ตอนที่ 64 : ตอนที่ 62 พิธีแต่งตั้งยศ
เนียร์รู้สึกถึงลมหายใจตนที่เข้าออกได้ไม่สุดยามมองแผ่นหลังใหญ่ใต้ผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มที่สะบัดพลิ้วตามการก้าวนำของท่านเคออส พร้อมเสียงย้ำเท้าเป็นจังหวะหนักแน่นพร้อมเพรียงจากกองทหารอัศวินทั้งสองข้างกายที่ราวกับเป็นคนคนเดียวกัน
เพลงของนางไซเรนจบไปแล้ว และในปราสาทเทเนบริสไม่มีเสียงอื่นใดอีกนอกจากบทบรรเลงเป็นจังหวะซ้ำๆ จากเหล่าอัศวินในชุดเกราะดำที่กำลังทำหน้าที่เป็นขบวนนำส่งผู้ที่จะเข้าพิธีแต่งตั้งยศเป็นอัศวินชั้นพิเศษคนใหม่ โดยมุ่งตรงไปตามทางเดินหินอ่อนที่ปูทอดสู่ใจกลางของปราสาทหลังใหญ่
และแม้ตลอดทางที่เดินผ่านมังกรลูกครึ่งบลูไฟเออร์จะไม่พบผู้ใด แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงสายตานับร้อยคู่จากเบื้องบนที่กำลังจับจ้องมายังตนและขบวนทหารในชุดเกราะดำ
เหล่าพระราชอาคันตุกะที่ยืนรอรวมพิธีอยู่บนสถานที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้รอบๆ ลานระเบียงศักดิ์สิทธิ์
เนียร์ต้องยอมรับ แม้รู้ว่าเมื่ออยู่บนลานระเบียงศักดิ์สิทธิ์จะมีเพียงตนและจอมมาร ทว่าสายตามากมายจากที่ไกลๆ รอบด้านก็ยังคงสร้างแรงกดดันให้เธอได้ไม่น้อยอยู่ดี
“หยุด!”
สมาธิที่กำลังจดจ่อกับสายตาเบื้องบนพลันชะงักงันพร้อมเท้าที่กำลังก้าวเดิน และร่างกายที่สะดุ้งไหว เมื่อเสียงเด็ดขาดกร้าวหนักจากแม่ทัพใหญ่หัวขบวนดังขึ้นพร้อมมือขวาที่ยกขนานกับท่อนแขนเป็นสัญญาณให้หยุดเดิน
ก่อนเนียร์จะตวัดมองซ้ายขวา เมื่ออยู่ๆ แถวทหารในชุดเกราะดำที่ขนาบทั้งสองข้างต่างพากันกระจายตัวออก และจัดขบวบแถวขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว ล้อมกรอบเป็นวงกลมกว้างแทนแถวตอนลึก ก่อนทุกร่างจะตวัดมือขวา ชักดาบที่ข้างเอวซ้าย แล้วกระแทกปลายดาบลงบนพื้นเบื้องหน้าตนพร้อมกันจนเกิดเสียงแหลมคมที่ฟังทรงพลังในฉับพลัน
ซึ่งที่สะดุดตาเนียร์ทันทีคือดาบประจำกายของอัศวินทุกตนเป็นโลหะสีดำจนดูเผินๆ แล้วเหมือนดาบดำของราชาเลจินอฟก็ไม่ปาน
มังกรสาวยืนงุนงงอยู่ชั่วขณะกับเหตุการณ์รอบตัว ก่อนจะถูกดึงกลับมายังเบื้องหน้ายามร่างใหญ่โตราวกำแพงของเคออสหมุนมาที่เธอ และก้าวอย่างมั่นคงหนักแน่นมายืนอยู่ข้างหน้าจนเนียร์ต้องเงยสบนัยน์ตาสีอำพันที่ดูจริงจังเสมอของเขา
“การนำส่งเสร็จสิ้นแล้ว” เสียงห้าวต่ำจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดบอกเหมือนคำประกาศิตที่ทำให้มังกรลูกครึ่งบลูไฟเออรต้องยืดหลังตรงไม่ต่างจากอัศวินรอบกายโดยทันที ก่อนสูดหายใจลึกด้วยใจที่เต้นแรงขึ้นพร้อมความรู้สึกหวาดหวั่นเล็กๆ ยามเคออสกล่าวเน้นชัดกว่าเดิมว่า “ที่เหลือคือเส้นทางของเจ้าเพียงคนเดียว”
จบคำนั้นผู้เป็นมังกรไอรอนเรดก็ตวัดมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกอีกคู่ต้องตวัดมองตาม ก่อนเนียร์จะเงยจนคอตั้งบ่ากับหอคอยใหญ่ตรงหน้าที่สูงขึ้นไปจนเทียมเมฆ และเธอรู้ได้ในทันทีว่าที่จุดยอดนั้นคือที่หมายของตน
ทว่าเท่าที่จำได้เธอเคยบินสำรวจปราสาทเทเนบริสมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่รู้สึกคุ้นเคยกับหอคอยใหญ่ที่สูงมากขนาดนี้มาก่อนเลย
“ปกติข้าควรจะต้องกล่าวนำการสาบาทเพื่อให้เจ้าว่าตาม ก่อนจะมอบคำปฏิญาณในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดคืนแก่เจ้า และอวยพรเพื่อรับเจ้าเข้าสู่บ้านของอัศวินใต้อำนาจข้า” คำกล่าวต่อมาของเคออสทำให้เนียร์ก้มกลับไปมองที่ใบหน้ากร้านดุของเขา และตั้งใจฟังสิ่งที่เขาบอกด้วยหลังที่ยืดตรงอย่างเคารพและให้เกียรติ “แต่ในครั้งนี้เจ้าไม่ได้กำลังจะเข้ามาอยู่ใต้อำนาจข้า ฉะนั้นการให้สาบาทตน และมอบคำปฏิญาณคืนคงไม่ถูกหลัก”
ระหว่างมังกรลูกครึ่งบลูไฟเออร์และแม่ทัพไอรอนเรดเกิดความเงียบชั่วอึดใจเมื่อสิ้นคำกล่าวนั้น ราวกับร่างใหญ่โตในเกราะหนักใช้ช่องว่างในคำพูดคิดคำนึงบางอย่างยามมองตรงไปในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึก ก่อนเขาจะเอ่ยขึ้นใหม่
“ดังนั้นก็คงจะเหลือแค่คำอวยพร”
ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่ราวกับว่าเธอสัมผัสถึงความเมตตาในน้ำเสียงของแม่ทัพใหญ่ที่มักแข็งกร้าวและดุดันเคร่งเครียดต่อทุกสิ่งในประโยคนี้
“ข้ารู้ว่ามีหลายคนที่คิดว่าเจ้าไม่คู่ควรกับกับตำแหน่งอัศวินชั้นพิเศษ และแน่นอนว่าตัวข้าเองก็คิด... และตัวเจ้าเองก็คิดเช่นกัน” เคออสเปรยประโยคแรกด้วยแววตาที่เรียบเย็นและดูไม่ได้พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้นักจนเนียร์เผลอก้มหลบดวงตาสีอำพันที่หรี่แคบส่งมาเล็กน้อย ทว่าบรรยากาศหนักๆ จากร่าใหญ่โตราวกำแพงนั่นกลับผ่อนคลายลงในคำพูดต่อมาที่ฟังคล้ายปลงอนิจจังและคล้ายจะเข้าใจไปพร้อมกันว่า “แต่ในเมื่อเจ้าได้มันมาแล้ว ก็จงรักษาเกียรติ์ของมันไว้ให้ดี การได้ตำแหน่งสำคัญ ไม่สำคัญเท่ากับการพิสูจน์ตนว่าเหมาะสมกับมัน และแม้ข้าจะไม่เคยพูด แต่เชื่อเถอะ... ว่าตัวเจ้าน่ะเหมือนกับเนลโล่มากกว่าที่เจ้าคิด”
เนียร์ตวัดใบหน้าขึ้นมองมังกรไอรอนเรดอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ฟัง
“และถึงเนลโล่จะเป็นบลูไฟเออร์ที่ไม่ได้สนใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ และคงไม่ได้รู้สึกว่าตำแหน่งอัศวินชั้นพิเศษวิเศษไปมากกว่าทหารฝึกหัด แต่เขาจะภูมิใจในตัวเจ้า... เพราะเขาบอกข้าเสมอว่าแม่ของเจ้าคือแรงบันดาลใจ ส่วนเจ้าคือความภูมิใจเดียวที่เขามี ตัวตนของเจ้าตั้งแต่เกิดจนกระทั่งช่วงชีวิตสุดท้ายของเขานั้น คือความภาคภูมิใจเสมอ”
“ซึ่งไม่ใช่ทั้งในฐานะบลูไฟเออร์ มังกร หรือแม้แต่ทหาร แต่เป็นในฐานะลูกสาว... เจ้าจะเป็นได้มากกว่าที่เขาเป็น เป็นได้มากกว่าบลูไฟเออร์ และแม้ตำแหน่งนี้ราชาเลจินอฟจะแต่งตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไรสักอย่าง แต่พระองค์จะไม่มีวันมอบมันให้เจ้าแน่หากไม่เห็นว่าเจ้ามีบางอย่างที่คู่ควร ที่สำคัญข้ารู้ว่าเจ้าจะทำมันให้ถูกต้อง... ฉะนั้น โชคดี เจ้าเหมาะสมกับตำแหน่งนี้แล้วเนียร์ อาเทนโน่”
แม้คนที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ใช่พ่อของเธอ และเขาไม่เคยปฏิบัติหรือมองเธอเหมือนลูกสาว ซ้ำนี่อาจเป็นแค่การอวยพรตามธรรมเนียม ทว่าทุกสิ่งที่เรียงร้อยออกมาจากปากเขากลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงราวกับพ่อของเธอมาพูดอยู่ตรงหน้าเธอด้วยตัวเอง มันทรงพลังและมีความหมายมากมายนักสำหรับเธอจนรู้สึกว่าในคอมันตีบตันขึ้นมาด้วยความเต็มตื้น แล้วต้องรีบกลืนก้อนแข็งนั่นลงคอก่อนจะทำเรื่องขายหน้ากลางวงล้อมของอัศวินนับร้อยชีวิตและผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วยการกลับกลายเป็นลูกมังกรที่ร้องหาพ่อของตน
และแม้ทัพคนสำคัญจะไม่ได้เห็นด้วยและมีข้อกังขาในตำแหน่งใหญ่ครั้งนี้ของเธอ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่าเขาไม่ยินดี คาดหวัง หรือภูมิใจกับมัน ซึ่งมันช่วยเพิ่มความกล้าและแรงฮึดในใจต่อสิ่งที่ตนกำลังจะไปเผชิญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ซึ่งความพร้อมจากสายตาและบรรยากาศของเจ้ามังกรลูกครึ่งบลูไฟเออร์ที่ส่งมาก็ทำให้แม่ทัพคนสำคัญเอ่ยคำสั่งเด็ดขาดและหนักแน่นอีกครั้งว่า “ที่นี้ก็ถึงเวลาทำในสิ่งที่เจ้าถนัดที่สุดแล้ว... บินขึ้นไปซะ”
