ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FICTION TWST : Odinary girl in WONDERLAND [ OC ]

    ลำดับตอนที่ #31 : บทปิดม่านละครที่หนึ่ง : Dear you ' Riddle Rosehearts '

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.6K
      218
      21 ต.ค. 63



    "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
    มีผู้คุมกฎสีแดงผู้ถูกเหนี่ยวรั้งเอาไว้ด้วยกฎนับพันบนโลกใบนี้
    ทั้งเผด็จการ สูงส่ง เข้มงวด หรือแม้แต่แสนเอาแต่ใจ

    กาลครั้งหนึ่งเมื่อมิช้านานมานี้
    ผู้คุมกฎสีแดงได้ถูกปลดโซ่ตรวนออก
    และในที่สุดก็ได้เข้าใจว่าเขาดำรงกฎไว้ซึ่งเหตุผลใด"

    Dear you  Riddle Rosehearts

    -แด่เธอผู้เติบโต

    ***


    "รี---มารี...มารี!!"

    แสงสว่างจ้าลอดผ่านเสียจนดูแสบตา บังคับให้เด็กสาวจำเป็นต้องลืมตาตื่นจากห้วงนิทราขึ้นมาอย่างเสียมิได้

    ร่างของเธอยังคงอยู่บนสนามหญ้าเขียวชอุ่มของเขาวงกตกุหลาบที่ฮาร์ทสลาบิวท์ ดวงตาสีน้ำข้าวลืมตาขึ้นมาเป็นร่างของห้าคนกับอีกหนึ่งตัวที่ล้อมรอบตัวของเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าลุ้นระทึก---และทันทีที่เด็กสาวสติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์พวกเขาก็ส่งเสียงดีอกดีใจออกมาท่ามกลางมารีเพียงผู้เดียวที่งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น

    จริงสิ...เราทำอะไรสักอย่างกับริดเดิ้ลเอาไว้ เด็กสาวกรอกตาไปมาด้วยใบหน้าครุ่นคิด เพราะงั้นเราก็เลย...ช่วยเขาเอาไว้ได้เหรอ?

    "เจ้าบ้าเอ้ย!" เอซเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามากอดเธอพร้อมๆกับกริมม์เป็นฝ่ายแรก "ทำอะไรๆไม่คิดหน้าคิดหลัง มันแย่ต่อหัวใจฉันนะเฟ้ย!"

    "ฟุน๊าา ฟุน๊าาา!!!" กริมม์ร้องไห้โฮขณะที่เกาะแขนเธอไว้ไม่มีห่าง

    "เอซกับกริมม์สวดหัวหน้าหอยับเลยเรื่องนาย" ดิวซ์เป็นฝ่ายเอ่ยขณะที่เข้ามาสวมกอดเด็กสาวเบามือราวกับทะนุถนอมเอาไว้ ใบหน้านั้นดูจริงจังขึ้น "นายนี่มันทำพวกเราหัวใจวายเก่งจริงๆ"

    มือของเด็กสาวกอดพวกเขากลับเบาๆ

    "ขอบคุณที่เป็นห่วงกันนะ" ดวงตาสีน้ำข้าวหรี่ตาลงขณะที่ใบหน้าคลี่ยิ้มบางหลังจากเอ่ยคำพูดธรรมดาๆออกไป ไม่นานนักสายตาก็เลื่อนไปมองเห็นริดเดิ้ลที่ทำสีหน้าอึดอัดใจ ขอบตาช้ำราวกับร้องไห้ออกมา "แต่ว่า...ทำไมรุ่นพี่โรสฮาร์ทถึงได้-"

    "มันก็แค่---" เสียงของเด็กหนุ่มพยายามเอ่ยขณะที่กระแอม

    "ริดเดิ้ลจังร้องไห้เพราะเรื่องของมารีจังแล้วก็เรื่องที่อยากทำมาตลอดน่ะสิ!" เสียงของเคเตอร์คราวนี้ดังขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกึ่งเป็นห่วง "แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ"

    เด็กสาวเป็นฝ่ายหันไปมองใบหน้าของริดเดิ้ลที่กลายเป็นสีแดงฉานขณะที่เธอยังสวมกอดเหล่าเพื่อนๆของเธออยู่ ริดเดิ้ลทำท่าราวกับพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ตะโกนชื่อของรุ่นพี่หนุ่มแห่งหอฮาร์ทสลาบิวท์

    "เคเตอร์!" 

    "ฮะๆ" เสียงหัวเราะของเด็กสาวดังขึ้นยามเมื่อเห็นท่าทางของรุ่นพี่หนุ่มผู้เป็นหัวหน้าหอฮาร์ทสลาบิวท์ผู้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมือของเธอเท่าไหร่นัก "รุ่นพี่โรสฮาร์ทเนี่ยน่ารักกว่าที่ผมคิดเอาไว้อีกนะครับ"

    "น่ารัก ผมเนี่ยนะ?" เสียงดังออกมาจากปากของริดเดิ้ล ท่าทางนั้นแลดูราวกับจะไม่เชื่อเสียเท่าไหร่ "ผมน่ะไม่ได้...หืม?" 

    มือของเด็กสาวกวักมือเรียกให้เด็กหนุ่มเรือนผมสีกุหลาบเอียงศีรษะลงมา ใบหน้าของเด็กสาวยิ้มแย้มยามเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่ยอมทำตามคำขอโทษของตนก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง มือนั้นยืดขึ้นสูงก่อนจะวางลงบนศีรษะของอีกฝ่าย

    ท่ามกลางความตกใจของทุกคนอีกครา เด็กสาวลูบหัวของเด็กหนุ่มเรือนผมสีกุหลาบอย่างแผ่วเบา

    "น่ารักสิ เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ดีมากแล้วล่ะ" มารีเอ่ยด้วยใบหน้ารอยยิ้ม สบสายตากับดวงตาสีเงินของริดเดิ้ลที่เบิกตากว้าง "ทั้งเรื่องที่อยากทำมาตลอด หรือเรื่องที่อยากจะทำต่อจากนี้ในอนาคต...จะเอาใจช่วยนะ"

    "..."

    "มารี..." เสียงลอดผ่านออกมาจากปากของดิวซ์

    "นี่เจ้า..." เสียงลอดผ่านออกมาจากปากของกริมม์ ดวงตาสีฟ้าของมันเบิกตากว้าง

    ติ๋ง...ติ๋ง

    อะไรบางอย่างไหลออกมาจากศีรษะถึงบริเวณใบหน้า มารีใช้มือของตนเองปาดไปโดยอัตโนมัติเมื่อมันไหลออกมาจนเกือบเข้าตา หยาดโลหิตสีแดงฉานปรากฏอยู่บนมือของเธอจนดวงตาสีน้ำข้าวเบิกตากว้างด้วยความงุนงงขณะที่ทุกๆคนปล่อยกอดออกจากเธอ

    "...เอ๋?"

    เดี๋ยวสิ...ไม่ใช่ว่าแผลมันควรจะหายไปนานแล้วเหรอ ไม่ได้กระทบอะไรขนาดนั้นนี่น่า?

    แล้วทำไมมันถึงได้มึนหัวขนาดนี้กัน...?

    "ก่อนหน้านี้เขามาบังฉันไม่ให้โดนต้นกุหลาบล้มใส่เลยมีแผลที่หัว" เสียงของเทรย์ดังขึ้นมาเป็นคนแรกท่ามกลางความตกใจแตกตื่นของทุกคน "เดี๋ยวฉันจะพาริดเดิ้ลไปห้องพยาบาลเอง พวกนายสามคนช่วยอุ้มมารีไปที่ห้องพยาบาลที"

    "เดี๋ยวผมอุ้มเองครับ!" ดิวซ์เอ่ย ร่างของเขาเดินเข้ามาช้อนร่างของฝ่ายเด็กสาวในท่าเจ้าสาว

    สีตาสีน้ำข้าวสะลึมสะลือเต็มทีทั้งที่พยายามอย่างมากที่จะลืมตาขึ้นมากล่าวคำว่าไม่เป็นไรออกไป แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นริมฝีปากก็ไม่มีแรงพอจะเอ่ยออกมาเสียเลย ทำได้เพียงแค่มองภาพทิวทัศน์ตรงหน้าที่เลือนลางและฟังเสียงบทสนทนาที่ไม่ได้ศัพท์---ก่อนที่ไม่นานนักเธอจะพอสังเกตเห็นว่าร่างของเธอถูกย้ายไปที่อ้อมแขนของใครสักคน

    สีดำไปหมดเลยแฮะ ดวงตาสีน้ำข้าวพยายามลืมตาขึ้นมาดูกว้างๆ คุณคราวลี่ย์อย่างงั้นเหรอ...?

    ดวงแสงสีอำพันสะท้อนอยู่ภายในสายตาของเธอขณะที่เขากำลังพาเธอไปที่ไหนสักแห่ง มือที่สวมใส่ถุงมือหนังสีดำของเขาเอื้อมมือมาปิดดวงตาของเธอเอาไว้ไม่ให้มองเห็นสิ่งใด

    ชั่วขณะนั้นทุกอย่างมืดมิดลงราวกับเด็กสาวอาศัยอยู่ภายในห้วงสีดำ มารีจำใจต้องข่มตานิทราไปอย่างเสียมิได้เมื่อมือของอีกฝ่ายปิดกดวงตาของเธอเอาไว้เสียแบบนี้ราวกับอยากจะให้เธอหลับไปเสียจริงๆ ทว่าแทนที่จะหลับไปกลับทำให้ความคิดของเด็กสาวนั้นดูวุ่นวายมากเสียกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

    ทำไมพวกเขาถึงมีท่าทางรีบร้อนได้ขนาดนั้นกันนะ ห้วงความคิดของเด็กสาวดังก้อง การรีบร้อนเวลาเห็นตัวประหลาดอย่างฉันบาดเจ็บนี่มันปกติด้วยงั้นเหรอ?

