ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ม่านละครที่หนึ่ง : Missing tarts (1)
"กลับหอฮาร์ทสลาบิวท์ไม่ได้อีกแล้ว เพราะงั้นตั้งแต่วันนี้ฉันขออยู่ที่นี่นะ!"
-เอซ แทรปโพล่า
"ทาร์ตที่หายไป"
***
"รีบทาสีแดงบนกุหลาบเร็วเข้า!"
อะไร...เสียงอะไร?
"เดี๋ยวดอกไม้มันก็เหี่ยวหมดหรอก" เสียงนั้นยังคงดังต่อไป มารีค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนที่จะมองเห็นสถานที่ที่กลายเป็นภาพขาวดำ "เร็วๆเข้า พวกเรายังต้องทาต่ออีกนะ!"
ยังที่แห่งนั้น เธอจำมันได้...ทหารของราชินีโพธิ์แดงกับอลิซ สาวน้อยผู้อยากรู้อยากเห็น ตัวละครเอกของเรื่องที่เผลอหลุดเข้ามาที่วันเดอร์แลนด์แห่งนี้ ท่ามกลางฉากพุ่มไม้กุหลาบที่ถูกทาให้กลายเป็นสีเข้ม...ดวงตาของเด็กสาวก็เบิกตากว้างขึ้น
"ทำไมถึงต้องทาสีกุหลาบพวกนี้ให้กลายเป็นสีแดงด้วยล่ะ?" อลิซเปล่งเสียงหวานของเธอเอ่ยถาม
"หา?"
ฉากนี้เธอจำมันได้ มันก็เป็นฉากที่เบนจามินนั้นก็สงสัยอยู่เหมือนกัน
ริมฝีปากของเด็กสาวขยับเขยื้อน
และหลังจากนั้น...พวกเขาจะตอบว่า-
" " ถามอะไรอย่างงั้น? จริงๆแล้วเพราะพวกเราเผลอไปปลูกกุหลาบสีขาวไงเล่า " " เสียงของทหารและมารีเอ่ยขึ้นพร้อมกัน(และแน่นอนว่าไม่มีใครได้ยินเธอ) ก่อนที่ประโยคหลังทหารตัวนึงจะเป็นคนที่เอ่ยตอบอลิซให้แต่เพียงผู้เดียว "ท่านราชินีน่ะชอบสีแดงมากๆ ถ้าหล่อนเห็นสีขาวเข้าล่ะก็พวกเราต้องโดนตัดหัวแน่!"
"จริงเหรอ?" อลิซเอ่ยทวน ท่าทางนั้นไม่ค่อยอยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่
"ก็ใช่น่ะสิ เพราะแบบนั้นพวกเราถึงต้องทาสีกุหลาบไง"
เด็กสาวมองฉากตรงหน้าด้วยความฉงนใจ จะว่าไปแล้วทำไมเธอถึงมาฝันถึงเรื่องแบบนี้ได้กันนะ? ทำไมถึงต้องเป็นเรื่องอลิซในแดนมหัศจรรย์ที่เก่าคร่ำครึแบบนี้ด้วยล่ะ? เพราะอะไรกันนะ? น่าสงสัยสุดๆไปเลยไม่ใช่หรือยังไงกัน
ขนาดรอบที่แล้วยังฝันร้ายเกี่ยวกับเรื่องอะไรแบบนี้ มาครานี้ก็ฝันอะไรแปลกๆอย่างฉากในดิสนี่ย์เลยหรือ?
เด็กสาวครุ่นคิดภายในภาพฝัน ดวงตาสีน้ำข้าวของหล่อนหรี่ตาลงราวกับกำลังสันนิษฐานเพื่อขจัดความสงสัยบางส่วนออกไปก่อนที่สมองของหล่อนจะเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ไม่สามารถตอบได้
และดวงตาของเธอก็เบิกตากว้างขึ้น
หรือว่า...บางที เพราะยังที่แห่งนี้เรื่องราวนั้นกลับด้านกันอลวนไปเสียหมด เธอก็เลยฝันถึงอย่างงั้นเหรอ?
มือของเด็กสาวกุมคางครุ่นคิด แต่ไม่ทันที่จะได้สันนิษฐานเรื่องราวภายในฝันต่อจู่ๆห้วงสีดำมากมายก็ปรากฏขึ้นมากลืนกินภาพวิวทิวทัศน์รอบข้างไปเสียแล้ว
และมารีก็ร่วงหล่นลงไป
***
"!!!"
มือกำผ้าห่มจนยับยู่ยี่ ไม่นึกเลยว่าการเริ่มต้นเช้าวันใหม่สำหรับการไปเรียนจะเริ่มด้วยฝันประหลาดขนาดนี้...ไม่สิ จริงๆทุกๆอย่างก็ชักจะเริ่มประหลาดขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ที่เธอนั้นมาถึงยังโลกใบนี้แล้ว ไหนจะเรื่องที่โลกแห่งนี้เรื่องราวไม่เหมือนกันอนิเมชั่นที่เธอและเบนจามินเคยดู ไหนจะเรื่องที่มีเวทมนตร์ประหลาดๆกับเจ้าสัตว์ประหลาดสีดำที่ดูเหมือนหมึกนั่น
แล้วก็... เด็กสาวเหลือบสายตาหันมองกริมม์ที่นอนขดอยู่บนเตียง เจ้านี่เลิกคิดจะกินฉันแล้วรึยังนะ?
"กริมม์ ตื่นได้..." เสียงของเด็กสาวดูเบาลงยามเมื่อมองออกไปทางหน้าต่าง อ้าว...นึกว่าจะเช้าแล้วเสียอีก ปรากฏว่าเธอพึ่งจะนอนไปได้แค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยงั้นเหรอ? ยังมืดอยู่เลยแฮะ
ภาพของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยยามราตรีที่ปกคลุมสะท้อนอยู่ภายในสายตาของเธอ เด็กสาวลุกออกจากเตียงไปยังหน้าต่างเพื่อดูวิวทิวทัศน์ให้ชัดๆว่ามันไม่ใช่ยามรุ่งสางแต่เป็นยามราตรีจริงๆ ดวงตาสีน้ำข้าวกวาดตามองไปทั่วๆขณะที่สุดท้ายดวงตาก็เลื่อนมองลงมายังข้างล่างเมื่อพบว่าหล่อนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
เอซ...เหรอ?
