ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FICTION TWST : Odinary girl in WONDERLAND [ OC ]

    ลำดับตอนที่ #8 : บทนำเพื่อเปิดม่าน : The whisper of chaos (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.86K
      162
      19 ส.ค. 63



    "ถ้าเธอบอกว่ารูปภาพพูดไม่ได้เธอก็คงจะเหมือนรูปภาพพวกนั้นมากกว่าฉันเสียอีก
    เอาล่ะบอกมาซิเด็กน้อย เธอกำลังตามหาใครอยู่ล่ะ?"

    -รูปภาพที่กำแพง


    "เสียงกระซิบของความโกลาหล"

    ***

    "เจ้าเอซอะไรนั่นช้าชะมัดเลย!" เสียงบ่นของเจ้าแมวดำดังขึ้นท่ามกลางความครึกครื้นภายในโรงอาหาร เด็กสาวเท้าคางมองขณะที่ในมือผอมของเธอถือแซนวิชเนื้อเอาไว้อยู่ภายในมือข้างขวา ขณะที่มืออีกข้างถืออุปกรณ์ทำความสะอาดกระจกที่นำไปเปลี่ยนกับอุปกรณ์กวาดพื้นมาแล้ว ดวงตาสีน้ำข้าวกรอกตาไปมาราวสอดส่องหาเด็กหนุ่ม เมื่อมองไม่เห็นสุดท้ายเด็กสาวจึงลุกขึ้นจากโต๊ะโรงอาหาร มือเอื้อมหยิบเจ้าแมวสีดำพาดบ่าไป

    "เดี๋ยวสิมารี นี่เจ้าจะไปไหนน่ะ!?" มันร้องลั่น

    เด็กสาวหันมอง ใบหน้าของเธอเลิกคิ้วขึ้นราวกับฉงนใจเพียงแวบหนึ่ง---แต่สุดท้ายก็เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าจะทำอะไรต่อไป จึงตัดสินใจเอ่ยความต้องการออกมา

    "ก็ไปตามตัวเด็กนิสัยแย่คนนั้นกลับมายังไงล่ะกริมม์"





    ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น


    "อ่า...คือว่า..." เด็กสาวเอ่ยลากเสียงยาว สุดท้ายก็จึงพูดความจริงออกไปด้วยสีหน้าสำนึกผิด "กริมม์กับคุณเอซทะเลาะกันน่ะ...ครับ"

    "คุณเอซ...หรือว่าเธอจะหมายถึงเอซ แทรปโพล่า ที่อยู่ชั้นปีหนึ่งใช่ไหม?" ดวงแสงสีอำพันสบตากับร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังจะหนีหันไปได้สำเร็จ ทว่าสายตาของอาจารย์ใหญ่กลับเป็นฝ่ายที่ทำให้เด็กหนุ่มจำใจต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ ในมือของอาจารย์ใหญ่ถือแส้แห่งรักไว้ในมือขณะที่มืออีกมือจับกุมร่างของกริมม์เอาไว้อยู่

    "ครับ..." เสียงของเด็กหนุ่มดูเบาลงอย่างเห็นได้ชัด

    มารีนิ่งเงียบ ดวงตาสีน้ำข้าวของเด็กสาวหันไปมองเด็กหนุ่ม ดวงตาของเธอฉายแววประหลาดใจปนระคนสงสัยก่อนที่จะหันกลับไปมองร่างของอาจารย์ใหญ่อีกครั้ง แต่ว่าความคิดของเธอก็ยังคงวนเวียนอยู่กับนามสกุลของเด็กหนุ่มราวคาใจพอสมควร

    เอซ นามสกุลกับดักหนู*...นั่นนามสกุลคนเหรอ?

    หรือว่านามสกุลจะเป็นเกมการ์ด*มากกว่านะ ก็ชื่อเป็นเอซ*นิน่า?

    แปลกจัง...แต่ตอนนี้คงต้องพูดอะไรซักอย่างก่อนที่อาจารย์ใหญ่จะชิงพูดก่อน

    "อาจารย์ใหญ่ครับ...ขอโทษที่ไม่สามารถรับผิดชอบปัญหาได้นะครับ" มารีค่อยๆเรียบเรียงคำพูดของตัวเองออกมาเมื่อตัดสินใจเลิกจมอยู่กับความสงสัยแล้วหันมาพูดแก้ตัวกับอาจารย์ใหญ่ตรงหน้า "ไม่มีอะไรจะแก้แล้วล่ะครับ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผมเอง"

    "ฟุน๊า..." เสียงของกริมม์ดูแผ่วเบาลง เธอสังเกตเห็นหูและหางของมันที่ดูลู่ลงนิดหน่อย

    ดวงตาสีอำพันจ้องมองฝ่ายเด็กสาวที่สบสายตากับตนเอง ท่าทางนั้นดูแปลกตาจากคนที่กระทำผิดอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีน้ำข้าวของเธอไม่ดูหลุบตาต่ำลงราวกับคนไม่กล้าสบตา ปากเองก็ดูไม่ได้เม้มเพียงแค่เป็นเส้นตรงรอฟังคำตัดสินจากคนที่เคยกล่าวลั่นวาจาว่าถ้ากริมม์สร้างปัญหาอีกจะไล่ออก

    คราวลี่ย์มองรูปปั้นของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดที่ยังอยู่ในสภาพดียกเว้นเขาของมาลิฟิเซ้นต์แต่เพียงผู้เดียว เขาสลับมองกริมม์และเด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดแดงที่อยู่หอฮาร์ทสลาบิวท์ สุดท้ายก็พลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับเรื่องราวตรงหน้า

    หากไม่ติดว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคนที่เขาคิดว่ามีประโยชน์แล้วล่ะก็...