    ไม่สิ...คงเพราะโลกใบนี้ไม่มีตัวประหลาดอาศัยอยู่บนโลกเสียล่ะกระมั้ง?

    มือของเด็กสาวเผลอออกแรงกำชายเสื้อของตนเอง

    จะใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเราเป็นตัวประหลาด เพื่อสถานะของเราที่โลกใบนี้ เพื่อความใจดีของทุกๆคน เพื่อความอ่อนโยนที่เราได้รับ

    ไม่อย่างงั้น...พวกเขาคงจะไม่มีทางรักเราอีกต่อไปแน่



    ***

    ห้องพยาบาล - เวลาฟ้าสดใส


    กลิ่นของยาและความเงียบสงัดของบรรยากาศทำให้เด็กสาวค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาภายในเตียงสีขาวสะอาดตา

    สิ่งแรกที่เธอมองเห็นไม่ใช่ความว่างเปล่าจากที่เคยคาดคิดเอาไว้ ไม่ใช่แม้กระทั่งเอซ ดิวซ์ หรือกริมม์ที่คอยมานั่งเฝ้าเธอ กลับกันแล้วกลับเป็นร่างของชายหนุ่มร่างสูงเรือนผมสีเขียวแมกไม้ที่เธอนั้นเคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้

    เป็นร่างของเทรย์นั่นเอง

    "เทรย์...?" เด็กสาวกระซิบเสียงเบา เมื่อพลันรู้สึกตัวว่ามันไม่สมควรก็รีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกอีกฝ่ายโดยพลัน "ไม่สิ รุ่นพี่โคลเวอร์"

    "นายจะเรียกเทรย์เหมือนเดิมก็ได้นะ ฉันไม่ถือขนาดนั้นหรอก" เสียงของเขาดังออกมาจากริมฝีปากหนา ดวงตาสีอำพันเข้มมองมาที่เธอ

    ดวงตาสีน้ำข้าวกรอกตาไปมาเล็กน้อย

    "ถ้างั้นก็...เทรย์?" เด็กสาวเอ่ยเรียกชื่อของเขาออกมา มองไปยังชายหนุ่มที่พยักหน้าอนุญาต "นายคุยกับริดเดิ้ลแล้วงั้นเหรอ?"

    "คุยเรียบร้อยแล้วล่ะ ตอนนี้ก็หลับไปแล้วด้วย" เทรย์เอ่ยตอบเด็กสาว ท่าทางของเขาราวกับมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูดออกมาถึงได้มาอยู่ที่นี่แทนที่จะเฝ้าริดเดิ้ล---เป็นช่วงนาทีสั้นๆที่แสนนานขณะที่เขานั่งอยู่ข้างๆเตียงสีขาวของเธอจนในที่สุดเขาก็ยอมพูดออกมาเสียที "ฉันแค่มาที่นี่เพื่อขอบคุณนายน่ะ"

    "ขอบคุณ?" เด็กสาวเอ่ยทวนคำด้วยความงุนงง

    "เรื่องในตอนที่นายกระโจนเข้ามาช่วยฉันเอาไว้ก่อนหน้านั้น" เขากล่าว ดวงตาสีอำพันนั่นฉายแววจริงจัง "ถ้าเกิดว่าตอนนั้นนายไม่เข้ามาช่วยฉันอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดกับริดเดิ้ลในเรื่องที่อยากพูดมาตลอดแน่"

    ดวงตาสีน้ำข้าวฉายความรู้สึกหลากอารมณ์ออกมา เธอมองเห็นความจริงใจผ่านทางน้ำเสียงของชายหนุ่มเรือนผมสีเขียวเข้มที่ปกติมักมีรอยยิ้มประดับหน้า แต่วันนี้นั้นเขากลับทำสีหน้าจริงจังเหมือนเช่นไม่กี่ชั่วโมงก่อนจนเด็กสาวนั้นรู้สึกแปลกประหลาดนัก

    "ไม่หรอก ไม่เป็นไร..." เธอกล่าว รู้สึกยินดีได้ไม่เต็มที่นักกับสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวขอบคุณ "ฉันเองก็มีเรื่องอยากจะขอโทษนายเหมือนกัน"

    "เรื่องอะไรล่ะ?"

    ใบหน้าของชายหนุ่มฉายแววสงสัยอย่างเห็นได้ชัด

    "เรื่องในตอนที่ฉันด่านายไปภายในหอสมุดน่ะสิ" มารีค่อยๆเรียบเรียงคำพูดออกมา สบสายตากับดวงตาสีอำพันนั่น "ถึงก่อนหน้านั้นสิ่งที่นายทำไปจะเป็นเรื่องจริง แต่ว่าฉันในตอนนั้นก็ใส่อารมณ์เกินไปจนไม่ได้นึกถึงพื้นหลังเลยสักนิด เพราะแบบนั้นแล้ว..."

    พื้นหลังของอดีต สิ่งที่ทำให้ใครสักคนกลายเป็นตัวเองภายในปัจจุบัน

    "ไม่จำเป็นต้องให้อภัยฉันก็ได้นะ"

    ก็เหมือนกับเธอที่กลายเป็นเธอภายในวันนี้

    และหากเธอไม่ได้เห็นอดีตของริดเดิ้ล มารีเองก็คงจะไม่มีทางทราบถึงเหตุผลและการกระทำของเทรย์ภายในอดีต ความสุขของเขาที่ถูกแบ่งปันให้กับริดเดิ้ล หรือกระทั่งสิ่งที่ทำให้ริดเดิ้ลกลายเป็นริดเดิ้ลผู้แสนเข้มงวดภายในปัจจุบัน

    เธอนั้นได้ใช้อคติในการตัดสินผู้คนไปเสียแล้ว

    เพราะแบบนั้นแล้วที่ถูกขอบคุณจึงไม่สามารถรู้สึกยินดีได้อย่างเต็มที่นัก

    เสียงของเทรย์ที่นั่งอยู่ข้างๆของเธอดังขึ้นมา

    "ถ้าเป็นตอนปกติฉันคงจะพูดคำว่าไม่เป็นไรออกไปแล้ว" ชายหนุ่มเรือนผมสีเขียวเข้มเอ่ย "แต่ว่าในตอนนั้นฉันรู้สึกโมโหมากเลยล่ะ แต่ว่าสิ่งที่นายพูดก็ใช่ว่ามันจะมีแค่คำด่าลอยๆ"

    "ก่อนหน้านั้นฉันเองก็เคยคิดอยู่บ้างว่าสิ่งที่ริดเดิ้ลทำมันไม่สมควร แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะนำไปพูดกับเขาเลย" ดวงตาสีอำพันหรี่ตาลง น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิดถูกกลั่นกรองออกมา "จนกระทั่งภายในตอนที่นายกับเอซพูด มันทำให้ฉันได้รู้สึกตัวขึ้นมาจริงๆสักทีว่าฉันไม่ควรจะเอาแต่เงียบแบบนี้"

    "ทั้งในตอนที่ริดเดิ้ลโอเวอร์บล็อตขึ้นมาก็ด้วย ตัวฉันในตอนนั้นรู้สึกผิดมากเลยล่ะ" มารีมองเห็นสองมือของเขาที่กุมกันแน่น "จนคิดไปว่า ถ้าเกิดว่าฉันพูดเรื่องนี้เขาไวกว่านี้เสียหน่อย หรือแม้กระทั่ง ถ้าเกิดว่าก่อนหน้านั้นพูดออกไปริดเดิ้ลจะไม่ต้องโอเวอร์บล็อตเหมือนตอนนี้รึเปล่า น่ะ"

    เด็กมองฟังคำพูดของชายหนุ่มที่เงียบลง มันไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าเขาให้อภัยเธอหรือไม่ แต่ทั้งหมดกลับกลายเป็นความรู้สึกผิดที่ถูกพรั่งพรูออกมาภายในใจ ผ่านคำพูด ผ่านน้ำเสียงที่ใช้ถักทอคำบอกเล่านี้ขึ้นมาราวกับอยากจะระบายให้เธอได้ฟัง

    เธอเริ่มเอ่ยถามเขา

    "แล้วตอนนี้ล่ะ?"

    "ตอนนี้..?" คำตอบที่กลายเป็นคำถามอีกทอดถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากของเทรย์ด้วยความงุนงง

    "ตอนนี้หลังจากที่ได้คุยกับริดเดิ้ลแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นไหม?" เด็กสาวเอ่ย ใบหน้าของหล่อนฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยนที่เทรย์พึ่งเคยเห็นออกมา "ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายรับฟังและยินดีที่จะปรับปรุงแก้ไขก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกผิดแล้วล่ะ"

    ดวงตาสีอำพันสบสายตาที่อ่อนโยนของเด็กสาว

    "นายน่ะได้พูดออกไปแล้ว แม้ว่าสำหรับนายอาจจะดูเป็นการพูดที่ช้าไม่ทันการไปหน่อย" เสียงของมารีเอื้อนเอ่ยเข้ามาในโสตประสาท "แต่ในที่สุดก็ได้พูดออกไป บอกสิ่งที่อยากจะให้เขารับฟังออกไปแล้ว นายทำได้ดีจนถึงท้ายที่สุดแล้วล่ะเทรย์"

    ไม่เป็นไร ถึงจะพูดช้าไปแต่ตัวของชายหนุ่มผู้นี้ในที่สุดก็ได้พูดออกไปเสียที

    "ต่อจากนี้คงจะมีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงอีกมากเลยใช่ไหมล่ะ?" สุรเสียงนั้นกล่าวหัวเราะขึ้นมา เรือนผมสีขาวสะท้อนรับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาภายในบานหน้าต่างชวนแลดูเปล่งประกายอย่างงดงาม "ทั้งสิ่งที่เอซกับดิวซ์ทำ สิ่งที่นายพูด หรือแม้กระทั่งริดเดิ้ลที่ตัดสินใจจะเลือกชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ-"

    อ้อมกอดภายในห้วงสีขาว การตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงระเบียบของหอ หรือการที่สุดท้ายคนๆนึงได้ตัดสินใจลงไปอย่างแน่วแน่นั้น...

