้นทองเรียบหรู น้ำเสียงองค์ราชาที่ไม่ได้หนาวเย็นแบบนี้ แต่นอกนั้น...
“... ไม่ได้... เพคะ” น่าแปลกที่ข้าตอบได้ไม่เต็มน้ำเสียงนัก เมื่อความรู้สึกผิดมันแผ่ซ่านขึ้นมาเสียเฉยๆ
และข้ารับรู้ว่าภายในห้องทรงงานเหมือนกลับมาอยู่ในหลุมดำอีกครั้ง และชั่ววินาทีหนึ่งราวถูกปลกคลุมด้วยเมฆหมอกที่ชวนให้อึดอัดใจอย่างแปลกประหลาด ซ้ำดวงเนตรสีอ่อนคู่คมที่หรี่มองมายังดูว่างเปล่าจนน่าใจหาย แต่อึดใจต่อมาทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ เมื่อจอมมารเอ่ยออกมาในที่สุดว่า
“ข้าไม่ได้ให้มีดสั้นเจ้า” สุรเสียงนั้นฟังเย็นชา “ข้าให้พ่อเจ้าในฐานะคนสนิทที่เชื่อใจที่สุด แต่อย่างที่รู้ว่าบลูไฟเออร์เป็นยังไง... เขาไม่รับมัน เพราะไม่คิดทำงานรับใช้ข้าไปตลอด... ไม่ก็อาจรู้ว่าตัวเองจะตาย”
ถ้อยประโยคช่วงท้ายของพระองค์ฟังแผ่วลงนิด แต่ข้าสัมผัสไม่ได้ว่าพระองค์กำลังรู้สึกเช่นไรที่กล่าวถึงอดีตแม่ทัพของตน จะว่าเศร้าก็ไม่ใช่ หรือจะว่าเป็นท่าทางของการหวนนึกถึงอดีตก็ไม่เชิง แต่แน่นอนว่ามันมีความหมายบางอย่าง
ข้าได้ยินมาว่าราชาเลจินอฟมีท่านเคออสเป็นแมทัพคนสำคัญแทนพ่อข้าก็จริง แต่ตำแหน่งองค์รักษ์ประจำพระองค์กลับถูกปล่อยว่างไว้ตั้งแต่พ่อข้าตาย
ใช่... พ่อข้าเป็นทั้งแม่ทัพ และองค์รักษ์ประจำพระองค์ของราชาเลจินอฟ และตลอดหนึ่งร้อยปีมานี้ ตำแหน่งองค์รักษ์ประจำพระองค์ก็ยังไม่มีใครถูกแต่งตั้งขึ้นมาแทนที่เลย ซึ่งนั่นเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระองค์เชื่อใจพ่อข้าแค่ไหน...
“แต่ข้าไม่อยากได้คืน ในเมื่อให้ไปแล้ว ข้าเลยให้เจ้าไว้แทน” ราชาเลจินอฟสรุปเรื่องราวง่ายๆ ราวมันไม่สำคัญ
แต่นั่นทำให้ข้าเผลอใช้มือลูบวนที่มีดสั้นของตนเมื่อฟังจบ ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกันแน่กับสิ่งที่ได้ยิน ระหว่างโล่งใจกับผิดหวัง
คงเพราะจำมาเสมอว่ามีดสั้นนี้เป็นของที่ประทานให้ข้าด้วยความตั้งใจ หากเมื่อความจริงมันไม่ใช่ เลยทำให้รู้สึกตนไม่เหมาะสมกับมันขึ้นมา กระนั้นถ้าคิดเสียว่ายังเป็นของที่ตั้งใจให้ใครสักคนอยู่ แม้จะไม่ใช่ตัวข้า มันก็คือสิ่งที่ดี และเวลานี้แม้มันจะไม่ใช่ของข้าจริงๆ ทว่ามันก็เป็นเหมือนเครื่องรางที่ข้าขาดไม่ได้ไปแล้ว... แม้จะเป็นเครื่องรางที่มีความหมายหนักมากเกินกำลังข้าก็ตาม