    "เห็นแก่มารีคุงแล้วกันนะครับ ผมจะไม่ไล่กริมม์ออกแล้วกัน" เสียงของอาจารย์ใหญ่เอ่ย "แต่ว่ายังไงกริมม์และแทรปโพล่าคุงก็จำเป็นที่จะต้องได้รับโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมอยากให้พวกเธอสองคนไปเช็ดกระจกให้ครบร้อยบานทั่วทั้งโรงเรียนเพื่อเป็นการไถ่โทษครับ!"

    "ฟุน๊า ร้อยบานเรอะ!?"

    เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางดูงุนงงเมื่อไม่เห็นว่าตนได้รับโทษ แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับคำ

    อ๊ะ รอดแแล้ว ไม่นึกเลยว่ามุกทำสีหน้าสำนึกผิดแบบนี้จะได้ผลด้วยแฮะ

    "เดี๋ยวสิ แล้วหมอนี่ล่ะครับ!?" เสียงร้องของเด็กหนุ่มผมสีแสดดังขึ้น เอซเท้าสะเอวขณะที่มองไปยังเด็กสาวที่พึ่งจะพูดแก้ตัวเสร็จไปหมาดๆ มารีหันมามอง...อ่า นั่นสินะ พวกที่ผิดเองแล้วพาลใส่คนอื่นนี่เป็นเด็กที่นิสัยไม่ดีจริงๆนั่นแหละ

    "มารีคุงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ" คำพูดของอาจารย์ใหญ่ช่วยชีวิตเธอไว้ไม่ให้ต้องรับภาระ แต่ดูยังไงเรื่องนี้เธอก็คงไม่พ้นต้องตามไปดูแลกริมม์ที่ได้รับโทษอยู่ดีนี่แหละ "แต่ว่ายังไงเธอเองก็ต้องตามไปเฝ้าเจ้าปี-แฮ่ม กริมม์ด้วย ถ้าอย่างงั้นหลังเลิกเรียนอย่าลืมมาพบกันที่โรงอาหารด้วยนะครับ!"

    นั่นไง กะแล้วเชียว

    "เข้าใจแล้วครับ"

    เธอพยักหน้า ฟังคราวลี่ย์ที่พูดถึงการทำความสะอาดเล็กน้อยก่อนจะไล่ให้พวกเธอย้ายไปทำที่ห้องสมุดเสียที ซ้ำยังกำชับด้วยว่าหลังเลิกเรียนให้มาเจอที่โรงอาหาร นอกจากนั้นก็พอได้ยินเสียงบ่นพึมพำนิดหน่อยก่อนที่คราวลี่ย์จะออกไปจากบริเวณทางเดินหลัก

    "ไปกันเถอะกริมม์" เธอเอ่ยขณะที่คว้าร่างของเจ้าแมวสีดำขึ้นพาดบ่าโดยไม่แม้แต่จะสนใจเสียงร้องบ่นของมันที่ดังอยู่ข้างหู มืออีกสองข้างของเธอถืออุปกรณ์ทำความสะอาดจนเต็มมือ พอรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาจากด้านหลังก็พลันหันหลังไปมอง

    เป็นเด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดที่จ้องมองเธออยู่ 

    ไม่รู้ทำไม แต่มารีรู้สึกแปลกๆกับสายตาของเด็กหนุ่มนามว่าเอซ เธอมองเขา---ท่าทางของเด็กสาวแข็งกระด้างขึ้นหลังจากในตอนแรกที่พวกเขาพบกัน---ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นมา แล้วจากนั้น...

    เธอก็แสยะยิ้มเย้ยหยันให้เขาแล้วเดินจากไป

    ***

    กลับสู่ปัจจุบัน



    "ตรงนี้ห้องเรียนสินะ?" 

    "นะ...น่าจะใช่แล้วล่ะ!"

    ฝีเท้าของเด็กสาวที่รีบสาวเท้าจนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่ถึงห้องเรียนห้องหนึ่งที่พึ่งจะมีร่องรอยการย้ายชั้นเรียนของนักเรียนจำนวนมากออกไปจากห้องเรียนที่ว่างเปล่าแห่งนี้ เธอมองกริมม์ที่คล้ายร่างกายจะโยกเยกไปโยกเยกมาราวกับกำลังมึนหัว เด็กสาวเลิกคิ้ว...เธอไม่ยักกะจำได้เลยว่าจะเดินเร็วเกินไปนิ?

