คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ✿นิทานก่อนนอน✿
ฉันนั่งอยู่กลางสายฝนพรำกลางเมืองใหญ่กับลูกน้อยในอ้อมกอดของฉัน ความเสียใจมันถาโถมจนฉันรับมือไม่ไหว มันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนเกินไป
6 โมงเช้า ฉันตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน
7 โมงฉันพบกับเพื่อนชายที่มาเซอร์ไพรส์วันเกิดแต่เช้า และฉันก็พบกับเซอร์ไพรส์สองเด้ง โดยสามีฉันเอง
8 โมง สามีตะคอกใส่หน้าฉันครั้งแรกในชีวิต และไล่ออกจากบ้าน --ฉันอยากบอกเขาเหลือเกินว่าเขาเข้าใจผิด แต่เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉันอธิบาย เพื่อนชายของฉันโดนไล่ตะเพิดอย่างรุนแรงไร้ความปรานี และคนต่อมาก็คือฉัน...และลูก ตั้งแต่คบกันมา 15 ปี ฉันไม่เคยเห็นความเหี้ยมโหดของเขาขนาดนี้ เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันต้องเดินตากฝนกับลูกชายสุดที่รัก และเสื้อโค้ดกันฝนเพียงตัวเดียว และเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันกลายเป็น “แอน คอกซ์...คนไร้ค่า” ในพริบตาเดียว
9 โมง ฉันไร้บ้าน ไร้ญาติมิตร ไร้คนสนิท ไร้ทรัพย์สิน มีเพียงลูกน้อย “แฮร์รี่ สไตล์” ผู้ไร้เดียงสาที่อยู่ข้างฉัน ณ เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงรายล้อม และสายฝนที่กระทบผิวหนังไม่หยุดหย่อน ฉันคงเป็นแม่ที่แย่มากที่ปล่อยให้ลูกต้องมาเจอสภาพแบบนี้ ฉันไม่อยากให้ลูกต้องลำบากเพราะฉัน ถ้าไร้ลมหายใจ เราสองคนแม่ลูกคงจะสบายกว่านี้ และนั่นยิ่งทำให้ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ถ้าไม่เจอเขา “ไซม่อน โคเวลล์” แค่ฉันเห็นเพียงขาของเขาก็รู้ชื่อเขาได้ทันที เขาเป็นอดีตผู้ร่วมงานของฉัน เสนาธิการแห่งพระราชวังเทอร์คอยซ์ที่ลาออกเพื่อช่วยเหลือแคว้นทั้ง 5 ในขณะที่คนอื่นไม่กล้าทำ แม้แต่นักประวัติศาสตร์ผู้รอบรู้ที่สุดใน 5 แคว้นอย่างฉัน ผู้ที่มี
ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด
ฉันกล้าพูดได้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ พิสูจน์ได้จากทุกๆ สิ่งที่เขาให้ฉัน เขาให้บ้านใหม่ ความรู้สึกใหม่ ชีวิตใหม่ และลูกคนใหม่เพิ่มมาอีก 4 คน...
.............................................................................................................................................................
ไซม่อนพาฉันเลือกซื้อของเข้าบ้าน พอได้ของครบก็เดินทางออกมาจากเมืองแอเมทิสต์ และมุ่งสู่คาลซิโดนี่ เพื่อไปรับลูกบุญธรรมของเขา เขาเล่าเรื่องในชีวิตต่างๆ นานา โดยที่หารู้ไม่ว่า...ฉันรู้จักเขาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่เขาไม่รู้จักฉัน...
