คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ภาพลวงตาหรือ?
การิมลงจากเครื่องแล้วจึงไปบ้านพักส่วนตัวริมที่ซื้อไว้ฝั่งแม่น้ำไนล์ เวลาที่มาถึงค่อนข้างใกล้จะค่ำแล้ว จำต้องนอนเอาพักเอาแรงหนึ่งคืน เขาโทรนัดดร.เชลลิส เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหากันมากนะ เพราะหุบผากษัตริย์กว้างขวางพอสมควร
“ที่มหาวิหารได้ ครับ ตกลง แล้วผมจะไปคอย”
การิมวางสายลง ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่นัดตามโรงแรมไปเลย จะได้สะดวกกว่านี้ แต่ที่จริง เขาก็อยากหาเรื่องไปเที่ยวเหมือนกัน เขาไม่ได้ออกเดินทางท่องเที่ยวแบบนี้มานานนับหลายปีแล้ว ล่าสุดจำได้ว่าเป็นกรุงโรมกับอดีตคนรัก แต่หลังจากมรณกรรมของพ่อของเขา การิมต้องบริหารกิจการแทนจนแทบไม่ได้กระดิกตัวไปไหน คนที่เคยรักก็ห่างหายออกไปจนหมด การมาครั้งนี้ก็เพื่อสานต่อสิ่งที่พ่อได้ทำทิ้งไว้ก่อนตาย คือตั้งกองทุนมูริคให้การสนับสนุนงานวิจัยทางไอยคุปย์วิทยา พ่อเป็นหนึ่งในเศรษฐีที่ออกทุนร่วมกับบรรดาเศรษฐีคนอื่นๆ ที่มีเงินเหลือล้นเกินจะใช้ได้หมดตลอดชาติ
เสาหินโอบิลิสก์สูงตระหง่าน จนต้องการแหงนเงยเพื่อชมแทบจะสุดคอจึงจะเห็นครบส่วน แสงแดดร้อนแผดเผาผิวหนังแสบร้อนจนเกือบจะไหม้ การิมเดินชมสถานที่อยู่ร่วมชั่วโมง แอบชักภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วเลยผ่านจากหุบผากษัตริ์ยมุ่งตรงไปยังมหาวิหารที่เป็นจุดนัดพบ ย่างก้าวแรกที่ได้พบความอลังการณ์แห่งมหาวิหารฮัทเซปชุท อาการเสียงวาบจากแผ่นหลังถึงต้นคอเหมือนถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกหน
“อะไรกัน นี่จะมาไม่สบายตัวแบบปัจจุบันทันด่วนง่ายๆแบบนี้หรือ” เขาคิด คนแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวอะไร ผ่านเส้นทางลำบากหนักหนากว่านี้ยังเฉยๆ แต่ทำไม สถานที่แห่งนี้จึงมีผลต่อร่างกายและจิตใจของเขา
“โอ้ย บ้าจริงมาปวดหัวอะไรตอนนี้” เขาเริ่มเหมือนคนใกล้จะเป็นลม อากาศร้อนแต่การิมกลับรู้สึกเย็นเยียบทั้งตัว ศีรษะซีกหนึ่งชามึนมองเห็นแต่สีสันวูบวาบตรงหน้า การิมไม่ได้เอะใจเป็นอย่างอื่นนอกจากไอแดดที่ร้อนจัดบวกกับไม่ได้รับอาหารเช้า
แต่อาการเป็นลมแบบนี้ไม่ใช่เกิดจากไอแดด การิมรีบก้าวไปหาที่ร่ม เผื่อช่วยบรรเทาได้บ้างแต่ยิ่งเข้าใกล้มหาวิหารอาการปวดขมับเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ลมหายใจถี่เร็วเหงื่อเกาะพราว ทรุดนั่งลงข้างเสาต้นหนึ่ง เขานึกถึงดร.เชลลิส มองนาฬิกาข้อมือ ใกล้ถึงเวลานัดพบแล้วแต่ถ้าเขานั่งอยู่แบบนี้เกรงว่าอาจจะพลัดกันได้
