ตอนที่ 7 : ตอนที่ 7 บาดแผลที่ไม่หาย(รีไรท์ 2)(แก้ไขเล็กน้อย)
“เจ้าหญิงน้อยของเจ้า อาจจะไม่เหมือนอย่างที่เจ้าคิดแล้วก็ได้”
ข้าถึงกับหยุดฝีเท้าตนชั่วขณะ ทบทวนความหมายของสิ่งที่ได้ยิน
เมอร์เชสมักรู้อะไรเยอะแยะอย่างที่หลายคนไม่มีวันเข้าใจง่ายๆ ดังนั้นเมื่อเขาเปรยถึงสิ่งใด มันก็คล้ายเป็นสัญญาณเตือนของอะไรสักอย่าง และเมื่อเวลานี้เขาบอกว่าวอร์เรนไม่ใช่อย่างที่ข้าคิด ข้าก็จำต้องทวนว่ามันหมายถึงอะไร
ตลอดมาที่ข้าพอจะดูออก ข้าคิดว่าวอร์เรนรักข้าเหมือนพี่สาว ฉะนั้นถ้ามันไม่ใช่อย่างที่ข้าคิด ก็คงมีแต่...
“นาง... เกลียดข้าเหรอ”
ข้าได้ยินเสียงถอนหายใจจากพ่อมดเฒ่าทันที
“เปล่า แต่ว่า...” เขาหยุดคำตน พร้อมหยุดเดินด้วยเช่นกัน พลางหันกลับมามองข้า แววตาสีเทาที่มองสบนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกของข้าดูหนักใจวูบหนึ่ง และขณะเดียวกันก็คล้ายกำลังตัดสินใจบางสิ่ง หากไม่นานเขาก็เพียงเอ่ยตัดบทแค่ว่า “เจ้านี่ช่างไร้เดียงสา”
ไร้เดียงสารึ ข้าเนี่ยนะ... เป็นคำพูดที่ทำให้ข้าไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องราชาเลจินอฟกับเจ้าหญิงของเจ้าหรอก” ถ้อยคำที่แทรกความสงสัยของข้าจากเมอร์เชสทำให้ข้าคล้ายความตึงกลางหน้าผากนิด ก่อนต้องตั้งใจอย่างเสียไม่ได้ “ไม่ว่าราชาเลจินอฟจะรักเจ้าหญิงวอร์เรนหรือไม่ พระองค์ก็ทำร้ายเจ้าหญิงไม่ได้ พระองค์ยังติดพันธสัญญาที่ให้ไว้กับราชาฮาเดเลีย พระบิดาของเจ้าหญิงวอร์เรนว่าต้องปกป้อง คุ้มครองเจ้าหญิงไว้... กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ นั่นคือคำมั่นที่ต้องรักษา”
งั้นก็แปลชัดว่าถึงยังไงเจ้าหญิงก็จะปลอดภัยอยู่ใต้อำนาจของราชาเลจินอฟ
แต่เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้ว ข้ากลับอดที่จะสงสัยบางอย่างไม่ได้ว่า “งั้น... ข้าควรจะกังวลเรื่องตัวเองไหม”
ข้าเอียงศีรษะนิด และยังรับรู้ถึงความไม่เสถียนของร่างกายตนเล็กน้อยเมื่อเขาส่วนหนึ่งหายไป... เขาส่วนที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าต้องกังวลเรื่องราชาเลจินอฟนิดๆ เมื่อข้าเป็นคนทำพระองค์บาดเจ็บ เกือบปลงพระชนม์ ซ้ำเป็นกว้างขวางคอชิ้นโต... หลายกรณีเหล่านั้น ทำให้ข้าคิดว่าตนควรกังวลนะ
และเสียงหัวเราะจากพ่อมดเฒ่าก็ตามมา ราวคำถามข้าช่างชวนหัวนัก
“ฮึ เจ้าทำหน้าที่เฝ้าหอคอยได้ดี... ก็อาจมีพลาดนิดหน่อย” ครั้งนี้เขาหยุดพูด และชี้มาที่ใบหน้าเหี้ยวย่นของตน ด้านเดียวกับหน้าข้าที่มีบาดแผลใหญ่ผาดอยู่ บอกให้รู้ว่าข้าผิดพลาดเรื่องอะไร ก่อนกล่าวต่อ “ดังนั้นการที่เจ้าปกป้องเจ้าหญิงและหอคอยสุดความสามารถแบบนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แม้อาจจะมุทะลุไปบ้าง... แต่ราชาเลจินอฟคงไม่ได้เกลียดเจ้าเพราะเรื่องนั้น”
ข้าไม่ได้ตอบรับต่อสิ่งที่ได้ฟัง แต่โคลงศีรษะในฝั่งขวาที่เขาถูกหักไปเป็นการโต้ตอบว่าข้าไม่ค่อยเชื่อคำพูดพ่อมดตรงหน้าเท่าไหร่นัก ไม่งั้นเขาข้าคงไม่เหลืออยู่เท่านี้
“ก็เจ้าไม่หยุด สู้ชนิดไม่ถอย พระองค์ก็ต้องหาทางหยุดเจ้า” เมอร์เชสเข้าใจภาษาทางร่างกายข้าได้ไม่ยากเย็น “แต่ปัญหาจริงๆ คงมาจากปีกของเจ้า มันน่าจะเป็นวิธีกระตุ้นปีกของเจ้า” คำพูดท่อนท้ายนั้นเขาพยักหน้างึกงักเหมือนคุยกับตัวเองมากกว่าคุยกับข้า
ข้าขยับปีกตนไปมาทันทีที่ฟังจบ และเอี้ยวคอยาวๆ ไปสำรวจมันตามสัญชาตญาณ พยายามดูว่ามันมีอะไรผิดปกติ “ปีกข้ามีอะไร”
เมอร์เชสยังไม่ตอบคำถามในทีเดียว แต่หมุนตัวกลับมา หงายมือ และกวักเรียกข้าให้เข้ามานั่งบนลานหินที่เป็นหน้าผาเตี้ยๆ ที่ข้าเพิ่งรู้ตัวว่ามาถึงแล้ว ส่วนพ่อมดเฒ่ากลับเดินลงไปที่หาด และเก็บหินตะกอนก้อนกลมขนาดพอมือกลับมาเต็มอ้อมแขน ขณะกล่าวขึ้นใหม่เหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ
“มันเป็นความเคยชิน เจ้าถูกตีกรอบฝึกทหารมากกว่าสิบปี ซ้ำอยู่ในพื้นที่แคบๆ อย่างป่าดำตั้งสี่ปีเต็ม ไม่รู้หรอกว่าตัวเองถูกจำกัดอะไรไปบ้าง”
“... ข้าไม่เข้าใจ” ข้ามองตามพ่อมดเฒ่าที่เริ่มเอาหินเนื้อเกลี้ยงที่ได้มาวางรอบตัวข้า คล้ายจะทำวงเวทอะไรสักอย่าง ทำให้ข้าไม่กล้าขยับตัวนอกจากนั่งสะบัดปลายหางที่มีคลีบสีครามของตนขึ้นลงเบาๆ ด้วยความใคร่รู้
ข้าไม่เคยเห็นเมอร์เชสใช้เวทมนต์จริงๆ จังๆ มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกสำหรับข้า มันเลยดูน่าสนใจไม่น้อย
ใบหน้าเหี่ยวย่นเงยมาคลี่ยิ้ม เมื่อพอใจกับหินที่ตนจัดวางแล้ว พร้อมแววตาสีเทารอบรู้นั้นก็มีประกายบางอย่างยามที่ตอบ “เดี๋ยวสักวันเจ้าจะรู้ด้วยตัวเอง”
เป็นถ้อยประโยชน์ที่ฟังอ่อนโยน