ครั้งนี้เพียงสิ้นคำสั่ง เธอก็ก้มศีรษะรับโดยไร้ความลังเล พร้อมสยายปีกพังผืดสีดำบนแผ่นหลัง แล้วตวัดคลุมกาย ก่อนชั่ววินาทีต่อมามังกรดำตัวใหญ่จะปรากฏขึ้นกลางวงล้อมของเหล่าอัศวินในชุดเกราะพร้อมลมหอบใหญ่จากปีกกว้างที่สะบัดคลี่ออกจากตัว
เนียร์ก้มมองเคออสด้วยดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกที่มีความมั่นใจอย่างชัดเจนพร้อมส่งคำขอบคุณต่อความเชื่อมั่นที่เขามอบให้ผ่านความเงียบชั่วอึดใจ ก่อนใช้ขาหลังที่แข็งแกร่งสองข้างถีบกายขึ้นด้านบนและกระพือปีกส่งตัวเองไปยังยอดสุดของหอคอยตรงหน้า มุ่งสู่ลานระเบียงที่ราชาปีศาจแห่งเทเนบริสเฝ้ารอตนอยู่
*********************
อากาศชื้นเย็นจากเบื้องบนกระทบหน้าจนเธออดปิดตาสูดกลิ่นบริสุทธิ์ของมันที่ไม่ได้สัมผัสมานานไม่ได้ ก่อนร่างสีดำและปีกพังผืดจะผ่านทะลุกลุ่มเมฆขึ้นมาด้วยความเร็ว ทิ้งไออากาศที่ปลายปีกเป็นสายยาว แล้วโฉบกายจิกกรงเล็บบนยอดสุดของหอคอย
และเนียร์พบว่าทั่วบริเวณนั้นถูกปกคลุมด้วยละอองขาวที่เคลื่อนไหวราวผืนผ้ารอบกาย จนเหมือนตนหลุดเข้ามาในโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย
กระนั้นเนียร์ก็สัมผัสได้ผ่านอุ้มเท้าทั้งสี่ของตนถึงความเรียบลื่นที่ไม่มีรอยต่อใดๆ ของพื้นที่ตนเหยียบ ก่อนมวลเมฆที่ปิดกั้นสายตาจะค่อยๆ จางลงจนพอจะเห็นพื้นสีดำเงาที่สะท้อนภาพของตนได้อย่างชัดเจนกลับมา
พื้นกระจก?... เนียร์เอียงศีรษะโตๆ ของตนก้มลงไปเพ่งยังพื้นใต้เท้าให้มั่นใจมากขึ้น พลางเคลื่อนกายก้าวขาหน้าลงบนพื้นอีกหนึ่งก้าว แล้วต้องหยุดกึกด้วยความแปลกใจเมื่อพื้นใต้เท้าที่เหยียบลงกระเพื่อมไหวเป็นวงกว้างราวกับผิวน้ำ ทว่ากลับไม่มีความชื้นแฉะใดๆ มันยังคงเป็นสัมผัสของผิวลื่นแข็งราวแก้วไม่ก็กระจกแม้แต่กับตอนที่เกิดแรงกระเพื่อม
ที่สำคัญอุณหภูมิของมันไม่ได้เย็นชืด แต่อบอุ่น และที่เธอใช้คำว่าอบอุ่น เพราะมันไม่ใช่แค่อุ่นแบบเหมือนวัตถุที่โดนความร้อนหรืออาบแสงแดดจนอุณหภูมิสูงขึ้น แต่มันเป็นความอุ่นแบบที่เหมือนมาจากร่างกายของสิ่งมีชีวิต
ลานระเบียงศักดิ์สิทธิ์... เป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดมากจริงๆ... พื้นสัมผัสและเงาสะท้อนสีดำเหมือนเนื้อกระจก แต่ทุกย้างก้าวกลับเกิดวงคลื่นราวผืนน้ำ ซ้ำยังมีอุนหภูมิอบอุ่นเหมือนสิ่งมีชีวิตผิดกับร่างกายแบบสัตว์เลือดเย็นอย่างเธอ จนทำให้เผลอคิดไปว่าความอบอุ่นจากพื้นระเบียงนี้ราวเป็นอุนหภูมิและสัมผัสจากราชาเลจินอฟ...
“ดูเหมือนเคออสจะทำหน้าที่ผู้นำส่งได้ดีกว่าที่คาด”
หัวใจใต้เกล็ดสีดำกลางหน้าอกกระตุกไหวฉับพลันกับเสียงคุ้นเคยที่ลอยผ่านม่านหมอก เนียร์ตวัดศีรษะขึ้นมองหาเจ้าของเสียงทันใด ทว่าวินาทีต่อมาสายลมหอบใหญ่กลับพัดวูบขึ้นปะทะจากใต้เท้าจนต้องสะบัดศีรษะหนีพร้อมไอขาวบางส่วนที่ยังลอยอ่อยอิ่งก็ถูกพัดหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ทัศนียภาพที่ถูกบดบังอยู่เปิดโล่งชัดเจนเป็นครั้งแรก
และมังกรสาวพบว่าตนกำลังยืนอยู่บนลานโล่งกว้างใหญ่ ดูเวิ้งว้างเหมือนกับจะไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับอยู่ในโลกบนผิวน้ำสีดำสนิท ซ้ำท้องฟ้าเหนือศีรษะที่อยู่ในระยะใกล้จนแทบจะเอื้อมมือจับได้นั้นไม่ได้สว่างโล่เหมือนเป็นเวลาเช้าอย่างที่เธอเข้าใจ ทว่ามันกลับเป็นก้อนเมฆหนาทึบสีเทาที่มีลำแสงรอดลงมาบางส่วนไม่ต่างจากช่วงเวลาหลังฝนตกและฟ้าเริ่มเปิด โดยละอองแสงที่ส่องลงมากระทบนั้นยังสร้างประกายคล้ายเกล็ดเพชรบนผิวพื้นของลานระเบียงดูสวยงามแปลกตา
ทุกอย่างบนลานระเบียงศักดิ์สิทธิ์เหมือนเป็นโลกอีกใบจากพื้นเบื้องล่างที่เธอเพิ่งบินขึ้นมา ซึ่งมันดูเหนือความเป็นจริงจนน่าขนลุก
หากเพียงไม่นานหลังบรรยากาศรอบกายดึงความสนใจเธอไป บางสิ่งบางอย่างหรือควรจะระบุว่า ‘ใครบางคน’ ที่อยู่เบื้องหน้ากลับฉุดกระชากเธอให้กลับไปมองไปยัง ‘พระองค์’ ด้วยใจที่เต้นกระหน่ำอีกครั้ง
ราชาเลจินอฟ!?
ร่างสีดำใหญ่โตต้องเผลอกลั้นลมหายใจพร้อมเกล็ดทั่วกายตั้งชันขึ้นเล็กๆ เมื่อสิ่งที่อยู่อีกฝากฝั่งของลานระเบียงกว้างคือบางอย่างที่คล้ายบัลลังก์ หรือมันอาจจะคือบัลลังก์จริงๆ ที่ก่อขึ้นจากผนึกแก้วสีดำจนสูงใหญ่เกือบเท่าตัวเธอในร่างมังกร ด้วยรูปทรงที่เหมือนหนามแหลมนับพันไม่ก็ปลายหอกหรือปลายดาบนับไม่ท้วนซึ่งแตกตัวออกไปคนละทิศละทาง ขนาดใหญ่เล็กแตกต่าง และทับซ้อนสอดประสานแน่นหนาพร้อมสูงตระหง่านจนเกิดเป็นรูปทรงของบัลลังก์ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดเท่าที่เนียร์เคยเห็นมาในชีวิต
และผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางบัลลังก์ผนึกสีนิลกาฬที่เหมือนกองภูเขาของดงหนามและหอกดาบ ผู้ที่ยังคงโดดเด่นแม้อยู่ในความมืดมิดอนธการเช่นเดียวกับทุกสิ่งที่โอบล้อมพระองค์อยู่
“ราชา... เลจินอฟ...” เนียร์ทำได้แค่ครางชื่อของประมุขแห่งเทเนบริสยามนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกถูกจับตรึงเหมือนโดนควบคุมให้มองเพียงวรองค์ที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อเวลานี้ราชาเลจินอฟนั้นไม่ได้มีรูปลักษณ์เหมือนที่มังกรสาวคุ้นเคยมาตลอดอีกต่อไป
จอมมารแห่งเทเนบริสยังคงมีวรกายแกร่งสูงสง่า ทว่าเส้นเกศาดำยาวที่เคยมัดรวบด้วยเครื่องประดับเงินที่ดัดเป็นเถากุหลาบและพาดอยู่บนบ่ากว้างข้างหนึ่งกลับถูกปล่อยสยาย หากมันไม่ได้พลิ้วไหวตามสายลมอ่อนๆ ทั่วบริเวณ หากโบกเคลื่อนเชื้องช้าอยู่ด้านหลังราวล่องลอยอยู่ใต้น้ำ และเหนือกลุ่มผมสีนิลกาฬที่แหวกว่ายกระจายขึ้นสูงดุจภาพช้า คือเขาแพะคู่ยาวโค้งที่บัดนี้กลายเป็นเนื้อแก้วสีดำโปร่งแสงตั้งแต่โคนจนค่อยๆ กลายเป็นสีแดงราวหยดเลือดที่ปลายสุด
ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นยิ่งกว่าเขาแพะใหญ่ที่กลายเป็นแก้วโปร่งแสงสีดำและแดงนั่น คือมงกุฏ... เพราะมงกุฎที่ว่านั้นมันลอยหมุนวนอยู่เหนือศีรษะของราชาเลจินอฟ และก่อรูปร่างด้วยพระเพลิงสีรัตติกาลที่มีเปลวเป็นสีทอง พร้อมสะเก็ตไฟที่เผาไหม้เป็นสีเดียวกันจนเหมือนประกายของทองคำ
และรูปทรงของมงกุฎแห่งไฟที่ลุกโชวติช่วงซึ่งลอยวนเหนือศีรษะของจอมมารนั่นยังซ้อนกันถึงสามชั้น โดยชั้นนอกสุดเป็นเหมือนวงแหวนที่มีคมแหลมชี้ออกมาทั้งสี่ทิศพร้อมครอบรอบไปทั้งศีรษะและเขาแพะทั้งสองข้างจนเหมือนเป็นรัศมีบนศีรษะของพระองค์ ขณะชั้นที่สองที่อยู่สูงขึ้นไปเป็นมงกุฎใหญ่ที่มีปลายยอดแหลมคม และชั้นที่สามคือมงกุฎที่เล็กลงมาอีกเท่าหนึ่ง
ณ ตอนนี้เนียร์เข้าใจแล้วว่าทำไมเธอไม่เคยเห็นว่าจอมมารพระองค์ใดสวมมงกุฏ เมื่อคำเฉลยกระจ่างอยู่ตรงหน้าว่าจอมมารนั้นเกิดมาพร้อมกับมันตั้งแต่แรก มันจึงไม่มีเหตุผลที่เหล่าราชาปีศาจจะต้องสวมของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาทับสิ่งจริงแท้บนศีรษะตน... พระองค์เกิดมาเพื่อเป็นราชาโดยไร้เงื่อนไขใด