    "กริมม์นี่เมาทางง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?"

    เธอเอ่ยภายขณะที่ยังอยู่บนทางเดินว่างเปล่าไร้ผู้คน กริมม์มองหน้าเธอราวกับหงุดหงิดเมื่อได้ยินคำถามของเด็กสาวที่เอ่ยออกมาแบบนั้น มันใช้อุ้งเท้าตบไหล่ของเธอเบาๆราวแสดงความไม่พอใจแทนที่จะพ่นไฟใส่

    "เจ้านั่นแหละที่เดินเร็วไป! นั่นเดินหรือวิ่งล่ะห้ะ---ทำเอาหัวของข้าปวดไปหมดเลยรู้ไหม" มันเอ่ย "คนปกติแบบเจ้าใครมันจะไปทำแบบนั้นได้"

    เด็กสาวหันมองเจ้าแมวนิ่ง

    "อืม...บางทีสงสัยฉันอาจจะชินกับวิถีชีวิตแบบโลกเดิมเกินไป" ก็นะ...ชีวิตเธอในโลกเดิมมันยุ่งวุ่นวายจนต้องรีบทำอะไรเร็วๆนี่น่า "ที่นั่นน่ะชีวิตของผู้คนยุ่งอยู่เสมอๆเลยล่ะ"

    "โลกของเจ้าเป็นแบบไหนกันแน่เนี่ย...เดี๋ยวนะ โลกเดิมเหรอ?" มันมองเธอด้วยสีหน้าประหลาด "ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดเลยแฮะ เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้อยู่ที่โลกนี้รึ?"

    ดวงตาสีน้ำข้าวหลุบตาต่ำลงราวใช้ความคิด ริมฝีปากค่อยๆเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับว่ากลัวใครเขาจะได้ยินในสิ่งที่เธอพูดท่ามกลางทางเดินที่ไร้ผู้คน

    "ค่ะกริมม์ แต่ว่า...จะโลกเดิมหรือโลกนี้ฉันก็คงประหลาดไม่เหมือนใครเขาเท่าไหร่หรอกค่ะ" เธอเอ่ยเสียงเบา ดวงตาสีน้ำข้าวทอดมองไปข้างหน้าโดยไม่ได้สบตากับเจ้าแมวปีศาจเลยซักนิด "แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าเรื่องนี้หรอกนะคะ สิ่งที่สำคัญคือต้องตามหาคุณเอซก่อนที่กริมม์จะต้องเช็ดกระจกทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวนะ"

    หูหางของกริมม์ตั้งขึ้นภายในเสี้ยววินาทีที่เธอเอ่ยเช่นนั้น มันเกาะหัวไหล่ของเธอแน่นราวกับกำลังจริงจัง...แต่แบบนี้มันก็อึดอัดสำหรับเธออยู่เหมือนกัน ถ้าช่วยปล่อยได้จะดีมาก

    "ฟุน๊า จริงด้วย! ถ้างั้นรีบๆเข้าไปที่ห้องเรียนเร็วเข้า" มันเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน เร่งร้อนให้เด็กสาวเดินเข้าไปภายในห้องเรียนเพื่อตามหาเด็กหนุ่มที่หายไป

    เมื่อก้าวเข้ามาภายในห้องเรียน สิ่งแรกที่ดูเด่นชัดคือสภาพของห้องเรียนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน มีเพียงแค่รูปภาพเสมือนที่ประดับประดาถูกแขวนไว้ที่ผนังห้อยตามจุดกำแพงของห้องเรียน กระดานดำอยู่ตรงกลางขณะที่เหมือนจะมีร่องรอยชอล์กที่ถูกลบไปเมื่อไม่นานมานี้ และที่นั่งที่อยู่ระหว่างฝั่งซ้ายขวา เป็นเหมือนโต๊ะยาวที่ทอดออกไปพร้อมที่นั่งราวกับห้องประชุม

    "เจ้าเอซหายไปไหนกันแน่เนี่ย! ไม่เห็นจะมีใครอยู่ในห้องเรียนนี้เลยนี่หว่า!?"

    "ใครบอกล่ะ ฉันอยู่นะ?"

    "กรี๊ดดด รูปภาพพูดได้!!?"

    "......" มารีอ้าปากค้าง แม้ว่าท่าทางนั้นจะไม่ได้ดูตกใจเท่าตอนที่เจอผีสาง แต่ก็พูดไม่ได้เลยว่าความรู้สึกนี้คงไม่ต่างจากตอนแรกที่ได้ดูหนังเก่าอย่างแ๐ร์รี่พ๐ตเ๐อร์แล้วพบว่ารูปภาพเหล่านั้นมันพูดได้อยู่หรอก 

    แฟนตาซีแล้วแฟนตาซีอีกจริงๆ เด็กสาวคิด โลกเดิมของฉันภาพยังไม่ไฮเทคถึงขนาดพูดได้แบบนี้หรอกนะ ไม่สิ...ที่นี่มีเวทมนตร์นี่ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

    เจ้ารูปภาพบนเก่าแพงมองพวกเธอทั้งสองคนด้วยสายตาประหลาดใจ

    "อะไร" เสียงของมันเอ่ย "รูปภาพในโรงเรียนนี้ก็พูดได้กันทั้งนั้นแหละ ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชายตรงนั้นก็พูดได้เพราะมีปากกันทั้งนั้น มันผิดปกติขนาดนั้นเชียวหรือ?"