เธอเพ่งมองเด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดที่มีอะไรบางอย่างติดแหง็กอยู่ที่คอกำลังอยู่ที่หน้าหอของเธอ และเหมือนเขาเองก็สังเกตุเห็นสายตาของเธอที่จ้องมองมาเหมือนกันจึงได้โบกไม้โบกมือแล้วทำท่าให้ลงมาข้างล่างเพื่อเปิดประตูต้อนรับ
"มาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้เนี่ย?" เด็กสาวพึมพำ คราวนี้ตัดสินใจเดินไปปลุกกริมม์อีกรอบ "กริมม์ ตื่นหน่อย---ลงไปเป็นเพื่อนฉันที เอซมาทำอะไรที่หน้าหอทำไมก็ไม่รู้"
"ฟุน๊...า...งืมๆ..." เสียงงัวเงียของมันดังขึ้นเมื่อถูกเธอเขย่าร่าง ดวงตาสีฟ้านั้นลืมตาปรือๆขึ้นมาเมื่อเริ่มได้สติจากการปลุกของเธอแล้วเอ่ยถาม "มารี...ปลุกข้าทำไม?"
"ลงไปด้วยกันหน่อย เอซเหมือนจะมาที่นี่เพราะอะไรซักอย่างน่ะ" เด็กสาวเอ่ยในสภาพชุดนอนลายทาง(ที่อาจารย์ใหญ่จัดหามาให้)
เจ้าแมวกอดอกอยู่บนเตียงแล้วมองหล่อนด้วยสีหน้างุนงง
"ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็ลงไปทักทายเจ้านั่นคนเดียวได้รึ?"
"มีนายอยู่แล้วอุ่นใจกว่า" เด็กสาวยักไหล่ "น่าๆ มาด้วยกันหน่อยสิท่านกริมม์" หยอกแบบนี้ไปจะได้ผลรึเปล่านะ?
"เจ้านี่มันไม่ได้ความเสียจริง ได้สิ ตัวข้าผู้นี้จะลงไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง!" ได้จริงด้วย...เด็กสาวลอบยิ้มในใจเมื่อเห็นเจ้าแมวที่มีท่าทางดูขยันขันแข็งขึ้นพริบตาทันทีที่หล่อนเอ่ยยกยอมัน กริมม์กระโดดเด้งตัวออกจากเตียงก่อนที่จะเข้ามาเกาะไหล่เธอไว้ "มัวรออะไรอยู่กัน รีบลงไปทักทายเจ้าเอซกันเถอะ"
"อื้ม!"
เด็กสาวพยักหน้าเมื่อหาแนวร่วมได้สำเร็จ---หล่อนเปิดประตูห้องนอนของตนก่อนที่จะเดินลงไปยังชั้นล่างซึ่งเป็นบริเวณนั้นที่ยังไม่ได้ถูกปรับปรุงดีนัก(และมารียังเห็นว่าไม่จำเป็น)
ภายในบริเวณโถงทางเดินของชั้นล่างนั้นเงียบสงัดและมืดมิดไร้ซึ่งแสงไฟที่ถูกติดเอาไว้ตามฝาผนัง สภาพของหอแรมแชตเกิลนั้นยังดูซอมซ่ออยู่ดีแม้ว่ามันจะถูกเด็กสาวทำความสะอาดไปจนเกือบจะหมดแล้วก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นที่ห้องอื่นๆก็ยังคงมีสภาพที่ดีอยู่หากให้เทียบกับห้องโถงทางเดินนี้แล้ว
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น มารีที่มีกริมม์อยู่บนไหล่ค่อยๆเปิดประตูหอของตนเองออกมาตอบรับเสียงเคาะประตูนั้น ดวงตาสีน้ำข้าวจ้องมองเด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดและดวงตาสีส้มอมแดงของเขา เอซบัดนี้อยู่ภายในสภาพชุดนักเรียนที่มีปลอกคอรูปหัวใจล็อคเอาไว้ที่บริเวณคอของเขาอยู่ ท่าทางนั้นดูเหนื่อยล้าและคล้ายจะหมดความอดทนกับอะไรบางอย่างถึงได้แสดงสีหน้าบูดบึ้งออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"มีอะไรรึเปล่าเอซ?" มารีเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน "มาดึกขนาดนี้อยากให้ช่วยอะไรเหรอครับ?"
"นั่นสิ" กริมม์เอ่ยพลางสังเกตรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย แล้วดวงตาสีฟ้าของมันก็เบิกกว้างเมื่อเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติและดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด "เดี๋ยว---นั่นมันปลอกคอนิ..."
จริงด้วย ปลอกคอที่เหมือนกับของกริมม์ในตอนนั้น... มารีที่พึ่งจะนึกออกเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา นี่เอซไปทำอะไรมาล่ะเนี่ย?
บรรยากาศรอบข้างโรยราเงียบลง มารีและกริมม์มองมาที่เด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดยังคงนิ่งงันไปอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ค่อยๆเปิดริมฝีปากเอ่ยคำพูดของตนออกมา
"กลับหอฮาร์ทสลาบิวท์ไม่ได้อีกแล้ว เพราะงั้นตั้งแต่วันนี้ฉันขออยู่ที่นี่นะ!"
กริมม์ส่งเสียงร้อง
"หา!?"
ส่วนมารีนั้นขมวดคิ้ว
ห้ะ?
***
"เอาล่ะ...ห้องนี้น่าจะใช้ได้อยู่" มารีเอ่ยขึ้นขณะที่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องพักอีกห้องที่มีลักษณะไม่ได้กว้างขวางเท่ากับห้องของเธอซึ่งอยู่ติดกันข้างๆนัก ดวงตากวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะตัดสินใจลองกดเปิดสวิตซ์ไฟห้องนอน ต้องขอบคุณพระเจ้าเสียเหลือเกินที่สวิตซ์ไฟห้องนี้ยังคงใช้ได้อยู่ "แล้วจะเอายังไงกับปลอกคอนั่นล่ะ นอนไปแบบนี้มันลำบากไม่ใช่เหรอ?"
