ตอนที่ 3 : ตอนที่ 3 บุกหอคอย(รีไรท์ครั้งที่ 1)
คุยกับผู้เขียน
เรื่องนางเอกในเรื่องนี้ ถ้าใครหวังให้ฉลาดแบบนาคเลยคงเป็นไปได้ยากนะครับ เพราะแนวเรื่องไม่ใช่หักเหลี่มเชือนคม อาจมีเทคนิกสู้ การเอาตัวรอดให้อ่าน แต่ก็เป็นเชิงสู้กันโต้งๆ เลย ไม่ใช่นั่งเจรจาธุรกิจ และอีกอย่างพระเอกเป็นจอมมาร ถ้าเนียนร์สามารถสู้ชนะได้เหมือนนาคเถียงหลานเซ่อชนะ เรื่องนี้ก็คงต้องให้เนียร์เป็นจอมมารแทนพระเอกเราแล้วล่ะ 555+ ดังนั้นขีดจำกัดของเนียร์ค่อนข้างเด่นชัดพอควรว่าทำไมถึงไม่ออกมาเชือดเฉือนเหมือนนาค และพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนหลานเซ่อด้วยครับ พ่อคุณจะเจ้าเล่ห์กว่า และโหดกว่า(ค่อนข้างมาก) ดังนั้นสังเกตว่ามันจะอารมณ์คล้ายแดนอยู่กับนาค และเรามักเห็นเสมอว่าแดนก็มักเถียงนาคได้เกือบจะตลอด(นาคโดนแดนทั้งกัดทั้งจิก และเถียงชนะอยู่บ่อยๆ) ดังนั้นอารมณ์เนียร์กับจอมมารก็จะคล้ายๆ กันครับ แต่จอมมารเราจะไม่กะล่อน ขี้เล่นเท่าแดนเท่านั้นเอง
ที่สำคัญคืออย่าลืมว่าเนียร์ เธอเป็นมังกรครับ ดังนั้นเธอจะมีความเป็นสัตว์ครึ่งหนึ่ง(หรืออาจเกินครึ่ง)อยู่ในตัว การคิดตัดสินใจของเธออาจไม่ออกมาเป็นแบบมนุษย์ซะทีเดียว แต่จะมีความไร่้เดียงสาของสัตว์รวมอยู่ด้วย สังเกตว่าเธอชอบอยู่ในร่างมังกรมากกว่าคน และมีความสงสัยในตัวมนุษย์เสมอ ฉะนั้นคาแรกเตอร์ของเธอจะผสมความเป็นสัตว์ป่าลงไปพอควร เพราะผมอยากทำให้เธอออกมาเป็นมังกรมากที่สุด ไม่ใช่แค่มีร่างมังกรแต่นิสัยใจคอเป็นมนุษย์จ๋า พออยู่ในร่างคนที่หน้าเชิดคอตั้งไม่เหลือคราบความเป็นมังกรเลย
และเพราะเธอเป็นมังกรนี่แหละ ผมเลยอาจให้เธอเจอหนักกว่านางเอกผมทุกเรื่อง(อันหลังนี้เหมือนเอาสะใจ 555+)
************************************
คนที่หักเขาข้ายังจ้องมองสิ่งที่ติดมือตนด้วยสีหน้าที่คล้ายจะเสนาะสนใจ ทว่าไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำมันลงไป ก่อนจะปิดเปลือกตาลง และก้มสูดกลิ่นชิ้นส่วนเขาในมือด้วยจมูกคมสันนั่น
มันเป็นกิริยาน่าพิศวง แต่ทรงเสน่ห์อย่างแปลกประหลาด หากครู่หนึ่งเขากลับย่นหัวคิ้วเข้มลง และเปรยขึ้น
“ไม่มีกลิ่นเลือด” จบคำก็ลืมตา และตวัดมามองข้าที่ยังงงงันกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น พลางถามมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย “เจ้าเฝ้าหอคอยยังไง”
ฟังไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่เหมือนกำลังตำหนิ และยิ่งทำให้ข้าไม่เข้าใจการกระทำทั้งหมดนั่นมากขึ้น
“เจ้าเป็นใคร” ข้าต้องยืนตัวขึ้น ยอมพูดเป็นครั้งแรก เมื่อเวลานี้คงแสร้งเป็นมังกรร้ายไร้สติไม่ทันแล้ว
ชายตรงหน้าเก่งกาจเกินกว่าที่ข้าจะใช้เพียงกรงเล็บ ปีก และหางจัดการเช่นที่ผ่านมาได้ รูม่านตาข้าหดลีบลงวูบหนึ่ง เพื่อเพ่งสำรวจทุกสิ่งที่อยู่บนร่างกายสูงแกร่งในอาภรณ์ที่สีดำให้ถนัดขึ้น ก่อนไล่ลำดับสิ่งที่ชายตรงหน้าน่าจะเป็นช้าๆ
“เจ้าชาย ผู้กล้า อัศวิน นักรบ นักดาบ ภูต... ปีศาจ”
ครั้งนี้ใบหน้าหล่อเหลาเกินบุรุษใดนั่นยกยิ้มมุมปาก เล็กน้อยทว่าน่ามอง แต่ไม่ได้ทำให้ข้าพิศมัย หากทำให้ขนอ่อนบนหลังคอข้าลุกชัน ก่อนเสียงทุ้มนุ่มมีเลสนัยนั่นจะเอ่ยขึ้น
“ใกล้เคียงแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่ข้าได้กลิ่นกุหลาบอ่อนๆ มาจากเขา ราวเป็นเครื่องยืนยันว่าใกล้เคียงปีศาจนั้น ใกล้เคียงเพียงใด
