คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ก้าวสู่เกียรติยศ
ในปราสาทที่ดูยิ่งใหญ่และหรูหราแห่งนั้น สถานที่ซึ่งถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยความปรานีตปูพื้นด้วยหินอ่อนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและมีลวดลายในตัวของมันเอง โครงสร้างส่วนใหญ่ของปราสาทแห่งนี้ประกอบไปด้วยการนำก้อนหินมาตัดให้เป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนอิฐบล็อก และนำมาใช้ในการก่อสร้าง และตามจุดที่สำคัญๆ เช่นในห้องต่างๆ หรือก็ทางเดินสู่ที่ๆ มีความสำคัญก็จะมีของตกแต่งแตกต่างกันไป บ้างก็ปูพรมยาวไปถึงด้านในของห้อง บ้างก็มีแจกันดอกไม้ช่วยเพิ่มความอ่อนโยนให้แก่ปราสาทที่ดูกร้าวแกร่งนี้ แม้แต่ผนังกั้นระหว่างด้านในปราสาทกับพื้นที่ภายนอกบางจุดก็ได้รับการตัดเจาะให้เป็นช่องระบายอากาศและแสงสว่างเป็นอย่างดี โดยเป็นช่องตามยาวแนวตั้งเว้นระยะออกเป็นช่วงๆ ช่วงละ 2-3 ช่องโดยประมาณ
เหล่าข้าราชบริพาร ขุนนางต่างๆ ในวันนี้ดูจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยกว่าปกติ ด้วยว่าทุกคนต่างรับรู้ถึงความพิเศษในวันนี้ ความพิเศษในวันนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิแน่นอน สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิสิ่งนั้นย่อมพิเศษสุดสำหรับทุกชีวิตในปราสาทแห่งนี้เสมอ แต่มิใช่เพียงเช่นนั้นวันนี้ยังมีบุคคลที่น่าเกรงขามที่ทุกคนรู้จักดีมาเกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนี้ด้วย หากแต่หลายๆ คนยังไม่รู้เรื่องอะไรมากมายเท่าใดนัก แต่ทุกคนก็เชื่อว่าจะต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแน่นอน
ห้องรับรองขนาดไม่ใหญ่ไม่โตเท่าใดนัก แต่สำหรับ 2 พ่อลูกตระกูลแมคดอลแล้วห้องรับรองนี้ก็ไม่ถือว่าเล็กไปนักสำหรับคน 2 คน
"ทีล แมคดอล" เด็กหนุ่มอายุราว 15 ปีในชุดสุภาพสีขาวสะอาดทับด้วยเสื้อนอกที่ทอด้วยผ้าที่สูงค่าสีแดงเข้มสวมกางเกงขายาวคลุมถึงข้อเท้าและสวมรองเท้าสีดำ จุดเด่นของเด็กหนุ่มคงไม่พ้นผ้าโพกหัวสีเขียวที่เขามักจะโพกติดอยู่เกือบตลอดเวลา สีหน้าของเด็กหนุ่มดูไม่สู้ดีนัก เขาไม่เคยต้องพบเจอบรรยากาศอย่างนี้มาก่อนในชีวิต เขาเคยติดตามบิดาของเขามาในวังอยู่บ้าง หากแต่การเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสำหรับเขาถือเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง และที่สำคัญเป็นการเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงเสียด้วย เขาเคยได้ยินมาว่าองค์จักรพรรดิทรงเป็นราชาที่ดุดันยิ่ง แข็งแกร่ง และเข้มงวด เขาหวาดวิตกว่าตัวเองอาจจะทำอะไรผิดพลาดจนทำให้องค์จักรพรรดิต้องขุ่นพระทัย ทว่าเขาไม่มีทางเลือกมากนักด้วยที่เขาเป็นบุตรชายของจอมทัพแห่งสหราชอาณาจักรแห่งนี้ จะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องมีวันนี้อยู่ดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาดูกระวนกระวายกว่าปกติมากพอที่ผู้เป็นบิดาของเขาจะสังเกตเห็น