“เพคะ” ข้ากลับมาก้มหน้า และรับคำอย่างสงบนิ่งกว่าเดิม
แต่ไม่นานหลังข้าก้มหัวรับคำ ขนอ่อนหลังคอข้ากลับต้องลุกขึ้นนิดๆ เมื่อรับรู้ถึงสายพระเนตรที่จ้องเขม็งมา ซ้ำครั้งนี้เพ่งเล็งด้วยสายตาที่บาดลึกไม่ต่างจากใบมีดจนข้าต้องถามตัวเองทันทีว่าตนเองตอบอะไรผิดไปรึเปล่า ขณะพยายามทวนว่าตนตกหล่นคำไหนไปบ้างตอนเอ่ยรับคำพระองค์ หรือข้าเอ่ยรับคำสั้นไป การเอ่ยรับอย่างเป็นทางการต้องมีคำราชาศัพท์เฉพาะที่ยาวกว่านี้ไหม
แต่ก่อนที่ข้าจะได้เอ่ยถามหรือแก้คำตน มหาดเล็กตนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาก้มศีรษะทูลราชาเลจินอฟว่า
“แม่ทัพเครอส เมสเซอร์ขอเข้าเฝ้าพะย่ะคะ”
องค์ราชารับสั้งอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้ ก่อนไม่นานนักร่างสูงใหญ่เหมือนกำแพงมีขีวิตจะก้าวเข้ามาอย่างมั่นคง เขาก้มศีรษะเคารพจอมมาร ดูกระด้างไปนิด แต่ก็สมเป็นทหารเต็มขั้น
และท่านเคออสทำให้ข้าต้องรู้สึกหวั่นเกรงและรู้สึกผิดเมื่อนัยน์ตาสีทองนั่นปรายมองมายังมีดสั้นที่ยังอยู่ข้างเอวข้า และหันมามองหน้าข้าด้วยความสงสัยว่าทำไมข้าถึงยังมีมันอยู่ ก่อนวินาทีต่อมาเขาจะหันกลับไปหาราชาเลจินอฟและทูลเสียงห้าวแข็งตามนิสัยด้วยท่าทางจริงจัง
“กองทัพโทรลล์เคลื่อนทัพมาประชิดที่ชายป่าของป่าดำแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ข้าลอบมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยทันทีกับข่าวที่ได้ยิน ในขณะจอมมารกลับเพียงเอนหลังกับผนักเก้าอี้สูงใหญ่ที่คลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ดูสบายๆ กับเรื่องของกองทัพที่จะเข้ามาโจมตีเทเนบริส
“ครบรอบทุกๆ สามสิบปี หรือร้อยปี ก็แบบนี้ทุกครั้ง เผ่าโทรลล์จากตะวันออกยกทัพมาชิงบัลลังค์ข้า เพราะเชื่อว่าบัลลังค์ของ ‘ยักษ์’ ก็ต้องเป็นของพวกตัวใหญ่น่าโง่ ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่ายักษ์แบบพวกมัน” พระองค์กล่าวเหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ ขณะงึมงำขึ้นแผ่วเบาทิ้งท้ายเล็กน้อยว่า ‘ทั้งที่ ‘ยักษ์’ ไม่ได้มีความหมายแบบนั้นแท้ๆ’