    "ต่อจากนี้จะต้องดีขึ้นกว่าเดิมมากแน่ๆ"

    ใบหน้าของชายหนุ่มเรือนผมสีเขียวแมกไม้ราวกับนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง

    "...ไม่หรอก-" เสียงนั้นดังออกมาจากปากของเทรย์

    "เอ๋?" มารีมองด้วยสายตางุนงง เธอพูดอะไรผิดไปอย่างงั้นเหรอ?

    ท่ามกลางความงุนงงเหล่านั้น รอยยิ้มของเทรย์ก็ปรากฏขึ้นมา

    "ไม่ใช่แค่พวกเราที่ต่อจากนี้จะดีขึ้น แต่นายเองก็เหมือนกันมารี"

    ดวงตาสีน้ำข้าวเบิกตากว้าง ไม่นานนักเสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากภายในลำคอของเด็กสาว---เหมือนกับจะเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วดูตลก ทั้งดูเฝื่อนๆ แต่ถึงแบบนั้นรอยยิ้มที่คล้ายกับราวจะมีความสุขก็ปรากฏบนใบหน้า

    "ฮะๆ อะไรกันล่ะนั่น? ไม่นึกเลยว่านายจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาด้วย ฟังดูแปลกชะมัดเลย" มารีเอ่ยด้วยท่าทีราวกับขบขัน เป็นเสียงหัวเราะที่เปล่งออกมาภายในห้องพยาบาลที่เงียบสงบ "แต่ว่า---ขอบคุณนะ"

    นิ้วของชายหนุ่มขยับเกาแก้มบนใบหน้าของตนเอง

    "ฉันเองก็ไม่นึกว่าตัวเองจะต้องพูดอะไรแบบนั้นออกไปด้วยเหมือนกันนั่นแหละน่า" ดวงตาสีอำพันที่มองตรงมาทางเธอดูราวกับจะซื่อตรงมากขึ้นขณะที่เทรย์ราวกับดูมีใบหน้าเขินอาย "แค่รู้สึกว่ามันต้องพูดออกไปน่ะ"

    "เปลี่ยนไปเยอะเลยนิ ฉันชอบแบบนี้นะ" เด็กสาวเอ่ย ใบหน้าฉายแววตาขบขันออกมายามใบหน้าของชายหนุ่มขึ้นสีแดงฉานเบาๆ

    เธอมองเห็นเทรย์ที่หลับตาก่อนจะส่ายหน้า

    "ไม่ขนาดนั้นหรอก" กล่าวพลางดันแว่นตาของตนเองเบาๆ รอยยิ้มสนุกสนานปรากฏบนใบหน้าของเด็กสาวที่ฉีกยิ้มร่าจนเทรย์ขมวดคิ้วสงสัย "ทำหน้าแบบนั้นคิดอะไรอยู่น่ะ?"

    "เปล่านิ ฉันแค่กำลังคิดอยู่ว่าพวกเราลองมาหากิจกรรมทำร่วมกันสักอย่างไหม?" เด็กสาวกล่าวขณะท้าวคางบนผ้าห่มสีขาวสะอาดตา "เช่นอบขนมเป็นต้น"

    "นายทำเป็นจริงๆเหรอ?" สีหน้าของชายหนุ่มอลดูสงสัยในคำพูด

    "อ้าว นี่คิดว่าฉันทำไม่เป็นงั้นเหรอ?" เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้น

    "เปล่าสักหน่อย ดีใจต่างหากที่จะมีคนมาทำอะไรแบบนี้ด้วยกันน่ะ" เทรย์เอ่ย "บางครั้งทำขนมคนเดียวมันน่าเบื่อนะ"

    "ถ้างั้นนายชอบทานอะไรล่ะ?" เด็กสาวเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา "มาพูดเรื่องของที่ชอบก่อนแล้วค่อยหาเวลามาทำอีกทีก็น่าจะดีนะ"

    "ฉันชอบลาเวนเดอร์เคลือบน้ำตาลน่ะ" เทรย์เอ่ยตอบ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเด็กสาวขึ้นมาบางๆยามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าของชอบของเขาไปตรงกับใครสักคนหนึ่งที่เธอรู้จัก

    เพื่อนคนสำคัญของเธอในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ผู้มิใช่มนุษย์ปกติเฉกเช่นเธอ

    แต่ว่า...ทำไมถึงจำหน้าไม่ได้เลยนะ?

    "แบบนี้นี่เอง เพื่อนของฉันเขาเองก็ชอบลาเวนเดอร์เคลือบน้ำตาลน---"

    "มารี นายตื่นแล้วสินะ?" น้ำเสียงที่ดูแปลกออกไปจากเดิมปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของเธอ

    เด็กสาวเหงื่อตกยามเมื่อเห็นร่างที่ดูคุ้นเคยของคนทั้งสามคน

    ร่างของเอซ ดิวซ์ กริมม์ผู้มีสีหน้าบึ้งตึงปนเป็นห่วงเธอเดินเข้ามาภายในห้องพยาบาล---เด็กสาวพยายามสบสายตากับเทรย์เพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าใบหน้าของเขากลับส่งยิ้มมาให้เธอแล้วค่อยๆเดินออกไปจากโซนเตียงพยาบาลของมารีที่เหงื่อแตกพลั่ก

    เดี๋ยวสิ ในใจของมารีร่ำร้อง กลับมาก๊อนนเทรย์!!

    "ชะ ใช่แล้วล่ะ" มารีพยายามรักษาน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติ "เอ่อ...ว่าแต่ทำหน้าแบบนั้นเนี่ยไปโกรธใครมาใช่ไหม?"

    เอซยกยิ้มที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้ยิ้มด้วยความสุข

    "ได้---งั้นฉัน จะ บอก เหตุ ผล ให้เองนะ" น้ำเสียงที่ดูขี้เล่นของเขาดังขึ้น มารีรู้สึกราวกับตัวเองนั้นตัวเล็กกระจิ๋วลิ๋วลงไปเมื่อเห็นเงาสีดำของอีกฝ่ายทาบทับเธอด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มอยู่เช่นนั้น

    มารียกยิ้มเกร็ง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นราวจำยอม

    หล่อนกล่าวคำสั่งเสียครั้งสุดท้าย

    "ขะ ขอความปราณีด้วยนะครับ"

    เอซยิ้มแย้ม ดิวซ์ก็ยิ้มกว้าง กริมม์มองตรงมาทางเธอด้วยใบหน้าโกรธๆ

    และแล้วการสวดของพวกเขาที่มอบให้เธอก็เริ่มขึ้น


    ***

    เขาวงกตกุหลาบ -​ เวลาฟ้าแจ่มใส


    "แหม่ ฉันนึกว่าจะหายไม่ทันซะแล้วนะเนี่ย" เสียงหัวเราะดังออกมาจากเด็กสาวที่สะพายกล้องเบาๆภายในชุดฮาร์ทสลาบิวท์(ที่ก่อนเข้างานเคเตอร์เป็นคนเสกให้ โดยเขากล่าวกับเธอว่า"เพราะมารีจังช่วยทางนี้ไว้เยอะ เลยอยากจะทำอะไรตอบแทนให้แน่ะ!")

    ภายในปาร์ตี้วันไม่ได้เกิดที่ถูกจัดขึ้นมา เสียงพูดคุยของเหล่านักเรียนฮาร์ทสลาบิวท์ดังไปทั่วงานเลี้ยงที่ครึกครื้นและมีชีวิตชีวาต่างจากครั้งไหนๆที่ริดเดิ้ล โรสฮาร์ทเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าหอฮาร์ทสลาบิวท์มาหนึ่งปีเต็ม และเนื่องจากบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายเช่นนั้นเธอจึงได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะถ่ายรูปภ่ายในวันนี้

    เพราะแบบนั้นแล้วเธอที่เกือบมาไม่ทันส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามัวแต่เตรียมตัว เช็คสภาพร่างกายของตนเองให้พร้อมแล้ววิ่งตรงมาที่หอฮาร์ทสลาบิวท์นั่นแล(ถึงขนาดกริมม์ยังบ่นเธอภายในเรื่องนั้นด้วย)​

    ในที่สุดยามเมื่อร่างของเด็กหนุ่มภายในชุดหัวหน้าหอฮาร์ทสลาบิวท์ปรากฏตัวขึ้นจากพรมแดง ดวงตาสีน้ำข้าวมองเห็นร่างที่เดินตามหลังริดเดิ้ลมาอีกสี่คน(เอซ ดิวซ์ เทรย์ เคเตอร์) ใบหน้าของเด็กหนุ่มเรือนผมสีแดงฉีกยิ้มด้วยความยินดีเมื่อมองไปยังความเป็นระเบียบเรียบร้อยต่างๆ

    เสียงตะโกนก้องดังขึ้นในจังหวะที่เอซและดิวซ์วิ่งเข้ามาหาเธอ

    " " " หัวหน้าของพวกเรา ผู้คุมกฎสีแดง หัวหน้าหอริดเดิ้ล  " " "

    " " " หัวหน้าหอริดเดิ้ล จงเจริญ! " " " 

    "Long live king เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะเนี่ย" เด็กสาวฉีกยิ้ม มองเอซและดิวซ์ที่ตะโกนเอ่ยคำพูดภายในงานเลี้ยงนี้เช่นกัน

    "ช่วยไม่ได้นี่น่า" เอซเอ่ย แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่รอยยิ้มก็ประดับอยู่บนใบหน้าของเขาขณะที่มองไปยังร่างของเด็กหนุ่มหัวหน้าหอฮาร์ทสลาบิวท์ที่กำลังตรวจตราความเรียบร้อยของงาน ท่าทางบทสนทนาของริดเดิ้ลและเทรย์จะดูอบอุ่นขึ้นเป็นกองพอสมควร

    มารีกอดอก มองสถานการณ์อยู่ห่างๆก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ

    กลับมาอบอุ่นเหมือนภายในตอนนั้นก็ดีแล้วล่ะนะ

    สายตาของเอซกวาดตามองไปรอบๆสวน

    "อ๋าาา สุดท้ายแล้วก็ต้องทำความสะอาดสวนและก็เตรียมงานอยู่นั่นแหละนะ" เสียงของเขาดังออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

    "น่าๆ หัวหน้าหอกลับมาแบบนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลยนะ" 

    ดิวซ์เอ่ยราวกับอยากจะปลอบใจ นาทีต่อมาเสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากปากของมารีที่ฉีกยิ้มกว้าง

    "ทั้งสองคนลำบากกันหน่อยนะ" เธอเอ่ย มือบรรจงตบบ่าลงไปที่บ่าของเอซและดิวซ์ราวกับอยากจะกวนประสาท "ในฐานะแขกเต็มตัวอย่างฉันและกริมม์จะขอยืนส่งกำลังใจให้เต็มที่เลยล่ะ"

    "ใช่แล้ว ตัวข้าผู้นี้จะขอยืนมองพวกเจ้าสองคนเก็บกวาดงานเองนะ!" เสียงหัวเราะดังออกมาจากปากของกริมม์

    เอซคิ้วกระตุก

    "หนอยแน่ เจ้าพวกนี้!"