หากสิ่งที่เปลี่ยนไปบนวรกายของราชาเลจินอฟไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะสิ่งที่ทำให้เธอหายใจแทบไม่ออกจริงๆ คือดวงเนตรของพระองค์ ดวงเนตรคู่เรียวคมงดงามที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อน แต่ยามนี้มันกลับลายเป็นสีทองสว่างที่มีแสงเรืองรองออกมาพร้อมรูม่านตาที่เป็นเส้นขีดสีแดงเลือดและล้อมลอบด้วยสีดำในพื้นที่ที่เคยเป็นตาขาว ซึ่งนัยน์ดวงเนตรที่เป็นสีทองสุกสว่างนั้นยังมีสะเก็ตไฟเล็กๆ ประทุผ่านหางตาของพระองค์ทั้งสองข้างออกมาจนเหมือนดวงเนตรของราชาปีศาจกำลังลุกไหม้อยู่ตลอดไม่ต่างจากมงกุฏเหนือศีรษะ
ขณะเครื่องทรงกษัตริย์สีดำก็คล้ายหลอมรวมกับวรกายแกร่ง พระหัตร์สองข้างของพระองค์กลายเป็นสีดำก่อนค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงที่ปลายนิ้วทั้งสิบ พร้อมชุดคลุมกษัตริย์บนแผ่นหลังกลายเป็นหมอกควันสีดำก็ลอยคลุ้งไปทั้ววรกาย ซ้ำกระจายออกกว้างจนแทบเหมือจะคุกคามเข้ามาและกลืนกินทุกสิ่งในรัศมีที่สัมผัสถึงจนทำให้ราชาปีศาจคล้ายมีปีกไร้รูปทรงจากหมอกมฤตยูเหล่านั้น
ยิ่งเมื่อพระองค์ยื่นตระหง่านด้วยรูปลักษณ์เช่นนั้นบนบัลลังแก้วสีดำที่ใหญ่โตประหนึ่งเป็นกองภูเขาอาวุธมันก็ทำให้ภาพตรงหน้าที่สะท้อนภายในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกเป็นเสมือนหายนะที่มืดทะมึน น่าสะพรึงกลัว ลึกสุดหยั่ง ทว่าก็เปี่ยมล้นด้วยอำนาจและงดงามเกินบรรยาย ซ้ำอยู่เหนือจิตใต้สำนึกในทุกด้านที่สุดที่มังกรสาวเคยเห็นมาในชีวิต
แม้ ‘จุดบริสุทธิ์’ ของจอมมารนั้นจะไม่ได้เปลี่ยนพระองค์ให้กลายเป็นอสูรกาย หรือสิ่งที่ใกล้เคียงกับความน่าสยดสยองผองขน หากมันก็เป็นอะไรที่ใกล้เคียงอยู่ไม่น้อยในอีกมุมมองหนึ่ง...
“ก้าวเข้ามาเนียร์ อาเทนโน่”
เนียร์สะท้านกายเฮือกกับรับสั่งจากจอมมาร และรับรู้ได้ว่าสุรเสียงของพระองค์นั้นไม่ได้มาจากปากเมื่อพระองค์ไม่ได้ขยับพูดแม้แต่น้อย ซ้ำพระพักตร์ที่หล่อเหลาอย่างน่ากลัวนั่นก็ยังคงนิ่งเรียบไม่เปลี่ยนแปลง หากสุรเสียงของพระองค์กลับดังออกมาจากทุกทิศทางและสะท้อนแววราวเสียงกระซิบที่ผ่านม่านน้ำ หากชัดเจนและฟังเย็นยะเยือกไร้อารมณ์อยู่ในกกหูจนเกล็ดทั่วกายเธอลุกวาบ
และยังไม่ทันที่จะได้ทำตามคำสั่งเธอกลับต้องกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เมื่อจอมมารบนบัลลังก์สูงใหญ่น่าหวาดหวั่นนั่นเป็นฝ่ายขยับก้าวมาก่อนเสียเอง
ซึ่งสิ่งที่อยู่ใต้เท้าของพระองค์ไม่ใช่ขั้นบันไดเมื่อบนผลึกสีดำแหลมคมเหล่านั้นไร้ทางขึ้นลง แต่มันเป็นเศษแก้วมากมายที่ก่อตัวขึ้นกลางอากาศเพื่อรองรับทุกย่างก้าวของวรองค์สูงสง่าราวเป็นขั้นบันไดที่ถูกเสกขึ้น ขณะทิ้งรอยเท้าเบื้องหลังเป็นผลึกแก้วที่ลุกไหม้ด้วยไฟสีนิลและมีสะเก็ตขี้เถ้าเป็นกลีบกุหลาบสีน้ำเงินเข้มที่ลอยคลุ้งออกมา ก่อนกลืนหายไปกับอากาศธาตุ สร้างความตื่นตาให้มังกรสาวที่มองอยู่ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
และไม่นานราชาปีศาจก็ก้าวมาถึงพื้นผิวด้านล่างสุดอย่างนิ่มนวล สร้างแรงกระเพื่อมที่ลานระเบียงใต้เท้า ซ้ำยังคงเดินตรงมายังมังกรลูกครึ่งบลูไฟเออร์ต่อ โดยยังทิ้งรอยเท้าเป็นผลึกแก้วแหลมคมที่แทงแยกออกเหมือนดอกไม้ ก่อนลุกไหม้เป็นขี้เถ้ากลีบกุหลาบและค่อยๆ ลอยขึ้นพลางสลายหายไปตลอดทาง
ขณะสีพระพักตร์ที่ว่างนิ่งราวถูกฉาบไว้ และดวงเนตรสีทองเรืองรองซึ่งคละคลุ้งด้วยสะเก็ตไฟเล็กๆ บนพื้นตาสีดำสนิทที่จับจ้องตรงมาโดยไม่มีคำพูดอื่นใดก็ทำให้มังกรลูกครึ่งบลูไฟเออร์ที่ถูกมองรู้สึกหวั่นเกรงและประหม่ามากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าเธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับใครสักคนที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน
แน่นอนว่ามังกรสาวรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ ทรงอำนาจ และน่าสะพรึ่งได้จากรูปลักษณ์ทั้งหมดของจอมมารเวลานี้ ไม่ว่าจะมงกุฏที่ลุกไหม้เหนือศีรษะ เส้นเกศาที่เคลื่อนไหวไปมาแม้ไม่มีลมราวล่องลอยใต้ผืนน้ำ วรกายแข็งแกร่งที่เกือบจะหลอมรวมไปกับเครื่องทรงกษัตริย์และผ้าคลุมใหญ่ที่เป็นหมอกควันสีดำด้านหลังที่คล้ายจะกลืนกินทุกสิ่งที่มันสัมผัส
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ยังไม่มีอะไรน่าหวาดหวั่นไปกว่าพระพักตร์แสนงดงามยิ่งว่าสิ่งมีชีวิตใดบนพื้นพิภพที่นิ่งเรียบยิ่งกว่าความนิ่งเฉยหรือเย็นชา เพราะมันคือความไร้ชีวิต เหมือนกับว่าราชาเลจินอฟสวมหน้ากากที่ไม่มีเลือดเนื้ออยู่จริงๆ
ทว่าแม้ในอกจะหวั่นไหวด้วยรูปลักษณ์ดั้งเดิมของจอมมาร เนียร์ก็ระลึกถึงคำสั่งของพระองค์และหน้าที่ที่บอกว่าเธอมาทำอะไรบนลานระเบียงนี้ได้ ทำให้เธอเริ่มก้าวขาทั้งสี่ของตนไปข้างหน้าช้าๆ ตรงไปยังราชาปีศาจที่ก้าวตรงมายังเธอเช่นกัน ขณะท่องในหัวทุกลมหายใจเข้าออกว่าเธอไม่จำเป็นต้องกลัวราชาของตนถึงแม้พระองค์จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกก็ตาม พลางเชิดหน้าขึ้นนิดๆ แล้วยืดอกของตนขึ้นให้สมกับความเป็นมังกรและทหารที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่ง
แต่เนียร์ก็แอบสะดุดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าราชาเลจินอฟหยุดเดินอยู่เบื้องหน้ากลางลานระเบียงที่ราวกับโลกบนผิวน้ำสีดำ เป็นการบ่งบอกชัดเจนว่านั่นคือจุดที่เธอต้องก้าวเข้าไปหาพระองค์
หากการรอคอยที่เงียบงันและดวงเนตรเปลวเพลิงที่จ้องตรงมาไม่วางตาของจอมมารกลับสร้างแรงกดดันให้เนียร์มากขึ้นจนเผลอลอบกลืนน้ำลายและกลั้นลมหายใจไว้ครึ่งหนึ่งอย่างไม่ทันรู้ตัว
“กลัวข้าสินะ”
เนียร์ชะงักเท้าทั้งที่อีกเพียงไม่กี่ช่วงตัวก็จะถึงวรองค์สูงสง่ากับสุรเสียงที่เปรยมาจากราชาเลจินอฟ และยังไม่ทันที่เธอจะโต้ตอบหรือคิดออกว่าควรอธิบายอะไรกลับไป สุรเสียงไร้อารมณ์ที่สะท้อนจากรอบกายก็ดังขึ้นต่อ
“เสียงพูดที่ไม่สื่อความรู้สึก ปากที่ไม่อาจแม้แต่ยกยิ้ม ดวงตาที่ไม่กระพริบ คิ้วที่ไม่แม้แต่จะขยับ ใบหน้าที่ไม่สามารถแสดงอารมณ์อื่นใดหรือเปลี่ยนแปลงได้ดุจหน้ากาก ทำได้เพียงวางเรียบเฉยเหมือนหุ่นโลหะที่ถูกหล่อ” สุรเสียงเรียบของราชาปีศาจมาพร้อมวรกายแกร่งที่เริ่มก้าวย้างอีกครั้ง และครั้งนี้พระองค์ทรงเหยียบอากาศว่างเปล่าที่มีเกล็ดผลึกสีดำรองรับเท้าไว้ขึ้นสูงเรื่อยๆ ราวเหยียบขั้นบันได และยังว่าด้วยริมฝีปากที่ไม่ขยับแม้แต่น้อย “หากเจ้าเคยสงสัยว่าจอมมารนั้นเหมือนสิ่งที่ถูกจงใจสร้างหรือประดิษฐ์ขึ้นมาแล้วล่ะก็... เจ้าก็เข้าใจถูกแล้ว”
เนียร์ยังคงทำได้แค่จับจ้องวรองค์ที่ปกคลุมด้วยหมอกควันทะมึนซึ่งก้าวสูงทีละก้าวช้าๆ และคล้ายใกล้ตัวเธอมากขึ้น ขณะสรุเสียงทุ้มต่ำที่ฟังไม่สื่ออารมณ์และน่าขนลุกเล็กๆ จากรอบกายยังสะท้อนขึ้นไม่ขาดช่วง