แต่ความจริงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก เพราะแม้ภูตและปีศาจเกือบทุกตนจะอยู่ใต้อำนาจจอมมาร สวามิภักดิ์หรือเป็นพันธมิตร และอาศัยร่วมกันในเทเนบริส แค่แบ่งการปกครอง และพื้นที่กันเองตามเผ่าพันธ์ตน หรือบางตนเข้ามาถวายงานในปราสาทรับใช้จอมมารโดยตรง แต่มันก็มีบางเผ่าและบางตนไม่ได้อยู่ใต้อำนาจพระองค์
อย่างเผ่าโทรลล์จากทางตะวันออกนั่นก็เป็นหนึ่งในพวกไม่ขึ้นตรง เพราะอยากเป็นใหญ่เอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกมันจะตั้งกองทัพมาโจมตีเป็นพักๆ
“ว่าแต่มีปัญหาอะไรถึงมาแจ้งเรื่องนี้ แม่ทัพอย่างเจ้าน่าจะจัดการปัญหานี้ได้อยู่แล้ว... ตอนนี้ข้าว่าน้ำชาร้อนๆ ที่ทำท่าจะหกลวกข้าในมือก็อบลิน ยังดูน่ากลัวกว่าดาบในมือโทรลล์ด้วยซ้ำ”
จบคำนั้น ข้าเห็นราชาเลจินอฟปรายตาคู่งดงามทว่าคมจนเชือดเฉือนไปยังก็อบลินตนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามา หัวของเขาสูงพ้นขอบโต๊ะทรงงานของพระองค์มาแค่เล็กน้อย และกำลังทำชาร้อนๆ ในแก้วใสบนถาดเงินหกใส่พระองค์จริงๆ ซ้ำจมูกยาวแหลมที่ใหญ่โตเป็นพิเศษของเขายังแทบชนกับแก้วชาที่นำมาถวายนั่นด้วย
เจ้านี้คงเป็นมหาดเล็กใหม่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในขณะที่ราชาเลจินอฟก็รับสั่งด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ทว่าดูน่าขนลุกกับก็อบลินหนุ่มที่เหมือนจะอายุน้อยกว่าข้าด้วยซ้ำว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ก่อกบฏกับข้าตอนนี้”
รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นการเตือนจากจอมมารว่าห้ามเขาทำน้ำชานั่นหกใส่พระองค์เด็ดขาด
และเจ้าก็อบลินน่าสงสารก็ยืนแข็งทื่อถือถาดน้ำชาเหมือนถูกสาปไปทั้งอย่างนั้น พร้อมใบหน้าซีดเผือดทันทีที่สิ้นคำเตือนจากสุรเสียงที่คล้ายจะใจดี แต่ฟังเย็นเยียบจับใจนั่น
“ครั้งนี้พวก ‘คาเคซัส’ ร่วมทัพมากับโทรลล์ทางตะวันออก และเป็นผู้นำทัพครั้งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” รายงานครั้งนี้ของท่านเคออสทำให้ราชาเลจินอฟต้องหันกลับมาสนใจฟังอีกครั้ง
และใบหน้าคมดูเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ก่อนพระองค์จะหุบยิ้มสนิท และเอ่ยขึ้นเหมือนเปรยลอยๆ ว่า
“งั้นแสดงว่าโทรลล์คงโง่หมดทุกตัวจริงๆ”