“เจ้าอาจไม่ใช่มังกรลักษณะดีแบบที่คนส่วนใหญ่คิด... แต่เจ้ามีดีของเจ้า” คำพูดเขายังคงเหมือนกล่าวลอยๆ ขณะเดินมาที่ตัวข้า และข้าต้องสะดุ้งตัวนิดๆ เมื่ออยู่ๆ เมอร์เชสงึมงำร่ายคาถาบางอย่างที่ข้าฟังไม่ออก แล้วดึกเกล็ดสีดำสี่ห้าแผ่นของข้าออกไปอย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่วายทำให้ข้าสะดุ้งเหมือนถูกเข็มเล็กๆ ทิ่ม ซ้ำได้ยินเขางึมงำว่า ‘เกล็ดอ่อน คงต้องใช้เยอะหน่อย’ ขณะสำรวจเกล็ดสีดำเหมือนแผ่นกระจกที่ใหญ่เท่าฝ่ามือในมือตน
อดคิดไม่ได้ว่าเขาแค่พูดคุยไปเรื่อยๆ ให้ข้าลืมเรื่องโดนถอดเกล็ดมากกว่าจะบอกเรื่องสำคัญอะไร
หากทว่าเมื่อเขาตรวจเช็คของในมือตนเสร็จ ใบหน้าเหี่ยวย่นที่ดูใจดีก็เงยขึ้นมองสบตาข้าใหม่ และครั้งนี้คำพูดของเขากลับฟังจริงจังขึ้น “พ่อเจ้าทิ้งสมบัติล่ำค่าไว้บนตัวเจ้าหมดแล้ว”
สมบัติล่ำค่าบนตัวข้า เกล็ดอ่อน ไฟสีจาง และไม่มีมีดที่ปลายหางน่ะรึ ยอมรับว่าข้าไม่เข้าใจคำพูดของพ่อมดเฒ่าเท่าไหร่ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับสิ่งที่ตนมีนัก
ข้ารู้ว่าการเหมือนคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ถูกยอมรับ... ทว่าการ ‘ไม่เหมือน’ ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดี
แต่เมื่อลองทวนเรื่องครั้งนี้ การที่ข้าจะเหมือนใครหรือไม่เหมือนคงไม่มีความหมายอะไร เมื่อประเด็นสำคัญจริงๆ ก็คือข้าถูกจอมมารหมายหัวไว้แล้ว
และการถูกหมายหัว ยอมไม่มีทางมีเรื่องดีๆ รอข้าในระหว่างการใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทเทเนบริสแน่ๆ
**********************************
บทลงโทษแรกของข้าเดินมาหาตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อมหาดเล็กผู้หนึ่งนำรับสั่งของราชาเลจินอฟมาให้ข้าและวอร์เรน ซึ่งคือการให้พวกเราเข้าเฝ้าพระองค์ที่ท้องพระโรงในตัวปราสาทใหญ่ เพื่อเปิดตัวให้ทุกผู้ที่อยู่ในปราสาทเทเนบริสรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของแขกพิเศษอย่างเจ้าหญิงมนุษย์ และข้อควรปฏิบัติกับแขกของพระองค์คนนี้
แน่นอนว่าตัวเอกของงานนี้คือวอร์เรน และข้าเป็นแค่ตัวประกอบเดินร่วมกับขบวนนางกำนัลแสนงาม ตามหลังเจ้าหญิงและมหาดเล็กร่างเตี่ยอย่างคนแคระตรงหน้า ซึ่งไม่นานพวกเราก็ก้าวเข้ามาในท้องพระโรงแสนโอ่อ่า ภายในดูใหญ่โต โปร่งสบาย งดงามด้วยสีขาวงาช้าง และแสงอรุณอุ่นๆ ที่ส่องลอดมาจากหน้าต่างกระจกสีบนหลังคาทรงโดมยอดสูง ขณะมีลมเบาสบายพัดผ่านมาตามช่องของเสาค้ำหินลวดลายวิจิตรทั้งสองฝั่ง
วอร์เรนเกร็งตัวนิดๆ ยามก้าวเดินไปข้างหน้า บนพรมกำมะหยี่สีแดงกษัตริย์ สู่บัลลังก์ใหญ่ก่อด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ราวน้ำนมที่มีวรองค์แกร่งประทับรออยู่ เส้นผมสีนิลและฉลองพระองค์สีเดียวกันตัดกับสีขาวและสีทองรอบข้างได้อย่างลงตัว สีขาวงาช้างของท้องพระโรงและเสื้อผ้าสีสั้นต่างๆ ของเหล่าอมนุษย์ในที่นี้ไม่ได้ทำให้พระองค์ด้อยลงเลยแม้แต่น้อย ห่างยิ่งขับให้สีดำราวหุบเหวลึกแต่มีแรงดึงดูดมหาศาลจากวรองค์สูงสง่าโดดเด่นยิ่งขึ้น
และข้าเข้าใจความรู้สึกหวั่นเกรงของวอร์เรน เมื่อทุกย่างก้าวของนางมีสายตาหลายสิบคู่ของเหล่าข้าทาสบริวารอมนุษย์รอบตัวมองตามด้วยความหมายที่หลากหลาย ทั้งขุ่นเคือง ชื่นชม ขับข้องใจ สงสัย... และริษยา สำหรับนางกำนัลบางคน
เพราะว่านอกจากเจ้าหญิงน้อยจะเป็นมนุษย์ที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกตนแล้ว นางยังเป็นถึงหญิงสาวที่งดงามราวเทพนารี แม้จะมีเหล่านางกำนัลหน้าตาสะสวยตามมาเป็นขบวน ทว่าก็ไม่อาจกลบความงามของวอร์เรนได้
วอร์เรนดูส่องสว่างเหมือนยามเช้า และข้าว่าอาจด้วยเสน่ห์บางอย่างของมนุษย จึงทำให้เจ้าหญิงน้อยดูมีชีวิตชีวากว่าเหล่าภูตและปีศาจรอบตัว ผิวพันธุ์ที่เจือด้วยสีเลือดฝาด ความอบอุ่นของร่างกาย และความเยาว์วัยนั้น ล้วนคือความแตกต่าง และโดดเด่น ซ้ำสิ่งที่เหนือกว่านั้นคือสถานะของเจ้าหญิงในปราสาท ที่ใครๆ คงพอจะเดาได้ว่าคงได้ใกล้ชิดราชาปีศาจบนบัลลังค์มากกว่าใคร... ดังนั้นการถูกริษยาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
ข้าคุกเข้าข้างหนึ่งลงตรงหน้าองค์ราชาบนบัลลังค์ใหญ่ พร้อมเหล่านางกำนัลประจำตัววอร์เรนที่ถอนสายบัวอย่างพร้อมเพียงเพื่อถวายเคารพแก่จอมมาร ก่อนถอยเท้าไปยืนเรียงแถวกันอยู่ที่ด้านซ้ายมือของข้าอย่างรู้หน้าที่ ปล่อยให้ตรงกลางท้องพระโรงมีแค่ข้ากับเจ้าหญิงวอร์เรนที่ยืนกุมมือด้วยความกังวลอยู่เพียงสองคน
ทว่าทุกอย่างกลับตกอยู่ในความเงียบหลังทุกคนประจำที่ของตนเรียบร้อยแล้ว
ราชาเลจินอฟที่ประทับบนบัลลังค์เบื้องหน้าไม่พูดอะไร ขณะร่างใหญ่โตเหมือนกำแพงของท่านเคออสที่ยืนนิ่งบนบันไดสู่บัลลังค์ขั้นแรกก็เงียบงันไม่แพ้กัน ราวกับว่าจอมมารจงใจสร้างความอึดอัดให้อาคันตุกะต่างแดน และตัวข้าอย่างไรอย่างนั้น