“พระเจ้าหลังน้ำตาสีดำลงมา หวังสร้างสิ่งที่สมบรูณ์แบบที่สุดเท่าที่พระองค์จะจินตนาการได้ในหัวเหมือนเด็กน้อยอ่อนเดียงสา หวังให้มันคงสมดุลโลกที่ผิดเพี้ยนไป ก่อนสิ่งสมบรูณ์แบบจะกำเนิดขึ้นด้วยรูปลักษณ์ที่ปั้นแต่งอย่างปราณีตที่สุด... เพื่อให้ใบหน้าของมันงดงามอยู่เสมอ จึงไม่ควรทำให้มันมีสีหน้าที่แสดงความบูดเบี้ยวใดๆ ได้ มันจึงไม่อาจแสดงความรู้สึกใดบนใบหน้าตน และเพื่อให้เสียงของมันไพเราะเสมอ มันจึงควรขับขานออกมาได้เพียงระดับเดียว ไม่ดังหรือเบาเกิน ไม่สูงหรือต่ำเกิน เพียงเรียบเรื่อยเหมือนผิวน้ำเย็นเฉียบ มันจะได้ไม่ตะโกนให้แตกตื่นหรือกระซิบเบาจนน่ารำคาญ และเพื่อให้ร่างกายและรูปลักษณ์อยู่เช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลงมันจึงไม่มีวันแก่ชรา ไม่เสื่อมถอย มีอายุที่ไร้สิ้นสุด”
“แต่ไม่นานพระองค์กลับพบว่าความสมบรูณ์แบบนั้นช่างไร้ซึ่งชีวิตชีวา มันว่างเปล่าและโดดเดี่ยว อำนาจมหาศาลและความเฉลียวฉลาดที่มอบให้ยิ่งทำให้มันแปลกแยกจากโลกที่พระองค์สร้างไว้ เหมือนฟันเฟืองที่ประดิษฐ์อย่างละเอียดละออแต่ไม่เข้ากับกลไกของนาฬิกาไม้เก่าๆ เรือนโปรดที่เที่ยงตรง พร้อมทั้งได้เรียนรู้ความจริงว่าสิ่งสมบรูณ์แบบที่แท้จริงนั้น คือสิ่งที่ไม่สมบรูณ์แบบ เช่นนั้นพระองค์จึงทิ้งขว้างของเล่นที่สมบรูณ์แบบและทำให้มันมีได้แค่หนึ่งไปตลอดกาล โดยไม่ได้แก้ไขอะไรมันแม้แต่หัวใจที่ยึดติดเพียงรักเดียวเหมือนคนโง่”
สิ้นประโยคคำพูดนี้มังกรลูกครึ่งบลูไฟเออร์ที่นิ่งงันไปราวถูกจอมมารตรงหน้าสะกดไว้กลับต้องไหวกายและสะดุ้งเล็กๆ เมื่อเธอเพิ่งรู้สึกว่าวรองค์สูงสง่าที่ก้าวขึ้นมาจากเบื้องล่างนั้นมายืนเผชิญหน้าตนในระดับสายตาเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหรไม่รู้จนนัยน์ตาเปลวเพลิงที่สุกสว่างสบประสานกับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกคู่โตของเธอในร่างมังกรได้อย่างพอดี และใกล้จนจมูกยาวๆ ของเธอแทบสัมผัสถูกตัวพระองค์ที่ยืนอยู่พร้อมหมอกควันทะมึนมืดกลางเวหา
และแม้เวลานี้เธอจะกลั้นหายใจไว้ครึ่งทาง ทว่ากลิ่นกุหลาบที่หอมอย่างนุ่มลึกจนแทบเหมือนผสมของมึนเมาอ่อนๆ ต่างจากที่เคยสัมผัสก็ลอยมากระทบจมูกให้ต้องเลื่อนลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะผวากายนิดพร้อมสติที่กลับมาในอึดใจเมื่อพระหัตร์อุ่นจากจอมมารลูบผ่านใต้ปลายคางเธอช้าๆ ซ้ำยังค้างสัมผัสไว้ พร้อมคำพูดต่อมาของพระองค์
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมถึงไม่มีจอมมารพระองค์ไหนชอบอยู่ในรูปลักษณ์ที่เหมือนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเช่นนี้ แม้แต่ข้าเอง... และแม้ข้าจะไม่สนใจว่าใครจะกลัวข้ามากน้อยแค่ไหนเมื่ออยู่ในรูปลักษณ์ใด... แต่มันยากกว่าที่คาดไว้มาก... ยามที่เห็นความกลัวในตาของเจ้า... ที่มองข้าอยู่ตอนนี้”
เนียร์ที่เผลอกลั้นหายใจและเกร็งร่างกายพลันหยุดทุกความรู้สึกไปชั่วขณะกับคำกล่าวนั้น เพราะแม้สุรเสียงที่ดังอยู่รอบกายจะไม่ได้สื่ออารมณ์ใด ทว่าคำพูดที่ส่งมากลับแสดงถึงตัวตนของราชาเลจินอฟเช่นที่เธอรู้จักมาเสมอและสื่อความหมายหนึ่งที่ชัดเจน... พระองค์ไม่ได้อยากให้เธอหวาดกลัว และความหวาดกลัวของเธอนั้นกำลังทำร้ายพระองค์อยู่
ซ้ำแม้พระพักตร์ที่คมคายตรึงสายตาจะยังคงนิ่งเฉยไม่ต่างจากหน้ากากไร้ชีวิต หากนัยน์ดวงเนตรที่สว่างไสวพร้อมสะเก็ตไฟเล็กๆ ที่มองตรงมานั่นกลับส่งผ่านความเศร้าที่เงียบเหงามาจนเธอเป็นฝ่ายสะท้านในอกเสียเอง แล้วทำให้อาการเกร็งแน่นในกล้ามเนื้อทั้งหมดคลายลงก่อนถูกแทนที่ด้วยความว้าวุ่นในหัวโตๆ ของตนอย่างไม่รู้ตัว
มันเป็นความรู้สึกกระวนกระวายบางอย่างที่พัฒนามาจากสัญชาตญาณการปกป้องของเธอที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลังๆ ที่อยู่ใกล้ราชาเลจินอฟ และแทบจะโต้ตอบทันทีทันใดเพียงแค่เห็นความเจ็บปวดเล็กน้อยจากพระองค์
เธอไม่ชอบทำให้ใครเจ็บก็จริง แต่ก็ไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อนเท่านี้มาก่อน แม้แต่กับวอร์เรน ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร มีความใกล้เคียงกับความรู้สึกผิดทว่าก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นความรู้สึกอยากปกป้องมันก็ไม่เชิง รู้แค่ว่ามันเป็นอะไรที่อธิบายยาก ลึกและซับซ้อนกว่านั้นมาก ที่สำคัญเธอไม่อยากยืนอึ้งเป็นคนบ้าใบ้ยามเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดของราชาของตน และทำได้แค่รอให้พระองค์สลายหายไปต่อหน้าเช่นตอนที่อยู่ในห้องบรรทมของวอร์เรนเป็นครั้งที่สอง
ซึ่งปกติเธอมักรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้เก่ง แต่กับราชาเลจินอฟ มันไม่เคยง่ายสักครั้ง...
เนียร์เริ่มหาทางแก้ไขสถานการณ์อย่างจนหนทาง ก่อนจะมองไปยังปีกของตน... เธอควรใช้ปีกคลุมเหนือพระองค์แบบครั้งที่อยู่ในทุ้งหญ้าร้างเพื่อกันฝนให้ดีไหม ตอนนั้นดูพระองค์สงบและผ่อนคลายมากยามอยู่ใต้ปีกเธอ แต่เวลานี้ฝนไม่ได้ตก และตามสถานการณ์ที่แสนจริงจังรอบตัวมันก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง นอกจากไม่ถูกกาลเทศะแล้วดูล้วงเกินราชาของตนแล้ว ยังเหมือนหลบหลู่จอมปีศาจต่อหน้าราชอาคันตุกะที่กำลังเฝ้ามองอยู่ด้วย
หรือควรเป็นหาง... หางเธอทำอะไรได้บ้าง ปกติเธอใช้หางทำอะไรบ้างนอกจากสายมันไปมาเวลาสนใจหรือสงสัยอะไรสักอย่าง ไม่ก็ต่อสู้ ตวัดใส่ศัตรู ป้องกัน อือ... ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลย ยิ่งล่าสุดเธอใช้มันฟาดใส่ราชาเลจินอฟในห้องสมบัติชั้นใต้ดินไป...
“ทำไมต้องทำท่าน่ารัก”
“ห๊ะ!... ไม่ เปล่า! หม่อมฉันไม่ได้ทำท่าน่ารัก!” มังกรลูกครึ่งบลูไฟเออร์ที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับหางและปีกของตนต้องตวัดศีรษะโตๆ กลับมาโต้ราชาปีศาจฉับไวด้วยความตกใจปนอับอายกับคำถามที่แทรกขึ้นมาเช่นนั้น
ซึ่งก็ได้คำย้อนกลับมาทันทีว่า “งั้นเจ้าเดินวนไล่จับหางตัวเองอยู่สามสี่รอบ แล้วขยับปีกแปลกๆ ทำไม”
นั่นเรียกว่าน่ารักเหรอ!... เนียร์แทบอยากร้องถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจกับความน่ารักในแบบของราชาปีศาจ ก่อนความขายหน้าจะตามมาเมื่อนึกได้ว่าเธอเผลอทำแบบนั้นไปทั้งที่กำลังอยู่ในพิธีแต่งตั้งยศที่จริงจังและศักด์สิทธิ์
และหลังอึ้งไปกับการกระทำที่ไม่รู้ตัวของตนครู่ใหญ่ เธอก็จำต้องหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าวรองค์สูงสงสง่าทั้งตัวช้าๆ พร้อมก้มหัวลงเป็นการขอประทานอภัยแล้วงึมงำตอบ
“หม่อมฉันแค่คิดว่า... ควรหาวิธีแก้ไขที่ทำให้ฝ่าบาทรู้สึกแย่ เพราะความขี้ขลาดของตัวเองสักทางหนึ่ง... เพคะ”
เกิดความเงียบระหว่างมังกรดำและจอมมารชั่วอึดใจหลังสิ้นคำตอบที่ขาดความมั่นใจนั่น หากไม่นานนักสุรเสียงที่เหมือนแววผ่านม่านน้ำจะดังสะท้อนกลับมาอีกครั้งว่า
“งั้นท่าน่ารักเมื่อกี้ก็ช่วยได้มากแล้ว”
มังกรสาวเงยศีรษะโตๆ ขึ้นสบดวงเนตรสีทองที่ส่องสว่าง แล้วเธอพบความอบอุ่นในประกายที่ร้อนระอุจนแทบเผาทุกสิ่งนั่น ทว่าวินาทีต่อมาเธอก็หลุดจากภวังค์ของสายพระเนตรตรงหน้าเมื่อสุรเสียงทุ่มลึกราบเรียบสะท้อนขึ้นใหม่ในฉับพลันว่า
“เช่นนั้น ข้าจะเริ่มพิธีแต่งตั้งยศอัศวินชั้นพิเศษ”
เคร้ง!