"เทโอ แมคดอล" ชายวัยกลางคนในชุดเกราะดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ชุดเกราะของเขาดูไม่เหมือนกับทหารที่เฝ้ายามอยู่ภายนอก ชุดของเขาถูกออกแบบมาให้ดูแข็งกร้าวและดุดัน ประดุจว่านอกจากจะคอยคุ้มกันตัวของเขาแล้วยังคอยข่มขู่ขวัญของคู่ต่อสู้อยู่ในที หากแต่สายตาที่เขามองดูบุตรชายช่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก เขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับบุตรชายมากเท่าไหร่นักแต่เขาก็พยายามเอาใจใส่บุตรชายอย่างมาก เขาพยายามทดแทนความอบอุ่นที่บุตรชายไม่ได้รับจากบิดาอย่างเต็มที่ด้วยการหาผู้ปกครองหรือพี่เลี้ยงมาช่วยเลี้ยงดูเขา รับเด็กที่มองดูว่าอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกันที่เขาเจอมาให้เป็นเพื่อนเล่นตั้งแต่เด็ก ทั้งยังพยายามส่งเสริมบุตรชายด้วยการเฟ้นหาอาจารย์ทางด้านศิลปะการต่อสู้ที่เก่งกาจมาฝึกให้จนบุตรชายมีฝีมือเก่งกาจที่สุดในหมู่เด็กวัยเดียวกันที่เขาเคยพบมาทั้งหมด
"ลูกมีธุระสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือ..?? ทีล" ผู้เป็นบิดากล่าวขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายทำท่าเงอะงะเหมือนอยากจะถามจากอะไรเขา "ลูกดูท่าทางประหม่านะ ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกลูกพ่อ เราจะใช้เวลาไม่นานนักหรอก"
แม้จะได้ยินเช่นนั้น แต่ทีลก็ไม่ได้ใจเย็นลงเท่าไหร่ ถึงจะใช้เวลาไม่นานแต่โอกาสที่สิ่งที่เขากลัวจะบังเกิดก็ยังมีอยู่
"ก็เป็นในอย่างที่ลูกเป็นนั่นแหละ องค์จักรพรรดิทรงเข้มงวดก็จริง ทว่าหาได้มีสิ่งใดที่ลูกต้องหวั่นเกรงไม่" เทโอ กล่าวย้ำกับบุตรชาย
ไม่ทันที่เทโอจะได้กล่าวอะไรกับบุตรชายต่อ หญิงสาวที่แต่งกายเป็นคนรับใช้สวมชุดยาวสีม่วงและทับด้วยผ้าคลุมกันเปื้อนสีขาวก็เดินตรงเข้ามาหาทั้ง 2 "ท่านเทโอ ท่านทีล องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้นำพาท่านทั้งสองไปพบได้ในขณะนี้ ได้โปรดตามข้ามาทางด้านนี้เถิด"
ทั้ง 2 เดินออกห่างจากห้องรับรองไม่ไกลนักก็มาถึงจุดหมายเป็นทางที่ปูด้วยพรมสีแดงยาวเข้าไปถึงด้านใน ที่ทางเข้ามีทหารยามที่ไร้เกราะสวมอยู่ภายนอก 2 นาย ทหารยามทั้ง 2 นายทำความเคารพทันทีที่ทั้ง 2 เดินทางมาถึง
"เทโอ แมคดอล แม่ทัพแห่งกองทัพแห่งสหราชอานาจักร และบุตรชาย ทีล แมคดอล" ทั้ง 2 กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังแทบจะพร้อมกัน "อยู่ ณ ที่นี้แล้วเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ !!"
ทั้ง 2 เดินตรงเข้าไปตามเส้นทางที่พรมสีแดงเข้มได้ทอดยาวไปสู่ห้องโถงที่กว้างขวางอย่างสำรวม ทีลกวาดสายตาไปรอบๆ พบเห็นนายทหารชั้นน้อยใหญ่ยืนเรียงแถวกันอยู่ทั้ง 2 ข้างทางเป็นทางยาวไปจนถึงบัลลังก์ ที่ซึ่งองค์จักรพรรดิแห่งนครเกร็กมินสเตอร์แห่งนี้ประทับอยู่อย่างสงบนิ่ง ผู้ซึ่งทรงชุดเกราะทองคำอยู่กับพระวรกายเสมอ ผ้าคลุมสีม่วงสดปกขาวที่มีลวดลายสวยงามผืนที่พระองค์ทรงอยู่นั้นเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและเชื้อสายเท่านั้น นอกจากพระองค์แล้วผู้ที่สามารถคลุมตัวด้วยผ้าคลุมที่หรูหราและสวยงามนั้น มีเพียงคนสนิทและเหล่าขุนนางที่มีเกียรติสูงส่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
พระองค์ทรงมีนามว่า "บัลบารอสซ่า รักเนอร์" จักรพรรดิชาตินักรบผู้เกรียงไกรผู้ได้รับสมญาว่า "จักรพรรดิทองคำ" ผู้นี้ คำร่ำลือต่างๆ นาๆ ดูจะไม่ใช่สิ่งเกินเลยแม้แต่น้อยเมื่อได้ยืนอยู่ตรงหน้าองค์จักรพรรดิผู้นี้ แม้ว่าพระองค์จะมีพระชนมายุล่วงเลยไปเกือบ 60 พรรษาและเกศาของพระองค์เริ่มมีสีขาวโพลนผุดขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม แต่กระนั้นพระองค์ยังทรงดูน่าเกรงขาม เข้มแข็ง เด็ดขาด สุขุมและรอบรู้อยู่ในที และหากมีคนมากระซิบบอกทีล ณ เวลานี้ว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้พิชิตทุกประเทศที่อยู่ในใต้หล้า ทีลเองก็ดูจะเชื่อคำกล่าวนั้นโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