    "ไม่...ก็...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ" เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา ดวงตาสีน้ำข้าวมองด้วยความไม่เชื่อสายตาพอๆกับกริมม์ "แค่ปกติรูปภาพที่เคยเจอพวกเขาพูดกันไม่ได้น่ะ"

    "งั้นหรือ แบบนี้นี่เองสินะ" ใบหน้าของรูปภาพฉีกยิ้ม "เอาเถอะ---ถ้าเธอบอกว่ารูปภาพพูดไม่ได้เธอก็คงจะเหมือนรูปภาพพวกนั้นมากกว่าฉันเสียอีก เอาล่ะบอกมาซิเด็กน้อย เธอกำลังตามหาใครอยู่ล่ะ?"

    "นี่เจ้ารู้ด้วยเหรอ?" เสียงของกริมม์ดังขึ้นขณะที่ยังคงเกาะอยู่บนหัวไหล่ของเธอ รูปภาพเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กๆราวกับขบขัน

    "ได้ยินมานิดหน่อย แต่ถ้าพวกเธอไม่รีบบอกฉันก็ตอบไม่ได้น่ะสิ?"

    "พวกเรากำลังตามหาคนที่ชื่อเอซ แทรปโพล่าน่ะ" มารีเอ่ย

    "เจ้าคนผมชี้ๆ มีรูปหัวใจอยู่บนหน้า" กริมม์เอ่ยเสริม ขาหน้าสองข้างของมันกอดอก

    เสียงร้องอ๋อของรูปภาพลากยาวออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเธอทั้งสองคนที่กล่าวถึงเด็กหนุ่มนามเอซ แทรปโพล่า

    "อ๋อ...รู้จักอยู่นะ เข้ามาใหม่เป็นเด็กใหม่วันนี้นี่น่า รู้สึกว่าจะพึ่งกลับไปที่หอเอง"

    คราวนี้พวกเธอสองคนเงียบกันไปเสียครู่หนึ่ง มารีขมวดคิ้วไม่ชอบใจในความรับผิดชอบที่เด็กหนุ่มนั้นเป็นคนก่อขึ้นเองแต่ไม่ยอมรับโทษ ส่วนกริมม์กลับมาท่าทีโมโหมากกว่าเธอเพราะเป็นคนที่รับโทษด้วยกัน

    "ว่าแล้วเชียวว่าหมอนั่นคิดจะหนีจริงๆด้วย!" เจ้าแแมวดำเอ่ยด้วยท่าทางอารมณ์เสีย กริมม์เงยหน้าถามรูปภาพอีกหน "แล้วรู้รึเปล่าว่าไปทางไหน?"

    "ทางเข้าหลังฝั่งตึกตะวันออกน่ะ" รูปภาพเอ่ยตอบกลับมาแบบนั้น

    "มารี! รีบไปกันเถอะ" กริมม์เอ่ยเร่งเด็กสาวที่เป็นที่นั่งให้มันอยู่ภายในตอนนี้ "เรารู้ที่อยู่ของเจ้าบ้านั่นแล้ว!"

    "เข้าใจแล้วๆ" เด็กสาวเอ่ยก่อนที่จะเบนสายตาไปยังรูปภาพตรงหน้า "ขอบคุณที่ช่วยบอกข้อมูลให้กับพวกเรานะ"

    "ด้วยความยินดี" รูปภาพนั้นฉีกยิ้ม ทอดมองเด็กสาวที่รีบวิ่งออกไปพร้อมร่างของเจ้าปีศาจแมวสีดำที่อยู่บนไหล่ของเธอ ร่างๆนั้นของมารีวิ่งออกไปด้วยความเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้ และเพียงแค่ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นความเงียบงันก็เข้าสู่ห้องเรียนโดยสมบูรณ์

    *** 

    "ใครมันจะบ้าไปเช็ดกระจกตั้งร้อยบานกัน" เสียงบ่นอุบอิบของเด็กหนุ่มดังขึ้นภายในหอกระจกที่เงียบสงัด "แถมรอยยิ้มของเจ้าหมอนั่นมันก็น่าโมโหสุดๆเลย กลับดีกว่า"

    เป็นไม่กี่ครั้งที่เอซ แทรปโพล่ารู้สึกถึงความพ่ายแพ้ ทั้งที่แค่กะจะไปยั่วโมโหเจ้าพวกภารโรงที่เข้ามาป่วนพิธีปฐมนิเทศให้บันเทิงเล่นๆต่อใจ แต่กลับกลายเป็นว่าเขานั้นเกือบจะโดนไฟจากเจ้าปีศาจนั่นเผาเสียจนไหม้เกรียมจนแทบหมดรูป(ถ้าไม่มีลมหอบใหญ่นั่นช่วยเขาน่าจะได้ตัวไหม้จริงๆแน่คราวนั้น) ซ้ำไหนจะเด็กหนุ่มที่ชื่อราวกับผู้หญิงที่ตอนแรกดูเป็นคนหงิมๆไม่สู้คนแท้ๆ แต่ตอนท้ายที่แสยะยิ้มนั่นกลับทำให้เขารู้ว่ามองอีกฝ่ายผิดไปมหันต์