และเรื่องครั้งนี้ทำให้ข้ารู้สึกเครียดขึ้นตามพระองค์ด้วย พร้อมเริ่มตั้งข้อสงสัย เพราะ ‘คาเคซัส’ หรือที่รู้จักกันดีในนามกษัตริย์คาเคซัส ผู้ปกครองโทรลล์ในเทเนบรีส เขาเป็นราชาโทรลล์ที่เป็นพันธมิตรกับราชาเลจินอฟมาเนินนาน ความจริงคือเป็นมาตลอด ไม่เคยแสดงท่าทีของศัตรู แต่ทำไมครั้งนี้ถึงไปเข้าร่วมกับศัตรู
เพราะเป็นโทรลล์ด้วยกันงันรึ ถ้าอย่างงั้นก็ควรเข้าร่วมตั้งนานแล้วสิ ไม่ใช่ตอนนี้
“ให้กระหม่อมตั้งกองทัพแล้วเดินทัพไปปราบเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเคออสทูลถามต่อ
หากองค์ราชากลับยังประทับนิ่ง หรี่นัยน์ตาแสนงามแต่ดูทรงอำนาจลงนิดอย่างใช้ความคิด และไม่นานจึงเอ่ยว่า
“ไม่”
ท่านเคออสดูแปลกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน ขณะราชาเลจินอฟเพียงว่า “ครั้งนี้มันต่างไป ดังนั้นเราก็ไม่ควรทำเหมือนทุกครั้ง... ใช่ไหมเจ้ามังกร”
“ห๊ะ!” ข้าตวัดเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาเกินบุรุษใดนั้นอย่างลืมเรื่องมารยาทไปทันที กับคำถามที่ถูกส่งมาดื้อๆ ไม่เข้าใจว่าพระองค์จะหันมาถามข้าทำไม
“ครั้งนี้ข้าจะตั้งหน่วยสอดแนมขึ้นใหม่ เพื่อสอดแนมกองทัพโทรลล์ และจะให้เจ้าอยู่ในหน่วยนี้ด้วย”
วินาทีนั้นข้าค้างนิ่งเหมือนถูกสาปยิ่งกว่าเจ้าก็อบลินมหาดเล็กตนใหม่นั่น และคิดว่าปากตนน่าจะอ้ากว้างไปแล้ว แต่เวลานี้ข้าไม่มีสติมากพอจะควบคุมพฤติกรรมไร้มารยาทของตนนัก นอกจากนั่งตกใจอยู่ตรงนั้น ทำอะไรไม่ถูก
ให้ข้าเข้าหน่วยสอดแนมเนี่ยนะ! สัญชาตญาณข้าเหมือนจะร้องเตือนถึงเรื่องเดือดร้อนลั่นทันทีที่ได้รับคำสั่ง
ทว่าราชาเลจินอฟยังคงอธิบายด้วยท่าทางปกติ ซ้ำติดจะสนุกสนานนิดๆ ไม่ได้สนใจข้าที่มองตามพระองค์แม้แต่น้อย
“โทรลล์ไม่ได้น่ากลัวขนาดต้องทำอะไรวุ่นวาย แค่จัดทัพไปสู้ก็จบ แต่ครั้งนี้แม้แต่พันธมิตรเก่าแก่อย่างคาเคซัสยังอยากโค้นบัลลังค์ข้า มันก็น่าสนใจว่าทำไม” ราชาเลจินอฟว่า “แล้วคาเคซัสก็มีฝีมือและพอมีสมองอยู่บ้าง ไม่เหมือนโทรลล์ทั่วไป ซ้ำถึงสู้ชนะไป อีกไม่กี่สิบปีพวกมันก็จะตั้งกองทัพใหม่ แล้วก็วนทำแบบเดิมๆ อีก ถือว่าครั้งนี้ข้าจะถอนรากถอนโคนทีเดียว สืบให้รู้สาเหตุแท้จริง แล้วจะได้จัดการที่ต้นเหตุให้ถูกต้อง... ดังนั้นก็ต้องมีหน่วยสอดแนมลับเฉพาะ”
