ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FICTION TWST : Odinary girl in WONDERLAND [ OC ]

    ลำดับตอนที่ #55 : ท้ายบทเพื่อปิดม่าน : Lion tear. [ Complete 100% ]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.47K
      154
      17 มี.ค. 64



    "งี่เง่าใช่ไหมล่ะที่สุดท้ายก็ต้องพูดแบบนี้ออกมา
    แต่ว่าฉันเชื่อจริงๆนะ ว่าความพยายามทั้งหมดของเธอน่ะ---จะต้องไม่สูญเปล่าไปอย่างแน่นอน"

    -มารี เอเกอร์


    "หยาดน้ำตาของราชสีห์"

    ***

    เสียงร้องไห้ของใครสักคนกำลังดังขึ้นยังสถานที่ที่เงียบงัน

    มารีเดินลึกลงไป---ยังสถานที่แห่งนั้นที่มีเพียงแค่ผืนถนนซีเมนต์ที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนที่ซัดกระหน่ำลงมา ร่างของเด็กสาวเรือนผมสีขาวราวหยาดหิมะค่อยๆก้าวเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง ท่ามกลางสายฝนและกลิ่นอายของพืชพันธ์ในฤดูใบไม้ผลิ

    เป็นเสียงที่ราวกับกำลังกรีดร้อง เป็นเสียงที่เหมือนกับกำลังร้องไห้ออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา

    ใครสักคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น หันหลังให้แก่ตัวของเธอ

    มันเป็นเพียงแค่แผ่นหลังเล็กๆภายในชุดที่เปียกปอน ร่างของเด็กหญิงเรือนผมสั้นสีขาวร้องห่มร้องไห้ สะอึกสะอื้นขณะที่ร่างนั้นยังคงขยับกายลุกขึ้นด้วยความทุลักทุเล---เธอร้องไห้ แต่ถึงกระนั้นเธอก็เลือกที่จะเดิน เดินไปตามทางถนนที่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะพบเจอกับแสงสว่างหรือความหวัง เดินไปโดยทั้งๆที่ยังคงรู้สึกสิ้นหวัง เดินไปโดยที่ยังคงแบกรับความรู้สึกเกลียดชังถึงบางสิ่งที่อาศัยอยู่ภายในกายของเธอ

    มารีจ้องมอง---ฝีเท้าของหล่อนหยุดอยู่กับที่ เธอนิ่งงัน เฝ้ามองร่างของเด็กหญิงเรือนผมสั้นสีขาวที่เดินหายไปกับสายหมอกจากมวลไอน้ำ

    มารีจำมันได้

    ยังห้วงความทรงจำที่อยู่ลึกที่สุดภายในอันซึ่งถูกเธอลืมเลือนไปเมื่อนานแสนนาน---เป็นความทรงจำที่เอ่อล้นไปด้วยความโศกเศร้าและความสิ้นหวัง

    อับจนหนทาง ไม่มีอีกแล้วที่จะได้รับความรักจากผู้เป็นพ่อและแม่

    บาดแผลจากกายเนื้อนั้นได้ด้านชาไปแล้ว และบัดนี้คงจะลุกขึ้นได้บ้างต่างจากเด็กน้อยผู้นั้น แต่ไม่ว่าเมื่อใดยามที่ยังคงจำจดความทรงจำแสนเจ็บปวดเหล่านี้ได้---เหล่าแผลใจก็ยังคงสดใหม่อยู่เสมอมา

    เจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน บางครั้งพอได้ระลึกถึงความทรงจำที่แสนเจ็บปวดนี้ก็ช่างรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นไม่สมควรเกิดมาอยู่บนโลกใบนี้เลยแม้แต่น้อย

    แต่ถึงอย่างงั้น...-

    เสียงร้องไห้ของใครบางคนดังขึ้นจากสุดปลายทางที่เต็มไปด้วยม่านหมอนและพายุทราย 

    ไม่ว่ายังไงก็ต้องเดินต่อ

    สายตาของมารีมองตรงไปยังปลายทางแห่งนั้น---และแล้วฝีเท้าของหล่อนก็เริ่มออกก้าวเดินเมื่อสังเกตเห็นถึงร่างของใครบางคนยังสุดปลายฟากนั้น มันไม่ใช่ร่างของเธอ ไม่ใช่ร่างของเด็กน้อยผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้นสองขานี้ที่หล่อนมีก็ยังคงต้องวิ่งออกไป

    เจ็บปวด แน่นอนว่าช่างเจ็บปวด

    จะหยุดเดินไม่ได้เด็ดขาด-

    ร่างของสิงโตผู้เดียวดายอยู่ยังอีกฟากของปลายทาง ส่งเสียงร้องห่มร้องไห้ราวกับทุกอย่างพังทลาย

    มารีเร่งฝีเท้าของตน

    ชั่วขณะนั้น แม้จะรู้สึกเกลียดชังถึงเพียงใดก็ตาม-

    แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง...เธอจะปล่อยเขาไปไม่ได้เด็ดขาด

    ***

    มารีลืมตาขึ้นท่ามกลางพายุทราย

    สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นภายในสายตาคือพายุทรายขนาดยักษ์ที่ราวกับกำลังจะเอื้อมแตะท้องนภาได้ อากาศที่เหือดแห้งจนยากจะหายใจทำให้เด็กสาวไอสำลักออกมา แม้กระทั่งตาก็ยังคงมองเห็นยากเมื่อเหล่าเม็ดทรายสีแห้งยังคงปลิวว่อน---แม้จะเป็นเช่นนั้นมารีก็ตัดสินใจฝืนลืมตาของตนขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู

    "ถ้าฉันเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไม่ได้ อย่างงั้นแค่เปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นทรายก็พอแล้ว...!"

    เลโอน่า คิงสกอล่าร์

    ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเด็กสาวคือชายหนุ่มที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเลโอน่า คิงสกอล่าร์อีกต่อไป แววตาของเขามืดหม่นลงขณะที่นัยตาสีเขียวมรกตเข้มข้างซ้ายลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีเหลืองเข้มราวกับสีของเม็ดทรายที่หมุนวนจนเป็นพายุ หยาดหมึกสีดำปรากฏอยู่รอบกายของเขาขณะที่ดวงตานั้นฉายแววนิ่งสงบ ทว่ากลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและท้อแท้อย่างน่าประหลาด

    ในยามที่มารีมองไปยังใบหน้าของเขานั้น บางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏบนอยู่ร่างของเขากลับทำให้มารีนึกถึงร่างของสการ์มิมีผิดนัก

    "ทราย---ถ้าเปลี่ยนให้เป็นทรายไปก็เพียงพอแล้ว!!" เสียงเรียกของเขากู่ร้องขึ้น มารีกระโจนตัวหลบออกมาจากจุดที่หล่อนตื่นขึ้นมาเมื่อไอเวทมนตร์ขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่หล่อน "ฉันจะเปลี่ยนพวกแกทั้งหมดให้กลายเป็นทรายไปซะ!!"

    "ใช่แล้ว...ถ้าฉันแค่เปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นทราย---เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีใครมาขัดขวางฉันอีกต่อไปแล้ว!!!"

    มารีจ้องมองไปยังร่างของเลโอน่า นัยตาสีขาวของหล่อนเฝ้ามองไปยังเขาที่กำลังส่งเสียงร้องคำรามออกมา ท่ามกลางหมู่มวลทรายที่กำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง เสียงของเลโอน่าก็ดังขึ้นมา

    "ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ทุกอย่างมันก็ไร้ประโยชน์"

    เสียงร้องของเด็กสาวเรือนผมสีขาวดังขึ้น

    "ฉัน...ไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นหรอกน่า!!!"

    สิ้นเสียงตะโกน---ฉับพลันสายลมก็เริ่มหมุนวนรอบกายของมารี มันต่างจากไปสายลมที่โอบล้อมพายทรายของเลโอน่าเอาไว้โดยสิ้นเชิง เหล่าสายลมที่เต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือกปัดเป่าเหล่าไอเวทมนตร์มหาศาลของเลโอน่าไปจนสิ้น นัยตาสีขาวของมารีสบสายตากับร่างของเลโอน่า ริมฝีปากของหัวหน้าหอสะวันน่าห์คลอว์บิดเบี้ยวขึ้นมาโดยพลันเมื่อเห็นว่าสัตว์กินพืชผู้แสนอ่อนแอนั้นโต้ตอบการโจมตีของเขาได้

    "ได้---ได้ยังไงกัน!!?" สุรเสียงของเลโอน่าดังขึ้นอีกครายามเมื่อร่างของเขามองเห็นร่างของมารีจากอีกฟากที่เริ่มพุ่งตัวเข้ามาหมายประชิด เขากัดริมฝีปากก่อนที่จะเริ่มร่ายเวทมนตร์ขึ้นมาอีกครั้ง "กะไอ้แค่สัตว์กินพืชปวกเปียกนี่---ฉันจะเปลี่ยนแกให้กลายเป็นทรายจนไม่เหลืออะไรเลย!!"