ถ้านี้คือเกมจิตวิทยาเพื่อลงโทษข้า ก็ถือว่ามันได้ผลดีเยี่ยมเลย เพราะมันกำลังทำให้ข้าประหม่าขึ้นเรื่อยๆ จนไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว หรือแม้แต่หายใจดัง
ทว่าเมื่อควบคุมลมหายใจตนนานเกินไป ข้าก็เผลอหลุดอ้าปากเพื่อสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง และในวินาทีนั้นกลิ่นบางอย่างพลันกระทบเข้ากับจมูกข้า... กลิ่นเลือดจางๆ จางจนแทบไม่ได้กลิ่น แต่มากพอให้ข้าต้องเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจทันใด
และข้าต้องนิงงันเหมือนถูกแช่แข็งเมื่อเห็นผ้าพันแผลบนต้นคอแกร่งของผู้เป็นจอมมาร
แผลของราชาเลจินอฟยังไม่หาย และกลิ่นเลือดบางๆ นั่นบอกดีว่าไม่ใช่เพียงแค่ไม่หายอย่างเดียว แต่มันแทบจะไม่รักษาตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“เห็นแผลของฝ่าบาทไหม มันเป็นคนทำ”
เสียงกระซิบที่แว่วจากกลุ่มนางกำนัลที่ด้านขวามือยิ่งเหมือนชนักที่ตอกกลางหลังข้า เมื่อรู้ว่า ‘มัน’ ที่ถูกพูดถึงนั้นคือใคร และแม้พวกนางจะไม่พูดคุยอะไรมากกว่านั้นเพราะรู้หน้าที่ตนว่าไม่ควรส่งเสียงระหว่างการเข้าเฝ้าจอมมาร แต่แค่คำเกริ่นเบาๆ นั้นก็หนักพอจะทับข้าให้ตัวชาไปทั้งกาย ขณะทำได้แค่เม้มปากก้มหน้ากลับมามองพื้นอีกครั้ง
ราชาปีศาจลงโทษข้าด้วยวิธีที่ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แม้แต่การต่อว่า หรือดุด่า เพียงขยี้จุดอ่อนข้ายับเยินด้วยวิธีแสนเรียบง่ายแต่เฉียบเย็นจนน่ากลัว
และหลังการลงโทษเล็กๆ นั่น เสียงทุ้มกังวาลที่มีเสน่ห์ลึกลับนั่นก็เปล่งออกมาทำลายความเงียบในที่สุด
“เจ้าหญิงวอร์เรน เรียอาน่า โคล์วแวน”
เจ้าของชื่อยืนตัวตรงขึ้นกว่าเดิมทันใดยามถูกเรียกท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด วอร์เรนย่อกายถวายความเคารพจอมมารตามมารยาทที่ถูกสอนมาในฐานะเจ้าหญิงเมื่อตั้งสติได้ แม้จะยังดูเกร็งๆ และเงอะงะเล็กน้อย
ซึงราชาเลจินอฟไม่ได้มีท่าทางโต้ตอบอะไรวอร์เรน ความจริงพระองค์ค่อนข้างนิ่งเฉยเหมือนทุกคนเป็นอากาศธาตุ และเพียงกล่าวขึ้นใหม่อย่างเฉยชาราวรูปล่อปูนไม่ต่างจากเดิมว่า
“เจ้าหญิงวอร์เรนจะมาอยู่ที่นี้ในฐานะแขกของข้า... พร้อมผู้ติดตาม”
ทั้งที่เรื่องครั้งนี้เป้าหมายควรเป็นวอร์เรนเพียงคนเดียว ทว่าเมื่อสิ้นคำกล่าวว่า ‘ผู้ติดตาม’ ข้ากลับรับรู้ถึงสายพระเนตรที่ทอดมองมายังตัวเองได้ทันใดโดยที่ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง มันเป็นสัมผัสที่หนาววาบไปทั่วสันหลังจนชวนให้คิดว่าหัวข้อต่อไปที่พระองค์จะพูดถึง คือเรื่องของเจ้ามังกรเฝ้าหอคอยที่ทำร้ายพระองค์
แต่สุดท้ายราชาเลจินอฟไม่ได้พูดถึงเรื่องแผล หรือเหตุการณ์การต่อสู้ของข้ากับพระองค์เมื่อวาน แต่กลับตัดเข้าเรื่องของวอร์เรนต่อ และทำราวไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเสียเฉยๆ
ซึ่งสรุปว่าในท้องพระโรงนั่นราชาเลจินอฟไม่ได้บอกฐานะระหว่างตนและวอร์เรนไปในทางไหนเป็นพิเศษ นอกจากข้อกำหนดที่เหล่าข้าทาสบริเวณในปราสาทเทเนบริสควรปฏิบัติกับเจ้าหญิงมนุษย์คนนี้ ซ้ำไม่แม้แต่จะอธิบายเจตนาว่าเจ้าหญิงคนนี้จะกลายเป็นอะไรในอนาคตสำหรับพระองค์
แต่ข้าคิดว่าว่าอีกไม่นาน มันคงจะกลายเป็นข่าวลือที่ถูกตีไข่ใส่สีในด้านต่างๆ ไปทั่วปราสาทถึงฐานะในอนาคตของวอร์เรน หวังเพียงว่าข่าวลือเหล่านั้นจะไม่ลุมลามไปจนทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ กับนาง เพราะค่อนข้างเห็นชัดเจนเลยว่ามีหญิงสาวหลายคนในปราสาทเทเนบริสที่ไม่คิดต้อนรับผู้มีสิทธิ์เป็นพระชายาในอนาคตคนนี้นัก
แล้วตลอดช่วงเช้าในท้องพระโรงนั่น ข้าก็ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นเพียงอย่างเดียว จนทุกอย่างจบลง และคิดว่าวันนี้ตนคงเบาใจลงได้บ้าง เมื่อส่วนที่ยากที่สุดผ่านไปแล้ว
แต่เพียงข้ากับวอร์เรน และเหล่านางกำนัลประจำตัวออกมาจากท้องพระโรงได้ไม่นาน เสียงเข้ม แข็งกระด้างที่ติดดุดันตามนิสัยก็เอ่ยเรียกข้าจากด้านหลัง
“อาเทนโน่”
ชัดเจนว่าเป็นใคร เมื่อข้าหันกลับไป และเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดนักรบ เจ้าของผิวสีทองแดงอ่อนๆ กำลังก้าวตามมา ลักษณะการเดินของท่านเคออส หนักแน่น ไม่เสียจังหวะและไม่เปิดช่องว่างอย่างสมเป็นทหารกล้าทุกฝีเก้า จนข้ายังอดเกรงไม่ได้ ก่อนจะก้มหัวลงเคารพผู้มียศสูงกว่าอย่างรู้หน้าที่เมื่อเขาเดินมาถึง พร้อมคำสั่งเสียงดุดันไม่เปลี่ยน
“องค์ราชาสั่งให้เจ้าเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้”
คำสั่งนั้นทำให้เขาต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่ทันรู้ตัว พร้อมเสี้ยววูบไปทั้งกายเมื่อรู้ว่าเวลานี้ ‘เกม’ กำลังจะเริ่มแล้ว