"พระองค์ทรงสมกับเป็นองค์จักรพรรดิอย่างแท้จริง" แม้ว่าจะไม่เคยประจักษ์วีรกรรมของพระองค์กับตาตนเอง แต่ทีลก็รู้สึกเลื่อมใสและศรัทธาในองค์เหนือหัวอย่างจับใจ ความตื่นเต้นของเขาเริ่มมลายหายไป ความตั้งใจแน่วแน่และฮึกเหิมยิ่งกลับเข้ามาแทนที่ "เรากำลังได้รับโอกาสที่มีเกียรติที่สุดในชีวิต" เขากระซิบบอกตัวเองเบาๆ ความตื่นเต้นเมื่อครู่ดูจะเป็นเรื่องโกหกไป เพราะตอนนี้เขารู้สึกสงบนิ่งอย่างยิ่ง
จอมทัพเทโอ มองเห็นด้านขวามือของพระที่นั่งนั้นมีหญิงสาวยืนอยู่เคียงข้างไม่ห่างจากบัลลังก์มากนักนางมีใบหน้าที่แสนงามยิ่งชุดคลุมยาวสีอ่อนที่นางใส่นั้นดูรุ่มร่ามแต่ดูสูงศักดิ์นั้นเป็นเสื้อผ้าสำหรับสตรีชั้นสูงเท่านั้น ผมยาวสลวยที่ถูกมัดไว้อย่างปรานีตและผ้าคลุมที่แสนจะดูงดงามนั้นเป็นคำยืนยันถึงสถานะของนางได้เป็นอย่างดี เขาจำนางได้นางคือ "เวนดี้" มหาอำมาตย์ที่มีความรอบรู้และความสามารถในแขนงต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ จอมทัพไม่เคยพบพานสตรีนางใดที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถเช่นนี้มาก่อนและเขาเป็นผู้ที่มีนิสัยชื่นชมบุคคลผู้มีความสามารถอย่างล้นเหลือ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะให้เกียรติมหาอำมาตย์นางนี้อย่างสูงสุดโดยไม่ถือเอาความเป็นชายหญิงมาแบ่งแยกความสามารถ
จอมทัพและบุตรชายหยุดเดินด้านหน้าห่างจากบัลลังก์ในระยะที่สมควรและทำความเคารพองค์จักรพรรดิด้วยการก้มศีรษะอย่างอ่อนน้อม
"ยินดีต้อนรับนะ เทโอ การศึกครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้างละ" องค์จักรพรรดิกล่าวทักทายเทโออย่างสนิทชิดเชื้อ แน่นอนว่าทั้ง 2 ย่อมเคยผ่านสนามรบน้อยใหญ่และผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน
"หาได้มีอะไรมากมายไปกว่าเมื่อครั้งที่กำชัยชนะในสงครามแห่งความสำเร็จของพระองค์หรอกพะยะค่ะ" จอมทัพตอบนายเหนือหัวอย่างสุภาพและอ่อนโยน
"วาจาของเจ้าฟังดูเสนาะหูยิ่งนัก เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ วินดี้" บัลบารอสซ่ายิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางหันไปเชิญมหาอำมาตย์คู่ใจมาร่วมวงสนทนาด้วย
"โดยแท้จริงแล้ว ข้าเห็นว่าวาจาเช่นนั้นย่อมเหมาะสมแล้วที่จะกล่าวโดยจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่าน" นางกล่าวอย่างเรียบง่าย แต่อ่อนโยน หากแต่คำตอบดูไม่ประสงค์จะร่วมวงสนทนาต่อแต่อย่างใด โดยที่ไม่มีใครสังเกตุสายตาของนางก็จับจ้องไปยังบุตรแห่งเทโออย่างพินิจพิเคราะห์
เมื่อเห็นเช่นนั้นบัลบารอสซ่าจึงเริ่มเข้าธุระของตน "เทโอ ข้าแน่ใจว่าเจ้าย่อมตระหนักและรู้ซึ้งกว่าใครว่าชายแดนทางทิศเหนือเริ่มมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเสียแล้ว"
"เจ้าจะออกเดินทางเพื่อปกป้องที่มั่น ณ เขตชายแดนของเราได้หรือไม่"
ตรงข้ามกับฝั่งของวินดี้อีกด้านหนึ่งของบัลลังก์ก็มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ในระยะห่างพอกับมหาอำมาตย์ แน่นอนว่าเขาต้องเป็นขุนนางที่ได้รับเกียรติอันสูงส่งจึงมีสิทธิมายืนเคียงจักรพรรดิ ณ ที่นี้ได้ เขาก้าวออกมาทิศที่จอมทัพยืนอยู่ เขาก้มหัวให้จอมทัพเล็กน้อย ดูท่าว่าเขาจะให้ความเคารพจอมทัพผู้นี้อย่างเหลือแสน "แม้ว่าปัญหาเรื่องความขัดแย้งกับประเทศอาณาจักรโจวสตันยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ทว่าหากท่านจอมทัพแมคดอลตกลงจะกรีฑาทัพไปด้วยตนเองแล้วละก็ พวกเราก็คงจะรอฟังข่าวดีได้อย่างสบายใจเป็นแน่แท้" เทโอยิ้มและก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำ
บัลบารอสซ่าหยิบดาบที่อยู่ข้างตัวยื่นออกมาให้จอมทัพ "ดาบที่รักยิ่งของข้า แพรกค์ ดาบเล่มนี้นำพาโชคมาสู่ข้านับครั้งไม่ถ้วน ข้าอยากให้เจ้านำมันติดตัวไปด้วย" ดาบเล่มโปรดของบัลบารอสซ่าแทบจะเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในนครแห่งนี้ ว่ากันว่าดาบเล่มนี้มีค่าควรเมืองเลยทีเดียว
"เป็นพระกรุณาอันล้นพ้นองค์จักรพรรดิ ข้า....เทโอ ขอสาบานว่าจะไม่มีวันทำให้พระองค์ผิดหวังเป็นอันขาด" จอมทัพคุกเข่าและยื่นมือออกไปรับดาบมาแนบไว้กับตัวอย่างสุภาพ และเขาก็หมายความตามที่พูดด้วย เขารู้สึกว่าแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็คงไม่มีทางหักหลังองค์จักรพรรดิเด็ดขาด
"ข้าขออำนวยพรให้เจ้าประสบแต่โชคลาภ เทโอ"
จอมทัพรู้ว่าธุระของเขาหมดลงแล้ว เขาขยับตัวออกด้านข้างให้พ้นเบื้องหน้าขององค์จักรพรรดิ และบัดนี้ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าองค์จักรพรรดิคือบุตรของเขาเอง
บัลบารอสซ่าเพิ่งพินิจดูหนุ่มน้อยอย่างช้าๆ เขาไม่พบอาการตื่นเต้นหรือหวาดหวั่นของคนทั่วไปเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิในตัวของทีลเลย กลับกันในแววตาของหนุ่มน้อยพระองค์ทรงเห็นประกายแห่งความมุ่งมั่น กระตือรือร้น แต่กลับดูอ่อนโยนอย่างประหลาด
"เจ้าคือทีล บุตรแห่งเทโอสินะ เจ้าดูควบคุมอารมณ์ได้ดีจนน่าประทับใจทีเดียว"
"ฟังนะ ทีล เจ้าจะสามารถให้จักรวรรดิได้หยิบยืมความช่วยเหลือสักเล็กน้อยในยามที่บิดาของเจ้ากำลังพิทักษ์ชายแดนทางทิศเหนือได้หรือไม่"
"พะยะค่ะ องค์จักรพรรดิ" ทีลย่อตัวและก้มศีรษะลงจนเข่าติดพื้นเพ่อรับคำจากองค์จักรพรรดิอย่างไม่มีความลังเล
บัลบารอสซ่าเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกประทับใจมาก นานแล้วที่พระองค์มิได้พบพานเด็กหนุ่มที่น่าสนใจเยี่ยงนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงได้เห็นทีล พระองค์ทรงเคยเห็นทีลมาแล้วไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทีลซ้อมศิลปะการต่อสู้ที่ลานข้างๆ ปราสาท รวมถึงเคยเห็นทีลแอบมาชมการประลองฝีมือระหว่างจอมทัพกับเพื่อนของเขาอีกคนเมื่อนานมาแล้ว "เจ้าแลดูเหมือนกับบิดาของเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิดเสียอีกรู้มั้ย ข้าอยากจะมองดูเจ้าเติบโตเป็นชายหนุ่มด้วยตาของข้าเองจริงๆ"
"เป็นพระกรุณาอันล้นพะยะค่ะ สำหรับวาจาอันอ่อนโยน อบอุ่นที่ประทานให้กับบุตรแห่งข้า" จอมทัพกล่าวขอบคุณแทนหนุ่มน้อย อาจเป็นเพราะเขารู้สึกตื่นตันแทนบุตรชายมากก็เป็นได้
"ผู้บัญชาการ คราเซ่ แห่งหน่วยองครักษ์จะเป็นผู้บังคับบัญชาของท่านทีลเอง" ชายผู้อยู่เคียงอีกด้านของจักรพรรดิเอ่ยขึ้นเมื่อแลเห็นว่าการสนทนาที่เป็นธุระสำคัญนั้นจบลงแล้ว
วินดี้ก้าวออกมาอย่างช้าๆ ทางทิศที่ทีลยืนอยู่ เมื่อเข้ามาใกล้เข้าทีลจึงได้สังเกตุเห็นว่ามหาอำมาตย์ช่างมีรูปโฉมที่งดงามยิ่งนัก "เจ้ามีสเน่ห์ดึงดูดคนรอบข้างอย่างน่าประหลาด จงอย่าวิตกไป ขอโชคจงสถิตย์อยู่เคียงเจ้าหนุ่มน้อย" องค์จักรพรรดิรู้สึกพอใจที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะอย่างน้อยพระองค์ก็ได้รู้ว่าพระองค์ทรงมองคนไม่ผิดและที่สำคัญมหาอำมาตย์นั้นชำนาญเรื่องการพิจารณาคนมากกว่าพระองค์เองเสียอีก