"ก็ต้องทนๆไปนั่นแหละน้---า" เสียงที่ฟังดูปลงตกดังออกมาจากปากของเด็กหนุ่ม
เธอมองเด็กหนุ่มผู้โดนสวมปลอกคอจากการที่เผลอไปกินทาร์ตภายในเวลากลางคืนตามกฎของหอฮาร์ทสลาบิวท์ข้อที่แปดสิบเก้า(รู้สึกว่าข้อนั้นเธอก็เคยเจอภายในห้องสมุดอยู่นะ) เนื่องจากว่าเมื่อวานเหมือนเอซจะติดธุระซ้อมบาสของชุมนุมเลยกลับมาที่หอฮาร์ทสลาบิวท์ช้า(และเพราะหิว) สุดท้ายก็เลยลงเอยด้วยการที่มีสภาพเช่นนี้
เธอก็เลยลงเอยด้วยการที่มาเตรียมห้องให้กับเขานี่แหละ ส่วนกริมม์เธอก็ปล่อยให้เจ้าแมวขนเรียบแปล้สีดำนั่นนอนไปก่อนแล้ว
"เอาหมอนอีกซักใบสองใบไหม?" เธอหันมาเอ่ยกับเขา ดวงตาสีน้ำข้าวมองเอซที่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
"จะเอามาให้ฉันเพิ่มเหรอ?"
"ในตู้ห้องนี้มันมีเหลืออยู่ อีกอย่างฉันทำความสะอาดไปหมดแล้วเพราะงั้นหมอนน่ะมีให้ใช้แน่" มารีเดินไปเปิดตู้เห็บเครื่องนอนภายในห้อง มือสากของหล่อนหยิบหมอนขนเป็ดที่ดูนุ่มนิ่มนั้นออกมา "ว่าไง จะเอาไว้หนุนหัวไหม?"
เธอมองเอซที่ทำท่าคล้ายจะปาดน้ำตาปลอมออกมา
"ซึ้งใจจัง ฉันจะร้องไห้เลย" เด็กสาวขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางเหล่านั้นของเอซ
"พูดเล่นพูดจริงเนี่ย?"
"จริงนิดหน่อย แค่ไม่ถึงกับร้องไห้" เอซเอ่ยขณะที่เขาเดินไปหยิบหมอนขนเป็ดอีกใบมาจากมารี แววตาจากดวงตาสีแสดนั่นให้ความรู้สึกที่ดูจะจริงใจมากกว่าครั้งแรกที่พบกัน "ขอบใจนะมากนะมารี"
"ไม่ต้องขอบใจฉันเยอะน่า แล้วนี่ได้ขนชุดนอนมาไหมเนี่ย?"
"ไม่อ่ะ พอดีว่ารีบออกมา--"
"โอเค เดี๋ยวฉันไปเอามาให้แปปนึง" เด็กสาวไม่สนใจสีหน้าของชายหนุ่มที่ทำหน้าประหลาดกว่าเดิม "น่าจะมีไซส์เสื้อที่พอดีกับนายอยู่บ้างล่ะนะ---ไม่สิ ตามฉันมาเลยดีกว่า แล้วนายก็ต้องอาบน้ำด้วยนะเอซ ไม่ใช่ว่าตอนนี้นายชื้นเหงื่อสุดๆไปแล้วเลยรึไง?"
มือของเด็กสาวเปลี่ยนมาคว้ามือของเด็กหนุ่มผมสีแสดเอาไว้แล้วทำท่าคล้ายจะลากออกไป
"เฮ้ย เดี๋ยวดิ--" เอซส่งเสียงร้องตะโกนเมื่อเขาสัมผัสกับมือหยาบของมารี บอกตามตรงว่าไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้! แต่ไหงเขาถึงฝืนแรงของเจ้าหมอนี่ไม่ได้เลยเนี่ย!?
และหลังจากนั้นเสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างของเอซที่ถูกลากออกไป
เช้าวันถัดมา
แสงอรุณสาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ภายในหอพักแรมแชตเกิล ดวงตาสีแสดแดงของเอซค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อแสงสว่างนั้นสัมผัสกับร่างของเขาภายในเสื้อเชิ้ตสีขาว(ที่มารีหามาให้)และกางเกงสีดำ(ของเขาเอง)ที่มาจากส่วนหนึ่งของชุดเครื่องแบบไนท์เรเวนคอลเลจ
"ก็คิดๆอยู่ว่าหมอนี่เป็นคนจุกจิก" เอซพึมพำขณะที่เขาย้อนความไปนึกถึงเรื่องเมื่อวาน ภาพของเด็กสาวที่สรรหาเสื้อผ้ามาให้เขาแถมยังให้ยืมให้ห้องอาบน้ำยังคงตราตรึงอยู่ภายในความทรงจำ "แต่ไม่นึกเลยว่าจะดูแลฉันดีอย่างกับแม่เลยแฮะ"
ประหลาดคนจริงๆเลยนะนั่น
ร่างของเด็กหนุ่มลุกออกจากเตียงที่ยุ่งเหยิง มองอยู่แวบหนึ่งก่อนจะตัดสินใจจัดเตียงให้เรียบร้อย(ก็พอคิดว่าหมอนั่นอุตส่าห์จัดห้องขนาดไหนแล้วก็รู้สึกต้องทำขึ้นมาแปลกๆชอบกล) จากนั้นเขาก็ตัดสินใจแต่งตัวและเปลี่ยนเสื้อกลับเป็นชุดนักเรียน จัดการทำธุระส่วนตัวอีกเล็กน้อยแล้วเปิดประตูออกจากห้องพักซึ่งติดกับห้องของมารีไป
เด็กหนุ่มลงไปยังชั้นล่าง กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างลอยเข้ามาแตะจมูกจนเอซต้องตามกลิ่นไปจนถึงเลานจ์ภายในหอแรมแชตเกิล---ไม่นานนักเขาก็มองเห็นร่างกริมม์ที่กำลังทานทูน่ากระป๋องอย่างเอร้ดอร่อยเป็นมื้อเช้า กับร่างของเด็ก(สาว)หนุ่มภายในชุดนักเรียนที่กำลังใช้มีดหั่นแบ่งอะไรบางอย่างที่เหมือนจะเป็นขนมปังที่มีไส้เป็นผักและเนื้ออยู่ข้างในให้แก่เด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินที่ดูคุ้นตา ใบหน้าของเขาคนนั้นมีรูปโพธิ์ดำติดไว้อยู่บนบริเวณดวงตา
เป็นดิวซ์นี่เองที่มายังหอแรมแชตเกิล แถมกำลังทานเจ้าขนมปังนั่นแก้มตุ่ยอย่างมีความสุข
"อ้าว ตื่นแล้วเหรอเอซ---ตื่นเช้าดีเหมือนกันนิ ดิวซ์พึ่งมารอนายเมื่อตะกี้นี้เองแล้ว" มารีเอ่ยกับคนที่พึ่งจะลงมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มือบรรจงหั่นชิ้นขนมปังกลิ่นหอมกรุ่นจำนวนทั้งสิ้นสองชิ้นลงไปภายในจานแล้วส่งยื่นให้กับเอซ "ไม่ได้แพ้พวกแป้ง มะกอกหรือว่าแฮมรมควันหรอกใช่ไหม?"