    และเขาเองก็ยังสงสัยเรื่องลมปริศนาที่ราวกับเวทมนตร์นั่นไม่หายเลยด้วย

    "เห้ย! เจอตัวแล้ววว!!" เสียงจากผู้เข้ามาใหม่ที่หอกระจกดังขึ้น ดวงตาสีแสดหันมองไปยังร่างของหนึ่งภารโรงและหนึ่งปีศาจที่อยู่บนไหล่ของมารี ร่างของกริมม์กระโดดลงจากไหล่ของเจ้าหล่อนแล้วสาวฝีเท้าเข้าหาโดยไว "กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะเฟ้ย!"

    "โอ๊ะ โดนเจอตัวเข้าแล้วเหรอเนี่ย ใครจะอยู่ให้โดนจับกันล่ะ!"

    เขาไม่นึกเลยว่าสองคนนั้นจะตามหาตัวเขาได้ไวขนาดนี้ นี่มีอะไรผิดปกติรึเปล่าเนี่ย?

    ใบหน้าตกใจของเอซปรากฎเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มจะเริ่มวิ่งหนีโดยมีสถานที่วิ่งเล่นคือหอกระจก ดวงตาสีน้ำข้าวของมารีจับจ้องมองไปตรงหน้าขณะที่เธอยังไม่ทันได้พักหายใจกลับต้องมาวิ่งต่อเสียอย่างงั้น 

    "แก! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่ปล่อยให้หนีคนเดียวหรอกเฟ้ย!!"

    เอ๊ะ... เด็กสาวเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงตะโกน ตะกี้เธอหูฝาดกับคำพูดของกริมม์ไปหรือเปล่า?

    "ไม่ได้คิดจะมารอนายตรงนี้ซะหน่อย ไปก่อนล่ะ!"

    "แกหนีคนเดียวแบบนี้ไม่ยุติธรรมนะเฟ้ย ข้าก็อยากทำบ้างนะ!"

    ....มารีคิดว่าเธอคงจะหูฝาดไป คงไม่ใช่แบบที่เธอคิดหรอก เจ้าแมวนี่คงจะมีความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเองมากกว่าที่คิด...ใช่ไหมนะ?

    "หา...?" เสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากเด็กหนุ่มผู้มีสัญลักษณ์โพธิ์ดำที่อยู่บนใบหน้า

    ขณะที่การไล่จับยังคงดำเนินต่อไป ร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดวิ่งเฉียดร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินเข้มดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่ซึ่งมีรูปสัญลักษณ์ของไพ่โพธิ์ดำอยู่ที่ดวงตาข้างขวามือของอีกฝ่าย ร่างของเขาสวมใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนถูกระเบียบนิ้ว...แต่ทำไมถึงต้องติดกระดุมเสื้อนอกอันเดียวด้วยล่ะ แล้วอีกสองอันทำไมถึงไม่ติดละเนี่ย...

    "ถอยไปๆ!"

    "นี่ เด็กคนนั้นน่ะ!" เสียงร้องตะโกนของเด็กสาวดังขึ้น "ช่วยจับเจ้าเด็กผมสีแสดคนนั้นให้ที เขาหนีเวรอาจารย์ใหญ่มา!"

    "ห้ะ-หนีเวรอาจารย์ใหญ่เหรอ!?" เสียงของเขาเอ่ยตะโกนลั่นด้วยความตกใจ จริงๆเด็กสาวก็อยากจะอธิบายให้มากกว่านี้อยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเธอจ้องจดจ่อให้ไม่วิ่งไปชนอะไรซักอย่างในนี้น่ะ "ใช้เวทย์จับคน...อะไรดี-ควรจะแช่แข็งเขาไว้ ไม่สิ...กักตัวไว้เหรอ หรือว่า...เอ๋-"

    "อะไรก็ได้เอามาเถอะ!!" เสียงของกริมม์ดังลั่น "แค่โจมตีก็พอแล้ว เร็วเข้า!"

    "อะไรก็ได้!? อะไรก็ได้...อะไรก็ได้-" เสียงพึมพำของเด็กหนุ่มแผ่วเบาลง ทว่าในวินาทีต่อมาก็ไขกระจ่างราวกับนึกอะไรบางอย่างออก มือของเขาดึงปากกาเวทมนตร์ออกมาจากกระเป๋า แสงของมันเริ่มเปล่งแสงสีขาววิบวับราวกับรอผู้เป็นนายร่ายเวทย์ "อะไรก็ได้ออกมาเถอะ! ของที่หนักๆ!"