"องค์จักรพรรดิ หากพระองค์จะทรงอนุญาต ข้าคิดว่าเราคงจะได้เวลาไปเตรียมตัวแล้วพะยะค่ะ" เทโอกล่าวขึ้น
"ข้าคงทำให้เจ้าเสียเวลาอันมีค่าที่ไม่ควรจะเสียไปมากแล้วสินะ เทโอ" พระองค์เพิ่งรู้สึกตัวว่าเพลิดเพลินไปกับการสนทนานี้มากเกินกว่าจะเป็นธุระของบ้านเมืองแล้วจึงจำต้องกล่าวตัดบท "และทีล ข้าหวังว่าความมุ่งมั่น ความพยายามอันไม่ย่อท้อของเจ้าจะทำให้เจ้าก้าวข้ามบิดาได้ในสักวันหนึ่ง" ประดุจหนึ่งฟ้าผ่าลงกลางใจของทีล ภาพของบิดานั้นยิ่งใหญ่มากในความคิดของทีล เขาจะยิ่งใหญ่กว่าบิดาที่เป็นยอดคนไปได้อย่างไร แต่กระนั้นแล้วเขาก็ซ่อนความปิติเอาไว้ไม่ได้เมื่อมีคนที่เชื่อมั่นและประเมินค่าของเขาสูงเช่นนี้ โดยเฉพาะคนผู้นั้นคือองค์จักรพรรดิที่เขาคิดว่ายิ่งใหญ่ที่สุดนั่นเอง
ทั้ง 2 คำนับองค์เหนือหัวอย่างนอบน้อม แล้วจึงค่อยเดินทางออกจากท้องพระโรงด้วยท่าทีไม่ต่างจากเมื่อย่างก้าวเข้ามา
ท้องพระโรงของปราสาทแห่งนี้ถูกกำหนดให้อยู่บนชั้น 2 การเข้าพบองค์จักรพรรดินั้นดูไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย เพราะจำเป็นจะต้องทำเรื่องผ่านหัวหน้าหน่อยองครักษ์อย่างคราเซ่ที่ทีลเองจะต้องรับคำสั่งจากเขา ทีลเคยได้ยินว่าคนผู้นี้เย่อหยิ่ง จองหอง และถือตนเองเป็นใหญ่ขุนนางชั้นน้อยใหญ่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา แม้แต่จอมทัพอย่างบิดาของทีล คราเซ่เองก็ดูจะแกล้งสุภาพด้วยไปอย่างนั้นเองแต่เชื่อว่าในใจนั้นหาได้มีความจริงใจไม่ ผู้ที่คราเซ่ยอมก้มหัวให้อย่างแท้จริงนั้นดูจะมีเพียง 2 คนเท่านั้นคือองค์จักรพรดิทองคำบัลบารอสซ่า และมหาอำมาตย์วินดี้
ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปที่บันไดเพื่อลงสู่ทางออกชั้นล่างนั้นเอง ก็มีชายสูงอายุผู้หนึ่งกำลังเดินสวนทางมาพอดี การแต่งกายของเขาแตกต่างแต่ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับผู้เป็นบิดาของเขาอย่างประหลาด
"ต้องเป็น 1 ในเหล่าจอมทัพแน่ๆ" ทีลคิด พลางเพ่งพินิจไปยังเป้าหมายที่กำลังก้าวเข้ามาใกล่ทั้ง 2 เรื่อยๆ เขาโพกหัวด้วยผืนผ้าสีขาวบดบังศรีษะด้านหลังและด้านข้างจนมองเห็นแต่เพียงใบหน้าเท่านั้น ใบหน้าของเขาดูชราเกินกว่าที่จะเป็นจอมทัพ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า และหนวดที่ขาวโพลน แต่เขาไม่เคยได้ยินว่ามีจอมทัพคนไหนมีอายุเกินกว่า 50 ปีเลย เสื้อผ้าที่สวมใส่แลดูมิดชิด เสื้อเกราะสีดำสนิท คอปกสีขาวมีลวดลายสีทองที่แกะอย่างปราณีตซึ่งพินิจดูแล้วน่าจะเป็นแบบที่ตีขึ้นแตกต่างจากของบิดา อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีน้ำหนักเบากว่า ชายแก่มิได้สวมใส่ชุดเกราะเต็มตัวอย่างบิดาสิ่งที่เขาสวมนอกจากเสื้อผ้าที่มิดชิดและเกราะส่วนบนแล้ว เกราะทองแดงบนบ่าคือเกราะชิ้นสุดท้ายที่พึงมี อาจจะเป็นเพราะความจำเป็นบางอย่างชายผู้นี้จึงไม่ได้สวมชุดเกราะเต็มตัว
ทีลไม่คุ้นกับใบหน้าของเขาเท่าไหร่นัก แต่ก็จำได้ว่าเขาต้องเคยเห็นชายคนนี้แน่ๆ เพียงแต่ทีลไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร
เมื่อเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ทั้งบิดาและชายแปลกหน้าผู้นี้ต่างก้มหัวให้เกียรติกันรวมถึงส่งยิ้มให้ทีลอย่างเป็นมิตรด้วย ทั้ง 2 ต่างหยุดเท้าลงชั่วขณะ "โอ....ท่านเทโอ ท่านได้มีโอกาสนำบุตรก้าวเข้าสู่โลกแห่งเกียรติยศใบนี้แล้วหรือนี่" ชายผู้นั้นเว้นช่วงสีหน้าของเขาสลดลงเล็กน้อย "ข้าละรู้สึกริษยาท่านนัก" ทีลจับได้ว่าทั้ง 2 ต้องรู้จักเป็นอย่างดีจากคำพูดที่ดูล้อเล่นแต่เปิดเผยถึงความรู้สึกในใจเช่นนี้ และผู้ที่กล้าล้อเล่นกับจอมทัพในปราสาทแห่งนครเกร็กมินสเตอร์ได้มีเพียงสหายเท่านั้น และบิดาของทีลก็มีเพียงจอมทัพด้วยกันเท่านั้นที่ถือเป็นสหายมาหลายปีแล้ว
"ท่านมิได้ทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจเลย ท่านสมควรรู้สึกเช่นนั้นแล้ว" เทโอ ตอบกลับอย่างสุภาพ เทโอรู้จักนิสัยของสหายดีกว่าจอมทัพคนอื่นและรู้ว่าสหายของเขาไม่มีครอบครัว การปลอบใจทำได้เพียงหมิ่นเกียรติฝ่ายตรงข้าม วาจาที่แท้นั้นย่อมมีเกียรติมากกว่าและคาซิมก็เป็นผู้พิสมัยความจริงใจโดยแท้แม้จะไม่เสนาะหูนักก็ตาม แต่กระนั้นขณะพูดออกไปจอมทัพก็ก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงขออภัย
สหายของจอมทัพสังเกตเห็นทีลยังคงจับจ้องสายตามาที่เขา ราวกับจะเฟ้นหาความจริงบางอย่าง และเขาก็กำลังนึกเรื่องที่จะทักทายเด็กหนุ่มอยู่พอดี
"หืม....ข้าน่ะหรือ?? ในสายตาผู้อื่นนั้นข้าคือ คาซิม ฮาซิล 1 ใน 5 จอมทัพสูงสุด ดำรงตำแหน่งนี้มานานจนน่าวิตกเชียวละ" แม้แต่คำแนะนำตัวคาซิมยังคงมีคำพูดล้อเล่นแฝงไว้เสมอ
คาซิม ฮาซิล......ผู้นี้เองน่ะหรือ?? ทีลเคยได้ยินเรื่องของจอมทัพทั้งหมดมาแล้วคาซิมเป็นจอมทัพที่มีจุดเด่นตรงที่เพลงดาบของเขานั้นยากที่จะหาผู้ใดเทียมทานไว้ได้ มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเพลงดาบของเขาไม่ได้มีความน่ากลัวอยู่ที่ใดเลย แต่จอมทัพคาซิมผู้มากประสบการณ์ในการอ่านทางและวิเคราะห์นิสัยคู่ต่อสู้จนทะลุปรุโปร่งจนดูราวกับว่าคู่ต่อสู้วาดดาบตามที่เขาสั่งต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด และสิ่งที่บิดาเคยเล่าให้ฟังมีมากกว่านั้นนั่นคือเมื่อก่อนจอมทัพนั้นมี 6 คนหาได้มี 5 คนอย่งทุกวันนี้ไม่
"ท่านไปทำธุระของท่านเถิด แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะทรงเป็นกันเองและถือตนเป็นสหายกับพวกเราเหล่าจอมทัพ แต่เราจะปล่อยให้พระองค์ทรงต้องคอยมิได้หรอกนะ" เทโอ รู้ดีว่าการที่คาซิมกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องรับรองเพื่อที่จะรอคนมาเชิญไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเหมือนที่เขาและบุตรเพิ่งจะเสร็จธุระไปเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งยังรู้ทันด้วยว่าหากปล่อยไปละก็สหายเขาจะต้องจ้อไม่หยุดจนส่งผลเสียถึงงานหลวงอย่างแน่นอน
คาซิมยิ้มอย่างอารณ์ดี พลางโบกมือเป็นเชิงอำลา และก้าวเท้าหายไปยังห้องรับรองที่อยู่ไม่ไกลหากแต่เป็นคนละห้องกับที่ทั้ง 2 เคยนั่งรอเรียกตัวไปเข้าเฝ้าเมื่อสักครู่นี้ แน่นอนว่าเหล่าจอมทัพย่อมมีห้องรับรองส่วนตัวเสมอคาซิมและเทโอเองก็เช่นกัน
2 พ่อลูกเดินลงมาถึงชั้นล่างเบื้อหน้าของทั้ง 2 ประตูทางออกที่ทำขึ้นจากไม้ดูยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมาก ประตูบานนี้จะถูกถอดเปลี่ยนทุก 5 ปีเพื่อคงความแข็งแกร่งอยู่เสมอ องค์จักรพรรดิทรงรอบคอบเสมอวันที่เปลี่ยนบานประตูปราสาทแห่งนี้จะเป็นวันที่จอมทัพทั้งหมดและกำลังทหารมาพร้อมหน้ากันอย่างที่สุด เพราะอย่างนั้นจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีผู้ใดหาญกล้าเข้าโจมตีนครเกร็กมินสเตอร์ในวันนั้นเลยแม้แต่สักผู้เดียว
ผู้เป็นพ่อหยุดเท้าอีกครั้งที่หน้าห้องๆ หนึ่งไม่ห่างจากทางออกเท่าใดนัก