วรองค์ที่อยู่สูงกลางเวหาชักดาบประจำกายขึ้นมา ก่อนตวัดมันลงบนพื้นอากาศที่ว่างเปล่า พร้อมรับสั่งที่ยังคงเรียบเย็นทว่ามีความเด็ดขาดชัดเจนกับมังกรดำตรงหน้า
“ห้ามขยับตัวเด็ดขาด”
เนียร์งุนงงอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะสะดุ้งกายเฮือกเมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นบนพื้นที่เหมือนผิวน้ำสีนิลกาฬ และไม่ถึงอึดใจพื้นผิวเรียบๆ นั่นก็พุ่งพรวดขึ้นฉับพลันไม่ต่างจากของเหลวและทะยานขึ้นสูง กั้นกลางระหว่างเธอและจอมมารเบื้องหน้าเป็นบริเวณกว้าง ซ้ำยังก่อตัวมโหฬานจนเธอต้องตวัดหัวมองตามเมื่อมันหลั่งไหลขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ก่อนเห็นว่ามันสร้างรูปทรงที่สูงตระหง่านจนแทงผ่านม่านเมฆ เปิดท้องฟ้าสีครามให้แสงสว่างส่องทะลุลงมาราวเส้าต้นยักษ์ที่ครอบคลุมรัศมีเป็นวงกว้างรอบตัวมังกรสาวและจอมมารแห่งเทเนบริสเบื้องล่าง
ก่อนของเหลวสีดำที่ตระหง่านขึ้นสูงราวกำแพงปราสาทจะแตกตัวออก สาดกระเซ็นไปทั่ว แล้วเผยให้เห็นดาบเล่มยักษ์ที่ปักหัวลงบนลานระเบียงแทนที่ ซ้ำรูปร่างของมันยังเหมือนดาบดำของราชาเรจินอฟหากเธอมองไม่ผิด ทว่าผิวพื้นทั้งหมดเป็นผลึกแก้วโปร่งใสสีดำที่สามารถมองเห็นอีกฝั่งและจอมมารผู้ยืนอยู่กลางเวหาและกลุ่มหมอกควันทะมึนมืดรอบวรกายได้
เนียร์ยืนตะลึงงันกับของใหญ่โตที่กั้นกลางระหว่างตนในร่างมังกรและวรองค์สูงตรงหน้า แล้วเข้าใจในวินาทีนั้นได้ทันทีว่าทำไมพระองค์ถึงสั่งให้เธออย่าขยับ เพราะเชื่อเถอะว่าหากขยับเพียงนิดดาบยักษ์โปร่งใส่เบื้องหน้าที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนี้อาจตัดจมูกยาวๆ ของตนออกได้ทันที
และเนียร์ต้องยืนตัวเกร็งและไม่กล้าขยับมากกว่าเดิม ยามราชาปีศาจท่องคำพูดอีกประโยคที่คล้ายการร่ายอาคมออกมา
“เหล่าราชาผู้ร่วงหล่น หยดน้ำตาสีดำที่หยาดริน สวมมงกุฎแห่งไฟและเงามืด กลืนกินทุกสรรพสิ่งด้วยม่านหมอก... จงเป็นร่าง เป็นโลหิต และเป็นวิญญาณ... ประทับบัลลังก์หนามและหอกดาบ... แล้วตอบรับผู้เข้าประทับตราแห่งโคร์ว ลาเลส”
เมื่อสิ้นคำกล่าวนั้นเนียร์ก็ตวัดดวงตามองรอบกายทันใด ทว่าก็ยังคงเตือนตัวเองไม่ให้เคลื่อนไหวเมื่อมีของเหลวสีดำที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมาไม่ได้ใหญ่โตจนท้วมหัวแบบดาบยักษ์โปร่งแสง แต่มีรูปร่างเท่าเพียงมนุษย์ห้าร่างที่ประกบซ้ายขวาและด้านหลังของเธอ
แล้วเมื่อของเหลวเหล่านั้นแตกตัวออกจนเผยตัวตนแท้จริงที่มันสร้างจากลานระเบียงศักดิ์สิทธิ์ ความอึ้งตะลึงจนแทบช็อกยิ่งกว่าเจอดาบยักษ์เบื้องหน้ากลับถาโถมเข้าใส่มังกรสาว เกล็ดทั่วร่างเธอลุกวาบไปจนถึงปลายหาง และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เพราะสิ่งที่ปรากฏขึ้นรอบกายเวลานี้ คือ ‘วรองค์สูงสง่า’ ของเหล่าผู้ที่ล่วงลับ โดยแต่ละ ‘พระองค์’ นั้นเหมือนเพิ่งก้าวหลุดออกมาจากรูปวาดบนผนังในตำหนักของราชาเลจินอฟก็ไม่ปาน
เหล่าจอมมารในเครื่องทรงกษัตริย์ และผ้าคลุมสีดำเต็มยศทุกพระองค์!
“สิ่งที่เจ้าเห็น เป็นเหมือนเงาสะท้อน”
เนียร์ตวัดศีรษะกลับไปยังราชาเลจินอฟที่อยู่ที่ฟากของดาบแก้วกับสุรเสียงทุมลึกที่ดังขึ้นในกกหู ก่อนเธอจะสำทับด้วยความอาการที่ยังตื่นตะลึงและสับสน “เงา... สะท้อน!?”
“บนลานระเบียงนี้จอมมารทุกรุ่นได้หลั่งพลังส่วนหนึ่งไว้เมื่อเข้าพิธีราชาพิเศษเพื่อขึ้นครองราชย์ ดังนั้นมันจึงยังมีเศษเสี้ยวตัวตนของจอมมารทุกพระองค์ที่ฝังไว้บนนี้... เป็นเสี้ยววิญญาณเล็กๆ ที่หลงเหลืออยู่ แต่ไม่ได้มีความนึกคิดหรือชีวิต เป็นแค่ก้อนพลังซึ่งมีหน้าที่เหมือนพยานการแต่งตั้งยศหรือตราสัญลักษณ์ที่ถูกทิ้งไว้ คล้ายของที่ระลึกจากจอมมารแต่ล่ะรุ่น”
ไม่เชิงว่าเป็นวิญญาณ หรือมีตัวตนจริงๆ สินะ...มังกรสาวที่ยังยืนนิ่งอึ้งรู้สึกเข้าใจและเบาใจมากขึ้นหลังได้รับคำอธิบายจากราชาเลจินอฟ
และแม้ยังหวั่นเกรงต่อเงาสะท้อนของเหล่าจอมมารในอดีต ทว่านัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกก็กล้าจะกวาดมองรอบตัวช้าๆ เพื่อสำรวจทุกวรองค์ให้ชัดเจนมากขึ้น
เหล่าราชาปีศาจแห่งเทเนบริสในอดีตยืนนิ่งปักดาบดำที่เบื้องหน้าพระองค์เช่นเดียวกับราชาเลจินอฟ โดยทุกพระองค์ไม่ต่างจากภาพวาดสีน้ำมันที่มีอยู่จริง ทว่าสีพระพักตร์ของแต่ละพระองค์นั้นนิ่งเฉย ไร้รอยอารมณ์ และดวงเนตรว่างเปล่าราวกับรูปปั้นที่ถูกเอามาวางไว้เพียงเท่านั้น กระนั้นในทางเดียวกันเหล่าจอมมารก็ยังคงมีพลังกดดันที่ทะลักทลายออกมาจากวรกายแกร่งสมกับที่ราชาเลจินอฟบอกว่าเป็น ‘ก้อนพลัง’ ที่หลงเหลืออยู่ของพวกเขา
ซึ่งพอมีสติดูรายละเอียดของเงาสะท้อนของอดีตราชาปีศาจดีๆ เธอจึงสามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นใครได้บ้าง และตามลำดับ คือฝั่งซ้ายตนนั้น ผู้ที่ยืนอยู่คือจอมมารลำดับที่ 5 และจอมมารลำดับที่ 4 ขณะฝั่งขวาคือจอมมารลำดับที่ 3 และจอมมารลำดับที่ 2…
“!?” เนียร์สะดุดหยุดสายตาที่กำลังไล่มองในวินาทีนั้น พร้อมความคิดหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในหัว... หากที่ลานระเบียงนี้คือสถานที่ที่จอมมารทุกพระองค์หลงเหลือเศษเสี้ยววิญญาณไว้ และจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อมีการถูกปลุกร่างเงาขึ้นด้วยจอมมารองค์ปัจจุบันเพื่อพิธีแต่งตั้งยศล่ะก็ มันก็แปลว่านอกจากจอมมารลำดับที่ 2-5 ที่เธอเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในภาพวาดสีน้ำมัน คนอีกผู้ที่เธอปราถนาจะเห็นมาตลอดทว่าไม่มีแม้แต่ประวัติศาสตร์สักหน้าที่เหลืออยู่ให้ศึกษาย่อมก็ต้องอยู่ที่นี้ด้วยใช่ไหม
จอมมารลำดับที่ 1!