ท่านเคออสที่คงตกใจไม่แพ้ข้า แต่อาจเก็บอาการได้เก่งกว่ารีบท้วงขึ้นทันที “แต่ว่าฝ่าบาท นี่มันกะทันหันไป ซ้ำนางยังไม่เคยออกภาคสนาม”
“ก็กำลังจะได้ออกแล้วไง” ราชาเลจินอฟโต้กลับอย่างไม่ทุกข์ร้อน ซ้ำยังขอความเห็น “เจ้าว่าไม่ดีรึ... ข้านึกว่าเจ้าอยากให้มังกรนี่หัดรับภารกิจบ้างซะอีก”
ท่านเคออสเงียบไปทันที ขณะข้าจับสัมผัสความมาคุบางอย่างได้จากราชาเลจินอฟและท่านแม่ทัพคนสำคัญ คำหยั่งเชิงขององค์ราชาแฝงนัยยะที่ทำให้ท่านเคออสขุ่นเคือง
และเป็นเวลาหลายวินาทีที่ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา ก่อนราชาเลจินอฟจะหันมาปรายนัยน์ตาสีอ่อนชวนหลงใหลที่ซ่อนเล่ห์บางอย่างมาที่ข้า จนข้าต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง และต้องก้มหน้าหลบสายพระเนตรคมกล้านั่น
ไม่นานวรองค์สูงสง่าในอาภรณ์สีดำคุ้นตาก็ลุกขึ้น และก้าวออกมาจากหลังโต๊ะทรงงาน พร้อมเดินอย่างไม่เร่งรีบผ่านหน้าข้า จนทำให้ข้าต้องลอบมองตามแผ่นหลังกว้างนั่นด้วยความสงสัย ผสมกังวลในสิ่งที่พระองค์จะทำต่อไป
ราชาเลจินอฟเดินไปยังผนังห้องด้านหนึ่ง ซึ่งถูกประดับด้วยอาวุธมากมาย ทั้งหอก ดาบ คันศร และลูกธนู ที่ทุกชิ้นล้วนสวยงาม ดูเลอค่าด้วยลวดลายอ่อนช้อยจากการสกัดลาย และตอกเหล็กจากช่างฝีมือแห่งเทเนบริส ซ้ำบนด้ามจับยังแทรกเพชรพลอยเพิ่มมูลค่า จนแม้แต่คนไม่ค่อยละเอียดแบบข้ายังดูออกว่ามันถูกสร้างอย่างประณีตและเอาใจใส่มากเพียงใด
และแม้องค์ราชาจะหันหลังให้ข้าอยู่ หากข้าก็เห็นว่ามือเรียวแข็งแรงยื่นไปหยิบลูกธนูดอกหนึ่งออกมา
พระองค์ลูบหัวศรที่เป็นโลหะสีเงินวาวสกัดลายแปลกตา พร้อมมีพลอยสีน้ำเงินประดับอยู่กลางเนื้อเหล็ก ก่อนลากปลายนิ้วช้าๆ ไปตามไม้เนื้อดีที่แกะสลักลวดลายวิจิตรบนก้านศรจนจรดถึงพู่ที่เป็นขนนกสีขาวขนาดใหญ่ ที่ข้าไม่คิดว่าจะเป็นขนของนกนัก
ราชาเลจินอฟคล้ายกำลังตรวจวัดขนาด น้ำหนัก และความตรงของลูกศรในมืออย่างละเอียดละออ โดยสัมผัสมันด้วยความทะนุถนอมราวกับมันเป็นหญิงสาวบอบบาง
ซึ่งข้ายอมรับว่าเป็นกิริยาการตรวจลูกศรที่ดูทรงเสน่ห์ที่สุดเท่าที่ตนเคยเห็น
หากข้าต้องหลุดจากภวังค์ เมื่อท่านเคออสก้าวไปยังองค์ราชาพร้อมร้องปรามทันใดว่า
“เดี๋ยวฝ่าบาท นั่นมัน!...”
เปรี๊ยะ!