"นี่คือห้องของท่านคราเซ่ ซึ่งลูกจะต้องติดต่อเรื่องราวต่างๆ รวมถึงรายงานผลของภารกิจที่ได้รับมาที่นี่ละ" เขาเอ่ยแนะนำแก่บุตรชาย
"เข้าไปสิ แล้วก็แนะนำตัวเองซะด้วยละ" การแนะนำตนแก่ผู้บังคับบัญชาทันทีถือเป็นการให้เกียรติและเป็นมารยาทที่ไม่ควรละเลยเป็นที่สุดเมื่ออยู่ในวังหลวง เขาต้องการให้บุตรชายของเขาเรียนรู้ไว้
ทีลพยักหน้าแล้วก้าวเข้าไปในห้องนั้นทันที ในห้องนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าโต๊ะไม้สีน้ำตาลตัวใหญ่ กองเอกสารบนโต๊ะ ขุนนางคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลเข้าชุดกับโต๊ะที่มีอยู่เพียงคู่เดียวในห้อง "ท่าทางคนๆ นี้จะไม่ชอบรับแขกเป็นแน่แท้ มิฉะนั้นก็เป็นผู้ถือตนอย่างร้ายกาจเพราะเขาไม่ได้เตรียมเก้าอี้สำหรับหย่อนกายให้แก่ผู้มาเยือนเลย นั่นหมายความว่าจะไม่มีผู้ใดได้รับเกียรติจากเขาเมื่ออยู่ในห้องนี้" ทีลคิดตามสิ่งที่เขาเห็น
"ขออนุญาตขอรับ" ทีลส่งเสียงขออนุญาตเมื่อก้าวเข้ามาในห้องนี้ได้เพียงเล็กน้อย เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะองค์จักรพรรดิไม่ได้อนุญาตให้ห้องทำงานมีบานประตูซะด้วยสิ เหตุเพราะพระองค์ต้องการให้เกิดความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการมากที่สุด
"เฮอะ.....ท่างทางเจ้าจะเป็นบุตรแห่งเทโอสินะ" น้ำเสียงของคราเซ่เปล่งออกมาอย่างไม่น่าฟังนัก พลางชำเลืองมองทีล "แล้วนามของเจ้านั้นหรือคือ...??"
"นามที่ผู้เป็นบิดามอบให้คือ ทีล ขอรับ ทีลแห่งแมคดอล" ทีลตอบอย่างสงบนิ่งและมีมารยาทที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขามองเห็นคราเซ่ไม่ต่างจากที่ได้ยินคำร่ำลือเท่าใดนัก ใบหน้าของเขาดูชั่วร้ายและถือตนอย่างยิ่ง จมูกที่ยาวแหลม สายตาที่ดูเจ้าเล่ห์ ท่าทางที่ดูไม่ให้เกียรติผู้อื่นเท่าใดนักทำให้ทีลรู้สึกไม่สู้ดีกับหัวหน้าหน่วยองครักษ์ผู้นี้เลย จะว่าไปแล้วทีลไม่เห็นแววของความเป็นองครักษ์ในตัวตนของคราเซ่เลยแม้แต่น้อย
"ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าเจ้าจะเป็นลูกของจอมทัพสูงสุดรึไม่ เจ้าจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษไปกว่าคนอื่นๆ แม้แต่นิด ขอให้จงเข้าใจไว้ด้วย" ในสายตาของคราเซ่แล้วเขาถือว่าคนอื่นไม่มีความหมายมากกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาไปได้ อีกเหตุผลหนึ่งคือเขาไม่ชอบให้ผู้ใดมาทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยกว่าโดยเฉพาะกับเหล่าจอมทัพ
"ตอนนี้ให้เจ้ากลับไปพักผ่อน ณ คฤหาสน์ของเจ้าก่อน ภารกิจที่เจ้าต้องรับผิดชอบข้าจะส่งต่อให้เจ้าในวันพรุ่งนี้ เมื่อรุ่งอรุณมาถึงเจ้าจะต้องมารายงานตัวกับข้าก่อนกระทำสิ่งใด" คราเซ่รู้ว่าวันนี้ทีลเพิ่งได้รับมอบหมายงานในพระราชวัง และแน่นอนว่าเทโอจะต้องยืนรออยู่ไม่ไกลจากห้องนี้แน่ การให้จอมทัพอันทรงเกียรติต้องรอไม่ส่งผลดีกับเขาแน่ จึงจำต้องมอบหมายงานในวันอื่นแม้ว่าจะไม่ชอบใจนักก็ตาม
"ลูกแนะนำตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย??" เทโอเอ่ยถามเมื่อเห็นทีลก้าวออกมาจากห้องของหัวหน้าหน่วยองครักษ์
".....ครับพ่อ" ทีลตอบคำ เพียงแต่สีหน้าของทีลดูเคร่งเครียด บางทีเขาอาจะนึกถึงสิ่งที่เขาต้องเจอผ่านบรุษผู้ไม่เคยให้เกียรติผู้อื่นเฉกเช่นคราเซ่ ในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้