เพียงสิ้นความคิดมังกรสาวก็ตวัดศีรษะกลับไปด้านหลังตนในตำแหน่งสุดท้ายที่เธอยังไม่ได้สำรวจทันใดพร้อมใจที่เต้นระทึกขึ้นมา ก่อนเธอจะต้องชะงักกายแข็งในบัดดลเมื่อพบวรองค์สูงสง่าอีกพระองค์อยู่ตรงนั้นจริงๆ อย่างที่คาดหวัง
เนียร์รู้สึกตัวเบาหวิวไปชั่วขณะกับสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้พบหรือได้เห็น และไม่คาดว่าจะเจอในสถานการณ์เช่นนี้ได้ เป็นโอกาสที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจนแทบไม่เชื่อสายตาตน... การได้พบกับจอมมารผู้เป็นจุดกำเนิดทั้งหมด
ราชาลูเธอร์ จอมมารลำดับที่ 1... และแน่นอนที่สุดว่าพระองค์นั้นงดงามหล่อเหลาเกินบุรุษใด เป็นความงามที่เหมือนถูกสร้างมาอย่างสมบรูณ์ ดวงเนตรคู่เรียวคมที่ดูเฉี่ยวสูงสะกดตาเป็นสีน้ำตาลอ่อน วรกายสูงสง่าแข็งแกร่งไม่ต่างจากงานปั้นชิ้นเอก เส้นเกศาสีราตรียาวสยาย ไม่ได้ผูกหรือมัดไว้เช่นจอมมารพระองค์อื่น พร้อมอยู่ในเครื่องทรงกษัตริย์สีดำหรูหราทรงอำนาจ... พระองค์มีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งหมดเช่นที่จอมมารควรเป็น
หากเพราะสีพระพักตร์ไม่แสดงอารมณ์ใดเธอจึงไม่สามารถดูออกว่าราชาลูเธอร์นั้นมีพื้นฐานใจคอเช่นไร ไม่เหมือนตอนดูภาพวาดของเหล่าจอมมารพระองค์อื่นในตำหนักในสุดที่สามารถสังเกตตัวตนของแต่ละพระองค์ผ่านแววตา ท่าทาง และสีพระพักตร์ได้ไม่มากก็น้อย กระนั้นไม่นานเนียร์ก็ต้องสะดุดกับบางอย่างบนวรกายของราชาลูเธอร์ที่ดูแตกต่างชัดเจนจากจอมมารพระองค์อื่น
ต่างหูสองข้างงั้นเหรอ... มังกรสาวรำพึงในใจ เมื่อพบว่าที่พระกรรณทั้งสองข้างราชาลูเธอร์นั้นมีต่างหูไตรราตรี ต่างหูที่เป็นใบมีดเล็กๆ รูปจันทร์เสี้ยวสีดำสามใบ ซึ่งเป็นหนึ่งในของที่สร้างจากผลึกดำ และปกติเธอจะเห็นว่าราชาเลจินอฟใส่ต่างหูไตรราตรีที่พระกรรณข้างซ้ายข้างเดียวเสมอ ขณะจอมมารพระองค์อื่นตั้งแต่ระดับที่ 2 ลงไปก็สวมต่างหูนี้ข้างเดียวมาตลอด
ซ้ำท่านเคออสก็เคยบอกว่าสิ่งของประจำพระองค์ที่สืบทอดต่อกันมามีแค่ดาบดำสองเล่ม มีดลายเถากุหลาบ และต่างหูไตรราตรีที่พระกรรณข้างซ้ายของราชาเลจินอฟ เธอจึงคิดว่าต่างหูไตรราตรีมีแค่ข้างเดียวมาตั้งแต่ต้น
นี่มันจะเหมือนกับที่จอมมารในอดีตทั้งหมดมีดาบดำที่ข้างบั้นพระเอวสองเล่ม แต่ราชาเลจินอฟนั้นมีแค่เล่มเดียว เพราะอีกเล่มจอมมารลำดับที่ 5 ได้มอบให้แก่เจ้าชายชาเลสไปแล้วรึเปล่า แล้วถ้าเป็นแบบนั้น จะบอกว่าต่างหูไตรราตรีมีเป็นคู่ ไม่ใช่ข้างเดียวอย่างในปัจจุบัน และจอมมารลำดับที่ 1 เคยมอบต่างหูไตรราตรีข้างขวาให้ใครบางคนไปใช่ไหม
เพราะแบบนั้นถึงได้มีข่าวลือที่ว่าการมอบของส่วนพระองค์ให้ใครไป คือการหมั้นหมายของจอมมาร...
“ก้มหัวลงเนียร์ อาเทนโน่”
รับสั่งจากราชาเลจินอฟทำให้มังกรสาวต้องตวัดศีรษะโตๆ กลับมายังจอมมารองค์ปัจจุบัน
และแม้ความสนใจส่วนหนึ่งยังถูกราชาลูเธอร์ที่ด้านหลังดึงไป ทว่าในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ก็บอกให้เธอต้องตั้งสมาธิกับราชาเลจินอฟแม้จะอยากสำรวจจอมมารองค์แรกให้มากกว่านี้ เพราะเรื่องสำคัญที่สุดมันคือการเข้ารับตำแหน่งอัศวินชั้นพิเศษ และเธอไม่ควรทำให้ตัวเองและโดยเฉพาะคนตรงหน้าที่มอบตำแหน่งนี้ให้ตนต้องเสียหน้า
เนียร์กลับมายืนอย่างมั่นคงเพื่อตั้งหลัก และเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติมากขึ้นยามยืดตัวตรงแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย ให้ดูเป็นการเคารพ ทว่าก็ยังคงตั้งลำคอยาวขึ้นตรงให้เป็นท่วงท่าที่แข็งแรงสง่างามที่สุดในรูปลักษณ์ของมังกรดำของตน
“จะไม่มีคำปฏิญาณเช่นอัศวิน เพราะเจ้าไม่ได้จะทำงานใต้อำนาจใครนอกจากข้า คำปฎิญาณจึงไม่ถูกหลักในการเข้ารับตำแหน่งนี้ ฉะนั้นข้าจะแค่อวยพร”
นั่นเหมือนกับท่านเคออสเลย... เนียร์คิดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ แล้วลอบมองราชาเลจินอฟผ่านกำแพงแก้วสีดำตรงหน้าชั่วขณะด้วยความสงสัยและสนใจในสิ่งที่พระองค์จะกล่าวกับตน
“ข้าหลงใหลเจ้า”
เพียงแค่เริ่มก็ทำให้มังกรลูกครึ่งบลูไฟเออร์ถึงกับสะดุ้งไหว พร้อมหัวใจที่ร่วงหล่นและกลับมาเต้นเร็วในฉับพลัน เพราะนอกจากคำพูดนั้นจะตรงชัดจนสร้างความหวั่นไหวให้เธอแล้ว เธอยังคงตระหนักได้ว่ามีสายตานับร้อยคู่จากเหล่าราชอาคันตุกะที่ดูตนกับราชาแห่งเทเนบริสอยู่ด้วย ทว่าจอมมารตรงหน้าก็ยังคงกล่าวต่อด้วยสายพระเนตรที่จ้องตรงมาเพียงเธอ
“และข้ารู้ว่าทำไมทั้งข้าและจอมมารลำดับที่หนึ่งถึงได้หลงใหลในบลูไฟเออร์นัก ทำไมพวกเราถึงได้พยายามไขว่คว้าพวกเจ้าอย่างสุดกำลัง ทำไมพวกเจ้าถึงเป็นสิ่งที่จอมมารถึงสองพระองค์ปรารถนาจะครอบครองสุดหัวใจ”
เนียร์รู้สึกได้ว่าก้อนเนื้อกลางอกตนสั่นสะท้านมากขึ้นเรื่อยๆ กับทุกถ้อยคำที่หลั่งไหลออกมาจากวรองค์สูงสง่า
“นั่นก็เพราะพวกเจ้าเป็นสิ่งที่จอมมารเช่นข้าไม่อาจเป็นได้ เป็นตัวตนที่จอมมารเช่นพวกข้าไม่อาจเอื้อมมือถึงต่อให้ได้มาอยู่ในกำมือแล้วก็ตาม... ข้าเรียนรู้มาตลอดมา ตั้งแต่เนลโล่จนมาถึงเจ้า” สุรเสียงที่ราวล่องลอยผ่านม่านน้ำหยุดไปนิด แล้วสะท้อนขึ้นใหม่ “พวกเจ้ามีหัวใจที่มั่นคงและแข็งแกร่งแม้ต้องแตกสลายนับครั้งในท้วน มีอิสระที่แท้จริงต่อให้ไม่ต้องมีปีกที่บินได้เร็วที่สุดในโลก มีแสงไฟสีฟ้าที่ลุกโชติเสมอแม้อยู่ในที่มืดมิดที่สุดที่ไม่อาจพ่นไฟได้ มีสายลมที่โบกพัดในหัวใจเจ้าตลอดเวลาแม้จะอยู่ในก้นเหวที่ไม่มีวันได้ปีนกลับขึ้นมา และไม่มีใครจะพรากพวกเจ้าจากท้องฟ้าได้แม้จะไม่มีท้องฟ้าอีกต่อไป... พวกเจ้าไม่เคยหยุดเชื่อในตัวตนของตน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแม้แต่ใต้อำนาจใคร ตัวตนของเจ้าก็ยังคงชัดเจน เป็นสีดำที่ส่องสว่างที่สุดที่ข้าเคยเห็น เป็นความเร็วที่ต่อให้ข้ามีอำนาจมหาศาลขนาดไหนก็ไม่อาจคว้าจับได้ และเจ้าจะยังคงบินสูงขึ้นไปด้วยความเชื่อของตน แม้รู้ว่าปีกจะหักหรือปอดฉีกขาด... เพียงเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญของตน”
ความเงียบเข้ามาคลอบคลุมอยู่ชั่วครู่ใหญ่เมื่อพระองค์กล่าวถึงตรงนี้ และเนียร์สัมผัสได้ว่ามันมีความอ้างว้างบางอย่างเกิดขึ้นใต้พระพักตร์ที่ไม่มีชีวิตของราชาเลจินอฟ ก่อนพระองค์จะกล่าวผ่านความเงียบรอบกายออกมาอีกครั้งด้วยบรรยากาศที่เงียบเหงาใต้สุรเสียงเยียบเย็นไร้อารมณ์
“จอมมารไม่อาจเป็นเช่นนั้น เราถูกยึดติดกับบัลลังก์มาตั้งแต่เกิด... ถูกสวมมงกุฎตั้งแต่กำเนิด และถูกยัดอำนาจมหาศาลพร้อมภาระหนักหนามาตั้งแต่รู้ตัวว่าตัวเองคืออะไร ไม่เคยลิ้มรสความล้มเหลวหรือสิ้นหวัง ไม่เคยต้องตะเกียดตะกาย ไม่เคยพ่ายแพ้ และเมื่อปรารถนา ก็ย่อมได้ทุกสิ่งด้วยอำนาจที่ตนมี... และเพราะเช่นนั้นหัวใจของเราจึงได้เปราะบางนักเมื่อไม่อาจคว้าจับสิ่งสำคัญได้ หรือต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญนั้นไป พวกเราแทบไม่อาจก้าวไปไหนได้ต่อหากแตกสลายไปแล้วครั้งหนึ่งเป็นเพียงความสมบรูณ์แบบที่ว่างเปล่าและถูกพระเจ้าทอดทิ้งไปแล้ว... ดังนั้นตัวตนของบลูไฟเออร์จึงได้น่าหลงใหลนัก และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าจึงปรารถนานักที่จะ ‘มีเจ้า’... ปรารถนาที่จะขโมยหัวใจมังกรตนนั้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว”
นั่นมันไม่ใช่คำอวยพร แต่มันคือทั้งคำสารภาพ และคาดหวั่ง... ไม่สิ มันคือการอ้อนวอน
มังกรที่ยืนรับฟังคำอวยพรทั้งหมดนั้นรับรู้ถึงความหมายที่แท้จริงในสิ่งที่ราชาปีศาจแห่งเทเนบริสกล่าวกับตนด้วยความรู้สึกที่ทั้งตื้นตันและเจ็บแปล็บในอกจนลำคอตีบตัน ขณะยิ่งเหมือนจะจมน้ำยามคำกล่าวต่อมาถูกเอื้อนเอ่ย
“ข้ารู้ว่าต่อให้มีอำนาจขนาดไหนก็ไม่อาจจับสายลมได้ แต่ว่าอย่างน้อยก็ช่วยพัดอยู่รอบตัวข้า และช่วยแข็งแกร่งในส่วนที่ข้าไม่อาจทำได้... จงเป็นสายลมที่เข้มแข็ง เป็นปีกที่ข้าไม่มีวันมี และจงเชื่อมั่น ไม่มีวันแตกสลายเช่นที่เจ้าเป็นมาเสมอ... นั่นคือหน้าที่ทั้งหมดของเจ้าในฐานะอัศวินชั้นพิเศษ... และตั้งแต่นี้ไป ข้าขอแต่งตั้งเจ้าเป็นอัศวินชั้นพิเศษ เนียร์ อาเทนโน่”
เคร้ง!