"ก็ไม่นะ---" ดวงตาสีแสดของเด็กหนุ่มจ้องมองมันด้วยความฉงน "ว่าแต่เจ้าขนมปังพวกนี้มันคืออะไรน่ะ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?"
"เค้กเค็มน่ะ" เด็กสาวเอ่ยตอบขณะที่หั่นเค้กเค็มในส่วนของตัวเองแล้วบรรจงใส่จานใบเล็ก เมื่อเสร็จสิ้นการหั่นเค้กเค็มมือนั้นก็บรรจงหยิบมาชิ้นหนึ่งแล้วนำเคี้ยวเข้าปาก "งั่ม-พอดีว่าไปขอวัตถุดิบที่เหลือจากวันก่อนของโรงอาหารมาทำ"
แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีเครื่องเคียงเป็นพวกข้าวโพดกับผัก มารีคิด
เอซมองอาหารเช้าของตนด้วยความสนใจ
"เห เป็นอาหารที่มีอยู่ในบ้านเกิดของนายสินะ? ไหนขอลองชิมหน่อย--" เด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดเอ่ยขณะที่นำเค้กเค้มเข้าปาก รสชาติของแฮมรวมควันกับมะกอกที่ผสมเข้ากันอย่างลงตัวกับแป้งเหนียวนุ่มจนอดหยุดทานไม่ได้ เพียงชั่วครู่เจ้าเค้กเค็มชิ้นหนาทั้งหมดสองชิ้นก็หายไปภายในพริบตาเข้าเสียแล้ว
ราวกับเด็กหนุ่มพึ่งจะรู้ตัว เอซมองจานใบเล็กที่ว่างเปล่า---เสียงหัวเราะเบาๆของมารีดังขึ้นราวกับสนุกสนานที่ได้เห็นปฏิกิริยาแบบนั้นจากเขาที่เบนสายตาจากจานมองไปยังเค้กเค็มที่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้น แต่ว่ามันกลับว่างเปล่าไม่มีให้เติมเสียแล้ว
"ไม่มีเหลือแล้วล่ะ" มารีเอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไร เด็กสาวตัดสินใจนำจานของเอซกับดิวซ์มาวางซ้อนกันบนโต๊ะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ "ทีนี้ก็ทานมื้อเช้าเสร็จกันแล้วสินะ แล้วดิวซ์มีอะไรอยากจะพูดกับหมอนี่งั้นเหรอ?"
"อ๊ะ จริงด้วย---เกือบลืมไปซะสนิทเลย!" ดิวซ์เอ่ยขึ้นมาทันทีที่เขานึกได้ว่าการมาที่หอแรมแชตเกิลนี้ไม่ได้มาเพื่อแค่ทานเค้กอร่อยที่ไม่เคยทานมาก่อน เมื่อนึกได้แล้วเขาก็รีบกลับเข้าสู่ประเด็นด้วยการคุยกับอีกฝ่ายทันที "คิดจะไม่ไปลองขอโทษหัวหน้าหอก่อนบ้างเหรอเอซ?"
"ขอโทษเนี่ยนะ แล้วหัวหน้าหอหายโกรธรึยังล่ะ?" เอซกอดอกนิ่งขณะนั่งอยู่บนโซฟา เป็นปฏิกิริยาที่ว่าต่อให้มารีอยู่ดาวอังคารก็รู้ว่ายังไงก็ไม่อยากจะไปขอโทษ
แต่ก็สมควรโกรธล่ะนะ มารีหวนนึกถึงเรื่องที่เอซเคยเล่าให้ฟัง ก็ล่อกินทาร์ตไปตั้งสามถาดนี่น่า...
"เหมือนว่าจะไม่แล้ว" ดิวซ์ตอบ "แค่เคืองๆกับคนที่เรียกมาในตอนเช้าแล้วดันสายน่ะ ส่วนสามคนนั้นที่โดนเรียกมาก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากนายเลย"
หือ...สาย?
มารีเลิกคิ้วพอๆกับเอซที่ทำสีหน้าแผงะไป
"แต่นี่ยังตอนเช้าอยู่เลยนะ?" ใบหน้าของมารีขมวดคิ้วมุ่น นี่เด็กคนนั้นเด็ดขาดถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ?
"นี่ไม่เรียกว่าใจเย็นแล้ว ดูยังไงก็โกรธอยู่ชัดๆ!" เสียงของเอซดังขึ้น ท่าทางยังคงไม่อยากจะไปขอโทษหัวหน้าหอเช่นเดิม "ถ้าเกิดฉันไปขอโทษแล้วโดนหัวหน้าหอลงโทษขึ้นมาอีกจะทำยังไงเล่า?"
"หัวหน้าหอไม่ไร้เหตุผลแบบนั้นหรอกน่า" ดิวซ์เอ่ย "ถ้านายลองไปขอโทษเขาอาจจะยกโทษให้นายก็ได้นิ"
"โธ่เว้ย...! ฉันไม่อยากจะไปขอโทษเลย" เสียงงึมงำดังออกมาจากปาากของเด็กหนุ่มเรือนผมสีแสด
มารีตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ
"ไปเถอะน่า ไปขอโทษก่อนจะผิดใจไปมากกว่านี้" เด็กสาวเอ่ย "เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนนายด้วยล่ะกัน"
"ตัวข้าด้วย!" เสียงของกริมม์เอ่ย "ยังพอมีเวลาอยู่ ตัวข้าผู้นี้เองก็อยากจะไปเห็นหออื่นๆบ้างเหมือนกันล่ะนะ!"