“งั้นข้าก็ยิ่งปล่อยให้เจ้าขึ้นไปบนหอคอยไม่ได้” ข้าจ้องเขาเขม็ง พร้อมสะบัดปีกไล่บางสิ่งที่ทำให้มันหนักอึ้งจากบรรยากาศของชายตรงหน้าออกไป และยืนปักหลังนิ่ง
“เจ้าน่าจะบอกกับเขาตัวเองนะ” ชายปริศนาว่าพร้อมชูชิ้นส่วนเขาในมือตน ตอกย้ำถึงความอ่อนด้อยของข้าเองที่พลาดท่า
ข้าไม่โต้ตอบ แม้ใจเสียไม่น้อยกับเขาที่ถูกหักไปอย่างง่ายดาย เพราะเขาของมังกรคือสิ่งที่รับคลื่นในอากาศ ทำให้สัมผัสทั้งห้าเด่นชัดกว่าสัตว์สี่ขาชนิดใดในโลก โดยเฉพาะความสามารถในการคำนวณการเคลื่อนไหวของสิ่งรอบตัวล่วงหน้าได้ ดังนั้นการถูกหักเขาไป จึงหมายถึงสัมผัสที่ทื่อลง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงข้าจะหมดโอกาสสู้ หรือชนะ และยามนี้มันหมดเวลาเสียดายเขาของตนแล้ว
ที่สำคัญ แม้ผู้บุกรุกไม่ได้ยืนยันแน่ว่าตนเป็นปีศาจ แต่เมื่อรู้ว่าไม่ใช่มนุษย์แล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องออมมืออีก
ข้าก้มตัวต่ำ กางมือสองข้างกดลงบนพื้น ตั้งท่าไม่ต่างจากตอนอยู่ในร่างมังกร ความจริงต้องเรียกว่าข้าไม่ชินในการอยู่ในร่างเล็กจ้อยแบบมนุษย์ด้วยซ้ำ ก่อนย่อขาหลังข้างหนึ่งจนรับรู้ได้ถึงแรงเกร็งของกล้ามเนื้อ ขณะจับจ้องเป้าหมายตรงหน้า
ฟุ่บ!
ข้าดีดตัวสุดแรง พุ่งถลา บินเรียบพื้นใส่ศัตรู ร่างข้าเฉนิดๆ จนรับรู้ได้เมื่อส่วนหนึ่งของเขาถูกหัก และเห็นชัดว่าร่างสูงสง่าตวัดดาบเตรียมตั้งรับไว้อยู่แล้ว ใบหน้านิ่งเฉยแต่ดูเหยียดหยันคนทั้งโลกของเขาดูมั่นใจแน่ว่าตนจะจัดการทุกอย่างได้ง่ายดายเช่นเดิม
หากก่อนที่จะถึงร่างชายหนุ่มปริศนา ข้าก็ตวัดปีกคลุมกายตนฉับพลัน และกลับเป็นร่างมังกรอย่างรวดเร็ว พร้อมยิงลูกไฟสีน้ำเงินจางใส่เขาทันที ก่อนหักองศาตั้งฉาก โฉบขึ้นฟ้าแทนอย่างไม่รีรอ
ลูกไฟสีน้ำเงินจางเท่ากระสุนปืนใหญ่ที่โดนอากาศก็ยิ่งจางลงจนแทบไม่เห็นสีของข้าทำให้เขาหลบมันไม่ทัน ยิ่งด้วยไม่คาดคิดว่าข้าจะกลับเป็นร่างมังกรอีกครั้ง ก็ทำให้เจ้าหนุ่มนั่นต้องยกดาบค้างและรับเพียงเพลิงร้อนที่ตรงใส่หน้า
แต่ข้ารู้ มันไม่จบแค่นั้นหรอก
ไฟที่ข้าพ่นไปเป็นแค่ลูกไฟ ความร้อนทำได้มากที่สุดแค่ลวกให้เนื้อไหม้ และถ้าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่มนุษย์แล้วล่ะก็ มันคงทำได้แค่หยุดการเคลื่อนไหวของเขาชั่วครู่เท่านั้น
แต่แค่นั้นก็มากพอ
ข้าทะยานขึ้นสูงจนเกือบถึงม่านเมฆ แล้วจึงสะบัดตัวกลับมา เห็นร่างชายหนุ่มเล็กเพียงเมล็ดถั่วอยู่ใต้ร่างตนพอดี
และนั่นคือโอกาสจู่โจมอีกครั้ง
ปีกที่สยายอยู่หุบลงแนบกายให้ตัวข้าเล็กแล้วเป็นแนวตรงมากที่สุด เพื่อพุ่งกลับลงไปเบื้องล่างสุดความเร็ว ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกจ้องนิ่งที่เป้าหมาย ความเร็วของข้าที่ดิ่งตัวลงมาทำให้เสียงลมที่วิ่งผ่านในหูดังอื้ออึ้ง และเหมือนได้ยินเสียงอากาศรอบข้างฉีกขาด
เสียงมันไพเราะ และทำให้ข้ารู้สึกปลดปล่อย ความเร็วและสายลมแรงที่ปะทะหน้าเป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง แม้เวลานี้ข้าจะมัวมาสนุกกับมันไม่ได้ก็ตาม
ปากข้าอ้ากว้างอีกครั้ง และยิงลูกไฟสีน้ำเงินจางลงไปติดๆ กันเหมือนกระสุนปืนใหญ่
ลูกแรกโดน เจ้านั่นถอยเท้าไป และเป็นจริงดังว่า ไฟข้าทำได้แค่หยุดเขาชั่วครู่ ส่วนลูกที่สองเฉียดไป และลูกที่สามเจ้านั่นกลิ้งหลบได้