    ดิวซ์เองก็คิ้วกระตุกไม่ต่างกัน

    "อย่าให้ถึงตาพวกผมบ้างล่ะกัน!"

    หนึ่งฝ่ามือและหนึ่งอุ้งเท้าแปะมือกัน เสียงหัวเราะของมารีประสานกับกริมม์ดังครืน 

    ร่างของเคเตอร์เดินเข้ามาภายในวงสนทนาของพวกเขาทั้งสี่คนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    "นี่ๆ มาถ่ายรูปกันหน่อยไหม?" เสียงของชายหนุ่มเรือนผมสีส้มดังขึ้นพร้อมกับทำท่าราวยกโทรศัพท์ขึ้นมา "สวนนี้น่าถ่ายรูปมากเลยล่ะนะ" 

    "อืม ถ้างั้นเดี๋ยวทานขนมเสร็จค่อยถ่ายได้ไหมครับ?" เด็กสาวเอ่ยขณะครุ่นคิด มองลอดสายตาไปยังเจ้าแมวเหมียวที่อยู่ไม่ห่างจากเธอ

    กริมม์ส่งเสียงร้อง

    "ข้าผู้นี้อยากรีบๆกินแล้วอ่ะ!" 

    เคเตอร์พยักหน้าด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเฉกเช่นเดิม

    "โอเค! ถ้าอย่างงั้นก็—" 

    "เดี๋ยวก่อน!" 

    เสียงเอ่ยขัดดังมาจากฝากของเด็กหนุ่มเรือนผมสีกุหลาบ ร่างของริดเดิ้ลรุดหน้าเข้ามาขัดขวางการรับประทานขนมของกริมม์ที่จ้องตาเป็นมันวาว ดวงตาสีเงินเข้มมองตรงไปยังพุ่มกุหลาบอันหนึ่งที่ยังคงมีดอกกุหลาบสีขาวอยู่ประปราย

    "กุหลาบสีขาวอันนั้น..." เสียงถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของริดเดิ้ล

    สีหน้าของเอซซีดลง

    "เอ๋ ลืมทาอันนึงเหรอเนี่ย!?"

     "หวาาา— เอซจัง ดิวซ์จัง" เสียงตกใจออกมาจากปากของเคเตอร์ที่หน้าเหวอ "ไหนบอกว่าทาเสร็จแล้วไง!"

    "ระริดเดิ้ล" เสียงเรียกจากเทรย์ที่อยู่ข้างริดเดิ้ลเอ่ย "นี่มัน..."

    เด็กสาวมองเงียบๆ ไม่นานนักก็เผยรอยยิ้มยามเมื่อได้เห็นสีหน้าคล้ายหลุดขำปรากฏออกมาจากใบหน้าของเด็กหนุ่มเรือนผมสีกุหลาบแดง

    "ว่าไปนั่น แค่ดอกไม้สองสามดอกไม่จำเป็นต้องลงโทษหรอกนะ"

    "จะ จริงเหรอ!?" เคเตอร์เอ่ยด้วยใบหน้าตกใจ "ริดเดิ้ลคุงละเว้นให้ด้วยล่ะ!" 

    "ฉันคิดว่าสีหน้าตะกี้ของรุ่นพี่เนี่ยทำได้เนียนดีนะ" มารีเอ่ยยิ้ม "ทำพวกเราแตกตื่นได้เกือบหมดเลยแน่ะ"

    "ผมไม่ลงโทษหรืออะไรแบบนั้นหรอก" ใบหน้าของเด็กหนุ่มคลี่ยิ้มชวนดูใสซื่อ "ก็ทุกคนทำงานกันได้ดีนี่น่า แบบนั้นเลยคิดว่าอยากจะให้ทุกคนมาช่วยทาสีด้วยกันน่ะ งานจะได้เป็นระเบียบเรียบร้อย"

    "นายอยากทาสีสินะ!?" เสียงของเอซดังขึ้น

    เธอมองไปยังฝั่งของชายหนุ่มเรือนผมสีเขียวแมกไม้ที่เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

    "น่าๆ จริงๆแล้ว..." เสียงของเทรย์ดังขึ้น เธอมองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ดูกับมีความสุข "นายเปลี่ยนไปเยอะเลยนะริดเดิ้ล"

    "เอาล่ะ ช่างเรื่องขนมไปก่อนล่ะกัน!" กริมม์เอ่ย "ข้าพร้อมทาสีกุหลาบพวกนี้ภายในงานปาร์ตี้แล้วล่ะ!"

    รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม

    "ถ้างั้นทุกคนพร้อมแล้วนะ?"

    เด็กสาวพยักหน้า

    "เอาเลย มาเริ่มกันเถอะ" มารีเอ่ย เธอมองไปยังสีหน้าของเขาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขขณะที่ดวงตาสีน้ำข้าวสบสายตากับดวงตาสีเงินนั่น "รุ่นพี่โรสฮาร์ทเองก็มาพยายามด้วยกันนะ!"

    มือของเด็กหนุ่มกวัดแกว่งคฑาอย่างคล่องแคล่อง

    และแล้วเขาก็เอ่ย

    "แน่นอนอยู่แล้วล่ะ" สายตาที่จ้องไปยังต้นกุหลาบดูเปล่งประกาย ใบหน้าของเด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม "ก็นี่น่ะคือสิ่งที่ผมอยากจะทำไปด้วยกันกับทุกๆคนนี่น่า"

     


    เขาวงกตกุหลาบ -​ เวลาฟ้ายามสดใส


    "กินขนม กินขนม!" เสียงเริงร่าดังมาจากปากกริมม์ที่ทำสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขอยู่

    หลังจากที่พวกเธอทั้งหมดได้ทำการทาสีกุหลาบที่เผลอพลาดไป ในที่สุดงานเลี้ยงของจริงก็เริ่มขึ้นเมื่อริดเดิ้ลเอ่ยประดาศเปิดงานเลี้ยงเป็นสัญญาณให้ทุกคนเริ่มช่วงเวลาแสนสนุกสนานนี้

    "แล้วทาร์ตที่เอามาขอโทษตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?" เสียงดังออกมาจากปากของเอซ

    "อะ เอามาแล้วล่ะน่า!" ริดเดิ้ลเอ่ยพลางกระแอม มือผายไปยังทาร์ตสตอว์เบอร์รี่ที่ดูน่าทานในระดับหนึ่งอันถูกวางไว้บนโต๊ะสีขาว "ผมทำทาร์ตสตอว์เบอร์รี่มาให้แล้วล่ะ" 

    มือของเทรย์หยิบชิ้นทาร์ตสตอว์เบอร์รี่ที่ถูกหั่นเรียบร้อยใส่จานแล้วกล่าวพิจารณา

    "อืม....รูปร่างน่าตาต้องใส่ใจรายละเอียดกว่านี้นะ" เขากล่าววิจารณ์ มือนั้นลูบคางเบาๆ "แต่สตอว์เบอร์รี่ข้างบนที่ถูกเคลือบเอาไว้ถือว่าเปล่งประกายมากเลยล่ะ ทำครั้งแรกออกมาได้ดีเลยนะ"

    "ครับ ตามนั่นนั้นแหละนะ" เอซกล่าว หั่นทาร์ตสตอว์เบอร์รี่ใส่จานพร้อมถือส้อมจะนำเข้าปาก 
    "ตอนนี้ขอชิมก่อนล่ะ—"

    "อ่ะ ฉันขอถ่ายรูปเจ้าทาร์ตหายากนี่ก่อนนะ—" เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมแฟลชสีขาวสว่างวาบ เคเตอร์ขยิบตา "โอเค! "

    "รุ่นพี่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆนะครับ" กล่าวขณะที่ใช้ส้อมหั่นทาร์ตจิ้มเข้าไปภายในปาก "งั่ม! " 

    มารีมองทุกๆคนที่จัดแจงนำทาร์ตสตอว์เบอร์รี่เข้าปากไป ก่อนที่เด็กสาวจะจัดการหยิบชิ้นทาร์ตขึ้นมาแล้วใช้ส้อมหั่นจิ้มตามเข้าไปภายในปากบ้าง

    งั่ม

    รสสัมผัสทำให้เด็กสาวงุนงง

    "หื้ม...?" เสียงของดิวซ์ดังขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง

     " " นี่มัน... " " แม้กระทั่งเทรย์และเคเตอร์ก็ยังเอ่ยออกมาพร้อมๆกัน

    และแล้วเสียงของทุกๆคนก็ประสานดัง

     " " " เค็มสุดๆเลย!? " " " 

    หงอนของริดเดิ้ลเด้งออกมาพร้อมใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ฉายแววตกใจ

    "เอ๋!!?" 