เอซมองพวกเธอทั้งสามคนก่อนที่จะถอนหายใจครั้งใหญ่
"คร้าบๆ ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ---ไอ้เรื่องขอโทษเนี่ย"
เหมือนว่าเด็กคนนี้จะยอมไปจนได้ล่ะนะ
***
หอฮาร์ทสลาบิวท์ -เวลายามเช้าแสนสดใส-
"เป็นหอที่เหมือนกับปราสาทของราชินีโพธิ์แดงเลยเนอะ" เสียงของมารีเอ่ยขึ้น ดวงตาสีน้ำข้าวสอดส่องมองไปรอบๆที่หอฮาร์ทสลาบิวท์ นับว่าสถานที่นี้นั้นงดงามและถูกดัดแปลงบางส่วนเพื่อให้ดูเหมือนกับปราสาทราชินีโพธิ์แดงไม่ผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่น้อย
"โห นี่มันหรูสุดๆไปเลยไม่หรือไง ต่างจากหอที่ตัวพวกข้าอยู่เลย!" เสียงของกริมม์ถูกเอ่ยดังมาจากริมฝีปากของมัน
บัดนี้ร่างของพวกเธอทั้งสี่คนก้าวเข้ามาภายในทางเดินที่เต็มไปด้วยพุ่มกุหลาบสีแดงที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ธงอันเล็กถูกปักเอาไว้ที่บริเวณหน้าทางเดิน(มันเขียนว่า"ฮาร์ทสลาบิวท์") ขณะที่ใจกลางของทางเดินนั้นเป็นลานน้ำพุขนาดเล็กตั้งอยู่ใจกลางของรูปหัวใจ ในส่วนรายละเอียดของหอทรงปราสาทก็มีธีมหลักเป็นสีแดงกุหลาบให้ความรู้สึกหรูหราไม่มีผิดเพี้ยน
ทางเดินของหอนี้ดูหรูหราจริงๆนั่นแหละ สมที่มีอิมเมจเป็นราชินีโพธิ์แดงคนนั้นเลย มารีคิด จะว่าไปแล้วราชินีขาวผู้เลอโฉมนี่...มีอยู่บนโลกใบนี้หรือเปล่านะ? ก็ในต้นฉบับของลูอิสคนนั้นไม่ได้มีราชินีขาวผู้เลอโฉมนี่น่า...
เธอนึกถึงตอนที่ยืมหนังสืออลิซในแดนมหัศจรรย์มาจากห้องสมุดประจำเมืองเพื่อเอามาอ่านด้วยกันกับน้องชาย แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากต้นฉบับกับภาพยนตร์ก็คือตัวตนของราชินีขาวผู้เลอโฉมที่ถูกใส่เข้ามา
อ๋า...ช่างเถอะ คิดไปตอนนี้ก็คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก!
มารีตัดสินใจรีบเดินตามทั้งสามคนที่นำหน้าเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว(เพราะไม่อย่างงั้นคงได้สงสัยแน่ว่าตะกี้เธอทำอะไรอยู่) พวกเขาเดินผ่านทางเดินหอที่ประดับประดาไปด้วยสีแดงกุหลาบเข้ม เดินผ่านทางนู้นทีทางนั้นทีจนมาถึงบริเวณหน้าเขาวงกตที่รายล้อมไปด้วยพุ่มไม้สีเขียวชอุ่ม พุ่มกุหลาบสีขาวนั้นถูกทาทับให้กลายเป็นแดง(กุหลาบพวกนั้นจะเหี่ยวเฉาไวกว่าเดิมหรือเปล่านะหากได้รับสารเคมีจากสีแดงพวกนั้น? น่าสงสัยจังเลยนะ... เธอคิด) ขณะที่บริเวณหย่อมหญ้าก็มีสีแดงจากถังที่ร่วงหล่นลงมาเป็นจุดๆชวนให้ดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเอาเสียเลย ดูอย่างไรหญ้าพวกนั้นก็เหมือนเป็นผ้าที่คอยรองรับสีที่หกเลอะเทอะจากการผสมหรืออะไรแบบนั้นเสียมากกว่า
ท่ามกลางเขาวงกตที่ชวนละลานตากับสีกุหลาบที่ถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากจุดที่พวกเธออยู่ไม่ไกลนัก
"แย่แล้วๆ ต้องรีบทาสีกุหลาบแล้ว"
"โอ๊ะ! มีคนอยู่ด้วยล่ะ" กริมม์เอ่ยพลางเดินเข้าไปใกล้เจ้าของเสียงนั่น ดวงตาสีน้ำข้าวของมารีที่เดินตามไปมองเห็นร่างของชายหนุ่มเรือนผมสีเหลืองส้ม ดวงตาสีเขียวมรกตแวววาว บริเวณใบหน้าของชายหนุ่มนั้นประดับด้วยสัญลักษณ์รูปข้าวหลามตัดเอาไว้
มารีพึมพำเสียงเบา ภาพที่เคยเห็นในฝันปรากฏขึ้นมาอีกครา
"ทหารไพ่...?"
"ทหารไพ่เหรอ จะว่าใช่แต่ก็ไม่เชิงหรอกนะ!" เสียงเอ่ยอย่างร่าเริงทำให้มารีเผลอทำสีหน้าแปลกๆออกมา ชายหนุ่มเบนสายตาจากเธอชั่วครู่เมื่อเห็นว่าเจ้าแมวสีดำเดิน(ลอย)เข้ามาใกล้งานที่เขากำลังทำมันอยู่ "ระวังหน่อยๆ ถ้าสีหกเมื่อไหร่หัวฉันต้องขาดแน่ๆเลย"
ดวงตาสีมรกตจับจ้องมองมาทางพวกเธอทั้งสี่คน ชายหนุ่มตรงหน้าวางอุปกรณ์สำหรับทาสีกุหลาบลง ใบหน้านั้นยังดูร่าเริงแจ่มใสไม่เปลี่ยนไปเสียเท่าใดนัก
"หืม...ว่าแต่พวกนายมีอะไรรึเปล่า?"
ดิวซ์มองอุปกรณ์ทาสีด้วยความสนอกสนใจ
"กำลังทำอะไรอยู่อย่างงั้นเหรอครับ?"
"นี่หรอ?" กล่าวพลางมองไปยังอุปกรณ์ทาสีกุหลาบขาว "ก็อย่างที่เห็นล่ะนะ ฉันกำลังทาสีกุหลาบอยู่"
"เอ๋ ทำไมล่ะครับ?" ดิวซ์ยังคงสงสัยต่อไป ใบหน้าที่ขมวดคิ้วอยู่นั้นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เหมือนกับในหนังสือจริงๆนั่นแหละนะ มารีคิดขณะที่ยังคงมองดิวซ์ที่ยังทำหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามอยู่ ท่าทางเด็กหนุ่มคนนี้ก็คงจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องทาให้กลายเป็นสีแดงอยู่แน่ ก็ในตอนที่เธออ่านหนังสือกับเบนจามินในวัยเด็กนั้น---เบนจามินเองก็ทำสีหน้าแบบนี้ออกมาเหมือนกัน
"ทำไมถึงต้องทาสีกุหลาบให้กลายเป็นสีแดงด้วยล่ะครับ?" สุรเสียงของเบนจามินดังขึ้นมาภายในหัวของเธอ "แล้วทำไมราชินีคนนั้นถึงบังคับให้ทุกคนต้องทำตามในสิ่งที่หล่อนชอบด้วยล่ะ?"