ตอนนี้ข้าคงต้องยอมรับแล้วว่าเขาที่หักมีผลกับความแม่นยำของตน... บลูไฟเออร์ไม่เคยพลาด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพลาด
แต่ข้าไม่คิดเปิดโอกาสให้ศัตรู แม้พลาดลูกที่สาม แต่มันยังคงไม่ได้ลุก ข้าจึงกางปีกอออก หยุดความเร็วของตนฉับพลัน เปลี่ยนเป็นหมุนตัวโฉบไปที่ด้านหลังเขา และพ่นไฟอีกหนึ่งลูกใส่แผ่นหลังแกร่งนั้น ก่อนทะยานขึ้นฟ้าใหม่ ไม่ให้ตนอยู่ใกล้รัศมีศัตรูเมื่อเรียนรู้มาแล้วว่าชายหนุ่มคนนี้รวดเร็วเพียงใด ดังนั้นการทิ้งระยะห่างให้ไกลเป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุด
และไฟลูกสุดท้ายที่ยิงใส่จนร่างสูงสง่าเกือบล้มคะมำ ก็เหมือนจะทำให้ข้าเริ่มเห็นความขุ่นมัวนัยน์ดวงตาสีน้ำตาลทองคู่งดงามนั่นได้เป็นครั้งแรก
เขาคงไม่ได้เจ็บอะไรมาก เพราะข้าเห็นแค่รอยไหม้บนเสื้อ และแทบไม่รู้สึกถึงกลิ่นเนื้อที่โดนไฟเลย แต่คงเสียหน้าและรำคาญไม่น้อยกับการโจมตีของข้า ในขณะที่ตัวข้าบินกลับไปเกาะที่ยอดแหลมของหอคอย พร้อมคำรามประกาศอาณาเขตของตนลั่น และเป็นการเตือนเขาอีกครั้งว่าให้ออกไปจากที่นี่ซะ
ร่างสูงสง่านั่นลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง แม้แววตามีความหงุดหงิดบ้าง หากครู่มันก็กลับมานิ่งเฉยจนดูไม่แยแสเช่นเดิม ก่อนเขาจะปัดเศษเขม่าตามตัวออกเบาๆ ไม่ได้สนใจการแยกเขี้ยวข่มขู่ของข้าบนยอดหอคอย ก่อนเดินไปหยิบดาบของตนขึ้นมา
ข้ากางปีกและคำรามต่ำในลำคออีกครั้ง รู้แน่ว่ายกสองกำลังจะเริ่ม และต้องเตรียมหาทางรับมือกับชายหนุ่มรูปงามแต่แปลกประหลาดนั่นใหม่
พวกช่างตื้อข้าเจอมาเยอะแล้ว จะสู้กันสามวันสามคืนติด หรือเป็นอาทิตย์ข้าก็ไม่เกี่ยงหรอก
“ก็น่าสนใจ” ร่างสูงสง่าที่เริ่มปัดเศษเขม่าบนตัวอย่างไว้ท่าเปรยขึ้นเนิบนาบ และหันมาเอ่ยกับข้าใหม่ “ปกติไม่เคยเห็นมังกรเปลี่ยนร่างได้ไวขนาดนี้”
ไม่แปลกที่เขาจะสงสัย เพราะมังกรทั่วไป ถ้าไม่อยู่ในร่างมังกรเป็นหลัก ก็อยู่ในร่างมนุษย์ และส่วนใหญ่เป็นอย่างหลังเสียด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนร่างจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำกันบ่อย และเพียงพริบตาเดียวแบบข้า
หากความสามารถในการเปลี่ยนร่างได้ว่องไวของข้ามันเกิดจากการทำหน้าที่เฝ้าหอคอย และวอร์เรนล้วนๆ นางมักขอให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนบ่อยๆ ในขณะเดียวกัน พวกคนที่อยากช่วยเจ้าหญิงก็บุกมาไม่ขาดสาย ดังนั้นการเปลี่ยนร่างในวันหนึ่งๆ ของข้าจึงมีบ่อยครั้งจนกลายเป็นเรื่องปกติ เป็นความสามารถที่ได้มาอย่างไม่ตั้งใจก็ว่าได้
ไม่เคยคิดว่ามันจะมีประโยชน์ จนวันนี้นี่แหละ
ข้าหรี่ตาลงจ้องเขม็งศัตรูที่ทำเหมือนเขม่าลูกไฟข้าเป็นแค่เศษฝุ่นบนร่างกาย ข้าพยายามอ่านสิ่งที่เขาจะทำต่อไปโดยไม่สนตอบข้อสงสัยนั่น ในขณะที่เพิ่งปรายตาต่ำสังเกตเห็นว่าวอร์เรนยังเกาะมองอยู่ที่หน้าต่าง สายตานางดูให้ความสนใจชายหนุ่มปริศนานั่นไม่น้อย... และข้าแอบเห็นความคาดหวังในดวงแก้วสีฟ้านภานั่น
นางกำลังคิดว่าเขาคือเจ้าชายตัวจริงที่จะมาช่วยตัวเอง
“กลับเข้าไปวอร์เรน ปิดหน้าต่างด้วย มันไม่ใช่เจ้าชายที่ท่านรอหรอก” ข้าร้องบอกเหนือศีรษะนางทันที แม้รู้ว่านางคงไม่คิดถึงขั้นนั้น แต่หากเจ้าหนุ่มนั่นไปถึงตัวนางได้ ก็ไม่แน่