ไซม่อนให้ฉันรออยู่หน้าโรงพยาบาล ส่วนเขาก็เข้าไปในนั้นนานสองนาน จนกระทั่งเขาออกมากับคุณหมอและเด็กชายผมบรอนซ์ ตาสีฟ้าใสคู่สวย อายุน่าจะไล่เลี่ยกับแฮร์รี่ไม่กี่ปีที่วิ่งมาหาฉันอย่างร่าเริง
“กลับบ้านกันครับแม่” เด็กชายคนนั้นพูด ทำเอาฉันตกใจไม่น้อย ไซม่อนก็ไม่แพ้กัน
“ไนออล เธอกำลังทำให้คุณแอนตกใจรู้ไหม” ไซม่อนเอ็ดไนออล
“ก็เขาเป็นเมียพ่อ ก็ต้องเรียกแม่ ถูกต้องแล้วนี่ครับ” ไนออลตอบอย่างเด็กไร้เดียงสา แต่ไซม่อนกลับกุมขมับ
“เธอเรียกฉันว่าพ่อได้ แต่เธอเรียกคุณแอนว่าแม่ไม่ได้ เขาไม่ใช่ภรรยาฉัน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณไซม่อน ฉันยินดี ...ไนออลลูกแม่” ฉันตอบพวกเขาไป ไซม่อนยิ้มให้ฉันและอุ้มไนออลเพื่อพาไปบ้านหลังใหม่
ของไนออล แฮร์รี่ และฉัน
.............................................................................................................................................................
รถประจำทางจอดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่สีขาวนวล ที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ และสนามหน้าบ้านที่กว้างพอที่จะสร้างบ้านอีกหลังได้ ไซม่อนพาทุกคนเข้ามาข้างใน ผ่านประตูมาสู่ห้องโถง
“ไซม่อนกลับมาแล้ว~ เขาพาใครมาด้วยหน่ะ” ลูอิสตะโกนลั่นบ้าน เขาทิ้งดินสอ กระดาษไว้ที่ตักของเซนที่นั่งขัดสมาธิทำหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์
“เฮ้!!! ไม่ได้ยินหรอเลียม ไซ ม่อน กลับ มา แล้ว !!!!” ลูอิสตะโกนใส่หูของเลียม เลียมทำปากเบ้ใส่ลูอิส เขาวางเกมซูโดโกะที่เพิ่งทำเสร็จไว้บนโต๊ะรับแขก แล้วเดินมาหาพวกเรา ตามมาด้วยเซน
“พวกนาย นี่สมาชิกใหม่ของบ้านเรา นี่ไนออล ฮอแรน ส่วนนี่แฮร์รี่ สไตล์กับแม่ของเขา แอน คอกซ์ “
“สวัสดีครับคุณแอน” สามหนุ่ม เซน ลูอิส และเลียมพูดเป็นเสียงเดียวกัน แม้เสียงของลูอิสจะลั้นลามากกว่าคนอื่นหน่อย ฉันสำรวจบ้านของไซม่อนอย่างละเอียด มองโคมไฟราคาแพงที่ห้อยระย้าอยู่บนผนัง มองห้องแต่ละห้อง มองกองกระดาษ และเครื่องเขียนที่เด็กชายทั้งสามขีดเขียน แต่ที่ทำให้ฉันสะดุดตานั่นก็คือ
เกมซูโดโกะที่เขียนตัวเลขครบถ้วนและถูกต้อง นี่ฉันแน่ใจว่าเหล่าเด็กอายุประมาณนี้ไม่สามารถทำได้
“เกมซูโดโกะนี่ใครเล่นหรอจ๊ะ” ฉันถามด้วยความอยากรู้
“ผ..ผมเองครับ คุณแอน” เลียมยกมือ ทั้งฉันและไซม่อนต่างตกตะลึงกับความสามารถของเด็กคนนี้
“เธออายุเท่าไร”
“2 ขวบครับ”สิ้นคำของเลียม ไซม่อนก็นิ่งไปนานทีเดียว จนฉันเริ่มสงสัย เหมือนว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันก็ไม่กล้าไปขัดความคิดของเขา จนกระทั่งพอเขารู้สึกตัว เขาก็พาฉัน แฮร์รี่ และไนออล ไปเลือกห้องนอน ฉันกับแฮร์รี่ได้ห้องนอนบนชั้น 3 ห้องนี้ทาสีม่วงทั้งหมด ที่บนผนังตกแต่งด้วยดาวเรืองแสงเต็มผนัง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองดาวบนฟ้าในยามค่ำคืน ห้องนี้ค่อนข้างมืดครึมกว่าห้องอื่น แต่ฉันคิดว่าห้องนี้มันคงทำให้สามารถข่มตานอนหลับได้ดีกว่าห้องอื่นๆ ส่วนลูกไนออลได้นอนห้องนอนชั้น 2 ห้องนี้ติดวอลเปเปอร์ลายกราฟฟิกสีเหลือง-ดำ มีโมบายส่งเสียง กรุ๊งกริ๊งเมื่อต้องลม ไนออลดูจะชอบห้องนี้น่าดู
.............................................................................................................................................................