เฮ้อ น้องชายของเธอช่างน่ารักจังเลยน้า...ช่างขี้สงสัยเสียจริง แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถบอกคำตอบให้กับเขาได้ในตอนนั้นจริงๆ
เธอมองใบหน้าของชายหนุ่มผู้กล่าวว่ากำลังทาสีกุหลาบอยู่คลี่ยิ้มคล้ายเอ็นดู
"อืม...ท่าทางใสซื่อของพวกเธอดูตลกดีนะ!"
"พอมาคิดๆดูแล้วพวกนายคือคนที่ทำแชนเดอเรียร์ที่มีมูลค่าถึงสิบล้านมาดอลพังเมื่อสองวันก่อนสินะ" ดวงตาสีมรกตมองไล่มาตั้งแต่ดิวซ์ กริมม์กับเอซ ก่อนที่ดวงตาสีเขียวมรกตจะมาหยุดอยู่ที่เด็กสาวเรือนผมสีขาว "ส่วนเธอ---อย่างที่เขาพูดกันจริงๆด้วย เธอนี่ยมีสีที่เหมือนกับกุหลาบขาวทั้งตัวเลยแฮะ"
มารีขมวดคิ้ว
"เอ๊ะ แล้วทำไมทางนี้ถึงกลายเป็นสีกุหลาบขาวไปได้ล่ะครับ?" ถ้าเป็นรูปปั้นอันนี้เธอยังพอเข้าใจอยู่นะ ในโลกเดิมก็มีคนพูดแบบนี้ใส่บ่อยๆเหมือนกัน
"เพราะว่ามันดูเหมือนให้ความรู้สึกว่าบริสุทธิ์ยังไงล่ะ" เขาขยิบตามองเธอ "ตอนนั้นที่เธอพูดกับอาจารย์ใหญ่เรื่องแชนเดอเรียร์เนี่ยกล้าหาญมากเลยนะ ถูกพูดถึงไปเต็มๆตั้งวันนึงเลย"
แล้วทำไมฉันถึงต้องมาถูกพูดถึงเรื่องนี้ด้วยนะ... เด็กสาวคิด ถ้าเป็นเรื่องที่ทำงานได้ดีก็อยากจะยืดตัวทำหน้าภูมิใจอยู่หรอก อะไรก็ได้แค่ขอไม่ใช่เรื่องที่พูดกับอาจารย์ใหญ่ได้ไหม? แล้วไอ้เรื่องที่ถูกพูดถึงตั้งวันนึงทำไมเราถึงไม่รู้เลยล่ะ
มารีมองด้วยสีหน้าคล้ายปลงตกขณะที่เคเตอร์ฉีกยิ้มแล้วละสายตาจากเธอกลับไปโฟกัสที่เอซอีกครั้ง คราวนี้ดวงตาสีมรกตนั่นจับจ้องมองไปยังปลอกคอรูปหัวใจของเด็กหนุ่มเต็มสองตา
"ฮืม แล้วก็เป็นนายเองด้วยสินะที่ไปขโมยทาร์ตในคืนเมื่อวานมาน่ะ?" เขาเอ่ยขณะที่มองมาทางเอซ "ได้เจอผู้โด่งดังคนนั้นแล้วรู้สึกโชคดีชะมัด! นี่ๆ มาเซลฟี่กันเถอะ!"
พวกเธอทั้งสี่คนทำสีหน้างุนงงออกมายามเมื่อชายหนุ่มที่สนทนากับพวกเธอหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า ก่อนที่จะรีบเปลี่ยนสีหน้าและท่าทางทันทีที่ชายหนุ่มเรือนผมสีส้มเหลืองเปิดแฟลชสีขาวจนจ้าแสบตา
มารีเหลือบมองเอซกับดิวซ์และกริมม์ที่ตั้งท่ากันได้อย่างรวดเร็ว เธอควรจะโพสต์ท่าอะไรดี? ปกติก็ไม่ค่อยมีคนมาขอถ่ายรูปด้วย---ถ้างั้นก็ต้องยิ้มสวยๆเอาไว้ก่อน ชูสองนิ้วด้วย เอาะล่ะเป๊ะแล้ว!
แชะ
แสงแฟลชจ้าจนเกือบจะหลับตาชั่ววูบ ร่างของมารีอ่อนแรงลงเมื่อเริ่มจะคิดกังวลเกี่ยวกับตัวเองภายในภาพถ่ายขึ้นมาเสียแบบนั้น มันก็เหมือนกับการถ่ายรูปเอาไปสมัครทำงานเลย ถ้าไม่ถ่ายให้ดูดีแล้วอาจจะส่งผลต่ออนาคตของตัวเองด้วยก็ได้
ความประทับใจแรกพบเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสังคมนี่น่า
"เอาลงมาจิคาเมะได้ไหม?" เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นขณะที่เปิดโทรศัพท์เหมือนกับจะเอารูปภาพของพวกเธอไปลงสื่อโซเชี่ยล "เดี๋ยวจะแท็กไปให้เพราะงั้นช่วยบอกชื่อมาหน่อยได้ไหม?"
"ดิวซ์ สเปดครับ"
"เอซ"
"กริมม์ แล้วก็ลูกสมุนของข้าเอง" มันเอ่ยมาที่เธอ มารีส่ายหน้าราวจนใจ
"มารี เอเกอร์ครับ"
"เอาล่ะ อัพโหลดเรียบร้อย!" เสียงระรื่นของชายหนุ่มยังคงเอ่ยออกมาจากริมฝีปากขณะที่ใบหน้านั้นยังเปื้อนยิ้ม "ฉันเป็นรุ่นพี่ปีสามของดิวซ์จังกับเอซจัง อยู่ปีสาม เคเตอร์ ไดมอนด์เองล่ะนะ!"
รุ่นพี่*เพรช(Diamon)จัดหาความบันเทิง(Cater) ชื่อแปลกจัง?
...ไม่ ฉันจะไม่เผลอคิดแบบนี้เด็ดขาด
จะว่าไปชื่อของดิวซ์ก็เป็นเหมือน **จอบ(Spade)ลูกเต๋าแต้มสอง(Deuce) ไม่ใช่เลยหรือไง?