เสน่ห์ชวนพิศวงของมันร้ายกาจจนข้าเองยังปฏิเสธไม่ได้ รูปงาม ทะนง องอาจ และเก่งกาจเสียขนาดนั้น หญิงใดเล่าจะกล้าปฏิเสธ... ยิ่งโดยเฉพาะหญิงสาวที่กำลังรอให้ใครสักคนมาช่วยบนหอคอยด้วยแล้วล่ะก็
“เอ๊ะ!” วอร์เรนอุทานกับคำสั่งข้าที่นางไม่เคยโดน สายตานางดูไม่ชอบที่ถูกขัดใจเล็กน้อย แต่ข้าไม่สน ไต่ลงมาที่หน้าต่างนั่น และตะปบอุ้งมือกระแทกหน้าต่างไม้ที่สลักลวดลายเถาวัลล์กุหลาบปิดให้นางแทน ซ้ำยังกดกรงเล็บของตนไว้ที่บานหน้าต่างกันไม่ให้นางเปิดออกมาได้
ข้ารู้ หลังจบเรื่องนี้ข้าอาจถูกนางงอนใส่ และอาจตามด้วยโทษทัณฑ์ของจอมมาร แต่ถ้าเจ้าหนุ่มตรงหน้าเป็นเจ้าชายที่ต้องการช่วยเจ้าหญิงน้อยจริง ข้าคงไม่ทำถึงขนาดนี้
ข้าสะบัดศีรษะโตๆ ไปเผชิญกับศัตรูอีกครั้งเมื่อจัดการกับวอร์เรนแล้ว และเตรียมตั้งรับกับสิ่งที่จะตามมา หากเจ้าหนุ่มปริศนานั่นกลับเอ่ยถามข้ามาแทนว่า
“รู้ได้ยังไงว่าข้าไม่ใช่”
ข้าพ่นลมร้อนออกจากจมูก ก่อนขบเขี้ยวตอบ
“ต่อให้เจ้าเป็นเจ้าชายจริง หน้าที่ข้าก็คือการป้องกันผู้บุกรุกหอคอยอยู่ดี”
เขานิ่งงันไปนิดกับคำโต้ของข้า ก่อนว่า “ซื่อสัตย์สมเป็นมังกร”
ถ้อยคำนั่นไม่ได้ฟังชื่นชม ทว่าเยาะหยัน แม้ไม่ได้ขยับยิ้มขึ้นก็ตาม ในขณะที่ร่างสูงสง่านั่นก็เดินเข้ามาใกล้หอคอยอีก พร้อมเสนอ
“แต่จะง่ายกว่าไหมถ้าเจ้าปล่อยให้ข้าขึ้นไปรับตัวเจ้าหญิง ส่วนเจ้าก็จะหมดภาระนี้ และไม่ต้องตาย หรือเสียเลือดเสียเนื้อกันทั้งสองฝ่าย”
“ถ้าปล่อยให้เจ้าเอาตัวนางไป จอมมารก็ต้องฆ่าข้าอยู่ดี” ข้าว่า พร้อมเริ่มสยายปีก และสะบัดหางไปมาเตรียมจู่โจม เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ความจริงสมาธิข้าจดจ่อกับย่างก้าวของเขามากกว่าคำพูดของเขาด้วยซ้ำ
“อ๋อ เจ้ากลัวตายงั้นสิ” เสียงทุ้มนุ่มนั่นหยันอีก
“ชีวิตทุกชีวิตมีขีดจำกัด เพราะฉะนั้นมันถึงมีค่า หากข้าไม่เห็นค่าของชีวิตตัวเอง แล้วใครจะมาเห็น ดังนั้นข้าไม่ยอมมาตายด้วยเงื่อนไขของเจ้าแน่” ข้าเถียงกลับอย่างไม่สนนัยน์ตาสีน้ำตาลทองคู่คมกริบที่มองมาคล้ายดูถูก “ที่สำคัญ ถ้าเจ้าได้ตัววอร์เรนไป หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง นางจะเป็นยังไง... ถ้าข้าปล่อยนางไปมันจะต่างอะไรกับโยนนางเข้าป่าดำพร้อมผูกผ้าปิดตาไว้ เพราะฉะนั้น อย่างหวังว่าข้าจะเปิดทางให้เจ้าเลย ‘เจ้าหนู’”
ข้าย้ำคำว่า ‘เจ้าหนู’ ให้ชัดเจนพอๆ กับคำว่า ‘มังกรน้อย’ ของเจ้านั่น
“งั้นจะบอกว่าเจ้าห่วงเจ้าหญิง มากกว่ากลัวโทษทัณฑ์จากจอมมารงั้นสิ” ชายหนุ่มตรงหน้าเน้นชัด พร้อมหรี่นัยน์ตาทรงอำนาจสีน้ำตาลทองนั่นจ้องข้าราวพยายามค้นความหมายในถ้อยคำข้า พลางสำทับ “แสดงว่าราชาของเจ้ามีค่าน้อยกว่าเจ้าหญิงจากต่างเมืองสินะ”
“ข้าเทิดทูนจอมมารในฐานะองค์ราชาข้า... แต่พระองค์ไม่ใช่คนที่อยู่กับข้าที่นี่ถึงสี่ปี”
“นั่นเป็นการตัดสินว่าเจ้าซื่อสัตย์ต่อเจ้าหญิงมากกว่าจอมมาร”
“นั่นเป็นการตัดสินว่าข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าไปถึงตัววอร์เรน”
ต่างฝ่ายต่างเงียบเมื่อสินคำโต้เด็ดขาดของข้า
และครั้งนี้ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้ากลับเป็นฝ่ายตวัดดาบขึ้นมา พร้อมจับจ้องนัยน์ตาข้านิ่ง ซึ่งมันเย็นเยียบและทรงอำนาจกว่าที่ผ่านมาจนเกล็ดหลังคอข้าตังชันอีก พร้อมเสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยถามเฉียบขาด
“ต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย?”