    "ต่อให้จะพยายามมากเท่าไหร่...ก็ไม่มีใครที่ยอมรับฉันเลยสักนิด"

    มารีกัดฟันเมื่อเห็นไอเวทมนตร์ของเลโอน่าที่ปรากฏขึ้นบนมือ เสียงภายในใจของเลโอน่ายังคงคร่ำครวญขณะที่เขากำลังปลดปล่อยพลังงานเวทมนตร์สีแดงฉานพุ่งตรงมายังร่างของเด็กสาวภายในชั่วพริบตา

    เสี้ยววินาทีนั้น ฝีเท้าของหล่อนก้าวหลบอีกครั้ง

     
    ตู้ม!!!

    "ถ้าเป็นแบบนั้นยอมแพ้ไปเลยก็คงจะง่ายกว่าใช่ไหมล่ะ?"

    เศษซากเรือนผมสีขาวพลิ้วไสวไปตามแรงลมทันทีหลังจากสิ้นสุดคลื่นเวทมนตร์ มารีเหลือบตามองไปยังเรือนผมยาวสีขาวของหล่อนจำนวนซีกหนึ่งที่ปลิวหายสลายกลายเป็นทรายหลังจากที่หลบหลีกคลื่นเวทมนตร์มหาศาลนั้นได้ไปอย่างเฉียดฉิวเสียจนหล่อนเกือบจะไม่รอด นัยตาสีขาวเฝ้ามองไปยังร่างของเลโอน่าที่ยังคงจ้องมองมาทางหล่อนด้วยสายตาที่หงุดหงิดและไม่พอใจ 

    "ทำไม---ทำไมแกถึงยังไม่กลายเป็นทรายกัน!!" เขาส่งเสียงร้องลั่น เวทมนตร์เริ่มปรากฏอยู่บนฝ่ามือก่อนที่ลำแสงสีแดงจะพุ่งเข้าหามารีอย่างบ้าคลั่ง "ทั้งๆที่แกก็เป็นแค่สัตว์กินพืชปวกเปียกเท่านั้นไม่ใช่รึไง!!?"

    เด็กสาวเรือนผมสีขาวกัดฟันก่อนจะตะโกนตอบกลับไปอย่างเดือดดาล

    "คำก็ปวกเปียกสองคำก็สัตว์กินพืช หยุดเรียกแบบนั้นสักที!!" หล่อนกล่าวท่ามกลางเสียงระเบิดและเหล่าทรายจำนวนมากที่กำลังทำลายเรือนผมสีขาวของหล่อนยามทุกย่างก้าวที่เคลื่อนไหวหลบหลีกเวทมนตร์ของเลโอน่า 

    มารีเม้มริมฝีปาก อีกคราที่สายลมของหล่อนเบี่ยงเบนคลื่นเวทมนตร์สีแดงของชายหนุ่มเอาไว้ได้

    แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น---มันก็ยังไม่พอ

    ตู้ม!!

    ทันทีที่ฝีเท้าก้าวหลบไปอีกทาง คลื่นเวทมนตร์ที่ถูกเตรียมไว้โดยอีกมือของเลโอน่าก็ซัดเข้าใส่ร่างของเด็กสาวเรือนผมสีขาวเข้าเต็มเปา คลื่นเวทมนตร์ถาโถมเข้าใส่และกลืนกินสายลมของหล่อนให้สิ้นฤทธิ์ภายในพริบตา แรงกระแทกนั้นส่งผลให้ร่างของมารีล้มลงไปกองกับพื้นขณะที่บางส่วนจากร่างกายของหล่อนเริ่มถูกทรายเกาะกินภายในเวลาอันรวดเร็ว 

    "สัตว์กินพืชอ่อนแอแบบแกไม่มีทางเอาชนะฉันได้อยู่แล้ว!!" เสียงกู่ร้องก้องของเลโอน่าดังออกมาจากริมฝีปาก ใบหน้าของเขายิ้มเยาะเมื่อเห็นสภาพของมารีที่อยู่ในสภาพเละเทะแล้วเสียเต็มที  "สิ่งที่แกทำมามันไม่ได้อะไรเลย สุดท้ายแกมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับฉันเลยสักนิด!!"

    "ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้เลย"

    "แกไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก!!"

    "มันก็แน่ชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ว่าต่อให้ทำอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้"

    ฝีเท้าของเลโอน่าก้าวเดินเข้ามาใกล้ร่างของมารีที่ดิ้นทุรนทุรายเมื่อลำคอของหล่อนกำลังจะถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นทราย มือผิวสีแทนของเขาคว้าลำคอของเด็กสาวก่อนจะยกร่างของมารีขึ้นกลางอากาศ เท้าเล็กๆของหล่อนไม่แม้แต่จะแตะถึงพื้นเลยสักนิด ช่างน่าอดสูภายในสายตาของเลโอน่ายิ่งนัก

    นัยตาสีขาวจ้องมองมาที่เลโอน่าแม้ว่าบัดนี้ทัศนียภาพทุกอย่างกำลังจะเลอะเลือน ภาพของเขาที่ออกแรงบีบคอของหล่อนที่กำลังโดนทรายเกาะกินส่งผลให้ร่างของมารีเริ่มดิ้นทุรนทุรายตามสัญชาติญาณ ร่างของเด็กสาวทั้งข่วนมือผิวสีของเขา ขาดิ้นไปดิ้นมาราวกับเหยื่อที่พยายามจะเอาชีวิตรอดภายในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต-

    ชั่วขณะนั้น ความสิ้นหวังก็พาดผ่านนัยตาสีขาวของมารี เมื่อพบว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะสามารถเอาชีวิตรอดไปได้ภายในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้

    เขาพูดถูก... ความคิดของเด็กสาวชั่วขณะหนึ่งประดังเข้ามาภายในหัวยามจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขา สองมือที่พยายามอย่างเต็มที่กับการดิ้นพล่านเพื่อต่อต้านค่อยๆหยุดมือลง บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้จริงๆนั่นแหละ...ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว-

    ภาพความทรงจำค่อยๆเวียนไหลผ่านเข้ามา

    เธอจำได้ ภาพที่มองเห็นรถของคุณพ่อและคุณแม่ที่ขับออกไปจนไกลสายตา

    ไม่ว่าเมื่อไหร่...

    เธอจำได้ ภาพสุดท้ายที่ไดอาน่าผลักเธอไปพ้นไปจากรถบรรทุก

    หรือแม้จะเป็นตอนไหน-

    เธอจำได้ แม้กระทั่งภาพสุดท้ายในตอนนั้น...-

    "สุดท้ายแกก็ยอมจำนนแล้วสินะ ฮะ-ฮ่าๆๆ!!!" เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของเลโอน่าดังขึ้น ใบหน้าของเขายิ้มแสยะเมื่อพบว่าร่างของมารีไร้ซึ่งการขัดขืนทั้งปวง "กลัวใช่ไหมล่ะ? พลังของฉันคนนี้น่ะ-!!"

    นัยตาสีขาวเบิกตากว้างขึ้น

    ...กลัว-?

    อะไรกัน? นี่เขาบอกว่าพลังของเขาน่ากลัวงั้นเหรอ?

    แต่ว่า...น้ำเสียงแบบนั้น- ทำไมถึงฟังดูเศร้าได้ถึงขนาดนี้กันล่ะ?