ไม่ ไม่ ไม่ ถ้าขืนคิดแล้วเผลอพูดออกไปโดนมองแหงๆ
เด็กสาวแทบอยากจะส่ายหน้าไล่ความคิดออกไปเสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติทดี่ว่าตอนนี้ต้องทำตัวนิ่งๆเข้าไว้ก่อนล่ะนะ
"ไม่นึกเลยนะว่าคนที่ช่วยพูดกับอาจารย์ใหญ่ในตอนนั้นจะเป็นผู้ดูแลหอแรมแชตเกิลเหมือนกันน่ะ ดีจังเลยนะที่ได้อยู่ที่นั่น!" อื้ม เธอก็ดีใจอยู่นะแต่เหมือนกริมม์จะไม่ค่อยเท่าไหร่ "ที่นั่นน่ะมืดมากๆแถมเธอคงจะไม่สะดวกใช้มาจิคาเมะด้วย น่าสงสารจังเลยนะ"
รอยยิ้มของเด็กสาวเกือบกระตุกขึ้น
นี่แซะกันเหรอคะ ได้ข่าวว่าประโยคแรกพึ่งชมอยู่เลย? เธอทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละ ไม่อยากจะพูดออกไปหรอกเพราะมันเสียมารยาท ฉันจะไม่มีทางพูดออกไปหรอกว่าเห็นหอมืดๆแบบนั้นสัญญาณอินเตอร์เน็ตเต็มขีดทั่วหอเลย ติดแค่ว่าหอมันเก่ากับไฟที่ติดความสว่างมันยังใช้ไม่ได้
"หมอนี่พล่ามอะไรตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเนี่ย" กริมม์กอดอกมอง
"อ่ะ นี่ไม่ใช่เวลามาคุยกันแล้ว ปาร์ตี้กำลังจะเริ่มกำลังจะเริ่มภายในอีกสองวันข้างหน้า ฉันก็ไม่อยากจะหัวขาดก่อนถึงวันนั้นหรอกนะ" เสียงของรุ่นพี่เคเตอร์(คุณรุ่นพี่งานเลี้ยง)ดังขึ้น เธอมองสีหน้าลำบากใจของเขาด้วยสายตาปลาตายเมื่อพอจะเอาได้แล้วว่าเขาจะเอ่ยอะไรต่อ "นี่ๆ พวกนายช่วยมาทาสีกุหลาบหน่อยได้หรือเปล่า?"
กะแล้วเชียว
เอซมองไปยังรุ่นพี่เคเตอร์ก่อนจะเผยสีหน้าสงสัยออกมา
"ทำไมถึงต้องทำอะไรแปลกๆด้วยล่ะ?"
"ก็เพราะว่ากุหลาบสีแดงในงานปาร์ตี้ถ่ายรูปออกมาสวยที่สุดเลยใช่ไหมล่ะ?" เธอมั่นใจว่าเหตุผลไม่น่ามีแค่นั้น "ฉันเองก็อยากจะเปลี่ยนสีของนกฟลามิงโก้ไว้สำหรับการแข่งโครเก้อยู่นะ แต่มันยุ่งยากเกินไปน่ะ"
"อยากเปลี่ยนเป็นสีนกฟลามิงโก้เหรอ งานของเจ้าดูประหลาดชะมัดเลย" กริมม์เอ่ยขณะที่เจ้าปีศาจตัวน้อยขมวดคิ้วด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก
ดิวซ์เผยสีหน้าราวกับจะเข้าใจออกมาเมื่อจับประเด็นต่างๆมาเชื่อมโยงกันได้แล้ว
"เพราะทาร์ตที่เอซกินเข้าไปเป็นของงานวันเกิดหัวหน้าหอสินะ ไม่น่าล่ะถึงโกรธขนาดนี้"
"ไม่ใช่หรอกนะ" เสียงของเคเตอร์เอ่ยปฏิเสธ
"ไม่ใช่อย่างงั้นเหรอ แล้วมันเป็นงานวันเกิดของใครกันล่ะครับ?"
"ไม่ใช่วันเกิดของใครหรอก มะรืนนี้น่ะเป็นปาร์ตี้ไม่มีใครเกิดซึ่งเป็นงานที่จะจัดขึ้นประจำปีน่ะสิ" เสียงของเคเตอร์เอ่ยอธิบาย "หัวหน้าหอจะสุ่มวันที่ไม่มีใครเกิดแล้วก็จะมีปาร์ตี้น้ำชากัน"
"อะไรวะเนี่ย!?" มารีนั่งฟังเสียงของเอซที่ตะโกนใกล้เธอเสียเหลือเกิน ใจเย็นๆก่อนนะ
สมเป็นวันเดอร์แลนด์ดีน้า มารีคิดขณะที่ฟังบทสนทนาเงียบๆโดยไม่เข้าไปขัด แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าหอนี้จะสมคอนเซ็ปวันเดอร์แลนด์มากกว่าที่คิด หมายถึง...ในแง่ความประหลาดนิดๆหน่อยๆละนะ
"ยังไงก็เถอะ เหตุผลน่ะเอาไว้ทีหลัง พวกเราต้องทาสีกุหลาบก่อน กริมม์จัง ดิวซ์จัง พวกนายสองคนใช้เวทมนตร์ทีนะ!" เสียงของเคเตอร์เอ่ยขึ้น เขาลงจากบรรไดที่ใช้ขึ้นไปทาสีบนพุ่มไม้แล้วลงมายื่นอุปกรณ์ยัดใส่มือของเธอกับเอซ มารีมองมันด้วยความงุนงงมากกว่าเดิม "ส่วนเอซจังกับมารีจัง พวกนายใช้เวทมนตร์ไม่ได้เพราะงั้นทาสีไปนะ!"