“ไม่ใช่ข้าแน่ที่ตาย” ข้าสำทับอย่างหนักแน่น จ้องนัยน์ตานั่นไม่หลบ และวูบหนึ่งราวกับเห็นใบหน้าหล่อเหลานั่นยกยิ้มราวถูกใจบางอย่าง
ฟุ่บ!
เพียงช่วงเวลาที่ข้าสูดหายใจเข้าเตรียมพร้อม ชายหนุ่มตรงหน้าก็วิ่งตรงมาทันใด ในขณะที่ข้าเองก็กระโจนลงจากยอดแหลม เตรียมอ้าปากพ่นลูกไฟอีกลูกนำออกไป
แต่วินาทีที่คิดว่าร่างของชายหนุ่มจะกระโดดเข้ามาพร้อมดาบในมือเช่นทุกครั้ง มันกลับกลายเป็นผ้าคลุมสีดำของเขาที่ถูกปาคลุมใส่หน้าข้าแทน
ความมืดที่อยู่ๆ คลอบคลุมเข้ามา ทำให้ข้าที่กำลังถลาลงมาด้วยความเร็วต้องเสียหลัก ร่วงลงบนพื้นดินเสียงดังสนั่น หากไม่มีเวลาให้ข้ารู้สึกจุกนัก นอกจากสลัดผ้าคลุมนั่นออกจากหัวของตนให้เร็วที่สุด และต้องยอมรับว่ากลิ่นกุหลาบอ่อนๆ ที่เป็นกลิ่นประจำตัวของเขาในผ้าคลุมนี่ ทำให้ข้ามึนงงอยู่ครู่หนึ่งยามเผลอสูดมันเข้าไปเต็มปอด
เกือบนาทีกว่าข้าจะตั้งหลักได้ และต้องตวัดไปมองที่ตีนหอคอย ก่อนเห็นชัดว่าชายหนุ่มผู้บุกรุกไปถึงประตูเหล็กที่เป็นทางขึ้นไปบนหอคอยแล้ว
ยามแรกข้าหยามใจ เมื่อรู้ดีว่าทั้งหอคอยถูกลงเวทไว้ให้ไม่มีวันพังทลาย แม้จะโดนกระสุนปืนใหญ่ หรือไฟร้อนจากมังกรตัวใดแผดเผา และนั่นรวมถึงประตูหอคอยที่ไม่มีวันเปิดออกด้วยถ้าไม่ใช่นักเวทหรือผู้มีเวทมนต์ระดับเดียวกับพวกเอลฟ์ที่เป็นเชื้อพระวงศ์...!
ความคิดข้าต้องหยุดลงแค่นั้นกับภาพตรงหน้า
เพราะทันทีที่มือเรียวแข็งแรงนั่นแตะบานประตู เถาวัลล์กุหลาบที่พันอยู่รายล้อมค่อยๆ เหียวเฉาลง จนร่วงโรยแทบเท้าเขา ก่อนประตูเหล็กตรงหน้าจะดังเอี๊ยดอ๊าด บ่งชัดว่ากลไกประตูกำลังทำงาน และค่อยๆ เปิดออกให้ผู้บุกรุกอย่างง่ายดาย
เป็นไปไม่ได้!
วินาทีนั้นข้าต้องถลาตัวไปยังร่างสูงสง่าทันที แต่เขาก็เดินหายเข้าไปในหอคอยอย่างรวดเร็ว
ประตูที่สร้างเพื่อให้มนุษย์รอดผ่าน ทำให้มีแค่ศีรษะข้าที่เข้าไปได้ และได้แต่เงยมองร่างสูงสง่าที่เดินขึ้นบันไดวนหินอ่อนด้วยท่วงท่าที่สง่างามและไม่เร่งร้อน นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคู่งามนั่นไม่ได้ชายตาแลข้าเลยด้วยซ้ำ
ข้ารู้ดีว่าถ้ากลับเป็นร่างมนุษย์ก็จะเข้าไปได้ แต่ก็จะไม่สามารถพ่นไฟได้ จะมีแต่แขนขาที่ไร้เขี้ยวเล็บกับพละกำลังของมังกรที่เอาไปต่อกรกับเจ้านั่น... และแน่นอนว่าด้วยทักษะที่ข้าเห็นจากมันมาตลอดการต่อสู้ ข้าเสียเปรียบเต็มประตู
แต่ในเมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกยังก้าวขึ้นสูงเรื่อยๆ ใกล้ห้องบนยอดหอคอยที่มีเจ้าหญิงของข้าอยู่ ข้าก็ตัดสินใจตะโกนก้องออกไปทันทีว่า
“วอร์เรนหาอะไรมากันร่องประตูกลบนพื้น และถอยห่างจากมันซะ!”