    "อะไรเนี่ย ยังกับทานน้ำทะเลลงไปเลย!" เอซเอ่ยออกมาขณะที่ควานหาน้ำเปล่า "นี่ใส่อะไรลงไปเนี่ย!?"

    "ผมเองก็ทำตามขั้นตอนกฎที่อยู่ภายในหนังสือนั่นแล้วนะ!" เสียงของริดเดิ้ลเอ่ยแก้ตัว ก่อนที่ไม่นานนักเด็กหนุ่มจะทำท่าราวกับนึกเรื่องบางอย่างที่สำคัญออก "หรือว่า...เพราะผมใส่ซอสหอยนางรมไปกันนะ?"

    "แค่กๆ" เสียงของเอซไอกระแอม ใบหน้านั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ "นี่นายเชื่อที่รุ่นพี่โคลเวอร์พูดจริงดิ!?"

    เธอเบนสายตาไปมองชายหนุ่มเรือนผมสีเขียวเข้มที่พยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์

    ไม่แปลกใจเท่าไหร่แฮะ มารีคิด พูดด้วยสีหน้าน่าเชื่อถือแบบนั้นก็ต้องมีคนหลงกลไปบ้างแหละ

    "เทรย์เคยบอกว่าถึงจะไม่อยู่ในสูตรแต่ถ้าใส่ลงไปจะเพิ่มความอร่อยขึ้น" ริดเดิ้ลเอ่ยอธิบาย ท่าทางคงโดนหลอกเข้าเต็มเปา "ซอสหอยนางรมเป็นวัตถุดิบลับ..."

    "ไม่มีทางอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!?" เสียงร้องของเอซยังคงดังขึ้นต่อไป ท่าทางคงเข็ดกับทาร์ตสตอว์เบอร์รี่แสนอร่อยของริดเดิ้ลเข้าอย่างแรง "นายช่วยคิดสักหน่อยสิว่ามันเป็นหลุมพรางน่ะ!"

    "ขนาดคนแบบนายยังเคยเชื่อเลยนะเอซ" เสียงของมารีเอ่ยขึ้นขณะกระดกน้ำเปล่าลงไป "รุ่นพี่โรสฮาร์ทเขาเชื่อคงไม่ใช่เรื่องแปลก"

    เคเตอร์มองทาร์ตสตอว์เบอร์รี่ที่มีรสเค็มอยู่ภายในจาน

    "แต่นี่มันยิ่งกว่าวัตถุดิบลับแล้วนิ ริดเดิ้ลจังใส่ไปแค่ไหนกันนะ?"

    ริดเดิ้ลพยายามกระแอมอีกครั้งแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยให้น้ำเสียงตะกุกตะกักของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย

    "กะ ก็มันไม่รู้ว่าต้องใส่ลงไปเท่าไหร่นี่น่าใช่ไหม?" กล่าวด้วยใบหน้าที่เหมือนจะกลายเป็นสีแดงเพราะอายเล็กน้อย "ผมก็เลยไม่ได้กะน่ะ..."

    เสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นยามเมื่อเทรย์กลั้นขำไม่ไหวอีกต่อไป

    "ฮ่ะ ฮ่าๆๆๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนหลงกลใส่ลงไปจริงๆด้วย!" เสียงหัวเราะดังขึ้นขณะที่เทรย์ถอดหมวกออก ใบหน้านั้นแสดงถึงความขบขันออกมาอย่างเห็นได้ชัด "กะ กลั้นขำไม่ไหวแล้ว—! ฮ่าๆๆ!"

    ครานี้เสียงหลุดขำดังออกมาจากริมฝีปากของริดเดิ้ล ที่ราวกับจะขบขันจนตัวงอลงไป 

    "ฮ่าๆๆ นั่นสินะ ผมนี่มันบ้าจริงๆเลย!" เสียงของริดเดิ้ลร้องเอ่ยขณะที่หัวเราะออกไปด้วย "ฮ่ะ—ฮ่าๆๆ!" 

    เสียงหัวเราะลั่นออกมาจากปากของเด็กสาว มารีฉีกยิ้มขำขณะพยายามกลั้นไม่ให้ตนแสดงสีหน้าออกมา

    "อุ๊บ ฮะๆ" เด็กสาวเปล่งเสียงหัวเราะออกมา "ให้ตายสิ พวกคุณนี่ก็นะ!"

    "ฮะๆๆ ได้หัวเราะออกมาแบบนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอกนะ" เสียงหัวเราะดังออกมาจากปากของดิวซ์ที่เผยสีหน้าขบขันออก

    "จะว่าไปนั่นมันก็ตลกจริงๆนั่นแหละ ฮ่าๆๆ!" เอซปาดน้ำตาที่หางตาของตนเองก่อนเปล่งเสียงหัวเราะลั่น

    "แต่คิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ!" กริมม์เอ่ย

    "โอ๊ะ เข้าใจอยู่นะ" เสียงของเคเตอร์ดังขึ้นมา "ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดเลยใช่ไหมล่ะ?"

    "รุ่นพี่ไดมอนด์ก็แย่เหมือนกริมม์เลยไม่ใช่เหรอครับ!" ดิวซ์ร้องเอ่ยภายในงานเลี้ยงที่แสนสนุกสนานแห่งนี้

    เคเตอร์รีบกล่าวปฏิเสธ

    "ไม่ๆ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นหรอกนะ"

    แขนทั้งสองข้างของรุ่นพี่ปีสามฮาร์ทสลาบิวท์กอดอก เสียงของเทรย์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มมีเล่ห์นัยน์

    "เพราะทาร์ตอันนี้ไม่ได้หวานใช่ไหมล่ะ?"

    "เอ๋?" เสียงลอดออกมาจากริมฝีปากของเคเตอร์

    เทรย์ยังคงเอ่ยต่อ

    "นายเกลียดของหวานสินะ" 

    มารีมองสีหน้าของเคเตอร์ที่ปิดไม่อยู่ ภาพภายในตอนที่เข้าครัวด้วยกันย้อนกลับเข้ามาภายในหัวจนทำให้เด็กสาวพอเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มเรือนผมสีเขียวเข้มจะสื่อถึงได้ไม่ยากนัก

    มารีร้องอ๋อ
     
    "อ๋อ เพราะแบบนั้นรุ่นพี่ไดมอนด์ถึงขอให้เทรย์เขาใช้ยูนีคมาโฮเปลี่ยนรสในทาร์ตมองบลังค์สินะ?"

    "เอ๋...เอ่อ ทั้งสองคนไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย? แล้วนี่เทรย์คุงรู้ได้ยังไงกันน่ะ?" เสียงดังออกมาจากปากของเคเตอร์ ใบหน้าดูแปลกประหลาดเมื่อพบว่าชายหนุ่มรู้ในสิ่งที่ตนปกปิดมาตลอด หรือแม้แต่จะสะกิดใจเรื่องที่เด็กสาวเอ่ยเรียกชื่อของรุ่นพี่หนุ่มธรรมดา "เรื่องเกลียดของหวานฉันไม่เคยบอกให้ใครฟังเลยนะ?" 

    "ตามที่มารีว่านั่นแหละ" เทรย์เอ่ย ใบหน้ายังคงขยับยิ้ม "เมื่อไหร่ที่กินเค้กนายก็ขอให้ฉันช่วยเปลี่ยนรสให้ตลอดเลย ถึงจะไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าแต่ฉันก็รู้สึกได้ว่านายไม่ชอบของหวานสักเท่าไหร่ ส่วนเรื่องมารี..."

    "เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นไวมากๆเลยมั้ง?" เด็กสาวเอ่ย ใบหน้าประดับยิ้ม  "เอาเป็นว่าสนิทกันได้เพราะเรื่องบางอย่างน่ะ"

    "หวา นี่เทรย์คุงกับมารีจังมีความลับกับฉันเหรอเนี่ย แถมความลับที่ฉันอุตส่าห์เก็บไว้ยังแตกอีก" เธอมองสีหน้าของเคเตอร์ที่ดูจะไม่ค่อยจริงจังกับคำพูดเสียเท่าไหร่นัก แต่ทว่าใบหน้าก็ยังดูเหน็ดเหนื่อยอยู่ดี "เทรย์คุงเนี่ยพูดเหมือนริดเดิ้ลจังเลย แต่ว่าเรื่องสังเกตนะแต่ไม่พูดอะไร แบบนี้น่ะมันไม่ดีเลยนะ"

    "เดี๋ยวปาร์ตี้วันไม่มีใครเกิดรอบหน้าจะทำ**คีชให้กินเองนะ" เอ่ยพลางมือดันแว่นขึ้นมา

    "ถ้างั้นขอบใจนะ ทำเค้กไว้ให้ถ่ายรูปก็พอแล้วล่ะ"

    มือคู่หนึ่งใช้ส้อมจิ้มลงไปที่ขนมภายในจานใบสีขาว ดวงตาสีน้ำข้าวสบสายตากับดวงตาสีเหลืองอำพันประกายของชายหนุ่มผู้มาจากต่างโรงเรียนภายในชุดที่ยังคงดูไม่เป็นระเบียบเฉกเช่นเดิม

    "อ้าวคุณเชเนียน" มารีเป็นฝ่ายเอ่ยทักชายหนุ่มหูแมวที่ฉีกยิ้มคนแรก "มาเยี่ยมที่นี่อีกแล้วเหรอครับ?"

    "แน่นอนเนี๊ยน ฉันมาที่นี่เพื่อมางานปาร์ตี้น่ะน้า" เสียงฮัมเพลงดังขึ้นขณะที่ชายหนุ่มหูแมวนำขนมเข้าปากด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อย "กะแล้วเชียวว่าขนมของเทรย์ดูน่ากินทุกอันเลยเนี๊ยน ง่ำๆ!" 

    ริดเดิ้ลสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่ามีคนที่ไม่สมควรจะอยู่ที่นี่ปรากฏกายขึ้นมา

    "เชเนียน นี่นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ!?" 