หูเรียวแหลมสองข้างของข้าผึ่งขึ้นทันที เมื่อหันไปเจอว่าคนที่กำลังลูบคลำลูกศรหรูหราในมืออย่างอ่อนโยนราวมันเป็นหญิงสาวนั่น หักหัวศรในมือของตนออกมาดื้อๆ ซ้ำยังโยนก้านธนูที่เหลือให้ท่านเคออสที่กำลังเดินเข้ามารับไว้อย่างไม่ใยดี และดูเป็นธรรมชาติได้อย่างน่าเหลือเชื่อแทน
ข้านิ่งอึ้งไปนิดกับผู้ที่หักของเล่อค่าในมือตนอย่างง่ายดาย ขณะท่านเคออสที่เหมือนจะรู้การกระทำของราชาตนแต่ห้ามไม่ทัน ก็ทำได้เพียงลอบระบายลมหายใจ มองก้านศรหักๆ ที่เคยสวยงามในมือ และดูเสียดายมันแทนเจ้าของไม่น้อย
วงองค์แกร่งที่ดูไม่ใส่ใจของมีมูลค่าที่ตนทำลายหน้าตาเฉย หมุนตัวก้าวเดินมายังข้า จนทำให้ข้าต้องรีบก้มหน้าลงไปอีก ก่อนรับรู้ว่าราชาเลจินอฟย่อวรองค์ลงเบื้องหน้า แต่ไม่ถึงกับลงชั่นเข่า แค่เพียงนั่งยองตัวและว่า
“แบมือ”
ข้าจำต้องแบมือตามรับสั่งเรียบเย็นเหนือศีรษะโดยไม่ได้เงยหน้ามอง และไม่นานจึงรับรู้ถึงความเย็นของโลหะบนผ่ามือตน ซึ่งเมื่อปรายนัยน์ตาขึ้นดู จึงเห็นว่าเป็นหัวลูกศรที่เพิ่งโดนหักออกมาเมื่อครู่
นี่ราชาเลจินอฟหักมันมาประทานมันให้ข้าเหรอ!?
“หน้าที่เจ้า... อย่าให้ห่างตัว” พระองค์กล่าวสั้นๆ ไม่จริงจัง แต่มีบางอย่างในน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าต้องทำตามเท่านั้น
“เพคะ” ข้าต้องเอ่ยรับคำแม้ยังไม่เข้าใจว่าทำไมพระองค์ถึงประทานหัวลูกศรให้ ซ้ำเพิ่งหักออกมาสดๆ ร้อนๆ ยิ่งมองของในมือก็ยิ่งไม่เข้าใจ กระนั้นก็กำมันไว้ พร้อมบางสิ่งที่สะกิจใจมากขึ้นกับภารกิจใหม่ของตน
“ที่นี้กลับไปได้แล้ว” ราชาเลจินอฟเอ่ยเฉียบ ตัดบทอย่างง่ายดาย พลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
ข้ารู้สึกแปลกใจนิดๆ เมื่อวันนี้พระองค์ปล่อยตัวข้ากลับไปไวกว่าปกติ ซึ่งองค์ราชาก็ยังคงอ่านความคิดข้าออกและตอบคำถามให้ข้าทันทีว่า
“วันนี้ข้าให้เจ้ากลับไปก่อน เพราะจะได้มีเวลาไปหาคำอธิบายกับเจ้าหญิงของเจ้าว่าทำไมเจ้าถึงต้องหายหน้าไปสองสามวัน” เสียงทุ้มลึกเว้นช่วงคำไปเล็กน้อย ก่อนครั้งนี้จะกล่าวต่อด้วยรอยหยันที่ข้าเริ่มจะคุ้นเคยว่า “ข้าว่าเจ้าต้องใช้เวลาอีกเยอะ... ในการทำให้พายุสงบ”
นั่นคงเป็นเหตุผลแท้จริงที่ข้าถูกปล่อยตัวไวสินะ
ก็ถูกของพระองค์ การหาคำอธิบายเหตุผลกับวอร์เรนว่าข้าต้องไปทำภารกิจ และจะหายหน้าไปสองสามวัน คงไม่หนักหนาเท่ากับหลังจากนั้นที่นางจะอาละวาดและหาทุกวิถีทางไม่ให้ข้าไป