    "สุดท้ายเจ้าสัตว์กินพืชแบบพวกแกก็เป็นเหมือนกันทั้งหมดนั่นแหละ กลายเป็นทรายไปซะเถอะ!!" เขากู่ร้องตะโกนขณะที่ทรายค่อยๆเข้าเกาะกินลำคอของมารีจนหล่อนแทบหายใจไม่ได้---ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่คำพูดของเขากลับทำให้เด็กสาวเรือนผมสีขาวสะกิดใจได้ถึงอะไรบางอย่าง 

    มารีสบสายตากับเลโอน่าก่อนจะเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจใช้แรงที่เหลือของตนจับลำแขนของเขาที่จับลำคอของเธอเอาไว้

    เลโอน่าจ้องมองหล่อนด้วยแววตาประหลาดใจ

    "นี่แก ยังไม่ยอมแพ้ต่อฉันคนนี้อีกงั้น-"

    "ไม่เห็นจะ---...น่ากลัวเลยสักนิด..." เสียงของหล่อนที่ถูกเค้นออกมาดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

    "ห๊ะ?" เลโอน่าเบิกตากว้างขึ้น

    นัยตาสีขาวจ้องมองมาทางชายหนุ่มด้วยแววตาจริงจัง

    "ก็บอกว่า---...ไม่เห็นจะน่ากลัวสักนิดยังไงเล่า!!" เด็กสาวเรือนผมสีขาวเอ่ยตะโกนลั่น ประกายแห่งความสิ้นหวังหายไปทันทีที่ได้ยินเลโอน่ากล่าววาจาออกมาเช่นนั้น ภายในเสี้ยววินาทีนั้นมือของมารีก็บีบลำแขนของเขาด้วยใบหน้าจริงจัง "ทั้งที่เป็นพลังของตัวเองแท้ๆ แต่กลับพูดแบบนี้เนี่ยนะ-!!?"

    ทั้งที่มีพลังแบบนี้แต่ก็ยังไม่เคยได้ใช้ทำร้ายใคร

    ถ้าหากไม่ได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เขาก็คงจะไม่มีทางใช้มันออกมาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าแน่ๆ

    เพราะฉะนั้น-

    ชั่วขณะนั้น แขนข้างขวาของหล่อนทอแสงประกายเป็นรูปลักษณ์ของราชสีห์ผู้เดียวดายภายในพริบตา

    "หัดยอมรับพลังของตัวเองหน่อยเซ่ ไอ้เจ้าบ้าเอ้ย!!!"

    กึก

    สิ้นเสียงตะโกนใบหน้าของเลโอน่าก็พลันเบิกตาของตนกว้างขึ้น ร่างของราชสีห์หนุ่มหยุดชะงักไปทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนของมารี---ก่อนที่ไม่นานนักเหล่าหมู่มวลเมฆครึ้มจะปรากฏขึ้นพร้อมกับห่าฝนที่เริ่มเทลงมาอย่างหนักจนส่งผลให้สายลมหายไป ส่วนทรายก็เริ่มเกาะตัวตกลงมาบนสนามแข่งขันโคลอสเซียมเมื่อไร้สายลมคอยโอบอุ้ม

    และแล้วเสียงของเหล่าตัวการเรียกฝนท่าใหญ่ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

    "เป็นยังไงล่ะ!" คนแรกที่มารีได้ยินเสียงคือเอซ แทรปโพล่าที่ใช้ปากกาเวทมนตร์จ่อไปยังเลโอน่า "โฟร์บัดดี้(Four-Buddies)ของฉันน่ะ!!"

    "เดี๋ยวสิ นับผมกับพวกรุ่นพี่ไปด้วยดิเฮ้ย!" เสียงของดิวซ์ดังขึ้น

    "ถึงจะหยุดพายุทรายได้แต่ก็อย่าประมาทเชียวล่ะ!" ริดเดิ้ลตะโกนลั่นท่ามกลางสายฝน มือของเขาจับคฑาประจำหออย่างมั่นคงก่อนที่จะตะโกนเรียกร่างของเด็กสาวที่อยู่อีกฟาก "มารี รีบมาทางนี้เร็วเข้า!!"

    "เข้าใจแล้ว-!"

    เลโอน่ากัดฟันเมื่อเห็นร่างของเด็กสาวเตรียมหันหลัง

    "ฉันไม่ยอมปล่อยแกไปหรอกน่า เจ้าสัตว์กินพืช!!!"

    จบคำจากเสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยวของเขา เวทมนตร์จากพลังที่เกิดจากหยาดหมึกสีดำก็เริ่มก่อตัวกลายเป็นพายุทรายใหม่ที่พัดโหมกระหน่ำมากเสียกว่าเดิมเสียจนเสียงตะโกนของเหล่าสมาชิกหอฮาร์ทสลาบิวท์และหนึ่งสมาชิกจากแรมแชตเกิลเริ่มจะโดนกลบเข้าเสียแล้ว ภาพตรงหน้าของพวกเขาทั้งห้าคนเริ่มพร่าเลือนเมื่อพบว่าเหล่าทรายนั้นกำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง

    มารีกัดฟัน จ้องมองไปยังร่างของเลโอน่ากำลังพุ่งเข้ามาหาหล่อนขณะที่แสงจากแขนขวาของตนส่องประกายแรงกล้า

    เช่นนั้น---เด็กสาวเรือนผมสีขาวที่ขาดรุ่งริ่งก็เริ่มรวบรวมพลังของตน

    มารีมิอาจถอยหลังกลับไปตั้งหลักได้อีกแล้ว หล่อนสัมผัสได้ถึงกลิ่นหยาดหมึกดำน่าขยะแขยงกำลังเริ่มกัดกินเลโอน่ามากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งกลิ่นเน่าเหม็นขณะที่เลโอน่าพุ่งเข้ามาหมายจะปลิดชีพของเธอด้วยพลังของเขา นัยตาสีเขียวมรกตเข้มจ้องมองโดยไม่ละสายตาจากมารีขณะที่คลื่นเวทมนตร์เริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง

    นัยตาสีขาวเฝ้ามองมาที่ราชสีห์ผู้ดำดิ่งลงสู่ห้วงความมืดมิด

    "นายรู้ไหม...ตอนแรกฉันน่ะเกลียดนายชะมัดยาดเลย" หล่อนเริ่มเอื้อนเอ่ย เสี้ยววินาทีที่มองเห็นเวทมนตร์ของเขาที่ก่อตัวขึ้นมาขณะที่ร่างของหล่อนหยุดนิ่ง "แต่พอมาถึงตอนนี้ก็เริ่มอยากจะขอโทษที่เคยดูถูกนายแล้วล่ะ"

    ขอโทษที่ดูถูกความพยายามของเขา

    ขอโทษที่มองไม่เห็นว่านัยตาของเลโอน่านั้นโศกเศร้าขนาดไหน

    มารีหลับตาลง

    "เพราะแบบนั้น-"

    เสียงคำรามของเลโอน่ากู่ร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อเวทมนตร์ที่ก่อตัวเป็นกรงเล็บพุ่งเข้ามาหล่อนในระยะประชิด

    "คราวนี้หลบไม่พ้นแน่ เจ้าสัตว์กินพืช!!!"

    และนัยตาสีขาวของหล่อนก็ลืมตาขึ้น

    "คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยนายไปแน่"

    ยามเมื่อหล่อนกล่าวจบคำ ทรายจากพายุขนาดยักษ์ก็ถูกรวบรวมขึ้นมาบนฝ่ามือของมารี---นัยตาสีเขียวเบิกตากว้างขึ้นเมื่อทันทีที่หล่อนสะบัดมือทรายจากพายุก็จัดการปัดเป่าคลื่นเวทมนตร์ของตนจนสลายสิ้น ชั่วขณะนั้นทันทีที่ร่างของเลโอน่าชะงักงันร่างของเด็กสาวเรือนผมสีขาวก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง

    เขาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดสัตว์กินพืชที่แสนอ่อนแอนั้นจึงสามารถควบคุมทรายที่ก่อเกิดจากพลังเวทย์ของเขาได้

    เขาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเด็กคนนั้นจึงกล่าวกับเขาว่าจะไม่ปล่อยตนไป

    เลโอน่าไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเธอผู้นี้จึงกล่าวกับเขาว่าพลังที่เขาครอบครองนั้นไม่น่ากลัวเลยสักนิด

    แต่ในเสี้ยววินาทีที่ยามเมื่อร่างของมารีพุ่งเข้ามานั้น-

    สิ่งสุดท้ายที่มองเห็นก่อนที่ทัศนียภาพทั้งหมดจะสว่างจ้า---ก็กลับกลายเป็นตัวเขาในวัยเด็กที่เงื้อหมัดชกเข้าใส่ตัวเขาเองเสียได้





    ผลั๊วะ!