    "หืม? ก็มางานปาร์ตี้วันไม่มีใครเกิดยังไงล่ะ" เสียงของเชเนียนดังขึ้นขณะที่มือยังไม่ละจากส้อม "ยินดีด้วยนะริดเดิ้ล แล้วก็ยินดีด้วยนะมารี"

    "ครับ?" ยินดีนี่ยินดีอะไรกันน่ะ?

    "ปาร์ตี้วันที่ไม่มีใครเกิดเป็นงานเฉพาะของหอฮาร์ทสลาบิวท์นะ" สีหน้าของริดเดิ้ลฉายแววจริงจัง "เธอไม่ได้เกี่ยวข้องเลยไม่ใช่หรือ?"
     
    "พวกนั้นก็ด้วยไม่ใช่เหรอ?" กล่าวพลางชี้ไปทางมารีและกริมม์

    เด็กสาวทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ กินขนมอย่างสบายใจเฉิบ

    "อ๊ะ นั่นนายที่ชอบพูดอะไรลงท้ายด้วยเนี๊ยนๆแล้วมาจากฝั่งของรอยัลซอร์ดอะคาเดมี่นี่น่า!" เสียงของกริมม์ดังขึ้น "วันนี้ก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่ไนท์เรเวนคอลเลจอีกแล้วเหรอ?"

    "อนุญาต?" คราวนี้เป็นเสียงของเทรย์ที่ดังขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนที่ชายหนุ่มจะส่ายหน้าเชิงปฏิเสธแล้วเอ่ยอธิบาย "ไม่ใช่หรอก แต่เชเนียนน่ะลักลอบเข้ามาต่างหากล่ะ...โดยปกติแล้วรอยัลซอร์ดที่เป็นคู่แข่งกับไนท์เรเวนคอลเลจไม่มีทางได้รับอนุญาตให้เข้ามาง่ายๆแบบนี้ถ้าไม่มีงานใหญ่จริงๆจัดร่วมกันหรอกนะ"

    มารีอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ใบหน้าของเด็กสาวหันไปมองเชเนียน

    "อะ เอ๋ เดี๋ยวสิ—ถ้าอย่างงั้นคุณเชเนียนก็ลักลอบเข้ามาตั้งแต่รอบก่อนแล้วเหรอ!?" 

    เสียงหัวเราะจากแมวหนุ่มดังขึ้น

    "ใช่แล้วเนี๊ยน ถ้าตอนนั้นบอกไปต้องโดนเล่นพอดีน่ะสิ" เสียงของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง ร่างของเชเนียนเข้าประชิดกับเธอก่อนทีจะตบบริเวณหน้าท้องของเด็กสาวเบาๆ ก่อนที่มารีจะสังเกตเห็นว่ามันเป็นเศษกระดาษที่มีข้อความข้อความหนึ่งถูกเขียนเอาไว้อยู่ในนั้น "แต่เหมือนว่าฉันคงจะต้องรีบไปก่อนแล้วล่ะ น่าเสียดายจังเลยเนี๊ยน"

    ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จ้องมองมา มีร่างของสมาชิกหอฮาร์ทสลาบิวท์ตะโกนขึ้น

    "หมอนั่นมาจากรอยัลซอร์ดอะคาเดมี่!"

    "อะไรนะ มีคนจากรอยัลซอร์ดอะคาเดมี่ลักลอบเข้ามาเหรอ!?"

    เสียงฮัมเพลงดังออกมาจากปากของเชเนียน ร่างของชายหนุ่มเรือนผมสีม่วงกระโดดถอยออกมาจากร่างของเด็กสาวที่กำลังตกใจกับการเข้าประชิดตัว แล้วหนีไปโดยเร็วพลัน

    เด็กสาวฉวยจังหวะนี้เปิดอ่านเศษกระดาษของเชเนียนก่อนจะทำเก็บใส่เอาไว้ภายในกระเป๋าเสื้อตามเดิม

    เสียงตะโกนราวกับงานเทศกาลไล่จับหรรษายังดำเนินต่อไป

    "จะหนีไปแล้ว รีบตามไปเร็วเข้า!!"

    "หมอนั่นมันไปทางนี้ ตามไปเร็ว!!"

    "ไล่ล่ากันอย่างกับจะฆาตกรรมกันเลย" เสียงของกริมม์ดังขึ้น

    "นักเรียนไนท์เรเวนคอลเลจทุกคนเป็นศัตรูกับรอยัลซอร์ดอะคาเดมี่น่ะ" เทรย์เอ่ยอธิบาย "หลังจากที่แพ้ไปเมื่อร้อยปีก่อนคงโทษกันไม่ได้หรอก" 

    "ไม่อยากจะนึกเลยว่าตอนแข่งจะเดือดกันขนาดไหนน่ะ" เด็กสาวเอ่ย ดวงตากวาดสายตามองไปรอบๆก่อนที่จะยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาราวกับพึ่งจะรู้สึกตัว "ถึงจะรู้สึกผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย แต่มาถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกหน่อยไหม?"

    "ถ่ายรูปเหรอ? เอาสิๆ—ถึงกล้องจะดูประหลาดไปหน่อยก็เถอะ!" เสียงร่าเริงดังออกมาจากปากของรุ่นพี่เคเตอร์ท่ามกลางฉากหลังที่วุ่นวาย 

    "เรื่องถ่ายรูปฉันไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ เอาสิ" เทรย์เป็นฝ่ายเอ่ยขณะที่เด็กสาวเริ่มตั้งกล้องเตรียมกดถ่าย ร่างของชายหนุ่มอยู่ที่ฝั่งขวาบนตรงกันข้ามกับเคเตอร์

    "ถึงจะรู้สึกแปลกๆก็เถอะที่มาถ่ายรูปแบบนี้ แต่คงจะไม่เป็นไรหรอก" ริดเดิ้ลเอ่ยขณะที่ร่างร่างมาอยู่ตรงกลางระหว่างเทรย์และเคเตอร์

    "งั้นเดี๋ยวฉันอยู่ฝั่งของรุ่นพี่โคลเวอร์แล้วกันนะ ต้องย่อตัวด้วยใช่ไหม?" เอซเอ่ยออกมาขณะที่มารีฉีกยิ้มให้แล้วพยักหน้า 

    ดิวซ์เดินไปอยู่ที่ตำแหน่งฝั่งของชายหนุ่มเรือนผมสีส้ม เขาย่อเข่าลงไปอยู่ในระดับเดียวกันกับเอซ

    "แบบนี้ใช่ไหม?" เด็กหนุ่มเรือนผมสีเข้มเอ่ยถาม มารีพยักหน้ารับ

    "ถ้างั้นข้าขออยู่ตรงกลางแล้วกันนะ!" กริมม์เอ่ยขณะที่ย้ายมาอยู่ตรงกลางระหว่างเอซและดิวซ์ ใบหน้านั้นฉีกยิ้มกว้างราวกับเตรียมเต็มที่

    มารีเอ่ยขณะฉีกยิ้ม

    "พอได้กินจนอิ่มก็ร่าเริงขึ้นมาเลยเชียวนะนายเนี่ย" เด็กสาวเอ่ยขณะที่เริ่มขยับโฟกัสภาพ มือกดลงไปบนปุ่มก่อนจะเริ่มกดชัตเตอร์

    แสงสว่างจ้าจากแฟลชปรากฏออกมาสองครั้ง ร่างของแต่ละคนเดินมาหยุดอยู่ชมภาพที่มารีได้ถ่ายออกมา ไม่นานนักมารีก็ตัดสินใจยื่นภาพอีกใบหนึ่งที่ถูกถ่ายสองรอบออกมาให้แก่ริดเดิ้ล

    น้ำเสียงที่ดูแปลกใจปรากฏออกมาจากร่างของเขาผู้ได้รับรูปภาพ

    "เดี๋ยวสิ นี่มัน..."

    เด็กหนุ่มเรือนผมสีกุหลาบฉายแววประหลาดใจ เพียงแค่มารีกลับฉีกยิ้มก่อนจะตัดสินใจเก็บภาพอีกภาพเอาไว้กับตนเอง ไม่นานนักเด็กสาวก็เอ่ยยามเมื่อริดเดิ้ลกำลังจ้องมองภาพของตนเองด้วยสีหน้าบางอย่าง

    "สวยดีใช่ไหมล่ะ ผมว่ารุ่นพี่โรสฮาร์ทน่ะเก็บมันเอาไว้เถอะ" เด็กสาวเอื้อนเอ่ยขณะที่ใบหน้าของริดเดิ้ลหันมามองเธอ "สีหน้าของทุกคนภายในรูปภาพนี้น่ะมีชีวิตชีวาน่าดูออก เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำคงจะดูดีไม่น้อยเลยล่ะ"

    รอยยิ้มปรากฏออกมาบนริมฝีปากของเด็กหนุ่ม

    "อื้ม นั่นสินะ" ริดเดิ้ล โรสฮาร์ทคลี่ยิ้ม "เธอพูดถูกมารี บางทีการเก็บเจ้านี่เอาไว้กับตัวคงจะเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยเลยล่ะ"

    ภาพที่เปี่ยมไปด้วยความทรงจำที่สนุกสนานภายในช่วงระยะเวลาหนึ่งของชีวิตที่ได้เติบโตขึ้น

    ต่อให้จะเป็นเพียงแค่ภาพถ่ายธรรมดาๆสักใบ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ได้มองไปก็คงจะทำให้นึกถึงความทรงจำในครานั้นออก

    ริดเดิ้ลเอ่ย สายตาทอดมองลงไปภายในรูปภาพ

    "ขอบคุณมากนะ"

    มารีคลี่ยิ้ม

    "ไม่เป็นไรหรอก" มือของเด็กสาวนั้นถือรูปภาพอีกใบเอาไว้ "นี่น่ะเป็นหลักฐานที่รุ่นพี่ได้ตัดสินใจเคารพกฎชีวิตของตัวเองนี่น่า"

    หลักฐานของเธอผู้ได้เติบโตขึ้นมาผลิบานอย่างสง่างาม

    อาจจะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่นี่ก็เป็นหลักฐานของการก้าวเดิน

    "แบบนี้ไม่แฟร์เลย ให้แต่รุ่นพี่ริดเดิ้ลนี่น่า" เสียงของเอซดังขึ้น "ฉันเองก็อยากได้รูปนั่นเอาไปอวดพี่ชายเหมือนกันนะ!"