***************************
หลังได้รับคำสั่ง ข้าต้องเดินตามร่างสูงใหญ่เหมือนกำแพงหนาของท่านเคออสไปเงียบๆ ซึ่งกว่าจะออกมาได้ ผู้ร่วมเล่นเกมอีกคนกลับไม่ยอมง่ายๆ วอร์เรนไม่ได้ทำเชิดหน้าสู้กับแม่ทัพมังกรเช่นเดียวกับตอนที่เถียงกับองค์ราชาเพื่อให้เก็บตัวข้าไว้ แต่นางเปลี่ยนมากอดแขนขา และเริ่มอ้อนวอนว่าไม่ให้ข้าไปไหนแทน
ถ้าท่านเคออสไม่บอกว่า หากข้าขัดรับสั่งจะต้องโดนลงโทษ นางคงไม่ยอมปล่อยข้าออกมาแน่ๆ
และนั้นจึ่งทำให้ข้าเริ่มกังวลเรื่องวอร์เรนขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้...
“มีดสั้นลายเถาว์ยกุหลาบที่เอวเจ้า... เจ้าเอามาจากไหน”
ข้าต้องเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของท่านเคออส กับคำถามเสียวกระด้างดุดันตามนิสัยของเขาที่ยิงมาดื้อๆ ขณะลอบมองมีดสั้นที่ติดอยู่ข้างเอวด้านขวามือตนเล็กน้อย ก่อนความกังวลเรื่องแผลขององค์ราชาจะกลับมาอีก ก่อนตอบ
“พ่อข้า เนลโล่ อาเทนโน่... “
“งั้นแสดงว่ามีดสั้นนั่นพระองค์ประทานให้พ่อเจ้า?” แม่ทัพมังกรไม่ปล่อยให้ข้าพูดจบ เขาปรายนัยน์ตาสีทองเคร่งเครียดมาเอ่ยสรุปเอง และข้ารู้สึกราวกับว่าท่านเคออสอยากได้ยินคำตอบเช่นนั้นมากกว่าจะแค่เดาเอาเอง
“... เปล่าค่ะ” ข้าจำต้องปฏิเสธตามจริง แม้รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบแบบไหน หากข้าเองก็อยากรู้ว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้ท่านเคออสดูเคร่งเครียดกับมีดสั้นเล่มนี้นัก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแผลที่ไม่หายของราชาเลจินอฟหรือไม่ “พ่อข้าได้รับคำสั่งขององค์ราชาให้ข้าไปเข้าเฝ้าพระองค์... แล้วราชาเลจินอฟก็ประทานมีดสั้นนั่นมาให้ข้าค่ะ”
“คุยอะไร ทำไมถึงประทานให้ แล้วทำไมพระองค์ถึงเรียกเจ้าไปเฝ้า” คำถามห้วนดุวางอำนาจยังคงรวดเร็ว
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมท่านแม่ทัพซึ่งเคยเป็นสหายสนิทคนหนึ่งของพ่อข้า ถึงทำตัวห่างเหิน แข็งกระด้างกับลูกสาวของสหายเก่านัก นั่นก็เพราะเป็นปกติที่เขาจะวางตัวแบบนี้กับทุกคน ยิ่งโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในหน้าที่ และข้าเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยด้วยแล้ว
แม้เขาจะนับถือพ่อข้าว่าเป็นตำนาน แต่นั่นก็คือส่วนของพ่อข้า ไม่ใช่ตัวข้า ฉะนั้นสำหรับเขา ข้าก็เป็นเพียงทหารใต้บัญชาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีสิทธิใดๆ ไปมากกว่าที่เป็นอยู่... ซึ่งสำหรับข้า ถือว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะนั่นหมายถึงเขามองที่ตัวข้าในฐานะทหารคนหนึ่งจริงๆ ไม่ใช่มองข้าและเห็นเงาของพ่อข้าอยู่ด้านหลัง
และข้าคิดว่านั่นเป็นส่วนที่ทำให้ท่านเคออสเป็นผู้บัญชาการทหารที่ดีคนหนึ่ง
“ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก แล้วเรื่องมันก็ร้อยกว่าปีมาได้แล้ว เลยจำไม่ค่อยได้ค่ะ” ข้ายังคงเล่าตามจริง “พอจะเดาได้แค่ว่า พระองค์คงเห็นว่าข้าเป็นลูกสาวของแม่ทัพที่พระองค์นับถือ เลยประทานของเป็นการรับขวัญที่ข้าฝึกบินบนฟ้าจนคล่องแล้ว... พ่อข้าบอกแบบนั้น”
“พ่อเจ้า เนลโล่น่ะรึ” ครั้งนี้ใบหน้ากร้านหมุนมามองข้าเล็กน้อย ในน้ำเสียงห้าวต่ำมีแววชื่นชมทว่าก็เจือด้วยความสงสัย ก่อนถามขึ้นใหม่พร้อมหัวคิ้วเข้มที่มุ่นขึ้นนิด “เจ้าไม่รู้รึว่ามีดสั้นนั่นสำคัญยังไง หรือมันทำอะไรได้”
ข้าไม่ได้ตอบ แต่ความเงียบนั้นก็มากพอจะเป็นคำตอบแล้ว ทำให้ท่านเคออสถอนถอนใจ คล้ายเหนื่อยหน่ายกับความเขลาของข้า ก่อนอธิบายขึ้นใหม่ขณะก้าวนำไป
“ตอนที่ราชาเลจินอฟขึ้นรับตำแหน่งจอมมารลำดับที่หก มันจะต้องมีสิ่งของประจำพระองค์สามชิ้นที่ได้รับสืบทอดต่อจากจอมมารรุ่นก่อนตามประเพณี... หนึ่งคือดาบดำที่ห้อยติดข้างปั้นพระองค์” ข้านึกถึงดาบเล่มที่องค์ราชาใช้สู้กับข้าที่หอคอยทันที ขณะตั้งใจฟังต่อ “สองคือต่างหูไตรราตรีที่อยู่บนพระกรรข้างซ้าย... และสามคือมีดสั้นเถาว์ยกุหลาบที่ห้อยอยู่ข้างเอวเจ้า”
ข้ารับรู้ได้ถึงความตึงเครียดจากร่างสูงใหญ่ตรงหน้ามากขึ้น และเริ่มมีเค้ารางว่ามีดสั้นเล่มนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของตน
“มันมีอะไรเหรอคะ” ข้าอดจะตั้งคำถามออกไปไม่ได้ พร้อมเผลอยกมือลูบที่มีดสั้นเจ้าปัญหาตามธรรมชาตินิสัย
“พวกทหารชั้นล่างทั่วไปคงไม่รู้ ส่วนใหญ่ก็มีแต่ขุนนางที่มีตำแหน่งหน่อยถึงรู้กัน” ท่านเคออสดูลำบากใจเล็กน้อย และครู่หนึ่งหันมามองข้าราวชั่งใจอะไรสักอย่าง ก่อนว่า “จอมมารไม่มีวันประทานของส่วนพระองค์ให้ใคร นี่มันไม่ใช่แค่ของประดับ หรืออาวุธป้องกันตัว มันมีความหมายที่หนักหนากว่านั้นมาก ในหลายๆ ด้านเลยด้วยซ้ำ เพราะมัน...”