    ***





    "เฮ้อ องค์ชายลำดับที่หนึ่งอย่างท่านฟาเลน่าทรงเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสมากแท้ๆ แถมยัง...-"

    เสียง...ไม่คุ้นหูเลย

    ที่นี่ที่ไหนกัน?

    "เราล่ะสงสัยจริงๆว่าเหตุใดองค์ชายลำดับที่สองอย่างท่านเลโอน่าจึงได้ดูแตกต่างจากเขามากถึงขนาดนั้น"

    หรือว่า...

    มารีลืมตาของตนขึ้นอย่างเงียบงัน

    ยังทางเดินที่ทอดยาวออกไปจนสุดสายตานั้น---ยังช่วงเวลาที่ทุกอย่างถูกย้อมด้วยสีขาวดำราวกับภาพโทรทัศน์ยุคแปดศูนย์หรือเก้าศูนย์ ณ ที่แห่งนั้นมีร่างของเหล่าครึ่งคนครึ่งสัตว์อันสวมใส่เครื่องแบบที่ราวกับข้ารับใช้ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน พวกเขาสองคนพูดคุยกันยังทางเดินที่มีเสาขนาดใหญ่ตั้งประดับราวกับค้ำสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่นี้เอาไว้ และยามเมื่อมารีตัดสินใจมองออกไปยังด้านนอก ภาพของความแห้งแล้งก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของเธอ

    ที่นี่...ทุ่งหญ้าสะวันน่าห์เหรอ?

    ขณะที่หล่อนคิดเช่นนั้น เสียงของข้ารับใช้คนหนึ่งดังขึ้นเรียกร้องความสนใจของมารีให้กลับมาอีกครั้ง

    เด็กสาวเรือนผมสีขาวมองไปยังสายตาของพวกเขาทั้งสอง

    เธอเห็น---เธอรู้จักสายตานี้

    สายตาที่หลาดกลัวและหวาดระแวง

    "ซ้ำองค์ชายยังสามารถใช้เวทมนตร์ที่เปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นทรายเพียงสัมผัสได้อีก..." ข้ารับใช้ผู้นั้นกัดเล็บ น้ำเสียงสั่นครือฟังดูน่าหวาดกลัวจนสุดใจ "นี่มัน---น่ากลัวเกินไปแล้วนะ!"

    "พวกคุณสองคนหยุดซุบซิบนินทากันสักทีได้ไหม!" เสียงจากข้ารับใช้อีกคนดังขึ้น สายตาเชิงตำหนิปรายมองไปยังข้ารับใช้อีกสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ "จะทำยังไงถ้าเกิดมาอีกใครสักคนมาได้ยินเข้ากันน่ะ?"

    สิ้นคำ ทุกอย่างก็เงียบสงัดลง และแล้วเหล่าข้ารับใช้ทั้งสามก็เริ่มขยับเคลื่อนกายทำงานของตนอีกครั้ง

    มารีกวาดสายตามองไป---หางสิงโตที่ดูเล็กและเรียวบางโผล่พ้นออกมาจากมุมทางแยกที่นำไปสู่เส้นทางของสถานที่อะไรบางอย่าง เด็กสาวเรือนผมสีขาวตัดสินใจก้าวเดินตามไปเมื่อสัมผัสได้ว่ารูปทรงของหางนั้นดูคล้ายกับใครสักคนที่หล่อนรู้จัก

    ไม่ช้านานเมื่อก้าวเดินตามเข้ามา ภาพแผ่นหลังเล็กๆของใครสักคนและใจกลางสวนหย่อมที่ล้อมรอบไปด้วยพืชพันธ์ต่างๆก็ปรากฏสู่สายตา

    ทุกอย่างภายในนั้นดูแตกต่างจากข้างนอกทางเดินที่ห้อมล้อมไปด้วยความแห้งแล้งและเศษดินที่แตกระแหง มารีเดินเข้าไปใกล้ร่างของเด็กน้อยผู้มีเรือนผมสีเข้ม ใบหน้าไร้แผลเป็น ดวงตาสีเขียวราวกับสีของพงไพร และครอบครัวหูและหางของราชสีห์เอาไว้ 

    ไม่ผิดแน่- มารีคิดเช่นนั้นกับตัวเองภายในใจยามเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา นี่คงจะเป็นเลโอน่า คิงสกอล่าร์...

    "พลังของฉัน...น่ากลัว?" เสียงพึมพำอย่างแผ่วเบาของเลโอน่าดังขึ้น มารีมองร่างของเด็กชายที่นั่งลงกับพื้นขณะที่มือของเขาครอบครองดอกไม้สีสวยดอกหนึ่งเอาไว้ภายในมือ หูและหางของเขาลู่ลงไม่ขยับเขยื้อน "...มันแย่ถึงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?"

    สายตาของเหล่าข้ารับใช้ที่หวาดกลัวยามเมื่อเอื้อนเอ่ยถึงพลังของเลโอน่า คิงสกอล่าร์ ปรากฏเข้ามาภายในหัวของเธอ

    เด็กสาวเรือนผมสีขาวเม้มริมฝีปาก

    "ไม่เห็นจะน่ากลัวสักหน่อย" เด็กสาวเรือนผมสีขาวเริ่มเอื้อนเอ่ย นัยตาของหล่อนที่สดใสเฝ้ามองไปยังร่างของเขายามเมื่อมารีทรุดกายลงนั่งกับพื้น "ออกจะเท่นะคะ ไม่ซ้ำใครเลยด้วย" 

    มือของหล่อนเอื้อมไปลูบหัวของเขาแม้มือของหล่อนนั้นจะทะลุผ่านไปอย่างตามเคยก็ตาม

    เด็กสาวเรือนผมสีขาวหลับตาลง ชั่วขณะนั้นเสียงของใครสักคนก็เอื้อนเอ่ยขึ้นมาภายในความทรงจำยามเมื่อนานมาแล้ว

    "ฉันว่ามันเท่จะตายไปนะมารี ใช้ได้ตั้งหลายอย่าง ยังกับเป็นลูกรักของธรรมชาติเลยนะ"

    "ดูสิ! ขนาดฉันยังทำได้แค่เสกน้ำแข็งออกมาจากฝ่ามือเท่านั้นเองค่ะ"

    "เพราะงั้นแล้ว-"

    ราวกับมารีกำลังเฝ้าฟังเสียงที่แหลมใส เอื้อนเอ่ยให้เด็กชายผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างกายนี้ได้ฟัง


    มารีฉีกยิ้มบาง
    "เพราะอย่างงั้นแล้วเนี่ย-"


    "อย่าคิดแบบนั้นเลยนะคะ"

    จบคำ ทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบสงัด---ยังสวมหย่อมขนาดใหญ่ที่ซึ่งล้อมรอบไปด้วยเหล่าทางเดินอาคารอันไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต หูของเลโอน่าก็กระดิกขึ้น ใบหน้าของเขาหันมาตามเสียงของเด็กสาวจนมารีชะงักไป

    นัยตาทั้งสองของพวกเขากำลังสบสายตากัน

    หูและหางของเลโอน่าค่อยๆขยับ เขาเฝ้ามองเธออยู่อย่างงั้นแม้ว่าสายตาของเขาจะมองทะลุผ่านร่างของมารีไปก็ตาม---สายตาของเขาจับจ้องไม่วางตา จนในที่สุดมือของเขาก็เอื้อมไปยังทิศทางตามสายตาที่จ้องมองไป

    มือของเขาทะลุผ่านร่างของมารี

    และทันทีที่เด็กสาวกระพริบตา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

    มันกลายเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่---อัดแน่นไปด้วยหนังสือแทบทุกตารางนิ้วจนไม่อาจสามารถประเมินได้ มันเหมือนกับหอสมุดสาธารณะที่อัดแน่นไปด้วยแท็ปเล็ตมากมายที่วางอย่างเป็นระเบียบในโลกก่อนของเด็กสาว 

    ขณะที่กำลังหันซ้ายหันขวาชื่นชมห้องสมุดขนาดใหญ่ ไม่นานนักมารีก็สังเกตเห็นร่างของเลโอน่าที่กำลังห้อมล้อมไปด้วยหนังสือกองสูง ร่างของเด็กชายดูเติบโตขึ้นมานิดหน่อยจากคราวนั้น ร่างของเขาสูงขึ้น และก็มีแผลเป็นบริเวณใบหน้าตรงบริเวณตาข้างซ้ายของเด็กผู้นั้น ทว่าสายตาของเขากลับไม่ได้โศกเศร้าเหมือนกับภายในครั้งก่อนที่ภาพสีขาวดำนั้นจะเปลี่ยนไป กลับกันมันช่างตรงกันข้าม