    "ผมด้วย ผมเองก็อยากเอาไปให้คุณแม่ที่อยู่ที่บ้านดูด้วยเหมือนกัน" สีหน้าของดิวซ์เปล่งประกาย

    "ฉันเองก็ด้วย แต่คราวนี้ขอให้ฉันเป็นคนถ่ายได้ไหม? พอดีอยากเอาไปลงมาจิคาเมะน่ะ" เคเตอร์เอ่ยพลางยกหยิบกล้องมือถือขึ้นมา มืออีกข้างที่ว่างอยู่ดันร่างของมารีให้เข้าไปภายในกล้อง 

    "เดี๋ยวสิ!?" เด็กสาวร้องเสียงหลงยามเมื่อถูกดันไปอยู่ในจุดที่เคเตอร์เคยอยู่บนรูปเอาไว้

    เทรย์ฉีกยิ้ม

    "ไม่เห็นเป็นอะไรเลย มาถ่ายด้วยกันเถอะมารี" ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเช่นนั้น

    "มาถ่ายภาพด้วยกันเถอะ" เสียงของริดเดิ้ลเอ่ยขณะยิ้มแย้ม "ถ้าไม่มีเธออยู่ก็ไม่ครบคนน่ะสิ?"

    เด็กสาวฉีกยิ้ม

    "ถ้างั้นตอนถ่ายออกมาแล้วหน้าของผมดูตลกอย่าขำกันนะ?"

    "ฉันไม่สัญญานะ" เอซเอ่ย

    "ผมด้วย" ดิวซ์เอ่ย 

    "ถ้าหน้าเจ้าดูตลกเดี๋ยวข้าขำเอง!" เสียงของกริมม์ดังขึ้น

    มารีเบ้ปาก อยากจะกรอกตามองบนใส่เหล่าเพื่อนๆของเธอเสียจริง

    "เอาล่ะ พร้อมกันแล้วน้า?" เสียงของเคเตอร์เอ่ย ใบหน้านั้นฉีกยิ้มขณะที่มือเริ่มกดถ่ายภาพ "ถ้าเกิดฉันนับหนึ่งถึงสามให้ฉีกยิ้มกว้างๆออกมากันเลยนะ!"

    พวกเธอทั้งหมดรีบการท่าทางของแต่ละคนยามเมื่อเสียงให้สัญญาณของเคเตอร์ดังขึ้น

    "หนึ่ง..."

    เด็กสาวพยายามที่จะฉีกยิ้มสุดความสามารถ

    "สอง..."

    เอซมองขึ้นไปมองที่หน้าของเธอที่พยายามฉีกยิ้มยืนตรงราวกับคนสมัครงาน ร่างของเด็กหนุ่มเลิกย่อเข่าก่อนที่เสี้ยววินาทีก่อนเปลี่ยนมานำแขนพาดบ่าของเด็กสาวที่มารีหน้าเหวอ ขณะที่ร่างของกริมม์พุ่งไปเกาะที่ไหล่ของเด็กสาวอีกทอดหนึ่ง

    ริดเดิ้ล เทรย์ ดิวซ์หันมองด้วยสีหน้าที่ตกใจร่างพบว่าร่างของมารีกำลังจะเซล้มลงไป

    เคเตอร์ฉีกยิ้มขำขณะนับสัญญาณครั้งสุดท้าย

    "สาม...!"




    แช๊ะ


    ***



    ภายในที่สุดเรื่องราวความวุ่นวายก็ได้จบลงไปเสียที

    เด็กสาวก้าวไปตามตึกอาคารเรียน มือนั้นถือของและกล่องจนพะรุงพะรังที่บรรจุตำราประวัติศาสตร์เวทมนตร์เพื่อนำไปส่งให้กับอาจารย์เทรนที่ห้องสาม-ซี (ส่วนสามสหายของเธอ เธอไล่ให้พวกเขาไปจองที่นั่งภายในโรงอาหารแล้ว) เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบสุขขึ้นอีกครั้งสีหน้าของเด็กสาวก็ผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

    สีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของริดเดิ้ลทำให้ในใจของมารีพองฟูขึ้นขึ้นมา ขณะที่เธอนั้นกำลังจะถึงห้องเรียนที่อาจารย์เทรนจำเป็นต้องเข้าสอนภายในคาบบ่ายนี้ จู่ๆร่างของเด็กสาวก็กระแทกเข้ากับใครสักคนจนกล่องหนังสือเรียนนั้นหล่นกระจัดกระจาย---ร่างของเธอหล่นลงไปกับพื้นด้วยความที่ไม่ทันได้ตั้งตัว 

    เสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น มือข้างหนึ่งถูกยื่นส่งมาให้

    "เป็นอะไรรึเปล่า?"

    เด็กสาวเก็บของที่กวาดกระจัดกระจายอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งที่ว่างอยู่มือมาจับมือนุ่มสวยของผู้ชายคนนั้น ศีรษะส่ายไปมาขณะที่ดวงตาสีน้ำข้าวสบสายตากับดวงตาสีม่วงอ่อน

    "ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอบคุณมากนะ"

    "...–"

    "???"

    สิ้นเสียงคำขอบคุณบรรยากาศทุกอย่างก็เงียบสงัด มารีมองไปยังร่างของชายหนุ่มที่เบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ เธอไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขาที่กรอกตามองใบหน้ารวมถึงมือของเธอที่เขาจับค้างเอาไว้อยู่เช่นนั้น

    เสียงของเขาหลุดลอดแผ่วออกมา

    "เป็นไปได้ยังไงกัน...?"

    "เอ๋?" เด็กสาวร้องงุนงง 

    "เจ้ามันฝรั่งที่งดงามนี่มันอะไรกัน?" มะ มันฝรั่งเหรอ!? เด็กสาวอ้าปากค้างเมื่อเห็นกิริยาของคนตรงหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มือที่จับเธอจู่ๆก็รวดเข้ามาจับแขนใต้ร่มผ้า "ทั้งที่มีรูปร่างที่ดีแม้จะผอมไปหน่อย ใบหน้าเองก็งดงาม ไหนจะเฉดสีผมกับสีตาเกิดมาก็ไม่เคยเห็นในตัวเจ้ามันฝรั่งที่ไหนมาก่อน นี่มันราวกับปะติมากรรมมีชีวิตไม่ใช่เลยหรือ?"

    ปะติมากรรมนี่มีชีวิต? ก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่าตกใจ เสียงในใจของเด็กสาวดังลั่นก้องภายในหัวของตนเอง แต่สายตาวิเคราะห์นี่มันอะไรกันนะ??

    "แต่ทำไมกัน เจ้ามือแห้งสากนี่มันอะไร–" เสียงร้องด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มเรือนผมสีบลอนด์ปลายม่วง "หน้าเองก็แห้ง ผมก็แห้ง...เล็บก็ไม่ได้ทา ริมฝีปากที่แห้งแบบนี้นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองเลยห๊ะ!?"

    "ขะ ขอโทษครับ...?" ใบหน้าของเธอเลิกคิ้ว

    สีหน้าจริงจังของชายหนุ่มที่ปรากฏขึ้นยิ่งทำให้เธอนั้นไม่กล้าขัดขืน

    "ไม่ต้อง ความงามแบบนี้ฉันปล่อยให้เธอละเลยมันไม่ได้เด็ดขาด!" เธอมองท่าทางของชายหนุ่มที่นำนิ้วชี้อยู่ที่บริเวณริมฝีปากของตนก่อนจะเปลี่ยนหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยัดใส่มือของเธอ "เอานี่ นี่ และนี่ไปใช้ซะ สองวันต่อมาเอาสภาพของเธอกลับมาให้ฉันดูด้วย!" 

    เด็กสาวมองผลิตภัณฑ์เสริมความงามและความชุ่มชื้นอันประกอบไปด้วยครีมทามือ ครีมทาหน้า แชมพูสระผมและครีมนวดผม

    มารีมองใบหน้าจริงจังของคนตรงหน้าแล้วได้แต่แอบกลืนน้ำลาย

    "ดะ เดี๋ยวสิครับ" เธอรู้ดีแล้วว่าคงไม่มีทางหนีจากอีกฝ่ายไปได้แน่หากไม่ทำตาม "จะให้ไปเจอกันที่ไหนล่ะ แล้วคุณเองก็ยังไม่ได้บอกชื่อให้ผมด้วย"

    "ชื่อของฉันคือวิล เชนไฮน์ หัวหน้าหอของพอมฟิโอเร่ปีสาม" เธอพยักหน้าหงึกๆ มองใบหน้าของเขาที่ราวกับอยากจะบอกเธอว่า นี่ไม่รู้จักฉันจริงดิ? "แล้วชื่อของเธอล่ะเจ้ามันฝรั่ง?"