ท่านเคออสหยุดคำเพียงเท่านั้น เมื่อมาถึงประตูคู่บานสูงใหญ่ที่มีลายสลักงามตา ซึ่งน่าจะเป็นห้องทรงงานของจอมมาร
เขาหันไปบอกมหาดเล็กหน้าห้องให้ไปทูลราชาเลจินอฟว่าข้ามาแล้ว ก่อนกลับมามองที่ข้าอีกครั้ง ชั่วอึดใจหนึ่งเหมือนเขาจะครุ่นคิดหาคำพูดบางอย่างยามจ้องใบหน้าข้า และเพียงเอ่ยตัดสินห้วนสั้นในเวลาไม่นานว่า
“หาโอกาสเอามันคืนฝ่าบาทซะ มันไม่ใช่ของที่เจ้าจะเก็บไว้ได้เลย” จบคำนั้นร่างสูงแข็งแกร่งก็แยกตัวออกไป ปล่อยให้ข้ามองตามแผ่นหลังหนากว้างอย่างไม่เข้าใจ และค้างคาในทุกสิ่งที่ได้ฟัง
หากความสนใจต้องหยุดลง เมื่อมหาดเล็กซึ่งเป็นคนแคระที่หน้าห้องมาบอกให้ข้าเข้าเฝ้าได้
ข้าก้าวเข้าไปเมื่อประตูแสนงามบานใหญ่เปิดออก และยังต้องผ่านไปอีกสองบานเพื่อเข้าสู่ห้องทรงงานส่วนพระองค์ ซึ่งทันทีที่ถึงห้องทรงงานใหญ่โตหรูหราและเห็นร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำพิศวงหลังโต๊ะทรงงานตัวใหญ่ ข้าก็ต้องรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“เนียร์ อาเทนโน่มารายงานตัวเพคะ” ข้าทำความเคารพราชาของตนทันที ขณะทูลถามต่อ “มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้เพคะ”
“นั่งอยู่ตรงนั้น จนกว่าข้าจะสั่งว่าไปได้”
ข้าเกือบเงยหน้าไปเลิกคิ้วใส่คนสั่งที่อยู่หลังโต๊ะทรงงานตัวใหญ่ แต่ก็ยั้งตัวเองได้ทัน ก่อนทำตัวเสียมารยาทซ้ำอีกครั้ง และได้แต่เก็บงำความไม่เข้าใจไว้ในหัวของตัวเอง
ทว่าเมื่อความเงียบกลับมาครอบคลุมอีก มหาดเล็กที่ปกติควรมาอยู่เพื่อถวายงานถูกสั่งให้ออกไปเฝ้าด้านนอกแทนจนเหลือเพียงข้ากับพระองค์ในห้องนี้ ความอึดอัดของข้าก็เริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ ยิ่งได้กลิ่นเลือดจางๆ จากผู้เป็นราชาตรงหน้า ข้าก็ยิ่งวุ่นวายใจ คำถามมากมายผุดแทรกขึ้นในหัวเหมือนค้อนที่ทุบในสมองซ้ำๆ จนสุดท้ายข้าจึงตัดสินใจสูดหายใจลึก แล้วเริ่มต้นพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“คือ... เอ่อ... ”
“อย่าอ้ำอึ้ง” เสียงเย็นเอ่ยสวนมาทันที เมื่อข้ายังลังเลเกินกว่าจะตั้งคำถาม
ข้าต้องค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองราชาของตน พยายามเรียกความมั่นใจ ก่อนถามขึ้นใหม่ “คือ... แผลของ... พระองค์...”
“แผลข้าทำไม” รับสั่งเฉียบก่อนข้าจะพูดจบอีกครั้ง
“แผลที่ข้าทำ... ฝ่าบาทไม่สามารถรักษาเองได้... หรือเพคะ” ข้ากลั้นหายใจถามออกไปในที่สุด และอดจะลอบมองที่ผ้าพันแผลบนต้นคอแกร่งเล็กน้อยไม่ได้
ราชาเลจินอฟนิ่งเงียบไปนิด และเป็นหลายอึดใจจนทำให้ข้าเริ่มกลัวว่าสิ่งที่ถามออกไปอาจไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่เวลานี้แผลนั่นดูเป็นปัญหาเกินกว่าที่ข้าจะเก็บงำความกังวลและสงสัยไว้ได้
และหลังความเงียบที่มีแต่ความกดดัน เสียงทุ่มลึกก็เพียงตอบสั้นๆ ว่า
“ใช่”
คำตอบที่ได้ยินทำให้ความห่วงกังวลข้าเพิ่มสูงขึ้น ข้าไม่รู้ว่าเมื่อวานที่สู้กันมีอะไรผิดพลาด แม้ความจริงมันจะผิดพลาดตั้งแต่ข้าไม่ยอมถอยให้พระองค์แล้ว แต่มันมีสาเหตุอะไรที่ทำให้จอมมารไม่สามารถรักษาแผลของตนได้
“เพราะอะไรเหรอเพคะ” ข้ารีบถามต่อ
“เพราะข้าไม่อยากรักษา”
คำตอบเฉียบพร้อมใบหน้าคมหล่อเหลาที่นิ่งเฉยมองมา ทำให้ข้าต้องนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนสิ่งที่ราชาเลจินอฟเคยพูดไว้จะปรากฏขึ้นในความทรงจำ
‘งั้นคงไม่มีใครรู้ว่าข้าถูกทหารตัวเองทำร้าย’
ข้าไม่แน่ใจว่านั่นเป็นแค่การประชดประชั้นเพื่อแดกดันข้าเท่านั้นรึเปล่า หรือแผลนั่นพระองค์ไม่สามารถรักษาได้เอง แต่ถ้ามันคือการประชดประชั้น สิ่งที่พระองค์ต้องการให้คนอื่นเห็นแผลที่ถูกข้าทำร้ายก็น่าจะหมายถึง...