    เธอมองเห็นแววตานั่น แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น

    "ถ้าฉันเรียนรู้พวกเจ้านี้ให้มากขึ้น...สักวันพวกเขาจะต้องมองฉันเปลี่ยนไปแน่" เสียงของเขาพึมพำออกมาจากริมฝีปาก นัยตาที่เปล่งประากยร้อนแรงจ้องมองไปยังบรรทัดภายในหน้ากระดาษหนังสือ "ฉันจะต้องพยายามให้หนักขึ้น แล้วกลายเป็นที่หนึ่งให้ได้"

    มารีมองไปยังภาพตรงหน้า ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา

    มันแตกต่างจากตอนนั้นมากเลย... เด็กสาวเรือนผมสีขาวคิด สายตาของหล่อนจ้องมองไปยังเลโอน่า ทั้งเปล่งประกาย แล้วก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

    แต่ว่าในตอนที่เขาได้เห็นเขาครั้งแรกที่สวนพฤกษา---แววตาของเขามันดูเบื่อหน่าย แล้วก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าที่ราวกับไม่อยากจะพยายามอะไรอีกแล้ว

    มารีเม้มริมฝีปาก ความรู้สึกผิดและอัดอั้นใจประดังเข้ามาภายในจิตใจของเธอเสียมากกว่าเดิมยามที่ได้เห็นภาพตรงหน้า

    "ตรงนี้...ถ้าคำนวณออกมาจะได้คำตอบแบบนี้" เสียงของเลโอน่าลอดผ่านเข้ามายังโสตประสาท ไม่นานนักคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันด้วยแววตาครุ่นคิดหนัก "แต่ว่า...ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมีอะไรที่ฉันพลาดไปกัน? ไม่อยากจะดูเฉลยตอนนี้ด้วยสิ"

    มารีจ้องมองไปยังโจทย์คณิตศาสตร์ที่เลโอน่ากำลังทำ หากเทียบจากความยากของโจทย์แล้วมันช่างดูเป็นอะไรที่เกินตัวเหลือเกิน แต่สำหรับเด็กสาวเพียงแค่มองปราดเดียวก็สามารถคำนวณและเข้าใจคำตอบได้ภายในเวลาไม่นาน มารีเฝ้ามองไปยังเลโอน่า---และแล้วปรายนิ้วที่ขับเคลื่อนจากความรู้สึกผิดทั้งหมดจะชี้ไปยังโจทย์

    "อย่าลืมสิ" เธอเอ่ย นัยตาที่อ่อนโยนเฝ้ามองไปยังใบหน้าเคร่งเครียดของเลโอน่า สีหน้าของเขาทำให้เธอนึกถึงคราตอนที่สอนการบ้านให้กับเบนจามิน "โจทย์นี้น่ะต้องเอาปีมาคำนวณด้วยนะ"

    ทันใดนั้นหลังจบคำพูดของมารี สายตาของเลโอน่าก็เบิกตากว้างขึ้นเมื่อพบว่าเขาพลาดอะไรบางอย่างไป---มือเล็กๆนั่นเริ่มจับปากกาขนนกแล้วเริ่มเขียนขึ้นอีกครั้ง นัยตาสีเขียวพงไพรเฝ้ามองไปยังโจทย์ขณะที่สลับสายตาเลื่อนลงมาดูวิธีทำของเขา ก่อนที่ไม่นานนักจะผ่านโจทย์อื่นๆไปได้อย่างง่ายดาย

    มารีเฝ้ามองภาพของเลโอน่าที่ยังคงเฝ้าร่ำเรียนอยู่กับหนังสือที่กองสูงจนท่วมหัว

    และแล้วภาพก็ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

    ฝีเท้าของเลโอน่ายังคงก้าวต่อไปด้วยความมุ่งมั่น

    เธอเฝ้ามองร่างของเลโอน่าที่เริ่มสูงใหญ่ขึ้น เขาโตขึ้น ช่วงเวลานั้นหนังสือที่ค่อยๆกองสูงจนท่วมหัวก็เริ่มลดลง ลดลง เธอเฝ้ามองภาพของเขาที่ยืนอยู่ห่างๆจากร่างของฟาเลน่า พี่ชายของเขาที่ถูกผู้คนห้อมล้อมและมอบกำลังใจให้

    ชั่วขณะนั้น เธอเริ่มจะค่อยๆเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา

    ทุกคนยอมรับในตัวฟาเลน่า

    แต่ไม่มีใครในที่แห่งนี้เลยที่ยอมรับตัวของเลโอน่า

    เหมือนกับเธอ ที่ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนเท่าไหร่พ่อแม่ก็คงไม่มีทางยอมรับเธออีกแล้ว

    และหลังจากนั้น...ฝีเท้าของเลโอน่าก็เชื่องช้าลง

    เธอเริ่มมองเห็นเขาไปห้องสมุดน้อยลงแล้วใช้เวลาไปกับการนอนมากขึ้น เธอมองเห็นเขาที่ล้มเลิกการฝึกเวทมนตร์เมื่อพบว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จำเป็นจะต้องฝึกอีกแล้วเมื่อทุกอย่างไม่มีอะไรที่จะต้องให้ฝึก เธอมองเห็นฝีเท้าแห่งความพยายามแต่ละก้าวที่เริ่มช้าลง ช้าลง ช้าลงมากขึ้นเรื่อยๆ

    และแล้วนัยตาที่เคยมุ่งมั่นก็ค่อยๆมอดดับลง

    มารีเคยมองเห็นใบหน้าที่โกรธแค้นของเขา ใบหน้าที่โศกเศร้า ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเงียบงันเมื่อพบว่าผลลัพธ์ที่ทำมาไร้ความหมาย ร่างของเขาที่ก้มศีรษะลง หูและหางที่ลู่ลงยามไร้ซึ่งผู้ใดจ้องมอง

    หยาดน้ำตาหนึ่งหยดเปียกชื้นอยู่บนพรม

    เลโอน่าโศกเศร้า และสิ้นหวัง

    ในที่สุดแล้วเมื่อไม่มีเหตุผลที่จำเป็นจะต้องพยายามต่อไป แล้วเหตุใดชายผู้นี้จะต้องพยายามอยู่อีกกัน?



    มารีลืมตาขึ้นยามเมื่อสุรเสียงของใครบางคนดังขึ้นมา

    "เลโอน่า! ทำไมนายถึงโดดงานพิธีกันล่ะ?"

    นั่นคือฟาเลน่า เจ้าของเสียงและผู้ที่เป็นองค์ชายลำดับแรกแห่งประเทศนี้

    ภายในห้องที่โล่งและกว้าง ประดับประดาไปด้วยพรมและเฟอร์นิเจอร์เพียงน้อยชิ้น มีเพียงแค่ร่างขององค์ชายลำดับที่หนึ่งและลำดับที่สองกำลังยืนอยู่ภายในห้องเพียงแค่สองคน ใบหน้าและแววตาของฟาเลน่าเจือไปด้วยความไม่เข้าใจที่มีต่อเลโอน่ายามเมื่อพบว่างานพิธีไร้ซึ่งน้องชายของตน

    เลโอน่าเค้นน้ำเสียงเกียจคร้านของเขาขึ้น

    "งานพิธี? อ่า---ปาร์ตี้ที่พ่อแม่จัดขึ้นเพื่อจะได้อวดลูกชายอย่างนายน่ะเหรอ?" เขากล่าว นัยตานั้นเฝ้ามองไปยังใบหน้าของฟาเลน่าที่จ้องมองมา "ขอโทษด้วยแล้วกัน ฉันขอตัวกลับไปนอนล่ะ"

    ใบหน้าของฟาเลน่าขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

    "วันนี้น่ะเป็นวันสำคัญที่ผู้คนของพวกเราจะได้เห็นองค์กษัตริย์คนต่อไปนะ" 

    "วันนี้จะเหมือนเป็นวันเฉลิมฉลอง แต่มันก็เป็นวันที่องค์ชายลำดับสองสูญเสียสิทธิ์ในการขึ้นครองบังลังค์ด้วย" เลโอน่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบราบ

    เสียงตะโกนของฟาเลน่าดังขึ้นยามเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเลโอน่า

    "หยุดพูดแบบนั้นได้แล้ว!!"