    ตู้ม!!

    จบคำพูดของผู้เป็นนาย แสงสีขาววิบวับก็เปล่งประกายออกมาเป็นจุดแสงเล็กๆ ควันสีขาวเริ่มก่อตัวเองปรากฏหม้อขนาดใหญ่หล่นทับใส่ร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดจนร่างของเอซล้มพับลงไปกับพื้น 

    "อะ-อะไรวะเนี่ย! หม้อเรอะ!?" เสียงของเด็กหนุ่มผู้มีรูปหัวใจสีแดงบนใบหน้าร้องลั่น

    "ฮ่าๆๆ ดูดิ!" เสียงหัวเราะของกริมม์ดังลั่น "เอซดนหม้อทับจนแบนอย่างกับแพนเค้กเลย! กระจอกโคตร!"

    "ไม่คิดว่าหม้อจะร่วงลงมาเลย ทำเกินไปหน่อยรึเปล่านะ" เสียงของเด็กหนุ่มพึมพำขณะที่ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เพื่อมองอีกฝ่าย ท่าทางของเขาดูครุ่นคิดขณะที่เด็กสาวหายใจเข้าอากาศหอบใหญ่เข้าปอดพลางค่อยๆย่อยระยะฝีเท้าลงจนกระทั่งเปลี่ยนมาเดินตามปกติได้เสียที

    "โอ้ยๆๆ เจ็บชะมัด!" เสียงร้องโอดโอยของเอซดังขึ้น มือของเขาลูบศรีษะของตัวเองเบาๆ "ไม่เป็นไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ เช็ดกระจกร้อยบานก็น่าจะเช็ดไวอยู่แล้วนี่"

    เด็กสาวเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ใบหน้าของเธอจรดมองเขาจากล่างลงหัวแล้วพลันฉีกยิ้มบางๆให้

    "ถ้าแบบนั้นแรงของคุณก็คงจะบอบบางเหมือนกระดาษทิชชู่เปียกน้ำเลยสินะ กะแค่กระจกร้อยบานก็จะหนีกลับบ้านเชียว?"

    เธอมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่คล้ายแสดงสีหน้าบูดเบี้ยวออกมา เสียงของเอซดูกดต่ำลงนิดหน่อย ท่าทางเขาคงจะได้รับผลกระทบจากคำพูดของเธอไปมากอยู่เหมือนกันถึงได้หน้าบูดเป็นตูดลิงแบบนั้น

    "หา นี่นายจะหาเรื่องฉันรึไงกัน?"

    "เดี๋ยวสิ โดนสั่งให้เช็ดกระจกตั้งร้อยบาน...นี่พวกนายไปทำอะไรกันมาน่ะ?" เสียงของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินเข้มเอ่ย ดวงตาของเขาเบนกลับมามองพวกเธอสองคน ในตอนนี้เวทย์อาคมของหม้อยักษ์คลายตัวลงแล้วขณะที่เอซจับมือของมารีที่ยื่นออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจนักเพื่อจะยืนทรงตัวได้เป็นปกติจากการโดนทับเสียที

    "ฉันกับเจ้าก้อนขนนั่นแค่ไปเผารูปปั้นของมาลิฟิเซ้นต์เอง" เด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดเอ่ยขณะที่มือของมารีปล่อยออกจากเขา เด็กหนุ่มอีกคนมองด้วยแววตาราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาในสิ่งที่เอซพึ่งจะพูดไป

    "นี่นายทำรูปปั้นของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดพังเหรอ!? คนเขาก็ต้องโกรธอยู่แล้วสิ" น้ำเสียงประโยคท้ายของเด็กหนุ่มฉายแววตาผิดหวังระคนปนเหนื่อยใจนัก "นายได้เข้าโรงเรียนที่มีเกียรติขนาดนี้แต่กลับทำอะไรพังตั้งแต่วันแรกงั้นเหรอ..."

    จริงๆต่อให้อยู่โรงเรียนโนเนมก็ไม่ควรไปยั่วโมโหบุคคลากรที่อุส่าห์ดูแลนักเรียนหรอก ทำแบบนั้นโคตรจะไร้มารยาทเลยค่ะ เด็กสาวคิด ถึงเธอจะรู้ว่านี่มันเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่เด็กคนนี้กล่าวมาก็เถอะ

    "หนวกหูน่า แล้วแกเป็นใครกัน?" เสียงของเอซที่กอดอกดังขึ้น

    "ผมชื่อดิวซ์ สเปด การที่นายจำชื่อเพื่อนร่วมชั้นไม่ได้มันเจ็บปวดนะ!" เสียงของดิวซ์เอ่ยขึ้น "เอ่อ..."

    "จำฉันไม่ได้สินะ?" เอซเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย

    มารีพยายามแล้ว...จริงๆเธอพยายามจะกลั้นขำอย่างสุดความสามารถจริงๆนะ แล้วทำไมเอซถึงมองมาที่เธอแบบนั้นล่ะ? มารีคิดว่าเธอน่าจะเก็บอาการขำได้แนบเนียนแล้วนะ

    "ยะ- ยังไงก็เถอะ! ถ้านี่เป็นคำสั่งของอาจารย์ใหญ่ก็ควรจะทำตามนะ!"