ช่วงเวลาของมื้อค่ำได้มาถึง ทุกคนลงมาทานอาหารร่วมกัน ลูอิสใช้ความสามารถของตัวเองในการแกล้งเซน โดยการบังคับให้ช้อนหนีจากการจับของเซน จนเซนหมั่นไส้จึงวิ่งมาล็อกคอของลูอิส จนเขาต้องยอมโดยดี แต่นี่ทำให้เซนเริ่มกล้าที่จะคุยกับคนอื่นๆ เริ่มสนิทสนมกับเพื่อนๆมากขึ้น แอนก็สนิทสนมกับเด็กอย่างรวดเร็ว ส่วนไซม่อนก็รู้แล้วว่าแต่ละคนนั้นมีความสามารถอะไร
อัจฉริยะ
กำลัง
การควบคุม
การบังคับจิตใจ
สายตา
และการ...กิน
เขารู้ได้อย่างไร... คงไม่ต้องสืบ เมื่อเห็นไนออลสวาปามข้าวอย่างกับอดอยากปากแห้งมาจากไหน และถึงแม้เลียมจะแอบมันฝรั่งทอดไว้ที่จุดใดของบ้าน ไนออลก็สามารถใช้สายตานกอินทรีย์ตามหาได้อย่างรวดเร็ว จนเลียมที่อัจฉริยะขนาดไหนก็ต้องขอยอมแพ้
เมื่อช่วงเวลาอาหารค่ำหมดลงไป แอนก็พาเด็กๆ มานั่งให้ความอบอุ่นร่างกายที่หน้าเตาผิงในห้องโถง เพราะอากาศเริ่มเย็นขึ้นอีกแล้ว หลังจากที่ฝนหยุดตกไปไม่นาน
“ไหน ใครอยากฟังแม่เล่านิทานบ้าง” เด็กๆ ยกมือกันเกรียวกราว ไม่ได้มีแค่เด็กๆ เท่านั้น ผู้ใหญ่อย่างไซม่อนก็รีบยกมือเช่นกัน
“นี่เป็นเรื่องราวจุดเริ่มต้นของแคว้นพี่น้องทั้ง 5 เทอร์คอยซ์ เพริดอต สเปสซาไทน์ คาลซิโดนี่ และแอเมทิสต์” แอนหยุดเล่าและมองเด็กๆ ที่กำลังตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“เมื่อเกือบ 300 ปีก่อน มีเกาะแห้งแล้งขนาดใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตกของสหราชอาณาจักร ที่ที่ล้อมรอบด้วยน้ำแต่กลับไม่สามารถกินได้”
“ทำไมหรอครับ ?” เลียมขัดขึ้น
“เพราะว่าเมื่อใครได้แตะน้ำที่มีในเกาะ น้ำจะกลายเป็นสีดำ และใครที่ยังฝืนกิน ก็จะพบจุดจบของชีวิตในที่สุด ทำให้คนในเกาะค่อยๆ ล้มตายกันทีละคนสองคน และคนที่ไม่ได้ตายก็ไม่สามารถออกจากเกาะได้ เชื่อว่าเป็นเกาะแห่งคำสาปฟอร์ซี แต่คำสาปฟอร์ซีมันคืออะไรก็ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ แต่ชีวิตในเกาะมรณะนี้ก็ดีขึ้น เมื่อมีวีรบุรุษ และวีรสตรีทั้ง 5 จากจุดต่างๆ ของเกาะนี้ โดยเริ่มต้นที่พี่ใหญ่ โทนิโอ เทอร์คอยซ์ ชายผิวขาวร่างผอมบางเหมือนผู้หญิง ผมขาวเหมือนหิมะ ขาเล็กเรียว เขาสามารถดื่มน้ำในเกาะนี้ได้โดยไม่เป็นอะไร เลยคิดว่าตัวเองต้องมีพลังพิเศษบางอย่าง จึงออกเดินทางเพื่อตามหาสิ่งที่จะสามารถพิสูจน์พลังของตนเองได้ จนกระทั่งพบกับหินแปลกประหลาดสีฟ้าอมเขียว ที่มีจุดด่างๆ ดำๆ กระจายอยู่ในหินก้อนกลมเนียน เขาเห็นว่ามันสวยดีเลยเก็บขึ้นมา และทันใดนั้นตัวของเขาที่ผอมแห้งก็บึกบึนกำยำยิ่งกว่าชายทั่วไป และที่ต้นแขนซ้ายของเขาก็มีลวดลายของหินที่เขาจับอยู่ แต่มันไม่ได้มีแค่นั้น ยังมีหินแวววาวรูปร่างประหลาดอีก 4 ก้อน!!!