    "เกิดมาเป็นลูกคนแรกนี่สบายจังเลยนะ" เลโอน่าเอ่ย "ถึงแม้ว่าต่อให้นายจะทำตัวร้องเล่นเต้นรำไปวันๆ หรือจะเกลือกกลิ้งนอนกลางวันบนเตียง---นายก็จะได้เป็นราชาอยู่ดี"

    ฟาเลน่าชะงักไปชั่วครู่เมื่อเห็นแววตาจากนัยตาสีเขียวพงไพร

    "เลโอน่า..." เขากล่าว น้ำเสียงนั้นดูอ่อนลงขึ้นมาขณะหนึ่งยามทอดมองไปยังร่างของผู้มีศักดิ์เป็นน้องชาย "ถึงแม้ว่านายจะไม่ได้เป็นราชาก็ตาม นายก็เป็นคนที่ฉลาดมาก มีหลายสิ่งที่นายยังสามารถทำเพื่อประเทศนี้ได้อีกตั้งมากมายเลยนะ"

    เลโอน่าปรายตามองไปยังพี่ชายของตนก่อนจะยักไหล่

    "ฉันคงจะทำงานให้หนักขึ้นถ้าพวกเขาเลือกราชาจากความสามารถล่ะนะ" 

    จบคำ ร่างของเลโอน่าก็หันหลังแล้วเดินออกไปจากห้อง---ไม่มีคำกล่าวใดออกมาจากริมฝีปากของเขา เหลือทิ้งไว้เพียงร่างของฟาเลน่าที่ร้องตะโกนขึ้นยามเมื่อเห็นร่างของน้องชายตนเดินออกไปเสียอย่างงั้น

    "เลโอน่า รอก่อน---เลโอน่า!!"

    มารีหันหลัง ไล่ตามฝีเท้าของเลโอน่าออกไปจากห้อง แผ่นหลังของเขากำลังหลุดลอยหายไปจนแทบไม่อาจมองเห็นได้ ยิ่งวิ่งก็จะยิ่งห่าง ราวกับไม่มีทางที่จะวิ่งไปถึงเขาได้

    ถึงอย่างงั้นเธอก็จะไป

    ในเมื่อมือที่เอื้อมไปข้างหน้าอย่างสุดแรงนั้น---ปลายทางของมันคือแสงสว่างที่ส่องจ้าจนแม้แต่เธอยังคงหลับตา

    และในที่สุดเมื่อแสงสว่างจ้าหายไป ยามเมื่อมารีลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง---ห้วงสีขาวสะอาดตาก็ปรากฏขึ้น

    มารีจ้องมองตรงไปข้างหน้า

    ยังสถานที่นิรนามแห่งนี้ มีเด็กน้อยราชสีห์ผู้หนึ่งนามเลโอน่า คิงสกอล่าร์ที่หยุดก้าวยืนอยู่

    ***


    เหมือนกับ...ตอนนั้นเลย

    นั่นคือความคิดแรกของมารีที่มีต่อสถานที่นิรนามแห่งนี้  เมื่อค้นพบว่าตนนั้นสวมใส่ชุดเดรสสีขาวและสวมใส่ปลอกคอที่คล้องคอของตนเอาไว้

    ร่างของเด็กชายผู้นั้นราวกับราชสีห์ที่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ นัยตาสีเขียวเข้มของเขาเต็มไปด้วยรอบตาสีดำที่ราวกับจะดูช้ำจากการร้องไห้ ทว่าน้ำตาก็ไม่มีให้เชยชมอีกต่อไปแล้ว---เมื่อใบหน้านั้นโศกเศร้าจนน้ำตามิอาจไหลรินได้อีก ท่ามกลางตัวของเขาที่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ทรายมากมายก็กองสุมอยู่บริเวณรอบๆ หนังสือเรียนมากมายกองพะเนินระเนระนาดจนไม่น่าดูเสียเท่าไหร่

    ทันใดนั้น น้ำเสียงที่ดูอ่อนแรงก็ดังออกมาจากปากของเด็กชายเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม

    "พอแล้ว...พอกันที" เขาหลับตาลง น้ำเสียงเจ็บปวดค่อยๆถูกกระซิบออกมา "ทำไปแล้วมันจะได้อะไรกัน ถ้าสุดท้ายก็ไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย"

    ฝีเท้าของมารีค่อยๆก้าวเดินตรงไปหาเขา

    น้ำเสียงของเด็กสาวเรือนผมสีขาวค่อยๆดังขึ้นมา

    "ไม่เป็นไรนะ" มารีกล่าวกระซิบ สองมือของเธอกอบกุมมือของเลโอน่าเอาไว้เช่นนั้นด้วยสัมผัสที่อ่อนโยน "จะพักหน่อยก็ได้ แต่ว่าอย่าพึ่งยอมแพ้เลยนะเลโอน่า"

    "ทำไมกันล่ะ ทำไมเธอถึงห้ามฉัน?" น้ำเสียงเจ็บปวดลอดแผ่วออกมาจากริมฝีปาก "มันไม่มีประโยชน์แล้ว มันไม่เหลืออะไรเลย---ฉัน...ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะทำอะไรสุดท้ายฉันก็ไม่เคยได้ในสิ่งที่หวังเลยสักนิด แล้วฉันจะเหลืออะไรอีกล่ะ?"

    จะเหลือแรงใจไปทำไมกันหากสิ่งที่ทำมาไร้ซึ่งความหมาย?

    จะเหลืออะไรอยู่กัน? ในเมื่อสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็ไร้ค่าไม่ต่างกับทรายด้วยซ้ำ

    มือของมารีค่อยๆจับมือของเขาให้กระชับขึ้น สัมผัสของเธอเบาบางและอ่อนโยน---นัยตาสีน้ำข้าวยังคงสบสายตากับเลโอน่าผู้ซึ่งมองทุกอย่างด้วยแววตาเรียบเฉย

    เด็กสาวเรือนผมสีขาวกล่าว

    "ถ้าอย่างงั้นฉันจะช่วยเธออีกแรงเอง" เด็กสาวเอื้อนเอ่ย ใบหน้าของเหล่าสมาชิกหอสะวันน่าห์คลอที่จ้องมองมายังเลโอน่าด้วยแววตาชื่นชมปรากฏเข้ามาภายในหัวของเธอก่อนที่มารีจะคลี่ยิ้ม "พวกเราจะพยายามไปด้วยกัน ทั้งเธอ พวกเขา และฉัน มันจะต้องประสบความสำเร็จแน่"

    เลโอน่าวัยเยาว์เฝ้ามองมาที่ร่างของมารีผู้ฉีกยิ้มให้เขาราวกับมั่นใจ ด้วยใบหน้าที่ยังคงสับสน---และเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจเหล่านั้น สองมือของเลโอน่าก็พลันจับมือของเธอแน่นขึ้น

    "...ทำไมถึงคิดแบบนี้ล่ะ?" เด็กชายกล่าว ชั่วขณะนั้นริมฝีปากคลี่ยิ้มราวกับเยาะเย้ยตนเอง "ฉันน่ะเหรอ? พวกเขาเหรอ? ก็เห็นชัดๆไม่ใช่รึไงกันว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้น่ะ"

    เลโอน่าก้มศีรษะลง

    "ต่อให้พวกเราจะพยายามแค่ไหน สุดท้ายความจริงก็คือความจริง" ริมฝีปากยังคงเอื้อนเอ่ยน้ำเสียงที่เจ็บปวดและสั่นเครือ "พวกเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้หรอก"

    มารีจ้องมองไปยังเลโอน่า

    "แต่แค่เธอเริ่มคิด โลกทั้งใบก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วไม่ใช่เหรอ?"

    เสียงลอดแผ่วของเลโอน่าดังขึ้นขณะที่ดวงตาเบิกกว้าสงด้วยความงุนงง

    "...ห้ะ?"

    "โลกทั้งใบเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะตามกาลเวลา หรือตามความพยายาม" มารีเอ่ย นัยตาสีน้ำข้าวสบสายตากับเลโอน่า "ไม่ว่าเมื่อไหร่โลกก็เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอด และแน่นอนว่าความพยายามของนายก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกใบนี้เปลี่ยนไปด้วย"

    เพราะอย่างงั้น เธอจึงไม่อยากให้เขายอมแพ้

    เด็กชายเม้มริมฝีปาก

    "แต่ว่า---มันไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยนี่!?" เขาร้องตะโกน สองมือบีบมือของมารีราวกับอัดอั้น "สุดท้ายแล้วไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางเป็นราชา แล้วก็ไม่มีวันชนะมาเลอุส ดราโกเนียอยู่ดี!!"

    มารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง รอยยิ้มถูกฉีกขึ้นอีกครั้ง

    "ฉันขอพูดอะไรที่ออกจะงี่เง่าหน่อยนะ" เด็กสาวเรือนผมสีขาวเอื้อนเอ่ย "แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ฉันก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าสิ่งที่นายทำไปมันไม่มีทางสูญเปล่าแน่นอน"

    ในครรลองสายตาของเธอนั้น เลโอน่าได้จ้องมองมายังเด็กสาวผู้ยังคงเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าไม่มีแววจะยอมแพ้

    "ถึงแม้ว่านายไม่อาจจะเป็นองค์ราชาได้ แต่ว่าก็ใช่ว่านายจะเอาชนะมาเลอุส ดราโกเนียไม่ได้สักหน่อย" เสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวลยังคงดังก้องยามเมื่อเลโอน่าเฝ้ามองมารี "ถึงแม้ว่าในตอนนี้นายจะคิดว่าสิ่งที่นายทำมามันเปล่าประโยชน์ ถึงแม้ในตอนนี้มันจะยังไม่เกิดผลลัพธ์อะไรขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะยังต้องยอมแพ้ตอนนี้เสียหน่อย"

    "เพราะเริ่มคิดโลกทั้งใบที่มองเห็นถึงเริ่มเปลี่ยนไป เพราะเริ่มทำถึงจะเป็นรูปเป็นร่าง และเพราะได้รับความร่วมมือทุกอย่างก็เริ่มค่อยๆเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น"

    "ระหว่างทางมันอาจเหนื่อยและทรมาณ-" เธอเอ่ย "แต่เพราะการมีอยู่ของความพยายามมันทรมาณแบบนี้---โลกใบนี้ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่รึไง?"

    ความพยายามมันทรมาณ ด้วยเหตุนั้นแล้วจึงมีผู้คนมากมายที่ล้มเลิกไป

    แต่ถึงมันจะยังคงทรมาณ แต่สุดท้ายเหล่าผู้คนก็ยังคงต้องพยายามต่อไป---ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาพยายามจะทำมันจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

    เหมือนความฝันของไดอาน่าที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคงพยายาม

    เด็กชายราชสีห์ผู้สิ้นหวังค่อยๆเริ่มเอื้อนเอ่ย

    "...ทำไมล่ะ"

    "หือ?"

    "ของแบบนั้น...ฉันจะทำได้งั้นเหรอ?" เลโอน่าเอ่ยเสียงแผ่ว เป็นน้ำเสียงที่คล้ายกับจะร้องไห้---เป็นน้ำเสียงราวกับผู้ที่พยายามมานับพันครั้งแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ "คนแบบฉัน...จะเปลี่ยนแปลงโลกได้อยู่เหรอ?"

    มารีพยักหน้า

    "ได้สิ"

    เขาเค้นเสียงเอ่ยถามเมื่อได้รับคำตอบ

    "เธอนี่มันโง่จริงๆเลย...แม้ว่าฉันจะไม่ทำอะไรเลยน่ะเหรอ?"

    เด็กสาวเรือนผมสีขาวจ้องมองไปยังร่างของเด็กชาย

    "แต่ตอนนี้ก็ทำอยู่ไม่ใช่เหรอ ถึงได้มาถามหาความมั่นใจจากฉันน่ะ?"

    "เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้...ไปกับเจ้าโง่พวกนั้นน่ะนะ?" เขาเลิกคิ้ว

    นัยตาสีน้ำข้าวสบสายตากับเลโอน่าอีกครา

    "พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายนะ และนายเองก็เชื่อมั่นในตัวพวกเขาด้วยไม่ใช่รึไง" 

    เลโอน่าเฝ้ามองมารีที่อยู่ตรงหน้าของเขา

    คำถามสุดท้ายดังออกมาจากริมฝีปาก

    "แล้วเธอล่ะ..."

    "หือ?"

    "แม้ว่าฉันจะเป็นคนแบบนี้ เธอก็จะยังยอมรับในตัวฉันเหมือนกับที่เจ้าพวกนั้นทำงั้นเหรอ?"

    แม้ว่าตัวเขาจะเป็นเช่นนี้

    ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่ทำไปนั้นจะไม่ได้อะไรกลับมา

    "แน่นอนอยู่แล้วสิ" เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างสดใสและร่าเริง มารีฉีกยิ้มกว้างยามเมื่อเฝ้ามองไปยังร่างของเลโอน่า "ถึงจะเป็นคนแบบนี้ ฉันก็ยอมรับในตัวของนายอยู่ดีนั่นแหละ"

    แม้ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างอาจจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้

    แต่ว่า...

    ความเงียบสงัดโรยรายามเมื่อมารีเอ่ยตอบคำถามของเลโอน่า เธอจ้องมองไปยังร่างของเด็กชายที่ค่อยๆหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา---ทันใดนั้นร่างของเขาก็เริ่มเติบโตขึ้น สูงขึ้น

    สุรเสียงของเลโอน่าเอื้อนเอ่ย

    และในที่สุดราชสีห์ผู้นั้นก็เริ่มก้าวเดิน

    "...ชีวิตเนี่ย ไม่แฟร์เลยนะ"

    "ถึงฉันอยากจะยอมแพ้ขนาดไหน ก็ยังมีพวกบ้าแบบเธอเข้ามาให้กำลังใจอยู่ดี"

    แผลเป็นเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

    มือหนาของราชสีห์จับปลอกคอเหล็กของตนขึ้น

    "เพราะความพยายามมันทรมาณถึงขนาดนี้แท้ๆ ทั้งที่คิดว่าอยากจะเลิกอยู่แล้วแท้ๆ-"

    "แต่สุดท้ายแล้ว..."

    เลโอน่าออกแรงกด แน่นขึ้น และแน่นขึ้นยิ่งไปอีก

    เสียงของรอยร้าวเริ่มดังก้อง

    "ต่อให้ชีวิตจะไม่แฟร์ ฉันก็ยังอยากพยายามอยู่ดี"

    เสียงหัวเราะถูกเอ่ยดังออกมาจากริมฝีปาก และแล้วมือหนาของเขาก็กระชากปลอกคอเหล็กของตนออก

    มารีเบิกตากว้าง

    เคร้ง!!!

    เสียงแตกกระจายของเศษเหล็กดังขึ้น---พวกมันส่องประกายวิบวับก่อนจะสลายกลายเป็นทรายไปภายในพริบตา ใบหน้าของเลโอน่าฉีกยิ้มขึ้นอย่างอวดดีไม่ต่างจากคราแรกที่ได้พบพานยามเมื่อในที่สุดเขาก็กระชากปลอกคอของตนออก หูและหางของเขาขยับขึ้นเป็นสัญญาณของความมีชีวิตชีวาที่ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดมากที่สุด

    เด็กสาวมองภาพเช่นนั้น เสียงหัวเราะของเธอค่อยๆดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม

    "ดูเหมือนว่ากลับมาอวดดีอีกแล้วสินะ"

    "แล้วมันจะทำไมกันล่ะ ยัยสัตว์กินพืช?" เลโอน่ายกยิ้ม มือซ้ายเท้าสะเอวก่อนที่มือข้างขวาจะยื่นมือเข้ามาหาเธอยามเมื่อร่างของชายหนุ่มลุกขึ้น "เอ้า รีบลุกขึ้นได้แล้ว---ยื่นมือค้างไว้แบบนี้ฉันเมื่อย"

    หล่อนยักไหล่ก่อนจะเอื้อมมืออกไป

    "ค่าๆ"

    เสียงแตกสลายของกระจกเริ่มดังขึ้น ร่างของพวกเขาทั้งสองคนเฝ้ามองห้วงสีขาวที่เริ่มแตกสลายราวกับกระจก ทุกอย่างกำลังถล่มลงมา---ทรายและกองพะเนินหนังสือได้เลือนหายไปแล้ว แม้กระทั่งปลอกคอของเลโอน่าก็ด้วยเช่นกัน

    พวกเขาคงกำลังจะกลับไป กลับไปสู่โคลอสเซียมยังสถานที่นามไนท์เรเวนคอลเลจ---และหลังจากนั้นสิ่งต่างๆก็คงจะเริ่มขึ้นหลังจากที่พวกเขาสองคนได้ตื่นขึ้นมา แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ในยามนี้เธอกลับไม่รู้สึกเลยว่าทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่ดั่งเช่นคราวของริดเดิ้ล หากแต่ทุกสิ่งจะต้องดำเนินต่อไปอีกครั้ง และดำเนินต่อไปโดยที่ไม่รู้จุดหมายว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่

    แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น...