ถ้อยคำข้าเหมือนจะหยุดผู้บุกรุกให้ก้มมามองได้เป็นครั้งแรก เขาดูแปลกใจ แต่ข้าไม่คิดรอให้เขาหาคำตอบว่าตนจะทำอะไร แต่สูดหายใจลึกเข้าเต็มปอดแทน พร้อมอ้าปากกว้าง ก่อนพ่นไฟออกไปจากชั้นล่างสุดของหอคอยทันที
และครั้งนี้มันไม่ใช่แค่ลูกไฟดวงเล็กๆ แค่พอให้เนื้อไหม้ ทว่าเป็นพายุเพลิงร้อนสีน้ำเงินจางที่วิ่งพรวดขึ้นไปทั่วหอคอย แผดเผาทุกอย่างที่มันสัมผัสได้ และข้าเห็นว่าผู้บุกรุกเองก็ยังต้องโยนตัวไปชิดกับขอบกำแพงหนีเพลิงสีน้ำเงินจางนี้เช่นกัน
ข้ายังพ่นไฟร้อนระอุให้ลอยวนไปทั่ว และสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไล่ต้อนศัตรู...
“กรี๊ดดด!”
แต่เสียงกรี๊ดของวอร์เรนบ่งบอกว่าไฟของข้าคงทะลุผ่านไปถึงชั้นบนแน่ และนั่นทำให้ข้าต้องหยุดการกระทำตนอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่เห็นชัดว่าเจ้าหนุ่มนั่นเองก็ยากจะทนกับไฟระดับนี้ของข้า
หากก็ยังมีเวลาอยู่
ข้ากลายร่างเป็นคนอีกครั้ง และใช้ช่วงเวลาที่ร่างสูงสง่ายังไม่ได้ตั้งหลัก บินโฉบขึ้นมายังเป้าหมาย พร้อมใช้สองมือพุ่งกระแทกใส่ไหล่หนาของเขา กดลงไปกับกำแพง พร้อมฟาดขาเตะที่ข้อมือเพื่อให้ดาบตัวปัญหากระเด็นออกไป ทว่าเขากลับยึดมันไว้มั่น ซ้ำยังฉกมืออีกข้างมาจับที่เขาข้าไว้อย่างแม่นยำอีกครั้ง
หากครั้งนี้ข้าไม่คิดปล่อยโอกาสให้ชายตรงหน้าหักเขาอีกข้างได้แล้ว
ข้ากำหมันแน่น และต่อยสวนขึ้นไปสุดแรงใส่ข้อต่อแขนของศัตรูตรงหน้าทันใด ไม่สนว่ามันจะหักหรือไม่ และมันก็ทำให้ข้าหลุดจากพันธนาการออกมาได้จริงๆ
ข้าต้องสลัดศีรษะ ไล่ความรู้สึกเสียวแปลกๆ ที่ปลายเขาให้หลุดออกไป ขณะเจ้าหนุ่มนั่นต้องยกแขนข้างที่โดนข้าต่อยขึ้นมาสลัดไปมา บ่งชัดว่าอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาเจ็บพอควร... ใช่ แค่พอควร แม้ว่าความจริงด้วยแรงมังกรอย่างข้า ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไป อาจถึงขั้นกระดูกหักแทงทะลุออกมาจากเนื้อเลยก็เถอะ
“ตื้อจริงนะเจ้า” เขาปรายตาขึ้นมาเอ่ยราบเรียบ แต่ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนนัก ซ้ำยังระบายลมหายใจราวเบื่อหน่าย
ส่วนข้าก็จำต้องถอยตัวออกไป รักษาระยะห่าง แม้พื้นที่ในหอคอยจะไม่ได้กว้างขนาดจะมั่นใจว่าปลอดภัยได้
ซึ่งศัตรูตรงหน้าที่หันกลับมามองหน้าข้าเต็มตัว ก็กล่าวขึ้นใหม่ ทว่าเหมือนจะพูดกับตนเองมากกว่าข้าว่า
“สงสัยว่าถ้าใช้แค่ดาบ กับพละกำลังในร่างนี้คงไม่จบง่ายๆ สินะ”
สิ้นคำ ดาบที่ข้าหวังให้หลุดจากมือของเขา ก็ถูกเจ้าของโยนให้ร่วงหล่นลงไปเสียเอง เสียงกระทบของโลหะดังแววที่ตีนหอคอย
และความแปลกใจที่เกิดขึ้น เมื่อข้าไม่คาดคิดว่าเขาจะโยนอาวุธตัวเองทิ้งเสียเอง ก็ทำให้ต้องมองตามมันอย่างลืมตัว
ทว่าอยู่ๆ ข้ากลับรู้สึกถึงมือเรียวแข็งแรงที่กำหลังคอข้าไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ในขณะที่ร่างชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าบนบันไดวนหินอ่อนก็หายไปแล้ว
และกว่าจะรู้ว่าโดนอะไร ก็เมื่อได้ยินเสียงกระซิบต่ำที่เบาจนแทบเป็นเสียงลมที่ด้านหลัง และรับรู้ได้ถึงกลิ่นกุหลาบหอมอ่อนๆ เต็มโพรงจมูก ก่อนวินาทีต่อมาร่างทั้งร่างของข้าจะหนักเหมือนหิน
ปีกขาแข็งจนขยับไม่ได้ ร่างกายก็หนักอึ้งจนเหมือนมีอะไรมาทวงที่แขนขา และทันทีที่มือแกร่งปล่อยออกจากหลังคอข้า ร่างทั้งร่างของข้าที่ร่วงลงมาไม่ต่างจากดาบของศัตรูที่เพิ่งถูกโยนลงไป
อะไร!