    "อ๊ะ ใช่แล้ว" คราวนี้ในที่สุดเด็กสาวก็ได้เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขณะที่มือของเธอขนอุปกรณ์ทำความสะอาดกระจกมาเต็มที่ "ในเมื่อคนครบแล้วพวกเราก็รีบไปเช็ดกระจกให้เสร็จกันเถอะ-"

    "เดี๋ยวสิคุณภารโรง" เสียงของเอซดังขึ้นทำให้เธอหันมามองรอบๆทิศตามเขา "แล้วเจ้าก้อนขนนั่นหายไปไหนแล้วล่ะ?"

    ดวงตาสีน้ำข้าวสอดส่องมองรอบๆข้างที่มีแต่ความว่างเปล่า จนในที่สุดสายตาของเธอกับเอซก็เลื่อนไปมองยังทางออกของหอกระจกเมื่อสังเกตเห็นร่างเล็กสีดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า 

    "...เอ๊ะ?"

    เป็นกริมม์นั่นเองที่อยู่ตรงนั้น ท่าทางของมันราวกับจะเยาะเย้ยเธอและเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ยืนอยู่ห่างจากมันไกลพอสมควร

    "ฮิๆ ขอล่วงหน้าไปก่อนนะ---! บ๊ายบาย!"

    "ไอ้หมอนี่ ฉวยโอกาสจนได้สินะ!" เสียงของเอซดังขึ้นขณะที่ร่างของกริมม์สาวเท้าหนีออกไปจากบริเวณหอกระจก เด็กสาวเม้มปากเป็นเส้นตรง ดวงตาสีน้ำข้าวฉายแววเย็นชาขณะที่พึมพำออกมาเสียงเบา

    "ทั้งๆที่นึกว่าคิดไปเองแท้ๆ..." เสียงของมารีดังขึ้น ดวงตาสีน้ำข้าวมองจากดาวอังคารก็ยังรู้ว่าโกรธเจ้าแมวดำที่ไร้ความพยายามเอาแต่ใจที่วิ่งหนีหายไปจนในที่สุด เด็กสาวหันหน้ามองเอซ เอ่ยถามเขาเสียงเรียบแตกต่างจากคราแรกที่เจอกัน "นี่คุณน่ะ วิ่งไหวไหม?"

    "หะ-ห้ะ แหงสิว่าก็ต้องไม่ไหวอยู่แล้ว!" เสียงของเด็กหนุ่มร้องลั่น หลังของเขาโดนเจ้าหม้อยักษ์สีดำนั่นจนระบมไปแล้ว "แล้วนี่นายถามทำไม--"

    "เอาไปครับ" มารียัดอุปกรณ์ทำความสะอาดใส่อ้อมอกของอีกฝ่าย

    "ห๋า...?" เสียงร้องของเอซดังขึ้นด้วยความงุนงง แต่ยังไม่ทันได้หายสงสัยดีมือของเด็กสาวก็ช้อนร่างของเขาขึ้นอุ้มในสภาพท่าเจ้าสาว เธอก้มมองร่างของเขาที่เบาหวิวราวกับกระดาษสำหรับเธอขณะที่เอซอ้าปากค้าง ร้องลั่นอย่างฉงนตกใจ "เดี๋ยวๆๆ! นี่นายอุ้มฉันทำไมเนี่ย!?"

    "นี่ คุณดิวซ์ใช่ไหม?" เธอหันมาเอ่ยกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินขณะที่ยังไม่ปล่อยร่างของเอซให้เป็นอิสระ "อยากได้ความช่วยเหลือจากคุณอยู่ เพราะงั้นมาด้วยกันหน่อยสิ"

    "ดะ-เดี๋ยวสิ ทำไมถึงต้องเป็นผมล่ะ!?" นิ้วของเด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าชี้ไปที่ตัวเอง ดิวซ์ฉายแววตางุนงง

    "คุณเอซสภาพแบบนี้จะไปร่ายเวทย์ใส่ใครไหว" เด็กสาวยักไหล่ เมินคำพูดของเอซที่ตะโกนอยู่ข้างหูของเธอไป("เฮ้! ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะเฮ้ย!?"-พูดโดย เอซ) "ไปกัน เร็วคุณดิวซ์ ถ้าสำเร็จอาจจะได้คะแนนจิตพิสัยเพิ่มเป็นพิเศษจากอาจารย์ด้วยก็ได้ ไม่สนใจหน่อยเหรอครับ?"

    ท่าทางของเด็กหนุ่มครุ่นคิด

    "คะแนน...จิตพิสัย?" เสียงของดิวซ์พึมพำ เมื่อนึกว่ามันคืออะไรดวงตาของเขาก็คล้ายเปล่งประกายแววราวกับเด็กไร้เดียงสา เขาหลงเชื่อเด็กสาวอย่างสมบูรณ์แบบ "ถ้างั้นก็ตกลงครับ ไปกันเถอะ!"