โทนิโอ เทอร์คอยซ์ ฉงนสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นคือการอยู่รอด แต่เรื่องเหนือธรรมชาตินี้ก็ยากเกินจะเข้าใจ เขาค่อยๆ วิเคราะห์สิ่งเหล่านั้นอย่างช้าๆ
หินประหลาดที่ทำให้ร่างกายกำยำ
ไม่ได้มีแค่ก้อนเดียว แต่มีถึง 5 ก้อน
แต่ละก้อนก็ไม่เหมือนกัน
มันต้องมีพลังวิเศษแน่ๆ
ด้วยความทะเยอทะยาน บวกกับความอยากออกไปจากเกาะบ้าบอนี้สักที เทอร์คอยซ์จึงวางแผนที่จะตามหาหินต่างสีทั้ง 5 เพราะเขาคิดว่า ถ้าหาหินทั้ง 5 ที่รูปร่างเหมือนหินที่ต้นแขนซ้ายของเขา มันจะสามารถทำให้มวลมนุษย์ในเกาะคำสาปฟอร์ซีรอดไปด้วยกัน และนั้นจะทำให้เขาเป็นวีรบุรุษ แม้ว่า ณ ตอนนี้ เขาก็ยังคงไม่เชื่อมั่นในความคิดตัวเองสักเท่าไร
เทอร์คอยซ์เดินทางไปทั่วเกาะขนาดใหญ่นั้นอย่างยากลำบาก เดินไปสักพัก เขาก็ได้พบกับประสบการณ์ประหลาดอีกหนึ่งอย่าง เมื่อเพียงแค่เขาก้าวขาข้ามเพียง 1 ก้าว จากอากาศที่ร้อนแห้งแล้ง ก็เปลี่ยนเป็นลมหนาวปนฝุ่น ผมสีขาวหิมะของเขาพลิ้วไหวไปตามลม ตาเริ่มสู้ลมไม่ไหว ยิ่งเดินสายลมยิ่งรุนแรง แรงขึ้น แรงขึ้น จนเป็นพายุขนาดย่อมๆ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะแข็งแรงกำยำกว่าเดิมมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานลมพายุที่ไม่มีทีท่าจะผ่อนปรนลง ตาของเขาสัมผัสฝุ่นสกปรก ต่อมาก็คือปากที่ลิ้มรสฝุ่นจากลมบ้านั่น
….เขาเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………..
ภาพแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเขาตอนนี้ แม้มันจะค่อนข้างเลือนราง แต่ก็สามารถจับภาพได้ว่าเป็นอะไร มันขึ้นภาพหญิงชาย 4 คนที่ใส่ชุดสีสันต่างกันกำลังรวมกลุ่มปรึกษาอะไรสักอย่างที่เขาได้ยินไม่ถนัด ในบ้านซอมซ่อฝุ่นหนาขนาดใหญ่
…ฝันรึ
“เฮ้ นายผมขาวตื่นแล้ว” เสียงผู้หญิงหยาบห้าวร้องดังลั่น จนหูตาของผมตื่นเต็มที่ เลยสามารถเห็นคน 4 คนตรงหน้าได้ชัดถนัดตา หญิงคนที่เสียงห้าวๆ คนนั้น นางใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองแสบตาเก่าคร่ำครึ นางกลับไปนั่งนี่โซฟาที่เก่ากว่าชุดมาก นั่งในท่าอุจาดตา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เห็น(เต็มตา) ก็มีชายผู้ที่หน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ร่างสูงใหญ่ เดินบึ่งเข้ามากระชากคอเสื้อของผม
“ดี ฉันมีเรื่องจะคุยกับแกพอดี”
“นายไม่คิดจะแนะนำตัวให้ฉันก่อนหรอ มารยาทหน่ะ รู้จักไหม” ผมตอบเองหล่ะ ปกติผมเป็นคนไม่พูดอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่กับตานี่ มันเหลืออด
“เห็นไหมพอส มันว่าฉัน ฉันบอกแล้ว ไอ้ผมขาวนี่มันเป็นตัวอันตราย”
“สเตฟาน ใจเย็นๆ แค่เขาล้ำเขตของเรา มันไม่ได้ตัดสินทุกอย่างหรอกนะ …เออ แล้วฉันก็ขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วยนะ ที่ไม่ได้แนะนำตัว เขาชื่อสเตฟาน สเปสซาไทน์ ส่วนคุณผู้หญิงตรงนั้น เฮ้ แคลรีน นั้นดีๆหน่อย แคลรีน คาลดิโอนี่หน่ะ และผู้หญิงชุดม่วงอ่อนที่เพิ่งเดินเข้าไปในครัวตรงนั้นหน่ะ แอรีนา แอเมทิสต์”
“แล้วนาย…..”
“พอส เพริดอต” เขาตอบอย่างสุภาพ ซึ่งต่างจากเพื่อนเขาอย่างสิ้นเชิง
“แนะนำตัวกันเสร็จหรือยัง ฉันจะได้เคลียร์กับตาผมขาวนั่นซะที”
“ฉันชื่อโทนิโอ เทอร์คอยซ์ เผื่อนายจะไม่รู้ ไม่ได้ชื่อตาผมขาว”
“ช่างเถอะ นายจะมาขโมยอาหารจากแดนของเราไปให้แดนของนายใช่ไหม บอกเลยว่ายากกกก..”
“ไม่ ฉันมาตามหาไอ้นี่ต่างหาก” ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง เพราะรู้สึกเสียเวลากับตาบ้าหยาบคายร่างกายส้มแป๊ดอย่างกับคนตกถังสีมากเกินไป
เทอร์คอยซ์ถกแขนเสื้อที่เก่าลงถนัดตา หลังจากผ่านพายุสกปรก เผยให้เห็นกล้ามล่ำๆ ที่เพิ่งได้มา และรอยสักบนนั้น ชายหญิงทั้ง 4 ล้อมรอบดูรอยสลักรูปหิน 5 สี ฟ้า ส้ม เขียว เหลือง และม่วง แต่ละก้อนก็มีความแตกต่างทางรูปลักษณ์กันไป ทั้ง 4 ต่างทำหน้าตกใจไม่แพ้กัน
“นั่นไงคะ คนที่เราตามหา คนที่จะช่วยเราได้” แอเมทิสต์ร้องลั่น แล้วทั้ง 4 ก็กระซิบกระซาบกันโดยที่เทอร์คอยซ์ได้ยินแต่ฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่คำเดียว อะไรคือพลอยทั้ง 5 เปลี่ยนสีธารา เปลี่ยนฟ้าฝน และอื่นๆ
“เอ่อ… ช่วยพูดอะไรให้ฉันเข้าใจหน่อย”
“คืออย่างนี้โทนิโอ พวกเรากำลังตามหาคนที่จะสามารถทำให้อากาศที่แปรปรวนกลับมาปกติ ทำให้อาหารที่อยู่ตรงหน้าเราสามารถกินได้เหมือนเดิม สามารถทำให้เรามีชีวิตรอด ซึ่งตามที่พ่อฉันบอก…”
“พ่อนาย….”