นี่มันอะไร!
ความสูงที่ตกลงมาไม่ทำให้ข้าเจ็บนัก แต่อาคมบางอย่างที่ทำให้ร่างทั้งร่างหนักเหมือนหินจนขยับไม่ได้ต่างหากที่ทำให้ใจข้าร่วงวูบไปยังตาตุ่ม
ขณะความหวาดกลัวยิ่งทวีขึ้น เมื่อเห็นที่หางตาว่าร่างของศัตรูกำลังไปถึงประตูกล ซึ่งเป็นปราการสุดท้ายก่อนผ่านไปสู่ห้องชั้นบนสุดบนหอคอยของวอร์เรน
ร่างของข้าที่นอนคว้ำขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว ได้แต่หายใจแรงเร็ว จินตนาการถึงผลต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พยายามคิดว่าอย่างน้อยประตูกลนั่นก็ล็อกอยู่ ไม่มีทางที่เขาจะผ่านมันไปได้ง่ายๆ... ข้ายังมีเวลา!
ทว่าพอนึกถึงว่าขนาดประตูเหล็กลงเวทเขายังเปิดเข้าไปง่ายๆ แล้วแค่ประตูกลนั่นมันจะเหลืออะไร ความคิดมากมายก็เริ่มตีรวน พร้อมหัวใจที่เต้นกระหน่ำของข้าสั่งให้ข้าต้องกันฟันแน่น ระลึกถึงคำพูดของพ่อที่บอกเสมอว่าอาคมหรือเวทมนต์ก็เหมือนคำพูดที่กระซิบข้างหู มันสั่งหรือบังคับให้เราเป็นอะไรก็ได้ หากเราเชื่อในเสียงกระซิบนั่น
ดังนั้นถ้าเราบอกจิตใจให้ไม่เชื่อซะ เอาจิตใจควบคุมร่างกาย เวทมนต์หรืออาคมใดๆ ก็เป็นเพียงแค่เสียงที่ไร้ความหมาย
มังกรมีจิตใจที่เข้มแข็งมากกว่ามนุษย์หลายเท่านัก เพราะเราถูกสร้างมาให้ซื่อสัตย์ ตระบัดสัตย์ไม่เป็น และอดทนกับหลายสิ่งหลายอย่างได้ดี ดังนั้นมันจึงหมายถึงว่า... พวกเราสามารถต้านอาคมได้ดีระดับหนึ่ง
ข้าคำรามต่ำในลำคอ พยายามขยับปีกและนิ้วมือของตนอย่างสุดความสามารถ ไล่ความหวาดกลัวทั้งหมดให้ออกไป และสั่งตนเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง
ข้าเหนื่อยจนหอบหนัก เม็ดเหงื่อมากมายพราวอยู่เต็มขมับ และรู้สึกเจ็บปวดแผลบนหน้ากับทุกคำสั่งในหัวที่บอกให้ลุกขึ้น หากก็รู้ว่าทุกความพยายามนี้มีค่า และมันต้องสำเร็จ
ไม่นานนิ้วแรกของข้าก็เริ่มกระดิกได้ และเพียงนิ้วเดียวที่กลับมาขยับ ก็ราวกับร่างทั้งร่างกลับมาเบาโหวงอีกครั้ง รับรู้ได้ถึงปีกพังผืดที่เริ่มกระพือ
ข้าไม่รีรอจะสะบัดหน้ามองขึ้นไปด้านบนทันทีที่หลุดจากพันธนาการของอาคมบางอย่าง และต้องเปิดนัยน์ตากว้างเมื่อเห็นว่าประตูกลถูกเปิดออกแล้ว
“วอร์เรน!” ตะโกนก้อง รู้สึกในท้องปั่นป่วนและโหวงว่าง ก่อนรีบโฉบตัวขึ้นไปยังห้องชั้นบนสุดของหอคอย ลืมความเจ็บทุกอย่างที่ร่วงตกลงมา ขณะภาวนาให้มันยังไม่ทำอะไรวอร์เรน
เสียงของนางยังเงียบอยู่ บางทีอาจไม่เกิดอะไรขึ้น... หรือบางทีอาจเลวร้ายกว่าที่จินตนาการไว้!
และทันทีที่ร่างข้าผ่านประตูกลที่ถูกเปิดออกมาได้แล้ว ข้าก็พุ่งตรงไปยังร่างสองร่างตรงหน้าทันที ซึ่งยามนี้ข้าไม่มีสติพอจะพิจารณาว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ขอเพียงแย้งตัววอร์เรนออกมาให้ได้ก่อนเท่านั้น
ตึ้ง!