สิ้นคำนั้นเนียร์พลันสะท้านกาย หลุดภวังค์จากราชาเลจินอฟกับเสียงกระแทกดาบดำในพระหัตร์ของจอมมารทั้งห้ารอบกายจนรับรู้ถึงแรงสะเทือนใต้เท้า ก่อนเสียงแตกจะดังขึ้นเบื้องหน้า ตามด้วยรอยร้าวมากมายบนดาบแก้วเล่มยักษ์ แล้ววินาทีต่อมามันจึงแตกออกจากกันและร่วงกราวลงตรงหน้าเธอราวฝนกระจก
ทว่าแทนที่จะกระจัดกระจายลงบนพื้นระเบียงมันกลับจมหายลงไปใต้ผิวพื้นอย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมเปิดทางที่เคยกั้นกลางระหว่างเธอและราชาเลจินอฟออกจนสิ้น
แต่หลังการแตกกระจายและร่วงหล่นของดาบใบยักษ์ เนียร์กลับต้องก้มมองลงไปเมื่อพบว่ามีบางสิ่งที่ยังคงหลงเหลือจากดาบโปร่งแสงที่ใหญ่ราวกำแพงสูง ซึ่งปักค้างอยู่เบื้องหน้าเธอ
ดาบดำ?... เนียร์อุทานขึ้นในหัวทันทีเมื่อเห็นดาบที่มีขนาดปกติซึ่งปักคาบนพื้นสีดำเงา ซึ่งมันเป็นดาบเล่มยาวที่มีใบดาบสีดำเหมือนดาบดำของราชาเลจินอฟ... ไม่สิ เหมือนกับดาบประจำกายของเหล่าอัศวินที่มาส่งเธอก่อนเธอจะบินขึ้นมาบนลานระเบียงศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก
“ดาบประจำตำแหน่งในฐานะอัศวินชั้นพิเศษ” นั่นเป็นคำเฉลยจากจอมมารเบื้องหน้าหลังมังกรสาวมองอาวุธบนพื้นอยู่ครู่หนึ่ง “มันไม่ใช่ผลึกจากหยดน้ำตาพระเจ้า และไม่ได้เหมือนดาบประจำตัวของอัศวินตนอื่น เพราะดาบเล่มนี้มีส่วนเสี้ยวเล็กๆ ของตัวตนข้าอยู่ในนั้น มันจึงเป็นเหมือนตราตัวแทนของข้า แสดงถึงฐานะของเจ้าในตำแหน่งอัศวินชั้นพิเศษที่ต่างจากอัศวินตนอื่น... และทำให้ข้ารู้ได้เสมอ เมื่อเจ้าอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้”
เนียร์พลันหยุดทุกข้อข้องใจในหัวต่ออาวุธตรงหน้า เมื่อได้ยินคำอธิบายในท้ายประโยคของราชาเลจินอฟ เพราะมันช่างชัดเจนว่าตำแหน่งใหญ่โตเกินมือเธอนั้นคือพันธะที่จอมมารกำลังผูกมัดเธอไว้กับพระองค์
และก่อนจะได้เงยหน้าเพื่อย้ำความหมายในสิ่งที่พระองค์กล่าว เธอก็ต้องไหวกายนิดในวินาทีนั้นเมื่อรับรู้ถึงความอุ่นและนุ่มที่กลางหน้าผากตน ซึ่งสัมผัสที่เคยโดนมาแล้วถึงสองครั้งทำให้คนเป็นมังกรรู้ได้ทันทีว่าเธอโดนอะไรเข้า
จูบหน้าผากอีกแล้ว!... เนียร์ทำได้แค่ร้องขึ้นในใจ เมื่ออยู่ๆ เกล็ดสีดำทั่วร่างเธอต่างถูกพัดกระจายออกไปจากกายเพียงหน้าผากถูกสัมผัสอุ่นร้อนแตะต้อง ก่อนแผ่นเกล็ดนับพันนับหมื่นจะแตกออกไปทั่วท้องฟ้าทุกทิศทุกทางราวพรุไฟ พร้อมร่างกายของเธอที่เหมือนร่วงหล่นลงมาจากความสูงปกติของตนอย่างรวดเร็ว
และไม่ถึงอึดใจตัวเธอก็กลับมายืนด้วยขาสองข้างในกายมนุษย์ที่เหลือเพียงปีกและเขาบ่งบอกความเป็นมังกรบนพื้นที่ราวกับโลกบนผิวน้ำ และกลายเป็นผู้ที่ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของราชาปีศาจตรงหน้าแทนเมื่อพระองค์โอบพระหัตร์สองข้างรอบเอวเธอไว้และกลับมายืนอยู่บนลานระเบียงเช่นกัน ซ้ำยังคงจูบแนบที่กลางหน้าผากเธอไม่ผละออก
เนียร์ทำได้แค่ยืนตัวแข็ง เม้มปาก ใบหน้าเห่อแดงพร้อมกลั้นหายใจ ไม่กล้าจะต่อต้านหรือปรามเมื่อตนยังอยู่ในพิธีแต่งตั้งยศ และก้อนเนื้อในอกยิ่งกระหน่ำเร็วเมื่อรับรู้ถึงอ้อมแขนที่กอดรัดตนแน่นและดึงตัวเธอเข้าหาวรกายแกร่งมากกวาเดิม
นี่มันแค่จูบหน้าผากมอบตำแหน่งใช่ไหม!... มังกรสาวแทบอยากตะโกนถามราชาของตนกลับไป และก่อนที่เธอจะจมลงไปในอกแกร่งจริงๆ ราชาเลจินอฟก็ยอมผละริมฝีปากและวรกายสูงใหญ่ออกห่างในที่สุด
“หยิบดาบขึ้นมา”
เนียร์เปิดตาแล้วกระพริบมันรัวๆ เพื่อตั้งสติใหม่กับรับสั่งจากราชาเลจินอฟหลังเธอหลุดจากการจองจำของพระองค์ได้ ก่อนเธอจะเห็นว่าราชาปีศาจตวัดดวงเนตรที่ราวมีประกายไฟลุกโชติช่วงตลอดเวลานั่นลงมองดาบดำที่ปังอยู่ตรงพื้นระหว่างเธอและพระองค์
มังกรสาวเข้าใจความหมาย สลัดทุกความตระหนก ทั้งการถูกจูบหน้าผากและการกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ฉับพลันเพื่อก้มหัวรับคำสั่งอย่างแข็งขัน และก้าวไปกำด้ามดาบบนพื้นพร้อมดึงมันขึ้นมา ก่อนจะชูขึ้นเพื่อสำรวจ แล้วไม่นานจึงพบความต่างจากดาบประจำกายของอัศวินตนอื่น และดาบคำของราชาเลจินอฟเล็กน้อย
เพราะเมื่อหรี่นัยน์ตาดูจริงๆ เนียร์กลับเห็นว่าดาบของตนโปร่งแสง มีความเป็นเนื้อแก้ว ทว่าสีดำนั้นค่อนข้างเข้มจนดูผ่านๆ เหมือนตีจากโลหะแบบเดียวกับดาบของอัศวินตนอื่น และบางจังหวะมีความทึบแสงเหมือนดาบดำของราชาเลจินอฟ
“ตั้งมันที่เบื้องหน้าเจ้า”
มังกรสาวผละจากอาวุธในมือทันใดกับคำสั่งต่อมาของราชาเลจินอฟ และรู้ว่าพิธียังคงดำเนินต่อ ซึ่งคำสั่งนั้นก็ทำให้เธออดจะลอบมองร่างเงาของเหล่าอดีตจอมมารรอบกายอีกครั้งไม่ได้ ซึ่งเมื่อเธอมาอยู่ในร่างเล็กๆ ของมนุษย์เช่นนี้แล้ว มันก็ทำให้เหมือนจอมมมารทั้งห้าพระองค์นั้นสูงใหญ่จนแทบท้วมทับเธอจากทุกทาง และทั้งที่เป็นเพียงภาพสะท้อนที่ไม่ได้มีชีวิตหรือตัวตนอยู่จริงๆ ทว่าพลังอำนาจก็ยังคงเข้มข้นจนขนตามแนวสันหลังเธอลุกวาบพร้อมมีเหงื่อซึมผ่านฝ่ามือทั้งสองข้าง
กระนั้นเธอก็ต้องรีบยืนหลังตรง และวางดาบปักลงเบื้องหน้าด้วยท่วงท่าแบบเดียวกับเหล่าอดีตราชาแห่งเทเนบริส กระนั้นเมื่อเห็นเงาสะท้อนของตนบนผิวของระเบียงศักดิ์สิทธิ์เธอก็อดจะเปรยขึ้นอย่างเสียไม่ได้ว่า
“หม่อมฉันคิดว่าต้องอยู่ในร่างมังกรตลอด...”