"พ่อต้องยอมรับจริงๆ ว่าค่อนข้างจะแปลกใจทีเดียวที่ลูกถูกกำหนดให้มาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคนแบบนี้ แต่ทว่า....." เทโอรับรู้ความรู้สึกของบุตรได้ก่อนใครเสมอ ถ้าจะมีใครที่ไวกว่าก็คงจะเป็นพี่เลี้ยงที่เคยช่วยชีวิตทีลมาแล้วในเวลาที่เทโอไม่อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นกระมัง
"เอาเถอะ.....พ่อว่าเราไปกันดีกว่านะ เกรมิโอ้คงจะเป็นห่วงลูกจนแทบคลั่งแล้วละ"
พ่อลูกตะกูลแมคดอลขยับเท้าเริ่มออกเดินทางกลับสู่คฤหาสน์แมคดอลอันเป็นที่พำนักของจอมทัพอันเกรียงไกรและบุตรชายซึ่งที่พำนักของเหล่าจอมทัพจะอยู่ในเขตเมืองไม่ไกลจากพระราชวังเท่าใดนัก เนื่องจากอาจมีความจำเป็นในยามศึกหรือยามมีเหตุฉุกเฉินเหล่าจอมทัพจะได้รับมือได้ทันท่วงที ขณะที่ออกจากปราสาทนั้นทีลสังเกตเห็นว่าวันนี้มีเหล่าทหารหาญเดินไปมาที่บริเวณลานน้ำพุหน้าพระราชวังน้อยผิดปกติ แต่ก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ทันทีว่านายทหารส่วนใหญ่คงจะขึ้นไปรวมตัวกันที่ห้องโถงและบริเวณรอบๆ ห้องโถงกันหมดแล้ว
แม้ว่าจะเป็นเขตเมือง แต่ก็เป็นเมืองที่อยู่ในอาณาเขตของพระราชวัง เพราะฉะนั้นบรรยากาศภายในเมืองจึงแลดูแตกต่างจากเมืองอื่นพอสมควร ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็จะเจอแต่บ้านที่อยู่อาศัยที่ถูกสร้างจากหินที่ตัดออกมาเป็นก้อนอย่างปราณีตเช่นเดียวกันกับในปราสาท ว่ากันว่าผู้ที่จะได้มีสิทธิอาศัยอยู่ในเขตเมืองเกร็กมินสเตอร์นั้นในอดีตจะต้องเป็นอัศวินหรือขุนนางที่มีเกียรติหรือเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในสงครามเท่านั้น สิ่งก่อสร้างน้อยใหญ่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบแต่แตกต่างกันออกไปตามขนาดและผู้อยู่อาศัย บางครัวเรือนเปลี่ยนที่พักของตนเป็นร้านค้า บ้างก็เป็นที่พักแรมสำหรับคนจร ผู้คนที่อาศัยอยู่แถบนี้มักจะมาหาซื้อสิ่งของจำเป็นกันที่นี่ เพราะถือกันว่าที่เมืองแห่งนี้เป็นจุดศูนย์รวมพ่อค้าที่มีสินค้ามารวมตัวกันอยู่มากมายและใหญ่ที่สุดสมเป็นเมืองหลวงของดินแดนนี้จริงๆ
เขตเมืองในเวลาสายเช่นนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ แม่บ้านที่จับกลุ่มคุยกัน พวกผู้ชายที่ออกมาทำธุระ พ่อค้าจากต่างถิ่นที่เข้ามาทำการค้าขาย แม้กระทั่งเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ถึงแม้จะเป็นเขตเมืองหลวงแต่ก็ใช่ว่าจะมีทหารหรือเวรยามแน่นหนามากมายจนน่าอึดอัด เป็นเพราะการวางกำลังอย่างชาญฉลาดที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างดีตามจุดต่างๆ ภายในเมืองทำให้ไม่จำเป็นต้องวางกำลังทหารมากมายเกินความจำเป็น ว่ากันว่าจุดวางเวรยามต่างๆ เหล่านี้ เสนาธิการผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการศึกครั้งสำคัญของจักรพรรดิบัลบารอสซ่าเป็นผู้คิดค้นขึ้น
แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ทีลจะมาเดินชมเมืองเหมือนที่เคยมากับเพื่อนและพี่เลี้ยงของเขาเช่นทุกวัน ทีลรู้สึกเหนื่อยและต้องการกลับบ้านมากที่สุดในตอนนี้ เขาก้าวเท้าตามพ่อของเขาไปติดๆ มุ่งหน้าสู่บ้านอันเป็นที่พักพิงของเขา ในใจเขานึกถึงครอบครัวที่เหลืออยู่ซึ่งตอนนี้คงจะเป็นห่วงและรอเขากลับไปหาเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาจากบ้านมาแน่ๆ เมื่อคิดได้อย่างนั้นทีลก็ยิ้มออกมาเล็กๆ ที่มุมปากอาจะเป็นเพราะเขารู้ว่าอะไรจะต้องพบอะไรเมื่อกลับถึงบ้านกระมัง
END of EP. 01 : ก้าวสู่เกียรติยศ
ความคิดเห็น