“งั้น... หม่อมฉันต้องถูกลงโทษอย่างไร” เท่าที่ข้านึกออกการให้ทุกคนเห็นแผลนี้ ก็เพื่อให้เห็นว่าข้าสมควรถูกสั่งลงโทษ
หากเป็นอีกครั้งที่ราชาเลจินอฟทรงเงียบและจ้องมองข้า นัยน์ตาสีน้ำตาลทองที่แทบวาวเรืองเหมือนประกายไฟหรี่แคบด้วยความหมายที่ข้าอ่านไม่ออก ก่อนพระองค์จะเปรยขึ้นด้วยเสียงเย็นราบเรียบ
“เจ้ากังวลเรื่องแผลบนคอข้า?”
“หม่อมฉันเป็นคนทำ จึงคิดว่าควรกังวลเพคะ”
“งั้นถ้าไม่ใช่ฝีมือตัวเอง เจ้าคงไม่แยแส”
ข้าเม้มปากนิดต่อคำย้อนครั้งนี้ ก่อนตอบได้เพียงว่า
“เท่าที่ทราบตอนนี้เหมือนการทำให้ฝ่าบาทหลั่งเลือดจะเป็นเรื่องใหญ่มาก และทุกคนในท้องพระโรงก็ดูเป็นกังวล... หม่อมฉันจึงคิดว่า แผลของฝ่าบาทน่าจะเป็นปัญหาและควรเป็นเรื่องที่น่าห่วง... เพคะ”
“ห่วงข้าเพราะเห็นว่าคนอื่นห่วง?”
เสียงเย็นชาหยั่งเชิงอีกครั้ง ทว่ามีบางอย่างในน้ำเสียงของราชาเลจินอฟที่ทำให้ข้ารู้สึกผิดอย่างมากมาย ราวถูกกล่าวโทษ หรือข้าอาจแค่คิดไปเองเพราะตนรู้สึกผิดเรื่องที่ทำร้ายพระองค์อยู่ก่อนแล้ว พอโดนตำหนินิดหน่อยเลยรู้สึกว่าผิดมาก กระนั้นข้าต้องหลบสายตาคมกริบของพระองค์ และแก้คำตน
“ในฐานะทหารข้า...”
“ในฐานะทหาร?” เสียงทุ้มลึกสำทับแทรกขึ้นก่อนข้าจะพูดจบอีก ซ้ำด้วยเสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “พวกเจ้านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่รับคำสั่งเป็นอย่างเดียวสินะ ถึงคิดได้เมื่อต้องมีคนกระตุ้น”
ข้าไม่ได้พยายามหาคำพูดหรือคิดจะแก้ตัวอีก พรางก้มหน้ามองพื้นเช่นเดิมแทน และคิดว่าดีกว่าถ้าตนจะไม่สาวความเรื่องนี้ต่อในเมื่อราชาเลจินอฟเหมือนจะไม่ได้ยินดีที่จะตอบคำถาม ซ้ำความจริงอาจไม่ใช่เรื่องสมควรที่ทหารฝึกหัดจะตั้งคำถามกับจอมมาร
ทว่าหลังข้าหยุดทุกคำถามที่ไร้ความหมายไปครู่ใหญ่ ข้าก็ได้ยินเสียงวรองค์แกร่งขยับตัวบนเก้าอี้ทรงงานตรงหน้า ก่อนเสียงทรงอำนาจจะถามขึ้นว่า
“ห่วงข้ามากไหม”
ข้าเงยหน้ามองราชาปีศาจใหม่ทันใด และเงอะงะอยู่ชั่วขณะเมื่อไม่ทั้งตั้งตัวกับคำถามนั้น ก่อนจะพยักหน้าไปทีหนึ่งไปตามสัญชาตญาณ และนั่นทำให้ข้าได้คำสั่งหนึ่งจากราชาเลจินอฟว่า
“ดี... มาทำแผลให้ข้า”
“คะ?” สิ่งที่ได้ยินทำให้ข้าเผลอตกใจจนเกือบเด้งตัวลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัว
ทว่าใบหน้าคมเข้มงดงามเกินบุรุษใดนั่นกลับยังเรียบเฉย ซ้ำพระองค์ยังขยับตัวไปพิงพนักสูงของเก้าอี้ นั่งไขว้ห่างสบายๆ พร้อมรับสั่งซ้ำอย่างเด็ดขาด
“เดี๋ยวนี้”
ข้าได้แต่นั่งคุกเข่างงงันกับคำสั่งปุ๊บปั๊บนั่น ไม่รู้ว่าควรเริ่มยังไง ข้าไม่รู้พระองค์แค่ล้อเล่นหรือแค่จงใจปั่นหัวข้าเหมือนตอนบุกหอคอยรึเปล่า แต่นัยน์ตาคมกริบสีอ่อนที่จ้องเขม็งมาไม่มีทีท่าของการล้อเล่นแม้แต่น้อยจนข้าเผลอกลั้นหายใจไปสองสามวินาที
“แต่... เอ่อ... ฝ่าบาทน่าจะเพิ่งทำแผลไป” เมื่อไม่รู้ว่าควรตอบรับเช่นไร ข้าจึงหาข้ออ้างอย่างเก้ๆ กังๆ และดูไม่ถูกสถานการณ์ จนยังรู้สึกโง่กับข้ออ้างของตัวเอง
“และควรทำใหม่อีก” หากราชาเลจินอฟดูไม่ได้สนใจข้ออ้างโง่ๆ ของข้า และยังนั่งรอด้วยท่าทางเอาจริงเช่นเดิม
“ขะ... ข้าจะไปเรียกมหาดเล็กมา...”
“ปากบอกว่าห่วงข้า แต่กลับไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรที่ตัวเองทำเลยใช่ไหม” สุรเสียงเย็นทรงอำนาจเน้นหนักมากขึ้น ก่อนพระองค์จะกล่าวทิ้งท้ายว่า “เจ้านี่เสแสร้งเก่งนะ”
‘เจ้านี่เสแสร้งเก่งนะ’
ข้าต้องสะดุดกับถ้อยคำสุดท้ายนั้นจนเหมือนถูกไฟช็อต ไม่ใช่เพราะมันเป็นคำว่าที่เจ็บแสบ แต่ราวกับวินาทีที่ได้ยิน มันเหมือนข้าเคยได้ยินประโยคคำพูดนี้มาก่อน ความรู้สึกมันคล้ายครั้งแรกที่ข้าได้จ้องนัยน์ตาของราชาเลจินอฟในระยะประชิดบนหอคอยนั่น และมีบางอย่างบอกข้าว่า... ข้าเคยรู้จักดวงตาคู่นั้น
และถ้อยคำเมื่อกี้ก็เหมือนกัน... แต่มันที่ไหน เมื่อไหร่ ตั้งแต่ตอนไหนล่ะ ความทรงจำเมื่อร้อยปีที่แล้วของข้าทำไมถึงมีแค่รางเลือน และจางคล้ายถูกม่านหมอกบังขนาดนี้!