การิมพยายามยันตนเองลุก ไอแดดระเหยจากพื้นทรายร้อนก่อให้เกิดภาพมายาลวงตา แต่ส่วนมากมักเกิดในเขตทะเลทรายกว้าง แต่ตอนนี้เขากลับเห็นในสิ่งคนอื่นไม่เห็นกัน
มหาวิหารที่เขาอยู่เวลานี้ค่อยเลือนหายไป แทนที่ด้วยกลุ่มคนแวดล้อมตัวเขา ต่างแต่งกายด้วยอาภรณ์แปลกตา พวกผู้ชายเปลือยอกพาดไหล่ด้วยผ้าเก่าสีมอซอ ส่วนพวกผู้หญิงก็ไม่ต่างจากกันนัก สกปรกทรุดโทรม พวกเขาต่างกำลังช่วยกันเข็นหินขึ้นมาตามทางลาดบ้าง บางส่วนก็ขนก้อนดินออกไป พวกที่ดูดีหน่อยจะเป็นผู้คุมคอยถือแส้และดาบทิ่มแทง
“นี่มันอะไรกัน เดี๋ยวครับ นายคนนั้น หยุดก่อน ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม” เขาพยายามตะโกนเรียกชายคนหนึ่งที่เดินผ่านหน้าไป แต่เหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงเขา ใช่ว่าจะเป็นแค่คนๆเดียว เขารู้สึกว่าไม่มีใครในที่แห่งนี้รับรู้หรือสนใจการมาของเขาราวกับไม่มีใครเห็นเขาด้วยซ้ำไป
“ที่นี่ที่ไหน แล้วทำไม เกิดอะไรขึ้น” การิมหมุนตัวซ้ายทีขวาทีก็มีแต่คนกำลังทำการก่อสร้างอะไรสักอย่าง ทั้งวิหารและนักท่องเที่ยวที่เห็นก่อนหน้านี้หายไปไหนกันหมด ขณะสับสนและงุนงงเขาแว่วเสียงหวานเล็ก
เรียกอยู่ข้างหู
“คุณๆ นี่ คุณ” มีคนเขย่าตัวเขา การิมหลุดออกจากความภวังค์ เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้
“คุณเป็นอะไรไหมท่าทางไม่สบายนะคะ” การิมเงยหน้าซีดเซียวขึ้นมา เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งมองเขาสีหน้ากังวล เธอหยิบบางอย่างจากกระเป๋า การิมได้กลิ่นฉุนๆ ที่จมูก รู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
“ผมไม่เป็นไร ขอบคุณมาก” เขาตอบ ค่อยๆลุกขึ้นยืน
“คุณมีใครมาด้วยไหม อยากให้เจ้าหน้าที่เรียกหมอหรือเปล่าคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมหายดีแล้ว ขอบคุณอีกครั้ง ที่ช่วยผม”
“แน่นะคะ” ท่าทางเธอไม่เชื่อ การิมก้มหน้ารับ เธอเอาขวดเล็กบาง ใส่มือเขาไว้
“ยานี่จะช่วยให้คุณดีขึ้น ถ้าไม่ไหว ก็เรียกเจ้าหน้าที่ได้นะคะ ฉันต้องไปแล้วค่ะ น้องชายฉันรออยู่”
เธอขอตัวพร้อมเดินผละไปจากเขา การิมอยากจะขอบคุณเธออีกครั้งพร้อมทั้งอยากรู้จักชื่อผู้มีน้ำใจ แต่ก็ไม่ทัน เธอเดินเร็วมากแทรกผ่านผู้คนออกไป การิมแบมือที่มีขวดใบเล็กอยู่ ข้างในเป็นของเหลวใสๆ กลิ่นหอมฉุนคล้ายเครื่องหอม การิมพลิกหงายขวดดูจึงรู้ที่มา
“Made in
“สาวไทยหรอกหรือ”
เธอเป็นคนไทย เขาเห็นครั้งแรกผ่านๆ ดูไม่ค่อยจะเหมือนคนเอเชียเท่าไร เรือนผมหยักศกยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนทอประกาย ผิวพรรณออกไปทางอมชมพูมากกว่าชนผิวเหลือง เธอไปแล้วแต่เขายังอยากจะรู้จักเธออยู่