“นั่นมันแค่ข้า” คำตอบของราชาเลจินอฟเอ่ยสะท้อนขึ้นรอบกายก่อนเธอจะเอ่ยจบ พร้อมคำอธิบายด้วยสีพระพักตร์ที่ยังคงเหมือนหน้ากาก “เพราะลานระเบียงนี้จะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อข้าอยู่ในร่างดั้งเดิม”
“แต่ท่านเคออสให้ข้าขึ้นมาด้วยร่างมังกร” เนียร์ยังคงไม่เข้าใจ
“ใช่ เพราะเจ้าจะหาลานระเบียงนี้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในร่างดั้งเดิมของตน... ซึ่งตอนนี้เจ้าก็มาถึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ในร่างมังกรอีก” พระองค์หยุดกล่าวเล็กน้อย “อีกอย่างข้าคงหมอบตราบนเข็มกลัดที่ต้นคอเจ้าไม่ได้ ถ้าอยู่ในร่างมังกร”
“เพคะ?” แล้วมันเกี่ยวกับการมอบตราบนเข็มกลัดยังไง... เนียร์ตั้งคำถามในใจตนทันใด
และยังไม่ได้คำตอบ วรองค์สูงสงสง่าของราชาเลจินอฟก็ก้าวกลับมาหาร่างของมังกรสาวในชุดเกราะอีกครั้ง และกว่าที่มังกรลูกครึ่งบลูไฟเออร์ที่เอียงศีรษะอย่างมีคำถามจะรู้ว่าพระองค์คิดทำอะไร ต้นแขนสองข้างของเธอก็ถูกพระหัตร์สีดำแข็งแรงจับยึดไว้ ก่อนวรองค์สูงสง่าพร้อมหมอกควันทะมึนมืดที่แผ่นหลังจะก้มเข้าหา และพระพักตร์คมโน้มลงไปที่คอของเธอ ขณะดวงเนตรคู่เรียวคมสีเพลิงระอุจะปรือปิด และจูบประทับลงบนเข็มกลัดเหล็กบนต้นคอเธอ
เนียร์เบิกตากว้าง พร้อมแข็งนิ่งไปทันทีในการกระทำนั้น แล้วในเวลาเดียวกัน พื้นระเบียงรอบกายพวกเขาก็เคลื่อนไหว ก่อนมีของเหลวสีดำที่หมุนขึ้นมาเป็นสายเหมือนวงพายุล้อมรอบราชาปีศาจและมังกรสาวจนเกิดลมหมุนรอบตัวพวกเขาทั้งสอง หากไม่นานพวกมันก็พุ่งตรงไปร่วมกันที่เข็มกลัดเงินของเนียร์ และไหลแทรกผ่านเนื้อโลหะเพื่อก่อตัวเป็นรูปทรงบางอย่างช้าๆ ใต้รอยจูบของจอมมาร
เส้นสายสีดำต่างซึมแทรกเข้าไปในเข็มกลัดของมังกรสาวเรื่อยๆ กระทั่งของเหลวสีดำหยดสุดท้ายกลืนหายจนเกิดลายรูปดอกกุหลายที่เป็นเนื้อแก้วนู้นขึ้นมาบนพื้นผิวเรียบๆ ของโลหะเงิน
และในวินาทีนั้นใต้เท้าของราชาเลจินอฟก็เกิดสายลมหอมใหญ่ที่ประทุขึ้นจนมังกรสาวต้องหลับตาแน่น รับรู้ถึงผมหางม้าด้านหลังตนที่สะบัดลู่ขึ้นตามแรงปะทะ ก่อนพื้นกระจกสีดำที่ใต้เท้าจอมมารยืนอยู่จะเกิดวงกลมสีขาวราวเนื้อหินอ่อนขึ้น แล้วไม่ถึงเสี้ยววินาทีวงขาวนั้นก็กระจายตัวออกเป็นวงกว้าง ลบสีดำบนลานระเบียงศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างรวดเร็ว
เพล้ง!
เสียงแตกร้าวดังขึ้นรอบกายทันทีที่รัศมีสีขาวพุ่งมาถึงร่างของเหล่าอดีตจอมมารทั้งห้าพระองค์ และเพียงชั่วพริบตาวรองค์สูงสง่าทั้งหมดนั้นก็พังทลายลงราวแก้วบางๆ ก่อนจะถูกวงพายุที่กระจายตัวกว้างตามการขยายของพื้นที่หินอ่อนพัดหอบจนปัดปลิวไปทั่ว หลงเหลือเพียงประกายระยิบระยับของเนื้อคริสตันมากมายที่กระทบกับแสงอาทิตย์ ซึ่งลอยละล่องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไปเองในที่สุด
ตามด้วยบัลลังก์แก้วแหลมคมใหญ่โตเบื้องหลังราชาปีศาจที่ส่งเสียงหักพังสะท้อนก้อง ก่อนทรุดแตกละเอียด กลายเป็นชิ้นผลึกสีดำนับไม่ถ้วนที่หมุนพัดไปกับสายลมรุนแรงประดุจภาพฝัน ทิ้งเศษแก้วมากมายให้กระจัดกระจาย ก่อนสลายหายไปช้าๆ ขณะลานระเบียงที่ราวกับโลกบนผิวน้ำทั้งหมดก็กลายเป็นเพียงพื้นหินอ่อนสีขาวทรงกลมกว้างขวางธรรมดา ไม่ได้ดูใหญ่โตเวิ้งว้างเหมือนอีกมิติหนึ่งอย่างตอนที่มันเป็นลานระเบียงศักดิ์สิทธิ์ ซ้ำท้องฟ้ายังกลับมาสว่างโล่ในฉับพลันจนแสงอาทิตย์ยามเช้าที่อยู่ใกล้ศีรษะสาดกระทบลงมาทำให้ทุกอย่างดูพร่ามัวไปชั่วขณะ
ทุกอย่างกลับมาเป็นเช่นที่ควร ท้องฟ้าสว่างตามเวลาจริงของมัน พร้อมมีสายลมโบกไหวทั่วลานระเบียงสูงที่ไม่มีอะไรปิดกั้น และยังสามารถเห็นยอดปราสาทในจุดอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน ไม่ได้มีเมฆหมอกบังทัศนียภาพใดๆ อีกต่อไป
เนียร์ยืนงุนงงและตกใจไม่น้อยกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในพริบตา แต่ไม่นานนัยน์ตาสีฟ้น้ำทะเลลึกกลับต้องเลื่อนต่ำพร้อมใจที่เต้นเร็วอีกครั้งยามตระหนักได้ถึงวรกายแกร่งที่ยังจับยึดตัวเธอไว้ ซ้ำจูบแนบที่เข็มกลัดบนต้นคอตนไม่คลาย
แต่แล้วเธอก็ต้องเลิกคิ้วสูงประหลาดใจ ยามเห็นว่าเส้นเกศาของราชาเลจินอฟไม่ได้โบกไหวราวล่องลอยอยู่ใต้น้ำแล้ว และบนเกศานั่นก็ไม่มีมงกุฎเพลิงสามชั้นหมุนวนอยู่ ซ้ำเขาแพะยาวโค้งก็ไม่ได้เป็นคริสตัลสีดำแดงโปร่งแสงอีกต่อไป ไม่มีหมอกควันสีดำที่ชุดคลุมกษัตริย์ พร้อมทั้งพระหัตร์เรียวแข็งแรงที่ต้นแขนสองข้างของเธอก็กลับมาเป็นผิวเนื้อปกติ
กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว?...
มังกรสาวพึมพำในหัวตนได้แค่นั้นก็สะดุ้งโหยง หัวใจแทบทะลุออกจากอก เมื่ออยู่ๆ พระพักตร์คมคายหล่อเหลาที่ดูไม่ไร้ชีวิตราวหน้ากากอย่างก่อนหน้านี้จะผละออกจากต้นคอเธอและเงยกลับขึ้นมาในระยะประชิดจนปลายจมูกโด่งคมสันของพระองค์แทบจ่อติดปลายจมูกเธอ และทำให้เธอสบดวงเนตรเรียวคมสีน้ำตาลอ่อนคู่เดิมที่ไร้สะเก็ตไฟเล็กๆ แล้วอย่างชิดใกล้จนเห็นเงาสะท้อนตนอยู่ในนั้นชัดเจน
และก่อนที่เนียร์จะคิดหรือนึกออกว่าควรพูดโต้ตอบอะไรราชาปีศาจกลับไป พระองค์ก็เอ่ยขึ้นแทรกความความเงอะงะของเธอขึ้นแทนด้วยปากของพระองค์เองว่า
“ยินดีด้วย สำหรับอัศวินชั้นพิเศษคนใหม่... ชีวิตของข้าทั้งหมดอยู่ในมือเจ้าแล้ว และจากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกลมหายใจเข้าออก เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้าเสมอ เนียร์ อาเทนโน่”
***************************************
คุยกับผู้เขียนหน่อย
ความจริงบทนี้อยากวาดเลจี้ในร่างดั้งเดิม แล้วลงสีคอมฯมากเลย แต่ตอนนี้คอมมีปัญหาอีกแล้ว แค่พิมพิ์งานก็เต็มกลืน ถ้าทำโพโต้ชอปมีสิทธิ์ดับต่อหน้าต่อตาได้ง่ายๆ เลยต้องเลิกคิดไปก่อน แต่อาจได้เห็นงานร่างดินสอตามมาที่หลังครับ ส่วนคอมช่วงนี้อาจทนใช้แบบนี้ไปอีกสักพัก ถ้าไม่ยกไปซ้อมก็อาจซื้อใหม่เลย ถ้ากลับมาสมบรูณ์เมื่อไหร่อาจได้เห็นภาพสีจริงๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เขินนนนน งือออ เอ็นดูความไม่เข้าใจของเนียร์ เข้าใจเลยว่าทำไมราชาเลจินอฟถึงหลงเนียร์ น่ารักกกกกก
ร้อยปีผันผ่านพ้น
แรมรอน
หทัยบ่ชืดจากจร
จากเจ้า
วาโยเวียนเว้าวอน
นงคราญ ทราบเฮย
ฤาปล่อยพี่ระทมเศร้า
โศกเคล้าอาดูร
ป.ล.มีลงในบทความของเค้าอยู่
แรงบันดาลใจมันพุ่งมาก
เฮ้อ... ทนไม่ไหวจริงๆ
เนียร์ใจแข็งจริงๆนะเนี่ย
แอบหวั่นไหวนิดเดียวเอง
ให้กำลังใจเลจจี้
ฟินมาก
บบอกทีว่านี่ไม่ใช่ฉากแต่งงาน... ทั้งแจกเหรื่อ พิธีที่จัดอย่างประณีต ท่านเคออสที่ทำหน้าที่เป็็นทั้งบาทหลวงที่อวยพรและคุณพ่อที่เดินส่งลูกสาวไปหาเจ้าบ่าว สองบ่าวสาวทำพิธี สาบานกัน หยอกเอินกัน จูบสาบาน(ซึ่งใายชายทำเองหมด 5555) เหมือนงานแค่งมากค่ะ โดยเฉพาะปย.สุดท้ายที่เลจี้บอกน้อง เขินนน ยิ่งตอนที่ชมน้องว่าน่ารักฉันยิ่งเขิน ทำไมต้องทำท่าน่ารัก เออ น่ารักจริงพอนึกตาม แต่เลจี้ก็ใช่ย่อย รุกหนักมากกกก ตั้งแต่ที่ส่งน้องไปสอดแนมคาเคซัสที่ป่าดำช่วงแรกจนน้องเกือบเอาชีสิตไม่รอดคุณพี่ก็ไม่เคยแผ่วเลยนะคะ มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น 5555
ชอบการบรรยายมากเลยค่ะ เก่งมากเลยที่บรรยายออกมาได้เห็นภาพและยิ่งใหญ่สมการรอคอยมากๆเลยค่ะ หลงรักการเขียนของพี่แบงค์อีกแล้ว จะเป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ
น่าย้ากกก