    สายตาของเลโอน่ามองตรงไปยังหวนทางที่ถูกล้อมรอบไปด้วยสีขาว

    "นี่ยัยสัตว์กินพืช แกชื่ออะไร?"

    เขาเอ่ยถาม มารีจ้องมองด้วยความฉงนไปชั่วครู่---หล่อนกรอกตาไปมาสักพักก่อนจะเอ่ยตอบไป

    "มารี เรียกแค่มารีก็พอแล้ว"

    เลโอน่าหันศีรษะกลับมามองเด็กสาวผู้อยู่ข้างกาย

    "...ถ้างั้น-"

    รอยยิ้มถูกส่งมา และสุรเสียงนั้นก็ดูจะอ่อนโยนกว่าทุกคราที่เคยได้ยิน

    "ขอบคุณมาก มารี"

    เป็นเพียงแค่คำขอบคุณสั้นๆ มันไม่ใช่อะไรที่ดูสวยหรูและเรียบเรียงออกมาได้งดงาม---แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นที่ชายหนุ่มจ้องมองไปยังเด็กสาว มารีผู้อยู่ข้างกายของเขาก็เบิกตากว้างราวกับชะงักงัน และแล้วสุดท้ายรอยยิ้มที่ดูแตกต่างไปจากทุกคราก็ปรากฏออกมาบนใบหน้า

    อา...ในที่สุดแล้วเราก็เกลียดเขาไม่ลงไปจนได้ ราวกับว่าคนสำคัญของเรากำลังเพิ่มขึ้นไม่มีผิดเลย

    ณ สุดท้ายนี้ ในที่สุดทุกอย่างก็เริ่มสว่างจ้าขึ้น---มารีและเลโอน่าเฝ้ามองออกไปยังเบื้องหน้าที่ราวกับจะเป็นหนทางที่ทอดยาวออกไปจนไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาเฝ้ามองมันไปพร้อมกัน---ขณะที่ทุกอย่างกำลังจะพาพวกเขากลับไปสู่สถานที่เดิมที่จากไป

    เพราะแบบนั้น เราจะต้องปกป้อง ปกป้องทุกคนให้ได้...ไม่ว่าจะคนสำคัญนั้นจะมีมากเท่าไหร่

    เหมือนที่เธอคอยปกป้องฉันในตอนนั้น

    มือของมารีสัมผัสกับปลอกคอตนอย่างอ่อนโยน หลุบตาต่ำลงชั่วขณะหนึ่งที่รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าด้วยแววตาบางอย่าง และแล้วในที่สุดน้ำหนักจากปลอกคอบนสองบ่าของหล่อนก็เริ่มหนักขึ้นมาอีกเท่าตัว

    มารีหลับตาลง

    เลโอน่าคงจะไม่เป็นไรแน่

    ก็เพราะว่าในท้ายที่สุดเธอนั้นได้ทำให้ตัวร้ายเฉกเช่น[ เขา ]กระชากโซ่ตรวนออกจากบ่าแล้วนี่น่า


    ***

    สารจากไรท์

    : เนื่องจากเป็นพาร์ทที่ค่อนข้างยาวและไม่มีเวลามาเขียนเท่าไหร่นัก ไรท์เลยตัดสินใจมาอัพแค่50%และจะมาต่อช่วงวันเสาร์หรืออาทิตย์หน้าให้นะคะ

    สำหรับช่วงครึ่งแรก สารภาพว่าคิดมานานแล้วที่อยากให้มารีใส่เดี่ยวกับเลโอน่าสักหมัด5555555555555555555 ในที่สุดก็ได้แต่งสักที ภาคภูมิใจมากๆเลยค่ะ แต่คาร์แรคเตอร์เลโอน่ายากเย็นสำหรับไรท์พอสมควรเลย ยิ่งช่วงหลังคงต้องอ่านภาษาอังกฤษแล้วแงะบทมาคงจะบันเทิงไม่น้อยเลยทีเดียว

    ส่วนมารี ถึงจะบอกว่าให้เลโอน่ายอมรับพลังของตัวเองก็ตามแต่ตอนนี้เจ้าหล่อนก็ยังไม่ได้ยอมรับพลังของตัวเองนอกจากไม่กี่อย่างหรอกค่ะ(ฮ่า) คงต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะยอมรับได้ เพราะงั้นตอนนี้ก็คงจะเป็นตาของเลโอน่าไปก่อนล่ะนะ

    ยังอยากจะพูดให้มากกว่านี้แต่ก็อยากจะเก็บไว้พูดช่วงครึ่งหลังมากกว่า เพราะงั้นตอนนี้ไรท์คงต้องขอตัวไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่ภายในครึ่งหลัง สวัสดีค่า!

    ***

    : ใน ที่ สุด ก็จบบทสองอย่างไม่เป็นทางการแล้วล่ะค่าาา เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

    สำหรับพาร์ทนี้เป็นอีกพาร์ที่ไรท์รู้สึกว่าฮาร์ดคอร์กว่าบทแรกเยอะเลย รวมถึงการตีความคาร์แรคเตอร์ภายในช่วงแรกก็แตกต่างกับช่วงนี้ด้วย เลยต้องมานั่งปรับนั่งแก้พอสมควรเลย(+เพิ่มพาร์ทอดีตโดยอ้างอิงจากบทพูดคร่าวๆ) แต่ก็ดีใจที่แต่งออกมาจนเสร็จนะคะ (ปล. อาจจะมีบ้างที่ประโยคมันไม่ค่าอยเหมือนกันนะคะ...//กราบ)

    สำหรับคาร์แรคเตอร์ของเลโอน่า ไรท์ตีความคาร์แรคเตอร์ออกมาว่า เหตุผลที่เขาอยากจะเป็นที่หนึ่งก็เพราะว่าเขาอยากจะที่จะได้รับการยอมรับจากคนใกล้ตัวหรือไม่อยากจะถูกมองข้ามไป เพราะอย่างงั้นเขาจึงพยายามพิสูจน์ตัวเองผ่านการพยายาม แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นที่ยอมรับอยู่ดี เรียกง่ายๆว่าหมดแพชชั่น(ยิ้มแห้ง) 

    เอาล่ะ ไหนๆก็ใกล้จะจบบทสองเต็มทีแล้ว ไรท์มีข้อเสนออยากจะให้รีดเดอร์ทุกท่านเลือกกันค่ะ เนื่องจากไรท์ใกล้จะปิดเทอมเลยจะไม่ค่อยว่างเพราะต้องทำงาน+งานค้างไปส่ง เลยอยากจะมาถามทุกคนว่า จบบทนี้อยากจะให้ไรท์แต่งบทเสริมพิเศษ หรือ อยากให้แต่งเนื้อเรื่องอีเว้นท์กันคะ? ยังไงก็มาบอกกันได้นะ!

    ปล .หนึ่ง โดยส่วนตัวไรท์คิดว่าเลโอน่าไม่ใช่คนที่อยากให้โดนปลอบจนถึงท้ายที่สุดเลยใส่ซีนที่พี่แกกระชากปลอกคอออกเองซะเลย(ฮ่า) ส่วนเรื่องที่ปลอกคอของมารีหนักขึ้นก็...55555555555555555555555555555555

    ปล .สอง ใกล้จะเปิดปมใหม่แล้วล่ะ รอจบบทนี้อย่างเป็นทางการก่อนนะ ไม่สิ เดี๋ยวบทส่งท้ายก็จะเปิดแล้วนี่น่า(แสยะยิ้ม)

    ปล .สาม เนื่องจากบทแปลไรท์อาจจะแปลได้ไม่ค่อยตรง ถ้าได้บทแปลที่ชัดเจนและตรงความหมายมากกว่านี้จะกลับมาปรับแก้นะคะ

    ขอขอบคุณแฟนอาร์ตจากคุณ FB Pimlaphat-San ด้วยนะคะ!

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×