คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
“ค่ะ ตอนนี้เราอยู่ในสถานที่เกิดเหตุแล้วนะคะ”
“ขณะนี้ทางตำรวจกำลังไกล่เกลี่ยให้คุณวรเวติที่มีอาการคุ้มคลั่งใจเย็นลงค่ะ”
เสียงอื้ออึงรอบตัวทำให้เธอขมวดคิ้ว สะลึมสะลือเปิดเปลือกตา แล้วบิดขี้เกียจมองสถานการณ์รอบด้านว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็ต้องผิวปากเพราะรอบด้านตอนนี้มีแต่พวกนักข่าวเอย ตำรวจเอยยืนกันให้ทั่วลานกว้าง นัยน์ตาสีม่วงเข้มจ้องมองไปที่นาฬิกาเรือนใหญ่กลางลานกว้างที่บอกเวลาว่าเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว
ตีหนึ่งแล้วเหรอ นี่เรา ‘หลับตา’ ไปแค่สามชั่วโมงเองเหรอเนี่ย
คิดแล้วหญิงสาวก็ต้องถอนหายใจออกมาแล้วเหม่อมองไปที่ท้องฟ้าที่มีดาวมากมายฉายชัดอยู่ เธอนิ่งค้าง คิดทบทวนเรื่องต่างๆนาๆว่าต่อจากนี้จะทำยังไงกับชีวิตที่เหลืออยู่ มีสิ่งไหนอีกไหมที่ยังไม่ได้ทำ มีสิ่งไหนอีกไหมที่ทำแล้วจะทำให้รู้สึกสนุก หรือ รู้สึกถึงชีวิตได้มากกว่านี้ เธอแกว่งขาไปมาอยู่บนม้านั่งประจำของตนเองจ้องมองไปที่ตัวต้นเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่มากมายต้องมารวมตัวกันชุกชุมแบบนี้
ปัง !
และไม่ถึงนาทีที่เธอจ้องมองชายคนต้นเหตุ เขาก็ลั่นไก ยิงปืนขึ้นสู่ฟ้าเป็นการขู่ ผู้คนต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ พวกตำรวจน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พวกนักข่าวบางช่องนี่ซิถึงกับเซ บ้างก็เดินถอยหลังมาจนติดชิดม้านั่งของเธอเลยทีเดียว แล้วดูมือที่ถือไมค์นั่นอีก สั่นขนาดนั้น เธอจะไม่แปลกใจเลยถ้านักข่าวสาวพูดอยู่แล้วไมค์ร่วงลงพื้น สงสัยว่าพวกเขาคงจะเป็นมือใหม่ เพราะจากเท่าที่ผ่านๆมา คนที่มีประสบการณ์น่ะสมควรจะชินกับเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ถ้าให้ยกตัวอย่างเหรอ ..
เธอกวาดมองไปรอบๆอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เจอกับนักข่าวอีกคนที่จ้องมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น เขาจับไมค์ของเขาไว้มั่นแล้วรายงานเหตุการ์ฉะฉานให้เหล่าผู้คนได้รับทราบ เธอชะงักไปเล็กน้อย เพราะเคยเจอเขามาก่อนแต่ก็เมื่อนานโขแล้ว ดูท่าเขาจะแก่ไปเยอะเลยแฮะหลังจากครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเขา
เธอจ้องมองร่างกายของตัวเองที่ผิวก็ยังเต่งตึง ความสูงก็ยังเท่าเดิม ทุกอย่างมันเหมือนเดิมไปหมดในด้านทางกายภาพ แต่ถ้าทางด้านความคิดน่ะ เธอคิดว่าเธอเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย
แหงล่ะ อยู่มาตั้งสิบกว่าปีโดยที่ไม่มีใครมองเห็น ผ่านจุดที่เรียกว่าสติแตกมาได้ถึงคำว่าปลงตก ก็แสดงว่าเธอมีความเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่น้อยน่ะนะ
เธอจ้องมองชายหนุ่มผู้ตกเป็นข่าวที่กำลังตะโกนโหวกเหวก คร่ำครวญถึงชีวิตแสนเศร้าของตัวเองบ้างล่ะ ถือปืนชี้ไปทางตำรวจเป็นการขู่บ้างล่ะ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าปัญหาของเขาไม่ได้ใหญ่เท่าของเธอเลย
ตกงานเหรอ แฟนทิ้งเหรอ แล้วทำไมไม่หันมามองตัวเองล่ะว่าข้อบกพร่องอยู่ตรงไหน แล้วก็แก้ไขมัน ความทุกข์ความเศร้าน่ะ มันมีไว้เพื่อเป็นแรงผลักดันไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมมนุษย์ถึงไม่รู้จักใช้มันในทางที่ถูกกัน ทำไมต้องจมปลักกับเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้กัน
เธอคิดแล้วก็ต้องเบะปาก ก่อนที่จะยันตัวขึ้นจากม้านั่งเดินแหวกฝูงชนไปยืนจ้องหน้าผู้ชายที่เหล่านักข่าวบอกกันว่าชื่อ วรเวติ เธอยืนใกล้กับเขามาก เรียกว่าไม่ถึงคืบเลยก็ได้ เธอจ้องมองมือหยาบกร้านของเขาที่จับด้ามปืนดำขลับในมือแน่น เหงื่อซึมชื้นที่มือนั่นทำให้เธอรู้ว่าเขาคงอยู่ในอารมณ์ที่ไม่คงที่ หวาดวิตก หรือไม่ก็หวาดกลัวอยู่แน่
“ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี แล้วคุณจะทำมันทำไมนะ” เธอพึมพำแล้วลูบด้ามปืนที่ชายหนุ่มถือไว้ จะช่วยเขาไว้ดีไหมนะ แต่ถ้านี่คือการตัดสินใจของเขา การที่เราเอาตัวเข้าไปยุ่งจะดีรึเปล่า บางทีการที่เราช่วยเขาไว้ อาจจะทำให้เขาเป็นทุกข์มากกว่าเดิมก็ได้
“ออกไป ออกไปไกลๆฉันให้หมด!” เสียงตะโกนของเขาทำให้เธอขมวดคิ้วเอามือปิดหูแทบไม่ทัน ตาสีม่วงของเธอจ้องมองชายวัยกลางคนตรงหน้าที่ตอนนี้เอาปืนมาจ่อที่ขมับของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ร่างกายของเขาสั่นเทา น้ำตาสีใสเอ่ออยู่ที่ดวงตาที่มีริ้วรอยของความเหนื่อยอ่อน เธอนิ่งค้างมองภาพนั้น ไม่มีความรู้สึกที่ตื่นตกใจมากเท่าไหร่เพราะเธอเห็นภาพเหล่านี้จนชินชาเสียแล้ว
ครั้งแรกๆที่เห็น เธอรู้สึกใจหาย และเพราะความใจหายนั่นล่ะเธอถึงได้ช่วยเหลือคนมามากมายทั้งที่ไม่เคยมีใครร้องขอ คนที่เธอช่วยเหลือส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็นปาฎิหารย์ คิดว่าพระเจ้าได้ให้โอกาสครั้งที่สองกับพวกเขา นั่นทำให้เธอรู้สึกดีไม่น้อยที่เห็นคนที่หมดสิ้นซึ่งความหวังกลับมาสู้และกล้าที่จะกลับมาเปลี่ยนชีวิตของตนเองอีกครั้ง แต่บางพวกก็กลับกัน พวกเขาสาปส่งโอกาสครั้งที่สองนี้และเลือกที่ฆ่าตัวตายอีกครั้งหนึ่ง