    เอซมองใบหน้าของเด็กสาวที่อยู่ใกล้แทบไม่ถึงคืบด้วยสายตาเอือมระอาขณะที่อ้อมกอดมีอุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่

    "นี่นาย..." เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะใช้คำพูดนี้หลอกล่อให้เพื่อนร่วมชั้นของเขาเข้ามาร่วมมือได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่สิ... เพื่อนร่วมชั้นเขามันซื่อบื้อไปเอง หรือว่าคำพูดอีกฝ่ายจะร้ายกาจดีกัน?

    มารีหันมองไปยังทางเข้าออกของหอกระจก ดวงตาสีน้ำข้าวหรี่ลง ดิวซ์อาจจะไม่ได้รู้สึกตัวเท่าไหร่เพราะเขาไม่ได้สังเกตแววตาของมารีดี แต่สำหรับเอซที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดขนาดนี้อย่างไรก็มองเห็นได้ชัด

    "ครับ? ถ้าไม่คิดจะถามอะไรก็กอดอุปกรณ์เช็ดกระจกไว้แน่นๆด้วยนะครับคุณเอซ" มารีฉีกยิ้มหวานหลังจากหันกลับมามองเขา แต่สำหรับเอซมองอย่างไรก็แน่ใจร้อยล้านเปอร์เซ็นต์ว่าอีกฝ่ายยังมีอารมณ์โทสะคุกกรุ่นอยู่เต็มเปี่ยม

    "พวกเราจะไปลากคอเจ้าแมวบ้านั่นกลับมากัน"

    เสียงของเด็กสาวเอ่ยขึ้น และนั่นเป็นคำสุดท้ายก่อนจะเริ่มออกวิ่งตามไปพร้อมกับเพื่อนใหม่อีกคน


    ***

    สาส์นจากไรท์

    : มีแรงฮึดปั่นอีกตอนมาจนได้แล้วล่ะค่ะ! แน่นอนว่าหนีงานมาล่ะนะ(ยิ้ม) สำหรับตอนใหม่ก็ยัง....ยาว ยาวเหมือนเดิมเลยค่ะ แต่ไม่ว่ายังไงก็ขอขอบคุณสำหรับ47เฟบและเหล่าคอมเม้นท์จะรีดเดอร์นะคะ ไรท์เลยมีแรงดีดลุกขึ้นมาเข็นตอนใหม่ออกได้ไวจนขนาดตัวเองยังตกใจเลยค่ะ!

    อีกหนึ่ง...ไม่สิ ไม่หนึ่งก็สองตอนจะเข้าใกล้ช่วงที่ต้องสู้กับบอสตัวแรกของเกมจนได้แล้วล่ะค่ะ ไรท์เองก็ตื่นเต้นพอสมควรเพราะไม่นึกว่าตัวเองจะขยันได้ขนาดนี้ เร่งมากโดยเฉพาะฉากที่เอซโดนอุ้ม แบบนี้จะเรียกว่าฉากเลิฟคอเมดี้ที่พระเอกอุ้มนางเอกได้หรือเปล่านะ? อะไรนะคะ? ไม่มีแท็คเลิฟคอเมดี้เหรอ? โอ้ว...แน่นอนค่ะว่าเลิฟคอเมดี้มันไม่ค่อยจะมีอยู่ในเรื่องเยอะเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นขอเรียกฉากนั้นว่า(เกือบ)เลิฟคอเมดี้แล้วกันค่ะ

    ปล. ตอนนี้ดิวซ์ก็โดนมารีหลอก(แกง)เข้าเสียเต็มเปาเลย...ก็แค่บอกว่าอาจจะนิเนอะ (หัวเราะชั่ว)

    ปล.สอง หลังจากนี้ไรท์จะกลับไปเคลียร์งานซักแปป แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ไรท์จะหาเวลากลับมาปั่นจนได้นั่นแหละ อย่างว่าล่ะนะว่ากิเลสมันมีมากกว่าความขยัน

    ปล.สาม ไรท์เปลี่ยนภาพอิมเมจของมารีใหม่นะคะ ถ้าอยากดูกดเข้าไปที่ตอนเก่าก่อนได้เลย!

    ปล.สี่** นามสกุลของเอซนั้นสามารถแปลว่ากับดักหนูหรือว่าเกมการ์ดในตระกูล trick-takingได้ค่ะ(กดจิ้มที่ชื่ออิ้งแล้วเข้าไปดูข้อมูลได้เลยนะถ้าอยากศึกษาเพิ่มเติม แต่เป็นภาษาอังกฤษนะคะ) ดังนั้นเมื่อมารีได้ยินนามสกุลของเอซจึงมีความสงสัยว่าใครมันเอานามสกุลแบบนี้ไปตั้งกัน และเอซเองก็เป็นชื่อในไพ่ใบหนึ่งของเกมการ์ดด้วย มารีจึงคิดว่าชื่อของเอซถูกตั้งให้สัมพันธ์กับนามสกุลที่เป็นเกมการ์ดค่ะ 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×