“ข้าไม่มีเวลาทั้งวัน รีบๆ ทำซะ”
รับสั่งเฉียบของผู้เป็นจอมมารดึงสติของข้าให้กลับมาที่ห้องทรงงานอีกครั้ง และกลับมารับรู้ความจริงเวลานี้ว่าตนถูกสั่งให้ทำอะไร
ข้ากลับมาวางตัวไม่ถูกอีกครั้ง อึดอัด กระอักกระอ่วน ข้าพอจะรู้วิธีทำแผล โดยเฉพาะแค่รอยบาดเล็กๆ แค่นั้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ฐานะระหว่างจอมมารกับทหารฝึกหัดกลับจะเป็นเรื่องใหญ่ ความจริงมันคือช่องว่างทางฐานะที่ใหญ่มากจนข้ารู้สึกว่าผิดไปหมดหากจะทำอะไรที่เกิดฐานะตน
ทว่าเมื่อผู้เป็นราชาไม่ถอนรับสั่ง ซ้ำยังจ้องเขม็งเฝ้ารอข้าอยู่บนเก้าอี้ทรงงาน ข้าก็จำต้องลุกขึ้น แล้วเดินกลับไปขอให้มหาดเล็กด้านนอกนำอุปกรณ์ทำแผลมาให้ และเมื่อมหาดเล็กตนหนึ่งนำอุปกรณ์ทุกอย่างมาวางไว้ให้ที่โต๊ะทรงงาน พร้อมอ่างเซรามิกใส่น้ำสะอาด ก่อนถอยตัวออกไปจากห้อง ข้าก็ก้มศีรษะให้พระองค์เป็นการขออภัยก่อนทำในสิ่งที่ถูกสั่ง
ข้าสูดหายใจลึกอย่างหนักใจ รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังลงมือเป็นเรื่องยากเย็นที่สุดในชีวิตตน ข้าไม่เคยทำงานในวัง ไม่รู้ว่าพวกนางกำนัลต้องปฏิบัติยังไงเวลาถวายงานพระองค์ ข้าเป็นทหาร แถมเป็นแค่ทหารฝึกหัดชั้นต่ำสุด ข้าดูแลใครอย่างอ่อนโยนไม่เป็น... แค่หยิบแปรงสางผมให้วอร์เรนได้ก็ถือว่าข้าเก่งมากแล้ว
และเมื่อเดินไปถึงโต๊ะทรงงานข้าก็คุกเข่าลงข้างๆ แต่ทันทีที่เงยหน้ามองวรองค์แกร่ง ข้ากลับรู้สึกว่าตนทำผิดมหันต์เมื่อระยะมือเอื้อมของข้าที่คุกเข่าอยู่กับพื้นกับร่างกายสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงงานดูจะห่างเกินไป
ราชาเลจินอฟไม่ได้พูดอะไรกับการเลือกนั่งคุกเข่าของข้า แต่เพียงปรายตาลงมอง ราวเฝ้าดูว่าข้าจะแก้ปัญหายังไงต่อไป
แค่เริ่มข้าก็เหมือนตนทำทุกอย่างผิดพลาด ราวอยู่ผิดที่ผิดทาง และราชาเลจินอฟก็ดูจะไม่ให้ความร่วมมืออะไรเลยนอกจากนั่งอยู่นิ่งๆ ไม่แม้แต่จะหมุนตัวมาทางข้าด้วยซ้ำ
ข้าต้องสูดหายใจลึกอีกรอบ ตัดสินใจยืนขึ้น แม้รู้สึกว่าเสียมายาทที่ยืนคร้ำหัวพระองค์ และรู้สึกว่าตนทำทุกอย่างอย่างเก้ๆ กังๆ จนน่าขัน ทว่าหากไม่ยืนมือก็คงเอื้อมไม่ถึง แต่เมื่อหยิบผ้าชุปน้ำอุ่นเพื่อจะเช็ดแผล ข้าก็ต้องสะดุดกับผ้าพันแผลบนต้นคอแกร่งอีกครั้ง และอดจะเอ่ยออกไปไม่ได้ว่า
“เอ่อ... ฝ่าบาท ช่วยเอาผ้าพันแผลออกได้ไหม... เพคะ”
“ถ้าข้าจะทำเอง แล้วจะสั่งเจ้าทำทำไม” การตอบรับจากองค์ราชาทำให้ข้าหมดคำพูดทันใด และเริ่มอึดอัดใจมากกว่าเดิม
ข้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางผ้าลง และก้มตัวลงไปค่อยๆ แกะผ้าพันแผลเก่าของราชาเลจินอฟ รู้สึกว่าตนกลั้นหายใจกับช่วงเวลาที่ดึงผ้าสีขาวนั่นออกที่ละรอบบนต้นคอแกร่ง มันยากมากที่ต้องคอยเกร็งมือไม่ให้ไปสัมผัสตัวพระองค์
แน่นอนว่าข้าเคยทั้งต่อยพระองค์ พ่นไฟใส่ จับเหวี่ยง และเอามีดปาดคอ แต่นั่นมันก็ตอนที่ข้าไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร ซ้ำข้าต้องทำหน้าที่จัดการกับผู้ที่บุกรุกหอคอย ไม่ใช่มาเผชิญหน้ากันในฐานะราชากับทหารฝึกหัดแบบนี้
“รังเกียจข้ารึไง”
ข้าสะดุดมือทันทีกับคำถามเฉียบเย็นที่มีรอยขุ่นมัว ก่อนต้องรีบก้มศีรษะทูล
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันแค่...”