“มีเพียงแค่ชีวิตเดียวทั้งที..” เธอพึมพำแล้วก้าวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มผู้สิ้นหวังมากกว่าเก่า แต่แล้วแรงดึงบางอย่างจากด้านหลังก็ทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว มันไม่ใช่แรงลมเธอรู้ดี เพราะแรงลมคงจะไม่แรงขนาดที่จะทำให้เธอเซแทบจะล้มหัวฟาดพื้นแน่ๆ แต่ก่อนที่เธอจะเซล้มลงจริงๆใครบางคนก็ฉุดเธอให้ทรงตัวเอาไว้ เธอเบิกตากว้างเมื่อหันไปทางด้านขวาเห็นคนแปลกหน้ากำลังจ้องมองเธออยู่
และเธอไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้าเธอคิดไม่ผิด เขาเองก็กำลังจ้องมองเธอกลับมาเช่นกัน แต่จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ในเมื่อสามสิบปีที่ผ่านมาไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะมองเห็นเธอ แล้วชายหนุ่มตรงหน้านี้เล่า จะแปลกไปกว่าคนอื่นตรงไหน เธอปัดมือของเขาออก กลืนน้ำลายแล้วก้าวถอยห่างออกจากชายแปลกหน้าทันที
“เมื่อกี๊..ปัดมือเหรอ ช่างมันเถอะ ก่อนอื่น...” คำพูดที่เปล่งออกมาจากชายแปลกหน้าตรงหน้าทำให้เธอชะงักฝีเท้า เบิกตากว้าง จ้องหน้าชายหนุ่มแปลกหน้าที่ดูท่าจะเลิกสนใจเรื่องของเธอไปชั่วขณะ แล้วหันไปจ้องชายวัยกลางคนด้วยสายตาที่เธออ่านไม่ออก
คอของเธอเหมือนจะแห้งผาก เมื่อเห็นว่าชายตรงหน้าจ้องมองชายหนุ่มนามวรเวติ ก่อนเลือกที่จะคว้าปืนออกจากมือของเขา แล้วยิงเข้าที่กลางหน้าผากภายในพริบตา ปัง ! เสียงปืนที่ดังก้องไปทั่วบริเวณทำให้เธอลืมหายใจ ใช่เธอเห็นคนฆ่าตัวตายมานักต่อนักแล้ว แต่ไม่เคยเห็นใครที่จะเดินผ่านมาแล้วเลือกที่จะฆ่าคนอื่นอย่างไม่มีสาเหตุเหมือนคนๆนี้มาก่อน
เธอคิดว่าเหล่าผู้คนจะแตกตื่น แต่เปล่าเลย ทุกคนยังคนนิ่งเงียบเหมือนกับว่าเสียงของลูกกระสุนที่ตัดสินชีวิตของชายวัยกลางคนเป็นที่เรียบร้อยนั้น ‘ส่งไปไม่ถึง’ ร่างของชายหนุ่มผู้ถวิลหาความตายร่วงหล่นลงไปนอนกองกับพื้น พร้อมเลือดที่ไหลออกมาจากหน้าผาก เหล่านักข่าวเมื่อเห็นท่าทีที่แปลกไปต่างรีบเข้าใกล้ ก่อนที่จะมุงดู ไม่นานเสียงฮือฮาก็ดังขึ้น
“เขาตายแล้ว !!” แต่เหล่าเสียงอื้ออึงนั้นไม่ได้เข้าหูของหญิงสาวที่เห็นเหตุการณ์ที่แท้จริงทั้งหมดแม้แต่นิด สิ่งที่เธอสนใจอย่างเดียวคือชายหนุ่มตรงหน้าที่เมื่อสังหารเสร็จ ก็โยนปืนทิ้งไปอย่างไม่ยี่หระ ทำทีจะเดินฝ่าฝูงนักข่าวไปเหมือนกับว่าไม่มีทางที่จะมีใครรู้เห็นว่าเขาเองนั่นล่ะคือ ‘ฆาตกร’ ของเหตุการณ์นี้
นั่นทำให้เธอแน่ใจ ว่าต้องใช่แน่ๆ เขาเป็นเหมือนเธอ
ชายหนุ่มตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองเธอ ดวงตาสีฟ้าอ่อนนั้นจ้องมองเธอนิ่งงันแต่เธอเห็น ว่าภายในแววตานั้นมีความเคลือบแคลงอยู่ หญิงสาวกลืนน้ำลาย หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ในใจภาวนาขอให้เป็นอย่างที่เธอคิด
“มองเห็นฉันหรือไง / คุณ..มองเห็นฉันใช่ไหมคะ”
ความคิดเห็น