การิมหันไปทางมหาวิหารแห่งเทพเจ้า น้อมตัวต่ำแสดงความเคารพนบนอบ ถ้าพระองค์ดลให้เขาเป็นลมแล้วเธอมาพบเขา เขาเชื่อว่าจะทรงดลบันดาลให้เราพบกันอีกครั้งในอีกในไม่ช้าแน่นอน เสียงโทรศัพท์สั่นในกระเป๋ากางเกง การิมรีบรับสายจึงรู้ว่าเป็นดร.เชลลิส เขาจึงบอกตำแหน่งที่อยู่ของตนเอง
“ดีใจจริงๆ ที่คุณมาตามนัด การิม แต่หน้าตาคุณมันดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก” ดร.เชลลิสจับไม้จับมือกับเขาอย่างเป็นทางการ
“อากาศมันร้อนมาก ผมเลยรู้สึกไม่สบายตัว” เขาไม่กล้าบอกว่าตนเป็นลม มันคงน่าอายเหมือนกันในเมื่อเป็นชายหนุ่ม ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงสมบูรณ์แต่กลับอ่อนแอเป็นผู้หญิง
“งั้นผมว่า เราไปหาที่นั่งคุยเย็นๆ ดีกว่านะ ไปรถผม ผมจอดไว้ด้านหน้าสุด”
*********************************************************************************************
“พี่วิ เมื่อกี้พี่คุยกับใคร” คิมหันต์ถามพี่สาวคนเดียว ระหว่างพากันเดินไปขึ้นรถเพื่อกลับที่พัก
“นักท่องเที่ยวทั่วไป เขาเป็นลม พี่เลยให้ยาลมเขา ” รวิศราตอบเด็กหนุ่ม คิมหันต์ทำหน้าเหมือนเห็นตัวตลกกำลังถูกชักใย
“หาเป็นลม พี่วิ ผมว่าตัวเขายังกับยักษ์ในตะเกียง เป็นลมจริง ๆ หรือแกล้งกันแน่ จะอ่อยผู้หญิงวิธีนี้ไม่เหมาะนะเนี่ย ไม่เวิรค์เลย”
“ตาคิมป๊วยไก่ มองคนอื่นแง่ดีบ้างสิ เขาเป็นลมจริง ๆหน้าตาขาวซีดจนนึกว่าเลือดจะหมดตัวแล้ว คงไม่ค่อยคุ้นกับแดดเท่าไร” รวิศราตั้งสมญาให้คิมหันต์ ที่พยายามจะบอกคนอื่นว่าชื่อตนอิงพระเอกเกาหลี คิมอะไรสักอย่าง
“แล้วกันพี่ ทำผมเสียหมดเลย “มีเสียงตัดพ้อเล็กน้อย “ พี่วิผมอยากไปกินอะไรก่อนได้ไหม หิวชะมัด กลางวันทานนิดเดียว อาหารที่นี่ไม่ถูกปากเลย ไปกินโรงแรมดีกว่า อย่างน้อยเราก็เลือกได้ แล้วค่อยกลับที่พัก นะพี่วิ นะ” คิมหันต์ทำเสียงออดอ้อนเหมือนทุกครั้งที่จะขออะไรพี่สาวคนโต ซึ่งรวิศราก็ตามใจทุกครั้ง ทั้งสองแม้จะต่างบิดากัน แต่รวิศราก็ช่วยเลี้ยงดูส่งเสียน้องชายหลังจากพ่อของคิมหันต์เสียชีวิต
“เอาสิ ไหนๆ ก็จะกลับพรุ่งนี้แล้ว พี่จะได้เลี้ยงส่งไปด้วย”
“ไม่เอา พี่วิ ผมบอกแม่จะอยู่ต่ออีกอาทิตย์หนึ่งนี่”
“แต่โรงเรียนจะเปิดเทอมแล้ว เธอต้องเตรียมตัวอีกตั้งหลายอย่าง อย่างอแงได้ไหม คิมหันต์สัญญากับพี่แล้วนะ พี่ยังต้องทำงานที่นี่อีกเกือบปี ถ้ายังไงปิดเทอมก็มาอีกก็ได้นี่”
“โธ่ พี่วิ ขอนิดขอหน่อยก็ไม่ได้ ก็ได้กลับก็กลับ แต่พรุ่งนี้ก่อนกลับ ผมขอไปเดินหาซื้อของฝากกลับเมืองไทยได้ไหม ดูนี่ แม่นะจดมายังกับบ้านเรารวย” รวิศราไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มน้อยๆ เธอคิดถึงแม่ ป่านนี้คงอยู่กับไข่ต้มสุนัขตัวโปรด เงียบเหงาทั้งคนทั้งสัตว์
ความคิดเห็น