“งั้นก็อย่าทำเหมือนไม่อยากถูกตัวข้า” เสียงห้วนเย็นโต้คืนทันที
ข้าต้องลอบระบายลมหายใจ ก่อนก้าวเข้าไปใกล้พระองค์มากขึ้น และลงมือถอดผ้าพันแผลนั้นโดยพยายามคิดว่าพระองค์เป็นคนคนหนึ่งที่ข้าสามารถจับต้องได้ไม่ต่างจากเพื่อนหรือคนที่รู้จัก ซึ่งเหมือนมันจะทำให้พระองค์ให้ความร่วมมือกับข้ามากขึ้น อย่างน้อยก็ยอมก้มหัวลงนิดให้ข้าจัดการกับผ้าพันแผลได้ง่ายขึ้น
และข้าถอนหายใจโล่งอกทันทีเมื่อผ้าสีขาวหลุดออกจากลำคอราชาเลจินอฟจนหมด แต่ก็รู้สึกโล่งอกได้แค่ครู่เดียว เมื่อเห็นว่าแผลที่ต้นคอพระองค์สภาพแทบไม่ต่างจากเมื่อวาน มันยังมีเลือดซึม ปากแผลเหมือนสดใหม่ มันแทบไม่สมาน แม้จะดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เล็กน้อยจริงๆ
แต่ข้ารู้ว่าตนควรรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จ จึงต้องละจากแผลนั่น แม้เริ่มรู้สึกว่าใจตนไม่สงบนัก และหยิบผ้าที่ชุปน้ำหมาดๆ ไว้มาซับบนรอยบาด ณ วินาทีนั้นข้าไม่ได้สนใจอะไรเลยเว้นแผลนั่น จนกระทั่งเสียงทุ้มลึกเอ่ยแทรกขึ้นว่า
“คงไม่ค่อยทำแผลสินะ”
“เพคะ?” ข้าเงยมองใบหน้าคม
“เจ้ามือหนัก”
“ขอประทานอภัยเพคะ!” ข้าผละมือออกทันที เพิ่งรู้ว่าตนคงตั้งใจเกินไปหน่อย ทว่าพระองค์ก็หันมากล่าวทันที
“อย่าหยุด”
ข้าต้องยืนนิ่งไปครู่ ก่อนก้มศีรษะให้พระองค์อีกครั้ง ซึ่งราชาเลจินอฟก็กลับไปนั่งพิงพนักเกาอี้ใหม่ ไม่เอ่ยอะไรอีกเหมือนเป็นการบอกให้ข้าทำแผลต่อไป
แต่ครั้งนี้เมื่อข้าก้มตัวลงไป ความรู้สึกหนาวสันหลังแปลกๆ กลับแผ่ซ่านขึ้นมาจนต้องชะงักไป มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ข้าอยู่ในท้องพระโรงและถูกสายพระเนตรคู่คมจ้องลงมา ซึ่งนั่นทำให้ข้าพอเดาได้เกือบจะทันทีว่าเวลานี้พระองค์ก็คงกำลังมองข้าอยู่เช่นเดียวกัน
ไม่รู้ว่าทำไมรอบนี้ราชาเลจินอฟจึงจับจ้องข้าแบบนี้ อาจกลัวข้ามือหนักอีกจึงต้องคอยคุมด้วยสายตาไว้
“มีอะไร”
ข้าคงชะงักกายนานไปพระองค์จึงถามขึ้นใหม่
“เอ่อ... เปล่าเพคะ... แค่คิดว่า น่าจะพันแผลได้แล้ว” ข้าเปลี่ยนเป้าหมายของตนทันใด เมื่อคิดว่าคงไม่อาจทนสู้ดวงเนตรคู่เรียวคมที่อ่านยากได้ พร้อมหมุนตัวจะไปหยิบผ้าพันแผลในถาดเงิน ทว่าก็ถูกเสียงเฉียบถามขึ้นอีก
“เช็ดแผลเสร็จแล้วรึไง”
ยัง... แต่สถานการณ์ที่ชวนอึดอัดแบบนี้มันทำให้ข้าอยากถอยออกไปให้ห่างองค์ราชาเร็วที่สุด ซึ่งนั่นก็ทำให้ข้าเลือกจะตอบไปว่า
“... เพคะ”
“ทั้งที่ยังไม่ซับแผลให้แห้ง และใส่ยางั้นเหรอ”
ชัดเจนว่าถูกไล่ต้อน ราชาเลจินอฟไม่คิดปล่อยให้ข้าได้ตั้งหลักในการรับมือพระองค์แม้แต่วินาทีเดียว และเมื่อข้าไม่มีข้ออ้างอะไรนอกจากยืนนิ่ง ปฏิเสธไม่ได้ พระองค์จึงสั่งชัดเจนมาว่า
“กลับมาทำให้เสร็จ”
เป็นเหมือนประกาศิต ข้าทำได้แค่หยุดนิ่งไปครู่ ก่อนจะผละมือออกจากผ้าพันแผลในถาดเงิน และเตรียมหมุนไปเผชิญหน้ากับราชาของตน...
ก็อก ก็อก ก็อก
ยังไม่ทันได้ขยับตัวกลับไปหาพระองค์ เสียงเคาะที่ประตูก็ดังขึ้น ก่อนมหาดเล็กที่เป็นคนแคระเฝ้าหน้าห้องจะก้าวเข้ามารายงานว่า
“ท่านเอดริกมาเข้าเฝ้าตามรับสั่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามา” ราชาเลจินอฟอนุญาตทันที ในขณะที่ข้าต้องยืนนึกถึงชื่อของอาคันตุกะที่มาเข้าเฝ้าครั้งนี้
ถ้าข้าจำไม่ผิดท่านเอดริกอยู่ในกลุ่มหัวหน้าหน่วยที่มาดูการฝึกของพวกทหารฝึกหัดอย่างพวกข้าบ่อยๆ และเป็นหนึ่งในผู้คัดเลือกมังกรไปทำหน้าที่เฝ้าหอคอยด้วย... ทำไมราชาเลจินอฟเรียกตัวเขามา
และเมื่อร่างสูงใหญ่ผิวสีทองแดงแบบที่บ่งบอกถึงเผ่าพันธ์มังกรไอรอนเรดก้าวเข้ามาในห้องทรงงาน เขาก็ดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นข้าที่นี่ ท่านเอดริกเป็นไอรอนเรดแบบเดียวกับท่านเคออส แต่รูปร่างเล็กกว่า หนุ่มกว่า ดูไม่ดุดันเท่า แต่กระนั้นก็ยังตัวใหญ่กว่าคนทั่วไปอยู่ดี
ซึ่งข้าต้องละความสนใจไปจากแขกที่มาใหม่ เมื่อราชาเลจินอฟหันมาสั่งข้าใหม่ว่า
“ออกไปรอข้างนอกอาเทนโน่”
แม้จะสงสัย หากข้าก็รีบก้มศีรษะรับคำสั่ง วางทุกอย่างในมือลง และก้าวเดินออกไปโดยไม่ลืมก้มหัวเคารพผู้ที่มียศสูงกว่าอีกคนในห้อง ซึ่งท่านเอดริกก็มองตามข้าด้วยหัวคิ้วที่ชนกันนิดๆ อย่างมีข้อสงสัยชัดเจน ข้ารู้ดีว่ามันคงเป็นสถานการณ์ที่ดูแปลกมากที่เขาเข้ามาเห็นทหารฝึกหัดตนหนึ่งกำลังยืนถือผ้าชุปน้ำ พร้อมอุปกรณ์ทำแผลอยู่ข้างราชาแห่งเทเนบริส ทั้งที่มันไม่ใช่หน้าที่เลย
กระนั้นข้ากลับรู้สึกขอบคุณท่านเอดริกอย่างยิ่งที่ยืนอยู่ที่นี่ตอนนี้ เพราะมันช่วยให้ข้าหลุดจากบทลงโทษของราชาเลจินอฟออกมาได้ในที่สุด
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพิ่งได้เข้ามาอ่าน คาเว่สจะได้เสียเงินอีกแล้ว 🤣🤣
เเอาแต่ใจ
กว้างขวางคอ=ก้างขวางคอ