“คือพ่อของพอสเขาเป็นนักโบราณคดีหน่ะค่ะ เขาบอกว่าถ้าพลอย 5 ก้อน หาคนสืบทอด 5 คน จะเป็นพลังให้พ้นภัยค่ะ ซึ่งเรามีแล้ว 4 ก้อน 4 คน เรารอคุณอยู่” แอเมทิสต์พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ แววตาชวนหลงเสน่ห์ของเธอเปี่ยมไปด้วยความหวังอันแรงกล้า
“ดี เสียใจนะที่เป็นนาย แต่ช่างเถอะ ทีนี้ฉันจะบอกนายว่าควรจะทำไงต่อ” สเปสซาไทน์พูดด้วยหน้าตายียวนกวนประสาท ซึ่งผมอยากจะต่อยหน้าเขาสักครั้งนักให้ตายเถอะ
………………………………………………………………………………………………………………..
“นายเอาหินสีฟ้าๆ ที่มีกระดำๆ มาไหม” สเปสซาไทน์ถาม เขาเดินนำทุกคนออกมาจากบ้าน เข้ามาสู่ลานกว้างหน้ากระท่อมซอมซ่อของพวกเขา
“เอามา”
“ดี” สเปสซาไทน์แบมือหน้าเทอร์คอยซ์ ซึ่งเทอร์คอยซ์ก็วาง (หรือกระแทก) หินสีฟ้านั้นให้เขา สเปสซาไทน์เดินแบมือไปหา เพริดอต แอมทิสต์ และคาลดิโอนี่ แต่ละคนก็วางหินสีของพวกเขาใส่ไปในมือ และเป็นเพริดอตที่จัดวางให้ทุกคนยืนเป็นวงกลม เมื่อสเปสซาไทน์ได้หิน (หรือพลอย) ครบทั้ง 5 แล้ว คาลดิโอนี่ก็เปล่งเสียงออกมา
“ธรรมชาติเห็นข้า ธรรมชาติเห็นเรา ได้โปรดจงแสดงตัว” เสียงของคาลดิโอนี่กึกก้องทรงพลังมาก และยังสะท้อนอย่างต่อเนื่อง ลมพายุข้างนอกหยุดโดยพลัน ฟ้าปิดสนิท และก็มีสายฟ้าขนาดย่อมฟาดฟันมาที่หินพลอยทั้ง 5 ….ซึ่งสเปสซาไทน์ถืออยู่
“โอ๊ย ไอ้สายฟ้าบ้าเอ๊ยยยยย….” เขาอุทาน และปล่อยหินเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว หินพลอยทั้ง 5 นั้น เมื่อได้เตะพื้น ก็สลายอย่างรวดเร็ว และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพวกเขาก็กลายเป็นแสงสีขาวแสบตาทันที หลังจากนั้นแสงก็ค่อยๆจางลง จนสายตาปรับสภาพได้เหมือนเดิม พวกเขาก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น….
………………………………………………………………………………………………………………
“ปราสาทตั้งขึ้นตรงกลางระหว่างพวกเขา ใหญ่ขึ้นๆ จนสูงใหญ่เกินเงยคอมองเห็น ทับบ้านซอมซ่อของเขาไปซะมิด พวกเขาทั้ง 5 สามารถทำให้เกาะมรณะนั้นเป็นเกาะสวรรค์ และได้ของที่ระลึกในความสำเร็จครั้งนี้เป็นหินพลอยที่เพิ่งละลายไปต่อหน้าต่อตากลับมา พวกเขาเอามันไปไว้ที่แท่นที่สูงที่สูงในปราสาท ทันใดนั้น สภาพอากาศกลับมาสดใส อาหารการกินกลับมาเป็นเหมือนเดิม คนในเกาะต่างวิ่งมาดูสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจในเกาะของเขา จึงทำให้เห็นว่ายังมีคนจำนวนมากอยู่รอดในเกาะ หลังจากนั้นเทอร์คอยซ์ เพริดอต สเปสซาไทน์ คาลดิโอนี่ และแอเมทิสต์ มีพลังที่เหนือมนุษย์ กลายเป็นราชาและราชินีของเมืองนี้ และแบ่งเขตปกครองกันเรื่อยมา….”