"ใช้เวทมนตร์เปลี่ยนสีกุหลาบเหรอครับ..." ดิวซ์เผยสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย
"ไม่เอาอ่ะ" มารีเอ่ยขึ้นขณะที่ดึงกริมม์เข้ามาใกล้ๆตัวเอง มาบังคับแบบไม่มีอะไรตอบแทนใครมันจะไปอยากทำกันเล่า "กับดิวซ์แล้วก็เอซผมยังพอเข้าใจอยู่นะเพราะพวกเขาอยู่หอเดียวกันกับรุ่นพี่ แต่ทางนี้กับกริมม์ที่อยู่คนละหอมีเหตุผลอะไรที่จะต้องเข้าไปช่วยด้วยล่ะ? ถ้าอยากช่วยก็หาอะไรมาแลกกันหน่อยสิ"
เสียงหัวเราะดังออกมาจากปากเคเตอร์
"ฮะๆ โดนมารีจังเล่นงานซะแล้วสิ สมแล้วที่พูดกับอาจารย์ใหญ่ได้---ฝีปากแบบนี้ทำให้นึกถึงแม่มดแห่งห้องทะเลด้วยน้า" แม่มดแห่งท้องทะเล? เออซูล่างั้นเหรอ---เธอก็ว่าตัวเองไม่ได้เอารัดเอาเปรียบใครเขาแบบนั้นหรอกนะ พูดเว่อร์เกินไปแล้ว "เรื่องที่จะแลกฉันก็ไม่มีอะไรซะด้วยสิ---งั้นเอาแบบนี้ไหม ฉันจะบอกวิธีไปขอโทษหัวหน้าหอกับแนะนำคนช่วยให้ เอาไหมล่ะมารีจัง?"
เด็กสาวทำหน้าครุ่นคิด ข้อเสนอของรุ่นพี่เคเตอร์มีประโยชน์ต่อเอซมากกว่าจะเป็นตัวเธอเองเสียอีก---แต่ถ้ามันช่วยให้ชีวิตต่อจากนี้ง่ายขึ้นและเพื่อไม่ให้ถูกมองในแง่ร้ายจากหัวหน้าหอโรสฮาร์ทผู้แสนเข้มงวดแบบนั้นแล้ว ก็ถือว่ายังมีค่าอยู่บ้างล่ะนะ
เอาล่ะ---!
"โอเคครับ" เอ่ยตอบตกลงไปอย่างรวดเร็วก่อนจะดันกริมม์ไปตรงพุ่มกุหลาบขาวที่ถูกทาเป็นสีแดง "ถ้างั้นไปช่วยรุ่นพี่ไดมอนด์ทาสีกับเถอะกริมม์ อย่าปล่อยให้เขารอนานเลย"
"เดี๋ยวสิ ทำไมตัวข้าผู้นี้ถึงต้องไปทาสีด้วยเนี่ย!" เสียงของมันร้องโวยวาย
"โอเค---ไม่เป็นไรหรอกนะ รีแลกซ์เข้าไว้! มาทำให้มันเสร็จกันเถอะ" เสียงของรุ่นพี่เคเตอร์เอ่ยขณะหยิบปากกาเวทมนตร์ออกมา "รีบๆลงมือทำดีกว่านะถ้าไม่อยากให้หัวหลุดเอาน่ะ"
และการทาสีกุหลาบขาวก็เริ่มต้นด้วยประการฉะนี้นี่แหละ
***
สาส์นจากไรท์
: สวัสดีค่ะรีดเดอร์ทุกคน ตอนนี้เองก็เป็นตอนสบายๆเหมือนอย่างเคย(เพิ่มเติมคือโดนใช้แรงงานซะแบบนั้น)ไม่ค่อยจะมีอะไรเป็นพิเศษมากเท่าไหร่ แต่ว่าเนื้อเรื่องหลักถัดๆไปจะมีอย่างแน่นอนค่ะ
ในที่สุดแล้วรุ่นพี่เคเตอร์ก็ปรากฏตัวออกมาซักที เป็นคาร์ที่ไรท์ไม่มั่นใจเอามากๆเลยล่ะค่ะ---แต่ยังไงจะพยายามดันบทให้มีไปเรื่อยๆนะ(แม้ว่าจะกลัวหลุดคาร์ก็เถอะ) คิดว่าซักตอนสองตอนเดี๋ยวรุ่นพี่เทรย์เขาก็จะโผล่มาแล้วล่ะ รออีกหน่อยนะคะ!
สำหรับตอนนี้ ไรท์ได้ตัดสินใจว่าจะลงข้อมูลของเค้กเค็มที่มารีทำมาภายในตอนต้นเอาไว้เผื่อรีดเดอร์ไม่รู้จักนะคะ(และเผื่อมันยั่วน้ำลายได้--แค่ก) คิดว่าบทสบายๆแบบนี้ไรท์อาจจะหยิบอาหารมาพูดถึงในฟิคนี้เรื่อยๆเพื่ออรรถรสและความเบาสมองแบบไม่ต้องคิดอะไรมากล่ะนะ
นี่คือรูปภาพของเจ้าเค้กเค็ม อาหารสัญชาติฝรั่งเศสหรือที่เรียกอีกชื่อก็คือcake salé นั่นเองล่ะค่ะ! (น่ากินล่ะสิ แต่ว่าเป็นคนละสูตรกับที่มารีทำเอาไว้นะ)
จบการแนะนำตัวภาพอาหารไปแบบสั้นๆแล้ว ต่อมาได้เวลาอธิบายความคิดของมารีที่ติดดอกจันทร์เอาไว้นะคะ
*มารีนำชื่อและสกุลของพี่เคทมาตีความหมาย(เพราะปกติภาษาอังกฤษจะเรียงจากหลังไปหน้า) จนมันกลายเป็น รุ่นพี่เพรชจัดหาความบันเทิง เพราะมารีตีความชื่อCater ในลักษณะความหมายที่หมายถึงจัดหาความบันเทิงให้นั่นเองค่ะ(แต่จริงๆมันจะแปลว่าจัดหาอาหารให้ก็ได้ด้วยนะ)
**มารีเอาชื่อของดิวซ์มาตีความหมาย(อีกแล้ว) จนได้เป็นจอบลูกเต๋าแต้มสอง โดยคำว่า Spade ถูกแปลว่าจอบ ส่วน Deuce ถูกตีความหมายเป็นลูกเต๋าแต้มสอง นั่นเองค่ะ
คิดว่ามุกล้อชื่อแบบนี้น่าจะกลายเป็นซิกเนเจอร์ของหอนี้ในซักวัน ถ้าหลุดพูดออกไปน่าจะบันเทิงแน่นอน(แต่อาจจะไม่เขียนในส่วนของเรื่องนี้) โดยเฉพาะพี่เทรย์ พี่ถาด---แค่ก กับริดเดิ้-----#สัญญาณขาดหาย
ปล.1 บทของมาเลอุสไรท์คิดว่าไม่น่าจะออกได้แบบเหมือนในเนื้อเรื่อง แต่น่าจะออกมาในรูปแบบอื่นอีกที(แบบไหนรอดูได้เลยนะ)
ปล.2 จริงๆใส่ปล.2มาก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วล่ะ แต่สำหรับบทพิเศษในตอนหน้ารอดูกันได้เลยนะคะ!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น