หากเพียงข้าง้างแขนเตรียมปล่อยหมัดใส่ผู้บุกรุก นิ้วเรียวยาวของผู้บุกรุกตรงหน้ากลับยื่นสวนมาสัมผัสหน้าผากข้าแทน และกลายเป็นข้าเสียเองที่ต้องทรุดกายลงพื้น ราวมีโซ่ตรวนมาฉุดกระชากไว้
เรี่ยวแรงข้าเหมือนโดนขโมยไป จนลงไปนั่งคุกเข่านิ่งบนพื้นหินอ่อน แม้แต่ปีกที่กลางหลังยังตกลงข้างตัว ไม่สามารถกระพือได้ อาคมที่คลายได้เมื่อครู่ คล้ายจะกลับมาอีก หากครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่า
และตอนนั้น ข้าถึงได้เงยหน้ามองเห็นร่างของชายหนุ่มคนนั้นได้เต็มตาอีกครั้ง
มันทำให้ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อยามนี้ร่างที่ประคองรอบเอวบางของวอร์เรนไว้ราวเป็นเจ้าของ ไม่ใช่เพียงชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีดำที่ไหม้ไฟไปหลายส่วนอีกแล้ว ทว่ากลายเป็นร่างสูงสง่าแข็งแกร่งในเครื่องทรงเหมือนกษัตริย์ที่ย้อมทุกอย่างด้วยสีดำแทน
รูปร่างที่สง่างามอยู่แล้วดูแข็งแกร่งองอาจขึ้นไปอีก พร้อมเส้นผมสีดำขนอีกาที่สั้นละต้นคอ บัดนี้กลับยาวสยาย และถูกรวบมัดด้วยเครื่องประดับเงินแท้ที่ดัดเป็นทรงเถากุหลาบให้พาดอยู่ที่ไหล่กว้างแข็งแรงข้างหนึ่ง ขณะบนศีรษะใต้กลุ่มผมสีดำสนิทสองข้างมีเขาเรียวยาวสีนิลเหมือนเขาแพะที่เสริมให้ตัวตนของเขาน่าหวาดผวาจนหัวใจข้าเต้นรัว
และเหนืออื่นใด ใบหน้าหล่อเหลางดงามเกินบรรยายที่ทำให้แทบทุกคนลืมหายใจนั่น ยามนี้ยิ่งดูคมสันและเปี่ยมอำนาจมากขึ้น
เขาดูโต และอยู่ในช่วงวัยที่ดีที่สุดของบุรุษเพศ จนทำให้ร่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงเด็กน้อยไปถนัดตา ใบหูเรียวยาวที่มีต่างหูเหมือนใบมีดสามใบเล็กๆ ห้อยอยู่บ่งชัดถึงเผ่าพันธุ์แห่งความมืด พร้อมกลิ่นกุหลาบโชยอ่อนที่เคยได้กลิ่นแค่บางคราว เวลานี้กลับเด่นชัดขึ้น และมันทำให้ข้าขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง
ซ้ำยามที่นัยน์ตาเรียวยาวสีน้ำตาลทองแสนงดงามนั่นทอดต่ำมองมา ก็ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ตัวเล็กได้ไม่ยาก ราวกับว่าตนต้องก้มหัวเคารพร่างสูงสง่าเกินชายใดนั่นอย่างปฏิเสธไม่ได้
ทุกอย่างบนร่างกายที่สมบรูณ์แบบเกินมนุษย์คนใดนั้นเต็มไปด้วยพลังอำนาจ พร้อมเสน่ห์หาชวนหลุ่มหลง และดำมืดเกินหยั่งถึง เป็นสีดำที่งดงามและน่าพิศวงที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิต
และข้ายิ่งต้องนิ่งงันกว่าเดิมเหมือนโดนสาป เมื่อเสียงทุ้มลึกที่ยังฟังเย้ยหยันทุกสิ่งในโลกเหนือศีรษะข้า เอ่ยขึ้นเนิบช้า ทว่าแฝงพลังบางอย่างในน้ำเสียงที่เหมือนจะกดข้าให้จมดินว่า
“ข้าว่าเจ้าควรจะคุกเข่าเคารพ ‘ราชา’ ของเจ้ามากกว่านะ... เจ้ามังกร”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อิตาราชาเปิดตัวอย่างเท่ 55555555555555
*เฉนิดๆ >เซนิดๆ
*กากปีกออก >กางปีกออก
*งอล >งอน
คลั่งค่ะ ครั่ง!
แต่เจอคำว่า 'หน้าที่ข้าคือป้งกันผู้บุกรุก คอ หอย '
สะดุด หัวทิ่มเลยทีเดียว เอิ๊กๆ
สงสารหนูมังกรจัง
..มองไม่เห็นหนทางที่ทั้ง2จะรักกันได้เลยด้วยซ้ำ
ปล.พลังโครตขี้โกงเลย (แค่นิ้วเดียว จิ้มที่หน้าผากก็แพ้หมดรูป) แต่จะไปว่าก็ไม่ได้ ก็เขาเป็นราชาปีศาจนิTT~
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 27 พฤษภาคม 2557 / 00:41
เนียร์น่ารักฮะ แล้วก็ดูซื่อๆอย่างที่พี่อยากให้เป็น คุณจอมมารเพลาๆมือหน่อยแล้วกัน เพราะถ้าไม่มาตกหลุมรักนี่คงไม่เห็นทางเอาคืน
ตามพี่แบงค์ตั้งแต่ลงคิวบิกได้ไม่กี่ตอน จนกระทั้งดูละครจบอย่างปวดตับ พี่เป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จมากนะฮะ อาจจะต้องใช้ความพยายามมากว่าคนอื่นเพราะทั้งแต่งนิยาย ทั้งวาดการ์ตูนไปพร้อมกัน แต่พี่ก็ทำมันออกมาได้ดีทั้งคู่ ก็อยากให้สร้างสรรค์ผลงานดีๆออกมาเรื่อยๆ เป็นกำลังใจให้ แล้วก็หวังว่าสักวันตัวเองจะทำได้ซักเสี้ยวหนึ่งของพี่ :)
สู้ๆฮะ