“สนุกมากๆ เลยแม่แอน” ไนออลพูดอย่างร่าเริง เด็กๆต่างปรบมือกันเกรียวกราว แม้กระทั่งแฮร์รี่ตัวน้อย
“ปัจจุบันคือที่นี่ใช่ไหมครับ” เลียมถามอย่างสงสัยเต็มประดา
“ใช่ แล้วตอนนี้ทั้ง 5 แคว้นของเรากำลังตกอยู่ในสภาพแบบนั้นอีกครั้ง คุณก็รู้ใช่ไหมไซม่อน” แอนหันไปถามไซม่อน ซึ่งเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ตั้งสติทัน …แอนรู้ได้อย่างไรว่าเมืองของเราเกิดอะไรขึ้น คนที่รู้ได้ก็มีแค่คนในวังเท่านั้นนี่ หรือว่า….
“เด็กๆ ไปนอนได้แล้ว นอนดึกเดี๋ยวไม่สบายนะ”
“โห่ ผมอยากฟังนิทานอีก มีอีกเรื่องไหมฮะแม่” ลูอิสงอแงอยากฟังนิทานอีก แต่ก็โดนเซนลากให้ขึ้นไปนอนกับพวกเขาข้างบน
เมื่อเด็กๆ ทั้ง 4 ขึ้นไปนอนหลับปุ๋ยที่ห้องของตัวเองแล้ว ไซม่อนก็นั่งคุยกับแอนที่กำลังกล่อมแฮร์รี่ให้หลับ
“คุณทำงานในวังหรอ” ไซม่อนยิงคำถามทันที ซื่งแอนก็พยักหน้าโดยพลัน
“ฉันเป็นนักประวัติศาสตร์ในพระราชวัง แต่ตอนนี้ฉันออกมาแล้วหล่ะ เพราะสามีของฉันให้ออกมาเลี้ยงลูก ออกจากวังวันเดียวกับคุณนั่นแหละ”
“บังเอิญจริง นี่ถ้าคุณยังไม่มีสามี ผมคงคิดว่าเราเป็นเนื้อคู่กันแล้วน…” ไซม่อนพูดยังไม่ทันจบก็ปิดปากทันที เมื่อเห็นแอนหลบสายตาเขา
“เอ่อ… คือ… คุณค..คงรู้แล้วส..สินะว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่” ไซม่อนรีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน แต่ก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงๆที่แก้มของเขาได้เลย
“เด็กทั้ง 5 คนที่คุณเอามา คุณคงไม่ใช่แค่อยากสร้างสถานเลี้ยงเด็กหรอกใช่ไหม” แอนพูดไปหัวเราะไป เพราะตลกกับท่าทางของไซม่อน ณ ตอนนี้ เธอเดินไปเอาเปลที่เพิ่งซื้อมาแล้ววางแฮร์รี่ลงไป ซึ่งเมื่อแฮร์รี่ออกมาจากอ้อมกอดของแม่ นัยน์ตาสีม่วงก็ลืมตาขึ้นทันที
“ใช่คุณแอน แต่คุณรู้ไหม ผมอยากมีเด็กอยู่ในบ้านอีกคนนึงนะ” เขายิ้มเขินๆ และเอามือไปปัดผมสีน้ำตาลที่ปรกหน้าของแอนอย่างบรรจง เขาค่อยๆ จับแก้มเนียนสวยของเธอ และตอนนี้ เขาไม่สามารถทนแรงปรารถนาครั้งนี้ได้อีกแล้ว…
………………………………………………………………………………………………………………
จบตอนแล้ว เย้ๆๆๆๆๆ แอลกลับมาแล้วนะ จะพยายามอัพให้จนจบเรื่องเลย จะทยอยมาอาทิตย์ละตอนสองตอนก่อนนะ อย่าเพิ่งหนีกันไปหล่ะ
G Minor!
ความคิดเห็น