    "มารี เอเกอร์ครับ" เธอเอ่ยตอบเขา

    ใบหน้านั้นเหยียดยิ้มร้ายออกมาจนชั่วแวบหนึ่งเด็กสาวแอบขนลุกเกรียว นิ้วชี้ของเขาถูกนำไปอยู่ที่บริเวณใกล้ริมฝีปากขึ้นอีกครั้งขณะที่ดวงตาสีม่งงหล่อนหรี่ตาพราวระยับ

    "ดี ถ้างั้นมารี เอเกอร์ วันมะรืนนี้ไปพบฉันที่หอพอมฟิโอเร่ด้วยล่ะ" น้ำเสียงของเขาทำให้มารีรู้สึกเหมือนโดนบังคับกลายๆ "ไว้ฉันจะรอดูความงดงามของเธอในวันนั้นแล้วกันนะ"

    มารีมองค้าง ร่างสูงเพรียวในสภาพสวมใส่ส้นสูงหันหลังเดินจากไปทิ้งไว้เพียงเด็กสาวที่มองผลิตภัณฑ์เสริมความวงามด้วยความงุนงง สุดท้ายแล้วเมื่อคิดว่าเมื่อไม่มีทางเลือกจึงถอนหายใจแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

    "เอาเถอะ" หล่อนพึมพำกับตนเองเช่นนั้น ดวงตาสีน้ำข้าวมองของที่ชายหนุ่มอุตส่าห์นำยัดใส่มือของเธอ "ใช้ตามที่บอกแล้วไปเจอคงไม่เสียหายอะไรหรอก"

    แล้วเด็กสาวก็ตัดสินใจหันหลังแล้วเลี้ยวเข้าไปยังห้องสาม-ซีตามคำไว้วานของอาจารย์เทรน


    { ราวกับว่านี่คงจะเป็นโชคชะตาที่ทำให้เธอพบเจอก็มิปานนัก }


    เสียงฝีเท้าของใครบางคนวิ่งผ่านห้องสาม-ซีไปอย่างรวดเร็วยามเมื่อร่างของมารีเข้าไปข้างในห้อง เรือนผมสีฟ้าที่วูบไหวคล้ายจะเป็นเปลวเพลิงสีท้องนภาเข้มสอดส่องกวาดสายตาลุกลิกไปมาด้วยท่าทางที่มืดหม่น

    "อยู่ที่ไหนกันนะ...มังงะมาริริน่าจัง" เสียงของชายหนุ่มในชุดแจ็คเก็ตสีฟ้าพึมพำด้วยความเป็นกังวล "อ่า...โถ่เว้ย ฉบับลิมิเตดแล้วแท้ๆ...จะหายไม่ได้เด็ดขาด–"


    { และคงจะเป็นอนาคตต่อจากนี้ที่เด็กสาวจะไม่มีทางรู้ว่าเธอต้องเผชิญกับมัน– }


    มือของชายหนุ่มผู้สวมถุงมือสีดำนำหนังสือรวมฉบับข้อสอบเก่าออกมาจากชั้นวางภายในช่วงที่อากาศฟ้าแจ่มใสในไนท์เรเวนคอลเลจ ดวงตาสีงดงามราวกับมิใช่มนุษย์ฉายแววเปรมปรีด์เมื่อนี่คือหนังสือเล่มสุดท้ายที่เขาต้องการ

    "ฟุฟุฟุ ในที่สุดก็เจอแล้ว" เสียงหัวเราะดังขึ้นมา ใบหน้านั้นเหยียดยิ้ม "ด้วยการที่เลโอน่าซังทำสัญญากับผม หรือจะเป็นเจ้าสิ่งนี้...ทั้งหมดจะต้องพาผมไปสู่จุดสูงสุดได้แน่"

    เสียงหัวเราะดังขึ้นภายในลำคอของอมนุษย์ผู้มาจากใต้ท้องทะเลอันหนาวเหน็บ ในบ่ายหอสมุดที่แสนเงียบสงบ
     
    ด้วยสิ่งเหล่านี้ ตัวตนภายในวัยเด็กที่น่าชิงชังของเขาจะต้องถูกลบเลือนหายไป

    จะไม่มีอาซูล อาเชนกร็อตโต้ ที่น่าเกลียดคนนั้นอีกแล้ว


    { ภายในวันที่แสนสงบสุข โชคชะตาแสนวุ่นวายทั้งหมดกำลังจะเริ่มขึ้นกลายเป็นบทละครเวทีใหม่ให้ได้ซึ่งถูกขับขาน }


    ร่างเงาสีดำเมี่ยมขนาดเล็กเลื้อยคลานออกมาจากวงกตกุหลาบแห่งหอฮาร์ทสลาบิวท์ ร่างของมันยับยู่ยี่ ปนเปื้อนไปด้วยความโกรธแค้นที่ทำการกลืนกินร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีแดงกุหลาบไม่สำเร็จ ทั้งที่อีกเพียงแค่นิดเดียว...อีกเพียงแค่ก้าวเดียวแท้ๆ

    แต่ไม่เป็นไร แม้ว่าจุดประสงค์รองของตนจะไม่สำเร็จ แต่ในที่สุดจุดมุ่งหมายหลักของมันก็เข้าใกล้ไปอีกหนึ่งก้าวเรียบร้อยแล้ว

    "รอก่อน....ต้องรอ..." เสียงแหบแห้งของมันเอ่ยแผ่วเบา "เบนจามิน...เบน...จา...มิน...ต้องกลืนกิน...ให้มาก...กว่านี้"

    { ด้วยเหตุเช่นนั้น— }


    จะล่อลวงให้กระโจนเข้ามา เติมเต็มทุกอย่างในร่างกายของเธอจนเหมือนกับอาหารจานยักษ์ที่เต้นรำอยู่ในกำมือ–ให้บ้าคลั่งจนในที่สุดก็ถูกกลืนกิน

    เพราะฉะนั้นแล้ว...ถึงเวลาสักทีที่จะรุดหน้าหาเหยื่อรายใหม่

    มันแสยะยิ้มเหี้ยม


    { มาเริ่มกันเถอะ–จุดเริ่มต้นที่แท้จริงต่อจากนี้น่ะ }



    [ THE END CHAPTER I ]​



     *​*​*​

    สาส์นจากไรท์

    : ผูกปมใหม่กันเข้าไปคือเรื่องถนัดของไรท์ค่ะ แค่กๆ ในที่สุดก็จบบทที่หนึ่งอย่างเป็นทางการแล้วเสียที ขอขอบคุณที่อ่านกันมาจนถึงตรงนี้ด้วยนะคะ(แต่บทสอง บทสามก็ตามมาอยู่ดี แฮ่ม)

    ท้ายช่วงนี้เปรียบเสมือนอินโทรเข้าสู่บทละครต่างๆที่ต่อจากนี้เนื้อหาจะจริงจัง+ตลกร้ายมากขึ้น ยังไงก็ตามอยากจะให้รีดเดอร์ทุกคนระวังเรื่องโดนไรท์ปั่นกันให้มากๆนะคะ(แต่คงจะมีไม่กี่ประเด็นที่ปั่นเท่านั้นแหละ มั้งนะ?)

    ทั้งหมดที่ปูมาถึงสามสิบตอนในที่สุดก็เหมือนว่าจะวางปมครบและพร้อมเชื่อมโยงเนื้อหาเกือบทั้งหมดแล้วล่ะค่ะ แต่ไรท์เองก็ไม่มั่นใจว่าการใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ในการจบฟิคเรื่องนี้ แต่ตัดสินใจเอาไว้ว่าตราบใดที่ยังคงมีไฟจะยังแต่งต่อไปเรื่อยๆค่ะ

    เมื่อจบบทนี้จะทำการสร้างโปรไฟล์ตัวละครใหม่เพื่ออัพเดตเป็นจุดๆ(ถ้าใส่แก้ในตอนที่เจ็ดจะถือว่ามันสปอยสำหรับคนที่แห่กันเข้ามาดู) และอัพเดตรูปภาพของมารีภายในตอนเด็กๆด้วยค่ะ(แน่นอนว่าไรท์ใช้Picrew.ทำนั่นแหละนะ) รวมถึงเปิดโหวตบทเสริมพิเศษด้วย อ่า...มีตอนพิเศษกับขอบคุณยอดผู้ติดตามด้วยนี่น่า! 

    ยังไงก็ตาม ต่อจากนี้ตัวละครภายในส่วนประวัติของมารีจะถูกเพิ่มเข้ามาภายในบทเนื้อเรื่องถัดๆไป และไรท์จะพยายามหาจุดบอกเซ็ตติ้งโลกของมารีผ่านทางบทต่างๆที่สามารถปรากฏได้นะคะ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจภายในจุดยืนและอะไรต่างๆเกี่ยวกับมารีเพิ่มขึ้น บางส่วนไรท์จะเปรยเอาไว้แล้วค่อยมาเฉลยช่วงหลังอีกทีนะ แต่อีกนานกว่าจะเฉลยอดีตน้องได้หมด เพราะงั้นอ่านแล้ววิเคราะห์เองน่าจะดีกว่า(ไรท์เองก็อยากจะดูความเห็นของรีดเดอร์ด้วย)

    ในส่วนของบทนี้อาจจะไม่มีบทของพี่เคเตอร์มากนัก แต่คาดว่าจะถูกใส่ให้มีบทเพิ่มขึ้นภายในแชปเตอร์สองขึ้นไป(เหมือนริดเดิ้ลเป็นต้น) และต่อจากนี้นี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างมารีและตัวละครทั้งหมด การแต่งบทต่างๆจึงมีความยืดยาวและล่าช้า แต่จะพยายามอัพให้ไวว่องเพื่อปูทุกๆอย่างให้ละเอียดและกระชับในที่สุด บางตัวที่ได้มีบทในช่วงหลังตามท้องเรื่องเกมจึงได้มีโอกาสออกมาภายในช่วงต้นของฟิคเรื่องนี้ค่ะ

    ปล.หนึ่ง จบตอนนี้ไรท์ว่ากะจะขอตัวไปปั่นเว้นท์ก่อนนะคะ แล้วกาชาฮาโลวีนทุกคนเป็นยังไงกันบ้างคะ? สุ่มได้ตัวที่ชอบกันไหม ของไรท์ประสบความสำเร็จในการสุ่มหาลิเลียแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าของคุณวิลไรท์การันตีไปดันได้เจดน่ะสิ....(นี่มันคู่กรรมชัดๆ ไรท์ได้การ์ดเจดครบเซ็ตแล้วเนี่ย)

    แถมท้าย คีช - คืออาหารจำพวกจานอบชนิดหนึ่งนะคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×