ข้าเก็บหัวลูกศรเข้าในกระเป๋าหนังเล็กๆ บนเข็มขัด ก่อนก้มศีรษะทูลลาท่านจอมมาร ความกังวลและสงสัยยังคงรบเร้าในอก แต่ก็รู้ดีว่าผู้ออกคำสั่งตรงหน้าจะไม่มีทางให้คำตอบมากไปกว่านี้แน่นอน
ซึ่งเมื่อถอยตัวอออกไป ผ่านประตูหลายบาน และมายืนอยู่หน้าห้องทรงงานได้ ข้าก็หยิบหัวลูกศรในกระเป๋าหนังออกมาดูอีกครั้ง มองมันเหมือนจะหาคำตอบจากของในมือ หากหัวข้าก็ยังคงว่างเปล่า หรือเพียงไม่กล้าสรุปคำตอบ เพราะมันติดจะแง่ลบซะหมด จนต้องเก็บมันเข้าที่ และก้าวออกไปเพื่อเตรียมเผชิญปัญหาเรื่องเจ้าหญิงน้อยต่อไป
“อาเทนโน่”
เสียงเข้มกระด้างคุ้นหู ทำให้ข้าต้องหมุนตัวไปตามเสียง และเห็นว่าท่านเคออสออกมายืนอยู่หน้าห้องทรงงานขององค์ราชาแล้วเช่นกัน ใบหน้ากร้านเคร่งขรึมนั้นดูเครียดกว่าทุกทีอย่างไม่ปิดบัง
“ค่ะ” ข้าขานรับ พร้อมก้มศีรษะเคารพ ก่อนเห็นว่าร่างกำยำสูงใหญ่เกินคนทั่วไปจะก้าวมาหยุดตรงหน้า
นัยน์ตาสีทองจริงจังปรายมองกระเป๋าหนังบนเข็มขัดข้างเอวข้าเล็กน้อย ก่อนหมุนขึ้นมาสบตาข้าด้วยความเคร่งเครียดไม่เปลี่ยน
“ทำไมเจ้าไม่คืนมีดในองค์ราชา”
ข้าต้องก้มศีรษะลงให้ร่างสูงใหญ่อีกครั้งทันที และค้างอยู่เช่นนั้นยามสารภาพตามจริงอย่างหนักใจ “พระองค์ไม่รับคืน... ข้าขอโทษค่ะ”
“ว่าแล้วเชียว” ท่านเคออสเพียงงึมงำ ไม่ได้ดูประหลาดใจแต่ดูหัวเสียไม่น้อย และหันมาเอ่ยขึ้นใหม่ด้วยท่าทางจริงจังจนตึงเครียด “ข้าก็ไม่ได้รู้เรื่องภารกิจสอดแนมนี่มากไปกว่าเจ้านัก แต่ข้าอยากบอกเจ้าไว้ว่า แม้องค์ราชาจะเหมือนทำอะไรไม่จริงจัง หลายอย่าง แต่ทุกคำสั่งนั้นมีความหมาย ไม่ว่ามันจะฟังไร้สาระขนาดไหนก็ตาม”
ข้าเงยตัวขึ้นมาฟังอย่างตั้งใจ และวูบหนึ่งราวกับเห็นว่าเขามองข้าด้วยแววตาสงสาร แต่เพียงไม่นานก็กลับมาจริงจังเช่นเดิม และเอ่ยต่อว่า
“ดังนั้นจำไว้ให้ดีว่าราชาเลจินอฟไม่เคยคิดอะไรชั้นเดียว”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล.ไม่แน่ใจ 100% นะคะ แต่คิดว่าน่าจะใช่หลังอ่าน
หัวลูกศร...???
//นางเอกพี่แบงค์ ต้องอึด ถึก ทน ..โดนรถสิบล้อชน ต้องไม่ตาย.. (ฮา)
มโนไปไกล>///<
หมายความว่ามันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ใช่ป่ะ อีกนัยคือลองใจ
.....ที่กริ้วนี่คือตอบรับง่ายตามนิสัยอีกตามเคย
ไม่มีไรมากเเค่พร่ำ.....รอตอนต่อไปอยู่น้าแง่มๆ
ตอนจะตอบอะไรเนียร์ทีต้องคิดหลายชั้น หลายขั้น จนเหมือนจอมมารปากแข็งใช่ไหมค่ะ